Saturday, November 28, 2009

บทความจากพี่น้อง – เขียนถึงแม่และผมในอนุมานวสาร


“โดยปกติแล้ววชิราวุธวิทยาลัยมีการสรรหานักเรียนเก่าดีเด่นที่ทรงคุณค่า ในด้านต่าง ๆ และทำการประกาศเกียรติคุณในวันคืนสู่เหย้าเป็นประจำทุกปี
ทุกท่านที่ได้รับคัดเลือกประกอบด้วยคุณสมบัติที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจให้แก่โรงเรียน ด้วยคุณสมบัติอะไรบ้างนั้น ผู้เขียนไม่ทราบ แต่ถึงทราบก็คงไม่เกี่ยวกับข้อเขียนนี้สักเท่าไร เพราะลูกวชิราวุธที่กำลังจะเขียนถึงนั้น ถึงแม้จะดี แต่คงไม่เด่นพอจะเป็นที่น่าสนใจ เขาเป็นเพียงนักเขียนคนหนึ่งในคณะบรรณาธิการของหนังสือข่าวอนุมานวสาร และเป็นลูกที่มีความกตัญญูต่อบิดามารดาอย่างหาได้ยากยิ่ง...เท่านั้น

แม้วันแม่จะผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่สำหรับ ‘ภพ พยับวิภาพงศ์’ ทุก ๆ วันของเขาคือ วันแม่

ภพ หรือ วุ่น หรือกระสาบของเพื่อน ๆคนนี้ ผู้เขียนเพิ่งรู้จักเขาได้ไม่นาน แต่ในช่วงเวลาที่ไม่นานนี้เราจะพบกันค่อนข้างบ่อยที่โรงพยาบาล และทุกครั้งที่
ได้พบ เขาจะอยู่ข้างหลังเก้าอี้รถเข็น (Wheel chair) ของแม่เสมอ

หลังจบปริญญาตรีด้านกฎหมาย ภพทำงานได้พักเดียวก็ได้รับข่าวร้ายเรื่องมะเร็งในปอดของคุณแม่ซึ่งโรคภัยชนิดนี้ต้องการการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด

ในฐานะลูกชายคนเล็กในจำนวนสามคนซึ่งเป็นโอวีทั้งหมด และขณะนั้น เป็นผู้ซึ่งมีเงินเดือนน้อยที่สุด ตามที่ภพเล่าไปยิ้มไปตามแบบฉบับของเขา เขาจึงลาออกจากงานมาดูแลพยาบาลคุณแม่อย่างเต็มเวลา เต็มเวลาในที่นี้หมายถึงทุกวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน จะยกเว้นก็แต่บางวันหยุดสุดสัปดาห์ที่คุณพ่อหรือสมาชิกในครอบครัวซึ่งปกติมีภาระหน้าที่ทางการงานมาผลัด นั่นแหละ ภพจึงมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบ

เราพูดจาโต้ตอบกันทาง facebook บ้าง และจาก facebook นี่เองทำให้ผู้เขียนได้ทราบถึงความสนุกสนานรื่นเริง รักธรรมชาติโดยเฉพาะการท่องเที่ยว การดิ่งลงสู่โลกใต้น้ำและความรักในสัตว์ทะเลของภพ นอกจากบทความที่ลงในหนังสืออนุมานวสารแล้ว เขาเขียนบทความร่วง ๆ ไว้หลากหลาย ล้วนแล้วแต่บรรจุไปด้วยความรื่นรมย์ ทัศนคติที่ดี และมีไม่น้อยที่แสดงให้เห็นความห่วงใยอาทรถึงมารดาผู้ให้กำเนิด

คุณแม่ของภพเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารัก ช่างคุย ให้ความเป็นกันเองแก่ผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง ในวันแรกที่ได้พบกันคุณแม่กำลังนอนพักเพื่อรอการให้เคมีบำบัด ท่านเล่าให้ฟังถึงคุณพ่อและลูกชายทั้งสามคนอย่างร่าเริง เล่าถึงการเดินทางท่องเที่ยวเมื่อครั้งที่ยังแข็งแรง เล่าถึงลูกชายคนโตที่เป็นแพทย์ เล่าถึงความหวังที่จะได้เห็นหลานจากลูกชายคนที่สองในอีกไม่นาน เมื่อพูดถึงภพ ท่านมองลูกชายที่เฝ้าพยาบาลอยู่ด้วยสายตาแห่งความภาคภูมิใจ คุณแม่พูดถึงความโชคดีที่มีลูกดี ต่อให้ใครดูแลก็ไม่เหมือนลูกของเรา ฯลฯ หลาย ๆ คำพูด ในวันนั้น
ผู้เขียนเชื่อว่าอาจทำให้ใครก็ตามที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ฟังแล้วอาจจะถึงกับน้ำตาคลอ

ระยะหลังเมื่อมีน้ำในปอดมากขึ้น เมื่อเริ่มเหนื่อย การพูดคุยก็ลดน้อยลงเป็นลำดับมีแต่รอยยิ้มจาง ๆ และคำพูดเบา ๆ แต่ไม่ว่าช่วงใดเวลาใด ในวันที่สดชื่นรื่นเริง ในวันที่ตระหนกจากอาการที่ผันแปรของโรค ในวันเครียดของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งต้องดูแลผู้ป่วยเป็นเวลานานโดยไม่มีโอกาสและเวลาแห่งความ
สนุกสนานอย่างที่เพื่อนในวัยเขาพึงจะมี ไม่ว่าจะวันใดน้องชายคนนี้ของเราอยู่กับแม่ของเขาเสมอ เขาขับรถพาแม่มาโรงพยาบาลหลายครั้งต่อสัปดาห์ เข็นถังอ๊อกซิเจน ประคับประคองนอนเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาล และนอนหน้าเตียงแม่ทุกวันเมื่ออยู่บ้าน

ทำเช่นนี้อย่างไม่ว่างเว้นเป็นเวลาถึง ๒ปีกับอีก ๗ เดือน

ไม่ต้องพูดถึงความเศร้าเสียใจและน้ำเสียงที่สั่นเครือเมื่อเขาโทรมาแจ้งข่าวว่าในที่สุด คุณแม่ได้จากไปเสียแล้ว

หากความกตัญญูกตเวทีเป็นความดีสูงสุดที่มนุษย์พึงมีตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ ภพได้ทำในสิ่งที่หลายคนไม่มีแม้ความกล้าและกำลังใจที่จะทำ มีความเสียสละอย่างล้นเหลือ เป็น สุภาพบุรุษ ที่หากล้นเกล้าฯ ได้ทรงทราบด้วยญาณวิถีใดก็คงจะทรงพอพระทัยใน “ลูกวชิราวุธ” ของพระองค์ท่าน เป็นคนหนึ่งที่เรื่องราวของเขาควรจะถูกบันทึกไว้ในA Century of Pride น่าภูมิใจแทนวชิราวุธวิทยาลัยที่ได้สร้าง “คนดี” ขึ้นมาอีกคนหนึ่งสมดังพระราชปณิธาน

การสรรหานักเรียนเก่าฯ ผู้ประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ยังคงจะดำเนินต่อไปดังเช่นทุกปี แต่สำหรับวงเล็ก ๆ ของพวกเรา ตำแหน่ง “ลูกวชิราวุธดีเด่น” ในใจของชาวอนุมานวสาร ได้ถูกมอบให้ “ภพ พยับวิภาพงศ์”ไปเรียบร้อยแล้ว โดยปราศจากความลังเลและด้วยความภาคภูมิใจ / อโนมา ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา

ขอขอบคุณพี่น้องและทีมงานอนุมานวสารทุกท่านครับ ผม คุณพ่อและพี่ชายรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก และผมเชื่อมั่นว่า หากคุณแม่ได้อ่านบทความในอนุมานวสารฉบับนี้ ท่านก็จะรู้สึกภาคภูมิใจมากๆ เช่นเดียวกัน

ที่มา อนุมานวสารฉบับเดือน กันยายน-ตุลาคม 2552โหลดอ่านฉบับเต็มได้ที่ www.ov.in.th/category/anumarn/

Thursday, November 26, 2009

I –Phone จากแม่...สู่ลูก


“แม่จะซื้อ I-Phone ให้ วุ่นอยากได้หรือเปล่า?” ขณะนั้น ขึ้นปีที่สองที่แม่เป็นมะเร็งครับ แต่แม่ยังไม่ต้องใส่สายออกซิเจน

“อย่าเลยครับแม่ มันสิ้นเปลือง เก็บเงินไว้รักษาพยาบาลเถอะ เรายังต้องใช้เงินอีกมาก” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ ใจหนึ่งก็อยากจะใช้เพราะเห็นพี่ๆเขาใช้กัน อีกใจหนึ่งก็คิดว่าด้วยหลักเหตุผลว่า มันแพงโดยใช่เหตุ และมันก็ไม่จำเป็นขนาดนั้น ลำพังตัวผมคงไม่คิดจะซื้อครับ ไอโฟนเครื่องหนึ่งแน่นอนว่า ทำได้หลายอย่าง ทั้งดูหนัง ฟังเพลง เล่นอินเตอร์เนต เป็นต้น แต่มูลค่าของมันเอาไปดำน้ำทริปใหญ่ๆ ทะเลอันดามัน ได้หนึ่งทริปเลย(ถ้าผมมีเงินมากขนาดนั้น เอาไปดำน้ำดีกว่าน่ะ)

แต่ดูแม่อยากจะซื้อให้ผมมากครับ เธอพร้อมจะเสียสละเงินส่วนตัว เพื่อมอบให้ผมอย่างเต็มใจ เธอบอกผมว่า อยากจะซื้อสิ่งนี้ให้ผมตอบแทนความกตัญญู กตเวที ที่ผมมีให้ ซึ่งผมก็ตอบไปว่า

“แค่นี้ ผมก็ใช้หนี้บุญคุณแม่ ไม่หมดอยู่แล้ว ถ้าซื้อก็ยิ่งติดหนี้บุญคุณเข้าไปใหญ่เลยซิ ”

ซึ่งสุดท้าย เมื่อถูกรบเร้ามากๆ ผมก็ใจอ่อน และได้ไอโฟนมาครอบครองในวันนั้น แม้จะรู้สึกงงๆ ใจหนึ่งคิดว่า มันแพงมากเลยนะครับแม่

ปัจจุบัน ผมรักและหวงแหนไอโฟนเครื่องนี้มาก เพราะเป็นสิ่งที่แม่ได้ให้ไว้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงนึกเธอตลอดเวลา

เวลาไปต่างจังหวัด ไปทะเล ไปค้างคืน ผมจะเก็บไอโฟนไว้ที่บ้านครับ กลัวไอทะเลจะทำให้โทรศัพท์พัง และเลือกที่จะใช้โทรศัพท์เครื่องเก่ามากกว่า

แต่ซักวัน ไอโฟนเครื่องนี้ก็ต้องบุบสลาย เสียหาย ตามกาลเวลา ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไร เปรียบเหมือนชีวิตของมนุษย์ ที่มีเกิด ก็ต้องมีดับ

และเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้เสียด้วย

Tuesday, November 17, 2009

1 เดือนที่เธอจากไป


จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ช้าครับ แต่นี่ก็ครบ 1 เดือนที่คุณแม่ของผมได้จากไปแล้ว


ตอนเช้าเราอัญเชิญอัฐิของแม่ไปที่วัด ทำบุญ กรวดน้ำและถวายสังฆทาน ฟังพระสวด


สภาพจิตใจดีขึ้นกว่าสัปดาห์แรกๆครับ พอมีอะไรทำ ไม่อยู่เฉยๆ มันก็ทำให้ “การคิด” น้อยลง


แต่หากได้คิดถึงวันนั้น คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา คิดถึงสิ่งที่เคยทำผิดพลาดที่มีอยู่บ้าง เพราะไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์แบบ แน่นอนว่า ย่อมจะทำใจไม่ได้อย่างแน่นอน และจะทำให้โทษตัวเองเสมอๆว่า ทำไมเราถึงช่วยอะไรไม่ได้เลย


พ่อก็เช่นกันครับ ท่านเหมือนผม บางครั้งเวลาดูรูปแม่ มันก็อดคิดไม่ได้


แต่หากคิดว่า เรามีสิ่งดีๆอะไรที่เคยทำร่วมกันบ้าง ได้ตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไรบ้าง มีเสียงหัวเราะ มีอารมณ์ขัน สิ่งเหล่านั้นทำให้ผมภูมิใจและไม่อายที่จะบอกใครๆว่า “ผมได้ทำ” ในสิ่งที่หลายคนอาจไม่มีโอกาสนี้


ผมกับเธอเกิดปีไก่เหมือนกันครับ อาจเป็นเพราะเราผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนก็ได้


แม้ผมจะรู้ว่าเธอไปดี ไปแล้วไม่เหลียวหลังกลับมา เพียงแต่แอบมองห่างๆ ในบางเวลา แม้ผมจะอยากให้เธอมาหาก็ตาม


เธอ ไม่ชอบสุนัข บ้านเราก็ไม่เลี้ยงสุนัข แม้ซาวเสียงแล้วเธอจะแพ้ 4 ต่อ 1 แต่เธอก็ชนะทุกคนเสมอๆ เพราะ


เธอ เป็นคนที่ใครๆก็เอาใจมากที่สุด


เธอ เป็นผู้หญิงคนเดียวของบ้าน


เธอ เป็นคนที่สำคัญที่สุดของบ้าน


และผมก็ตามใจเธอเสมอ


ดีใจที่เห็นเธอมีความสุข


เสียใจและเจ็บปวดเมื่อเห็นเธอมีความทุกข์


หน้าบ้านมีแม่ลูกคู่หนึ่ง ขายอาหารตามสั่ง แม่เป็นคนทำ ลูกเป็นคนช่วย คนรับ Order


มันทำให้ผมนึกถึงแม่ขึ้นมา และนึกอิจฉาแม่ลูกคู่นี้


หากการอิจฉา ริษยา เป็นบาป


ผมก็ขอทำบาปแล้วกันนะ





Friday, November 13, 2009

พาแม่เที่ยว วัดห้วยมงคล-จุดชมวิวเขาหิน เหล็ก ไฟ




สัปดาห์ก่อน ผมค่อนข้างเครียดครับ บางครั้งมองรูปของแม่ ยังคิดอยู่เลยว่า มันไม่จริงใช่ไหม แต่ก็คงต้องยอมรับความจริงให้ได้ครับ ว่าแม่ของผม ท่านได้จากไปแล้ว

อยากออกเดินทางไปทะเล สถานที่ชื่นชอบ อยากจะอยู่คนเดียว ติดตรงที่ว่าผมยังห่วงพ่อครับ หากไปท่านก็คงเหงามาก(ขนาดวันที่ผมทานข้าวคนเดียว ยังเหงาเลยครับ) แน่นอนว่าทุกคนเศร้า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คงมีเพียง “เวลา” เท่านั้น ที่จะทำให้ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆนี้ไปได้

นอกจากขโมยที่ปีนเข้ามาในบ้านเมื่อวันก่อน แต่แค่มาด้อมๆมองๆครับ ข้างบ้านเห็นก็เลยโทรเรียกตำรวจ ส่วนเกาะกูดที่ผมคิดจะไปปลีกวิเวก ช่วงนั้นก็มีคลื่นลมแรงครับ เรือวิ่งช้ากว่าปกติและไม่แน่ใจว่าจะไปได้หรือไม่ เจ้าของรีสอร์ทก็แสนจะใจดีครับ พูดแบบตรงๆว่า

“เงินน่ะป้าก็อยากได้ แต่อยากให้มาแบบประทับใจมากกว่า”

โอเคครับ แบบนี้ผมชอบ ตรงๆดี ไม่อ้อมค้อม น่าไปอุดหนุน

ทางเลือกที่ดีที่สุด คือ ไปเช้า-เย็นกลับครับ แม้จะเหนื่อยหน่อยก็ตาม ผมเลือกหัวหินเพราะระยะทางไม่ไกลมากนัก มีวัดห้วยมงคล(ที่มีหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ๆ) และจุดชมวิวเขาหิน เหล็ก ไฟ ที่ผมอยากจะขึ้นไปดูวิวทะเลมานาน

แม่เคยบอกผมว่า เห็นรูปที่ผมไปเที่ยวทะเล แล้วอยากจะไปบ้าง ผมบอกไปซิครับ ยินดีจะพาไปเสมอ แต่ท่านก็ได้แต่คิดครับ เพราะหลังๆท่านเริ่มเหนื่อย ไม่อยากไปไหน อยากอยู่ที่บ้านเท่านั้น

หากคิดในแง่ดี เมื่อเราทราบว่าแม่ป่วย เราก็ยังหาเวลาพาท่านไปพัทยาตั้งหลายสิบครั้งเพื่อผ่อนคลาย ในขณะที่บางครอบครัวอาจจะไม่มีโอกาสนั้นเลยก็ได้

แม่ครับ นับจากนี้ต่อไป ทุกการเดินทางของผมจะมีแม่อยู่เสมอ ผมจะพาแม่ไปด้วยนะ



4 พฤศจิกายน 2552

ออกช้าไปนิดครับ อยากจะไปขึ้นรถที่สายใต้รอบ 8 โมงเช้า แต่ก็ไม่เสียงานครับ เช้าๆผมต้องออกไปหาซื้อซาลาเปาและสัปปะรดมาถวายให้แม่ที่บ้าน และต้องใส่บาตร ทำบุญ กรวดน้ำทุกๆวันอยู่แล้ว

คราวก่อนใช้พาหนะโดยรถไฟ คราวนี้ใช้รถทัวร์บ้างครับ ผมขับรถส่วนตัวไปจอดที่สายใต้ใหม่ ที่มีที่จอดรถกว้าง สะดวกสบาย ค่าบริการจอดฟรีครับ ถ้านำรถออกก่อน 5 ทุ่ม

เดินขึ้นไปด้านบน เร็วที่สุด คือ รอบ 10 โมงเช้าครับ จริงๆมีหลายเส้นทางที่ผมสนใจ ผมจดไว้แล้วครับ เผื่อคราวหน้าอยากจะมา ก็มาได้ทันที ผมซื้อของบริษัทหัวหิน-ปราณทัวร์ ปรับอากาศชั้น 1 ราคา 160 บาท(จริงๆมีรถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัยครับ แต่ผมคิดว่า ผมคงนั่งลำบาก ยืดแข้ง ยืดขาก็ไม่ได้นัก)

ที่นี่มาไกลหน่อยแต่มีรอบรถทุกชั่วโมง รอบแรก ตี 4 รอบสุดท้าย 4 ทุ่ม 20 นาที

อยู่ๆก็เกิดอาการซึมเศร้าครับ มองไปก็เกิดภาพขึ้นมา จำได้ว่า เดือนเมษายนปีที่แล้ว ผมมาที่นี่ซื้อตั๋วไป อ.ละงู จ.สตูล เพื่อไปเกาะตะรุเตาและเกาะหลีเป๊ะ

วันนั้นพ่อกับแม่ผมมาส่งด้วยครับ

วันนั้นแม่ขึ้นมาที่นี่ บอกผมว่าเขาสร้างใหม่ดีนะ กว้างดี แม่ใส่หน้ากากปิดปากเพื่อป้องกันเชื้อโรค ผมไม่อยากให้ท่านมาเพราะกลัวจะติดเชื้อ แม่หาถุงใส่เต๊นส์ ใส่แล้วสะพายให้ผม เพราะกลัวว่าผมจะไม่มีที่นอน เมื่อไปถึง

ตั้งสติครับ นึกถึงวันนั้นและขณะพิมพ์เรื่องนี้ผมจะร้องไห้เอาน่ะ

เราเดินทางกันต่อครับ ผมขึ้นรถโดยสารเรียบร้อยแล้ว ขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัว ที่ว่างเพียบ(ก็แน่ล่ะ ใครจะมาเวลานี้)

มีแจกน้ำดื่ม 1 ขวดครับ(งงครับ มีแจกด้วยเหรอ)

ข้างๆมีชาวต่างชาติอยู่ 1 คนครับ พอมานั่งแถวเดียวกันที่ยิ่งแคบเข้าไปใหญ่ ตัวเล็กๆกันซะที่ไหนล่ะ ช่วงนี้อารมณ์ไม่ถึงกับดีนักครับ ปกติก็คงชวนคุย ฝึกภาษาไปแล้ว ด้านหลังว่างครับ นั่งด้านหลังดีกว่า

การที่จะทำให้เวลาการเดินทางสั้นลงนั้น ดีที่สุด คือการนอนครับ นอนเถอะแล้วจะดีเอง


2 ชั่วโมง 40 นาที ถึงหัวหิน

ใช้เวลาไม่นานครับ เกือบบ่ายโมง ผมเริ่มเห็นตัวเมืองหัวหิน เพราะพึ่งจะมาล่าสุดก็ตอนนั่งรถไฟมาเที่ยวสวนสน-ประดิพัทธ์ แบบเช้าไป-เย็นกลับ แล้วเหมารถกับเพื่อนๆมาที่นี่

แดดร้อนจัดครับ ยิ่งหัวโล้นแบบนี้ บอกได้คำเดียวว่าร้อนมาก ต้องหาหมวกมาสวม ช่วยได้เยอะ

สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ หาข้าวกินครับ จะเป็นลมอยู่แล้ว มองเห็น “ร้านโกทิ” จำได้ว่าคราวก่อนคนเต็มร้านเลย คราวนี้ปลอดคน ลองกินซะหน่อยก็ไม่เลว จำได้ว่าอยู่ใน Forward mail ร้านอาหารอร่อยด้วยครับ

“ข้าวผัดทะเลจานนึง ห้องน้ำอยู่ไหนครับ”

“เดินเข้าไปเลยครับ ระวังหน่อยนะ มันมืด ก้มหัวด้วยล่ะ”

ไม่บอกก่อน ก็เสร็จซิครับ เพดานเตี๊ยมากๆ ให้พวกฮ๊อบบิทเดินเข้าหรือเปล่าเนี่ย หรือผมมันผิดมนุษย์เอง

“ผมขอจานเปล่ากับช้อนส้อมด้วยนะครับ”

“มีมาอีกคนเหรอครับ”

“ของแม่ผมครับ”

บางคนอาจจะคิดว่าผมบ้าครับ ก็ว่ากันไป ผมตักข้าวผัดให้แม่ เคาะจานเบาๆให้แม่ทาน ซึ่งผมทำเป็นประจำทุกวันนะ

ข้าวผัดรสชาติอร่อยมากครับ มิน่าถึงขึ้นชื่อนัก อาหารทะเลก็สด มิใช่ของแช่แข็งเหมือนในร้านอาหารบางร้านในห้างที่กรุงเทพฯ

ผมลองสอบถามเจ้าของร้านว่ามีรถโดยสารไปวัดห้วยมงคลไหม เขาว่าไม่มีครับ คงต้องเหมารถไป

ข้าวหมดจานแล้ว เดินตรงเข้าไปหาวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างเลย
“ไปวัดห้วยมงคลเท่าไรครับพี่”

“รับกลับด้วยใช่ไหม 300 ครับ” พี่ยุง หนุ่มนครปฐม พบรักกับแฟนที่นี่อยู่มา 20 ปีแล้ว อัธยาศัยดีครับ

“งั้นไปกันเลยครับพี่”


นั่งมอเตอร์ไซด์แต่หัวไม่ฟู

ปกตินั่งแล้วหัวจะยุ่งครับ ตอนนี้สบาย โล้นเกรียน ตอนแรกสวมหมวกแต่ว่าหลังๆต้องถอดครับเพราะหมวกจะปลิว ก็ต้องตากแดดไป มะเร็งอย่าพึ่งมาแล้วกัน รู้สึกหนาวมากครับ คงเป็นเพราะอากาศที่เย็นลง บวกกับลมพัดมาแบบนี้ด้วย

ปกติคิดไปกลับ 400 ครับ(มอเตอร์ไซด์อีกคนเขาบอกมา) ขากลับผมจะให้พี่ยุงไปส่งที่จุดชมวิวเขาหิน เหล็ก ไฟ ด้วยน่ะ

พี่ยุงบอกว่า รถโดยสารมาที่นี่จะมีในช่วงเช้า ถ้าหลังจากนี้ก็ต้องเหมารถครับ ระยะทางไกลพอดูเลยล่ะ

จากตัวเมืองหัวหิน มาวัดหัวยมงคล 18 กิโลเมตร!!!!!

ไกลจริงครับ รู้สึกว่าไกลมากๆ แต่ถ้าตั้งใจจะมาแล้ว ยังไงก็ไม่ไกลครับ

ด้านหน้าครับ วัดห้วยมงคล ถึงแล้วล่ะ



นมัสการหลวงปู่ทวด วัดห้วยมงคล

พี่ยุงบอกว่า เคยมาสามครั้งครับ เคยพาลูกมาด้วย ขนาดวันนี้เป็นวันธรรมดา ก็ยังพอมีคน ถ้าเป็นช่วงเทศกาลไม่ต้องพูดถึงครับ คนเยอะมากๆ

สมัยก่อนแถวนี้มีแต่ป่า แต่พอมีวัดห้วยมงคลและมีหลวงปู่ทวด คนหลั่งไหลมามากเลยครับ

พี่ยุงจะรออยู่แถวนี้ครับ จากนี้ก็เป็นหน้าที่ของผมล่ะ

“แม่ครับ หลวงปู่ทวดใหญ่มากเลยนะแม่” ผมคิดในใจ ไม่รู้แม่จะเห็นไหม แต่ผมรู้สึกว่าแม่เห็นล่ะ

ผมเดินถ่ายรูปจากไกลๆ แล้วเข้าไปใกล้ๆ คุกเข่าบูชาหลวงปู่ทวดและอธิษฐาน เดินไปอีกนิดมีป้ายคติธรรมประจำใจหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด)ครับ อ่านแล้วสะกิดใจผม ท่านสอนดีจริงๆ ขออนุญาต นำมาถ่ายทอดครับ

“ พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย

ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนไปสู่ความอนิจจัง อนัตตา

ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวไปทั้งสิ้น

ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อม สงบ”

นี่ล่ะครับ ผมเข้าใจทุกอย่างนะ ถ้าผมทำได้ ผมก็จะสงบครับ

ไปทำสังฆทานและกรวดน้ำให้แม่(เมื่อเช้าทำแล้ว มานี่ก็ทำอีกครับ) ท่านให้ท่องอะไรก็ว่าตามท่าน รู้สึกให้ท่องเยอะดีนะ

หมดแล้วครับ ผมสบายใจแล้ว เดินไปหาพี่ยุง แล้วไปต่อกันดีกว่า



จุดชมวิวเขาหิน เหล็ก ไฟ

ดีครับ ที่ไม่ได้เดินขึ้นมาเอง(ท่าจะเหนื่อย) เส้นทางเหมาะสำหรับรถขึ้น ผมบอกพี่ยุงว่าขอเพิ่มเงินอีกร้อย แล้วรอกลับไปส่งผมที่ท่ารถทัวร์ได้ไหม พี่ยุงบอกได้ครับเพราะจะต้องไปรับลูกที่โรงเรียนเหมือนกัน ไม่รีบ

ถึงแล้วครับ เงียบดี มีจุดชมวิวสามจุด ไล่ไปดูทุกจุดเลยดีกว่า

จุดแรก มีสะพานยื่นออกไปครับ มองเห็นชายหาดหัวหินและวิวเมืองหัวหิน

จุดสอง เดินมาอีกหน่อย ผมว่าเป็นจุดที่ดีที่สุดเพราะไม่ค่อยมีต้นไม้บัง เห็นวิวชัดเจน ทุกมุม สวยครับ มองแล้วสบายตา

จุดสาม ลำบากที่สุดครับ เพราะไม่มีสะพาน เดินต้องระวังหัวทิ่มและตกเขา วิวจุดที่สองดีที่สุดจริงๆ

พี่ยุงเดินมาด้วยครับ บอกว่าแกมีสองอาชีพ ขับมอเตอร์ไซด์กับเป็นแคดดี้สนามกอล์ฟ(มองลงไปด้านล่าง) สนามเดียวกับที่นั่งรถไฟผ่านสถานีหัวหินนั่นแหละครับ

ถามว่าอาชีพไหน รายได้ดีกว่า แน่นอนว่าแคดดี้ครับ แต่ก็ไม่ได้มีทุกวันเพราะต้องมีตามลำดับ ตามคิว และตามรอบ

พี่ยุงบอกว่า ช่วงนี้ ที่นี่อากาศดีครับ ถ้าลงชุมพรลงไป ฝนจะตกหนัก คลื่นแรง แต่ที่นี่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบเท่าไรเลย

พี่ยุงบอกว่า ไม่ค่อยมีคนเชื่อว่า แกมีเชื้อจีน(เหมือนผม) เพราะผิวที่คล้ำ ตากแดดแบบนี้นี่เอง แกใช้ นามสกุล “แซ่แต้” ครับ แกบอกหลายคนมักจะเปลี่ยนนามสกุล แต่แกเห็นว่ามันดีอยู่แล้ว ก็ไม่รู้จะเปลี่ยนไปทำไม

ขากลับ พี่ยุงพาผมลงอีกทางหนึ่ง ผ่าน “พระตำหนักชมดง” ไม่เคยได้ยินมาก่อนครับ มาหัวหินผมรู้จักแต่ “พระตำหนักไกลกังวล” ทราบว่าเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพี่นางฯ แต่หลังๆสมเด็จพระเทพฯ ท่านจะเสด็จมาประทับบ่อย มองดูจากด้านนอก สวยงามมากครับ

เราผ่านสนามกอล์ฟ ผ่านสถานีรถไฟหัวหินที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เมืองหัวหินในเวลากลางวันนั้นเงียบ แต่กลางคืนคงจะเป็นอีกแบบครับ ตามสไตล์เมืองท่องเที่ยว

ผมได้ขึ้นรถทัวร์รอบ 4 โมงเย็น แม้จะเป็นเวลาสั้นๆแต่ผมก็ได้ผ่อนคลายพอสมควร

ได้มาครบตามเป้าหมาย

ได้พาแม่มาเที่ยว สมความตั้งใจ

ไว้ผมพาไปเที่ยวอีกนะครับแม่






Phop Payapvipapong


13 November 2009


03.49 PM

Monday, November 09, 2009

ผมผ่านเนติตัวที่สามแล้วนะ เหลืออีกตัวเดียวครับแม่


ก่อนสอบเนติกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คุณแม่เป่ากระหม่อมให้ผมครับ พร้อมอวยพรให้ผมโชคดีในการสอบ


ผมสอบเนติมาก็หลายปี ผ่านบ้างไม่ผ่านบ้าง แต่ก็พึ่งจะได้มาสองตัว ตัวแรกผ่านตอนปีแรกที่จบมหาวิทยาลัยมา ตัวที่สองสอบผ่านตอนลาออกจากงาน


แต่ไม่ว่าจะผ่านตัวไหน ผมจะดีใจลั่นบ้าน ตะโกนแหกปากเหมือนคนเสียสติ


เมื่อสอบหลายปี ผมเริ่มรู้จุดบกพร่องของตัวเองครับ ก็แก้ไขกันไป พยายามจับประเด็นให้ได้ ตอบให้ตรงประเด็นและครบประเด็น อ้างหลักกฎหมายให้ถูกต้อง และพยายามตอบให้ผิดพลาดน้อยที่สุด


คราวนี้ผมมีเวลาอ่านหนังสือ น้อยกว่าทุกๆครั้ง เพราะกว่าจะได้อ่านก็ช่วงห้าทุ่มจนถึงตีสี่ อ่านบ้าง ไม่ได้อ่านบ้าง เพราะแม่เรียกบ่อย บางครั้งผมเครียด อยากจะสอบผ่านให้แม่ได้เห็นก็อยาก แต่พอได้ปล่อยวาง และคิดว่า อ่านเท่าไรก็เท่านั้นแหละ ยังไงก็ต้องดูแม่สำคัญที่สุด ถ้ามันถึงคราวจะผ่าน มันก็ผ่านล่ะน่ะ


“แม่คิดว่า สอบคราวนี้ วุ่นน่าจะผ่านนะ เห็นหน้าตาสดใส” คุณแม่บอกผมแบบนั้นครับ ก่อนที่ท่านจะจากไปเพียงไม่กี่วัน ผมก็ไม่เข้าใจว่าหน้าผมสดใสตรงไหน ก็เหมือนเดิมนี่นา เมื่อท่านเห็นผมกลับมาจากสนามสอบพร้อมท่าทางว่า ผมทำข้อสอบได้ แต่ผมก็ไม่มั่นใจนัก เพราะหลายทีก็เป็นแบบนี้ แต่สอบตกก็บ่อยไป รอผลสอบออกแหละชัวร์กว่า


วันนี้เพื่อนผม โอวีคณะดุสิต ชื่อลูกเหม็น เรียนเนติมาพร้อมผม ติดกฎหมายแพ่งมาก็หลายปี ถ้ามันผ่านก็จบครับ รอสอบสัมภาษณ์เท่านั้น


“กระสาป ดีใจด้วย มึงกับกูสอบผ่านว่ะ” ลูกเหม็นบอก


“ขอบใจมากว่ะ ดีใจกับมึงด้วยนะ ถ้าโชคดี เดือนเมษากูสอบผ่านอีก คงได้รับปริญญาพร้อมกัน”


แปลกครับ ผมควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ ตรงกันข้ามครับ ผมกลับเสียใจ


เสียใจที่คุณแม่ผม ไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จตรงนี้


เสียใจที่ หากผมจับประเด็นในการสอบให้เป็นเร็วกว่านี้ อ่านหนังสือให้เข้าใจมากกว่านี้ มีวินัยต่อตนเองมากกว่านี้ รอบคอบในการอ่านโจทย์มากกว่านี้ แม่ผมอาจจะเห็นก็ได้


ผมยอมสอบตก สอบไม่ผ่านอีกหลายปีก็ได้ ขอให้แม่ได้อยู่กับผมได้ไหม


อนาคตผมจะเป็นอย่างไร จะกลายเป็นคนที่ไม่มีงานทำ ดูแลแม่ตลอดชีวิต ผมก็ทำได้


แต่ผมเชื่อมั่นว่า แม่คอยช่วยเหลือผม ทำให้ผมสอบผ่านตัวนี้


แม่ครับ เหลือกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อีกตัวเดียว ผมก็จะเป็นเนติบัณฑิตไทยแล้วนะ


ถึงตอนนั้น ผมจะมีสิทธิที่จะสอบเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการ ซึ่งต้องยากกว่าการสอบเนติอีกหลายขุม
คอยดูพัฒนาการและความสำเร็จในอนาคตของผมนะครับ


ทุกย่างก้าวความสำเร็จของผม


จะมีแม่อยู่เสมอ

Sunday, November 08, 2009

ความรู้สึกที่เรียกว่า “เหงา”


น่าแปลกครับ ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกเช่นนี้จะเกิดกับผม คนที่มักจะแบกเป้ไปนอนเกาะและเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆคนเดียวเป็นประจำ


เพื่อนผม ชื่ออีแอก มักจะถามผมเสมอว่า “ไปคนเดียวไม่เหงาบ้างเหรอ” ผมตอบแบบมั่นใจว่า “ไม่เลยว่ะ” นั่นเป็นเพราะว่าในระหว่างทาง ผมมีเพื่อนใหม่มากมาย ที่สำคัญ เวลาผมนอนคนเดียว ผมมีคนที่ห่วง และเธอก็ห่วงผมมากๆเช่นกัน เราโทรหากันเป็นประจำ


ผมถามเธอว่าทานข้าวได้ไหม นอนหลับสบายดีไหม


เธอถามผมว่า ข้างๆเก้าอี้ที่ผมนั่งบนรถทัวร์เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมนอนยังไง ที่ไหน ลำบากหรือเปล่า นอนสบายๆบ้างก็ได้ ไม่ต้องเสียดายตังค์ เดี๋ยวแม่จะออกตังค์ให้ ไปดำน้ำระวัง อันตราย คุณห้ามป่วยนะ ถ้าป่วยแม่จะแย่แน่(ไม่มีใครดูแล)


แน่นอนครับ ผมดูแลสุขภาพอยู่ตลอด นั่นเพราะไม่อยากให้ป่วย ปีนึง น่าจะเป็นไข้ซักครั้งก็น่าจะเก่งแล้ว ถ้าป่วยเมื่อไร ก็จะนอนซม(แต่ไม่นาน) แน่นอนว่า แม่ผมก็จะลำบากพอสมควร แม้มีคนมาดูแลแทน แต่ก็ไม่ถูกใจท่าน 100 เปอร์เซ็นต์


วันนี้ ผมนั่งกินบะหมี่เกี้ยวหน้าบ้าน ร้านที่ทุกคนในครอบครัวมักจะมาทานเป็นประจำ ผมนั่งทานไปพลางๆ รอพ่อมากินด้วยกัน เกิดความรู้สึก “เหงา” นึกภาพของแม่ที่ผมจำได้ดี ใส่ชุดตัวเก่ง มานั่งทานเกี๊ยวแห้งที่เธอชอบ เสร็จแล้วเราก็เดินกลับบ้านด้วยกัน


หลังๆผมก็ขับรถพาเธอมาที่นี่และรับเธอกลับบ้านด้วยกัน แม้จะระยะทางจากบ้านจะไม่กี่ร้อยเมตร แต่นั่นเป็นเพราะเธอเริ่มเหนื่อย จนต่อมา ผมก็จะขี่จักรยานมาซื้อให้เธอไปทานในบ้าน แกะใส่จาน ปรุงให้เสร็จ เฝ้าใจจดใจจ่อ คอยให้กำลังใจเธอให้ทานให้มากๆ จะได้มีแรงต่อสู้โรคร้าย


(ขอโทษครับ ขอผมปาดน้ำตากับน้ำมูกก่อน) ภาพนั้นก็กลายเป็นความทรงจำ มีเพียงพ่อที่มานั่งกินด้วยเท่านั้น สำหรับพ่อ 37 ปี ที่แต่งงานกับแม่ มันมากกว่าผมแน่นอนครับ เพียงแต่หลังๆ ผมจะอยู่กับแม่บ่อยเพราะพ่อก็ต้องไปต่างจังหวัด ไปทำงานหลายวัน


นอกจากจะเหงา ช่วงนี้บางเวลาผมดีขึ้นครับ บางเวลาผมเบลอ เมื่อวานนี้ทำบัตรจอดรถไฟฟ้าใต้ดินหาย โดนปรับไป 300 บาท วันนี้เดินหารถตั้งนาน เพราะจำไม่ได้ว่าจอดรถอยู่ชั้นไหน


โดยรวมแล้ว ทุกอย่างคงกำลังปรับตัวดีขึ้นครับ ได้ขับรถ ได้นั่งรถเมล์ ได้เห็นคนเดินถนน เพื่อนชวนไปตีแบดมินตัน(ทั้งๆที่ตีก็ไม่ค่อยจะถูกและไม่ค่อยชอบตีเท่าไร) ก็ผ่อนคลายได้ดี เพราะต้องมีสมาธิ แต่พอเลิกเล่นก็กลับมาคิดบ้าง ซักผ้าของแม่ พับผ้าของแม่ ก็ต้องเอาไปเก็บใส่ตู้อย่างปลงๆ เพราะจากนี้ เจ้าของก็ไม่ได้ใส่อีกแล้ว


พอตอนดูแลแม่ เวลาว่างไม่ค่อยมี แม้แต่เสาร์-อาทิตย์


แต่พอว่างจริงๆ มันก็ว่างจนรู้สึกแปลก


แต่พอมีอะไรทำ มันก็คงจะดีขึ้นเรื่อยๆครับ


สำหรับผม นานมาแล้ว ผมเคยพูดเสมอว่า “ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัว”


ณ วันนี้ ผมก็ยังยืนยันคำเดิมครับ


ที่จะต้องมีหน้าที่ ดูแลคนที่ผมรักต่อเช่นกัน

Saturday, November 07, 2009

แม่ครับ…ผมรักแม่






เดือนมีนาคม 2550 ผมและครอบครัวได้รับข่าวร้ายว่า คุณแม่ผม ผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด
เป็นมะเร็งปอด ระยะลุกลาม

วันนั้นแม่ร้องไห้ ผมและครอบครัวเสียใจมาก แต่ผมพยายามเก็บกลั้นน้ำตาไว้ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับครอบครัวของผมด้วย ครอบครัวของเราก็มีความสุข อบอุ่น มานาน

วันนั้นจำได้ว่า ผมเดินขึ้นไปเอารถที่จอดอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินทั้งน้ำตา เดินข้ามสะพานลอยแบบหมดแรง แทบจะล้มทั้งยืน และทราบถึงความร้ายแรงของโรคนี้ดี และเวลาที่เหลืออยู่ของคุณแม่ ซึ่งไม่รู้ว่า วันใดจะเป็นวันสุดท้าย

............................

ชีวิตที่พลิกผัน อนาคตเอาไว้ก่อนน่ะ

ขณะนั้น ผมทำงานเป็นเจ้าหน้าที่วิชาการ สถาบันวิจัยและพัฒนากฎหมาย สภาทนายความ เช้าวันนั้นผมเข้าเว็บหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ด้วยน้ำตา ร้องไห้แบบไม่อายใคร เป็นความรู้สึกที่เสียใจและไม่สามารถเก็บกลั้นความรู้สึกได้ บางครั้งน้อยใจ ว่าทำไมต้องมาเกิดกับคุณแม่ด้วย

ผมใช้เวลาคิดตรึกตรองไม่นานนักและไม่มีใครบังคับ ที่จะทำเรื่องขอลาออก เพราะจากนี้ไป ผมจะทำหน้าที่ของลูกดูแลคุณแม่ของผมอย่างเต็มที่ ผมรู้ดีว่าคุณแม่ต้องการกำลังใจอย่างมาก หากจ้างคนมาดูแลคุณแม่ที่บ้าน ก็อาจจะทำได้แต่คงไม่ดีเท่าลูกทำให้เอง อีกอย่างเมื่อแม่ผมต้องการไปโรงพยาบาลเมื่อไร ผมก็สามารถที่จะขับรถพาท่านไปโรงพยาบาลได้ทันที

คนอื่นๆมีหน้าที่ครับ จะให้ลาออกเหมือนผมก็คงไม่ดีนัก ทั้งหน้าที่การงานและอัตราเงินเดือน ครอบครัวเรายังต้องใช้เงินอีกมาก ต่อจากนี้ไป ทุกคนต้องมีหน้าที่ของตัวเองครับ

สำหรับผม คุณแม่สำคัญที่สุด หน้าที่การงาน อนาคตของผมจะเป็นอย่างไร ผมไม่สนใจ ผมยังมีเวลาที่สามารถจะทำตรงนี้ได้ แต่จากนี้ไป ผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุด ครับ


เริ่มการรักษาเคมีบำบัด

เนื่องจากเป็นมะเร็งระยะที่เยอะแล้ว(บ้างก็ว่าระยะสาม บ้างก็ว่าระยะสุดท้าย) ทำให้ไม่สามารถที่จะผ่าตัดได้ จึงต้องเข้ารับการรักษาแบบเคมีบำบัด ซึ่งการรักษาแบบนี้ มีทั้งผลดีและผลเสีย หากยาตอบสนอง ก้อนมะเร็งก็จะเล็กลง สามารถยืดชีวิตไปให้นานขึ้น แต่หากไม่ตอบสนองก็ต้องเปลี่ยนยาตัวใหม่ และสิ่งที่ร้ายก็คือ การให้เคมีบำบัด มีผลข้างเคียง ทำให้เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด ต่ำลง เส้นผมร่วง เป็นต้น
หากใครร่างกายรับไม่ไหว ก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็ได้ เพราะตัวยาจะเข้าไปจัดการทั้งเซลล์ดีและเซลล์ร้าย(มะเร็ง) แบบไม่เลือกหน้า

แต่ยาแบบที่เป็นเฉพาะที่ก็มีครับ เรียกว่า Target Therapy จะไปจัดการเฉพาะเซลล์มะเร็ง แต่ราคาก็แพงมาก ระหว่างที่รักษานั้น Target Therapy สำหรับคุณแม่ ไม่ได้ผลเท่าไรนัก

แต่ยาแบบแรง(เหมาทั้งเซลล์ดีและเซลล์ร้าย) หลายตัวได้ผลครับ ทำให้ก้อนมีขนาดเล็กลง ผมและครอบครัวดีใจมากและให้กำลังใจท่าน คุณแม่ก็เช่นกัน ท่านสู้มากๆ รับยาไปเยอะ อ่อนเพลียก็มาก บางครั้งทานข้าวไม่ค่อยได้ก็บ่อย

เราใช้เวลาที่มี พาคุณแม่ไปเที่ยวพัทยาเพราะพี่ชายทำงานอยู่ที่นั่น ผมมีความสุขมาก ที่ท่านเห็นทะเล ได้ผ่อนคลายบ้าง


ระยะไหนไม่สำคัญและไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

การรักษาแบบนี้ ไม่มีที่สิ้นสุดครับ พอหยุดนานๆเข้า มะเร็งก็โตขึ้น จึงต้องมา Follow up เจาะเลือดบ่อยๆ คุณแม่ก็เจ็บตัวบ่อย หลายครั้งหาเส้นไม่ได้ หากเจาะแทนกันได้ ผมอยากจะเจาะแทนท่านจริงๆครับ

หากถามผมว่า จากประสบการณ์การดูแลคุณแม่ เป็นมะเร็งระยะต้นๆ สามารถหายได้จริงหรือไม่ ถูกเพียงครึ่งเดียวครับ

นั่นเป็นเพราะว่า แม้จะเป็นระยะแรก ระยะสอง แต่ถ้าหากขาดการ Follow up มะเร็งก็กลับมาอีกครั้ง ดังเช่น เพื่อนคุณแม่ที่เป็นมะเร็งเหมือนกันครับ รู้จักที่โรงพยาบาล เธอเป็นมะเร็งเต้านมระยะสอง ตัดออกไปแล้ว แต่เธอไปอเมริกา 1 ปี ไม่ได้ไปพบหมออีกเลย กลับมาอีกที มะเร็งได้กระจายเข้ากระดูก และจากไปในที่สุด

เป็นมะเร็ง ไม่ว่าที่ใด ระยะไหน ผมถือว่า มันเป็นเรื่องร้ายทั้งนั้นครับ

กำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญ

โรคนี้ กำลังใจสำคัญมากครับ เพราะถ้าผู้ป่วยมีกำลังใจ สามารถต่อสู้โรคได้ ภูมิคุ้มกันก็จะดีไปด้วย หากกำลังใจหมด ร่างกายจะอ่อนแอลงมากๆ

คุณแม่มีกำลังใจครับ มีมาก ทั้งจากผม คุณพ่อ และพี่ๆ ทั้งสองคน หลายครั้งที่ท่านท้อแท้ ผมจะให้กำลังใจท่านและมองในแง่บวกเสมอๆ

คุณแม่ผมเป็นพยาบาลครับ ท่านเลยรู้ทุกอย่าง แม้กระทั่งตัวยาและวิธีการรักษา ผมก็พยายามบอกท่าน ให้อย่าคิดอะไรมาก และทำวันนี้ให้ดีที่สุด

สละเวลาส่วนตัว เพื่อคนที่รัก

จากที่เคยออกไปไหนมาไหนวันเสาร์อาทิตย์ ผมก็ต้องอยู่บ้านเป็นเพื่อนท่าน หาข้าวให้ท่านทาน พาไปโรงพยาบาล หลายครั้งผมก็มีเครียดบ้างครับ ที่ไม่ได้ไปไหน แต่พอคิดว่า มีคนที่รัก รอคอยผมอยู่ ผมก็สามารถที่จะตัดเวลาส่วนนั้นออกไปได้ครับ

บางครั้งผมไปต่างจังหวัด หากคุณแม่รู้สึกไม่ดี ผมก็จะไม่ไปไหน ครับ หรือถ้าไปก็ตัดเวลาให้น้อยลง เช่น จากการดำน้ำบนเรือ Liveaboard อาจจะเหลือ แค่ไปนอนเกาะแทนครับ

หลายครั้ง ท่านรู้สึกสงสารผม ที่ไปนอนแบบลำบาก ผมบอกไม่เป็นไรครับ ผมเลือกเองและผมก็ Happy เสมอ เมื่อได้มาผ่อนคลายที่ทะเล สถานที่ที่ผมรัก


กริ่ง อาญาสิทธิ

หลังๆแม่ไม่ค่อยมีเสียงครับ การจะเรียกใครจึงเป็นไปได้ยาก พี่คนกลางจึงซื้อกริ่งให้แม่ แม่ชอบมากครับ เพราะแม่จะถือตัวกดปุ่ม อีกส่วนจะอยู่ที่ผม ไม่ว่าผมจะอยู่ส่วนไหนของบ้าน เมื่อผมได้ยินเสียง ผมจะมาหาท่านทันทีครับ หากผมไม่อยู่ คนอื่นก็จะมาหาท่านแทน

กิจวัตรประจำวันของผม

เช้าตื่นมา ผมต้องออกไปตลาดหาซื้อผัก ของสดๆ มาทำอาหารเย็นให้ท่าน จากคนที่ไม่ชอบการทำอาหารและทำไม่เป็น แต่เพื่อคนที่ผมรัก ผมทำได้เสมอครับ จากนั้นก็ซื้อข้าวเช้าให้ท่าน อาจเป็นโจ๊ก ติ่มซำ หลังๆจะเป็นซาลาเปา เพราะคุณแม่เริ่มมีอาการทานข้าวไม่ค่อยได้

กลับมา ก็เตรียมของใส่จาน พอคุณแม่ตื่นก็พาไปเข้าห้องน้ำ แต่งตัวให้(หลังๆแม่จะมีสายออกซิเจนที่บ้าน ใส่ตลอดเวลาเพราะมีปัญหาเรื่องออกซิเจนในเลือดต่ำ)

เทปัสสาวะและอุจจาระ(ถ้ามีใน Bed Plan) และทำความสะอาดห้องนอน Bed Plan เป็นอุปกรณ์สำหรับคนไข้ครับ สะดวกและไม่ต้องลุกไปห้องน้ำ

มีกองผ้าซักทุกวันครับ ตั้งแต่แม่เกษียณอายุราชการ ผมก็ทำแทนตลอดและทำแทบจะทุกวัน เว้นแต่ วันไหนไปนอนแอดมิดที่โรงพยาบาลก็จะไม่ได้ทำ

อยู่ Stand by ตลอดครับ หากคุณแม่รู้สึกไม่ดี ผมจะพาท่านไปโรงพยาบาล นึกออกไหมครับ หากผมไม่ลาออก ใครจะพาท่านไปโรงพยาบาล จึงต้องมีคนเสียสละครับ และผมนี่ล่ะ เหมาะที่สุดแล้ว

ออกไปซื้อข้าวกลางวันให้ท่านครับ ถ้าเป็นช่วงที่ท่านออกไปไหว ก็พาออกไปด้วยกัน อยากไปไหน ผมทำหน้าที่เป็นสารถี ขอให้บอกมา

อ่านหนังสือให้ท่านฟัง ทาโลชั่นที่ขา เพราะบางทีผิวหนังจะแห้งครับ

เปลี่ยนบรรยากาศ กางเก้าอี้ให้ท่านไปนอนนอกบ้าน ถ้าท่านร้อน ค่อยกลับมานอนด้านในครับ

ชงอาหารเสริมให้ท่านทาน ซึ่งช่วยได้เยอะครับ ท่านก็สดชื่นขึ้น

เย็นๆ ผมพาท่านออกมาเดินรอบหมู่บ้านครับ ออกกำลังกาย ให้มีแรงที่จะสู้ต่อไป ท่านก็ได้ผ่อนคลาย ได้คุยกับคนนั้น คนนี้

ทำอาหารครับ ก็ต้องเตรียมของ แล้วก็ล้างจานเมื่อทานเสร็จ หากท่านเบื่อๆก็อาจจะพาออกไปข้างนอก หรือซื้อเข้ามาทานครับ หลังๆแม่ออกไปไหนไม่ค่อยได้ ผมก็จะปั่นจักรยานออกไปซื้อ คุณพ่อเข่าไม่ค่อยดี ท่านก็มีโรคประจำตัว ให้ท่านทำ ผมก็คงไม่สบายใจ

บางครั้งฝนตกหนัก ก็ไม่เป็นไรครับ ผมมีแรง ผมยินดี ผมรักที่จะทำให้แม่ ผู้หญิงคนที่ผมรักมากที่สุด

หลายครั้งแม่อาเจียน ผมก็พยายามช่วยท่าน ปลอบใจท่าน

ตกกลางคืน ผมพาท่านไปนอนในห้อง หลังๆแม่ขึ้นด้านบนไม่ไหว ก็ไปนอนอีกห้องที่ทำใหม่ ผมปรับแอร์ให้ท่าน หายาให้ท่านทาน สวมกางเกงให้ท่าน และนอนกับท่านทุกวัน หลายครั้งผมไม่ได้นอน เพราะแม่นอนไม่หลับเพราะมีอาการเหนื่อย จึงต้องให้ผมดึงตัวขึ้นมาจากเตียง

กดกริ่งเรียกผมทุกชั่วโมงจนถึงเช้า หลายครั้งผมเครียดเพราะต้องอ่านหนังสือสอบ หลายครั้งต้องพักผ่อน แต่พอมาคิดว่า ท่านลำบากและทรมานมาก ผมจึงต้องช่วยเหลือท่าน ก็ทำให้ความลำบากของผมเปลี่ยนเป็นพลังที่จะทำให้แม่ต่อไปครับ

ก่อนนอนทุกวัน ผมจะสวดมนต์ให้แม่ครับ บางครั้งผมก็ใช้วิธีอัดเทป แต่ก็จะจับมือของท่านเอาไว้ เพราะท่านบอกว่า ทำให้ท่านมีกำลังใจ

ต่างคน ต่างมีหน้าที่ ของตัวเอง

ทุกคนช่วยกันดีครับ ทั้งหมดก็เพื่อแม่ พ่อก็เป็นหัวหน้าครอบครัว คอยหาเงินมารักษา คอยให้กำลังใจแม่ บางครั้งไปต่างจังหวัดท่านก็อุ่นใจ ว่ามีผมอยู่เคียงข้างแม่

พี่เก่ง ก็เป็นหมอ คอยให้คำปรึกษาแม่ คอยให้กำลังใจแม่อยู่ตลอด ช่วยเหลือจ่ายค่าอินเตอร์เนทให้ผม เพราะเห็นว่าผมไม่มีรายได้ และการอยู่บ้านเล่นคอม ก็คงจะช่วยผ่อนคลายได้

พี่ณัฐ แม้อยู่ต่างจังหวัด แต่เวลามากรุงเทพ ก็จะซื้อของมาให้แม่ หาอะไรหลายๆอย่างเพื่ออำนวยความสะดวก หาอาหารเสริมให้แม่ ออกแบบห้องใหม่ให้แม่อยู่ ทำเสร็จภายใน 1 สัปดาห์

พี่มุก ภริยาพี่ณัฐ พี่สะใภ้ของผม เธอเป็นแอร์โฮสเตส หาซื้ออาหารเสริมให้แม่ คอยเป็นเพื่อนคุยกับแม่ ทำให้แม่สบายใจ หลายครั้งแม่ก็หัวเราะ ผ่อนคลายความตึงเครียด

แม่ จิตใจ แข็งแกร่ง มากกว่าใครๆ

ท่านมีความอดทนสูงมากๆ รับเคมีบำบัดบางครั้งถี่มากๆ ถี่แบบเกือบทุกอาทิตย์ แต่ถ้าเม็ดเลือดต่ำ ก็ต้องเลื่อนออกไปครับ แม้ท่านจะบ่นในบางครั้ง แต่ท้ายสุดท่านก็สู้อยู่ตลอด

แพทย์แผนทางเลือก ไม่ใช่ว่าไม่ดี

มีหลายๆคนให้ยานั้น ยานี้มาเยอะครับ ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะครับ แต่เราไม่รู้ว่า ยาไหนจะทำให้แม่เราดีขึ้น ยาไหนจะทำให้แม่เราแย่ลง เพราะมีผลต่อการรักษาครับ ดีไม่ดี ไตอาจจะพังก็ได้ แต่ของแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนไข้ครับ

กล่าวไว้ว่าแม่ผมเป็นพยาบาล แน่นอนครับ อะไรๆ แม่จึงต้องไปถามหมอก่อน จึงจะกล้าทาน

แต่การนั่งสมาธิ การทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับการกิน แบบนั้นช่วยได้ครับ และสามารถปฏิบัติได้อย่างไม่ลังเล

เมื่อน้ำในปอด เริ่มมา

ช่วงหลังๆไม่ค่อยดีครับ นับตั้งแต่มีน้ำ เพราะทำให้ปอดเล็กลงเพราะถูกน้ำเบียด ออกซิเจนในเลือดต่ำ ต้องไปเจาะน้ำออก ตอนแรกก็มีข้างเดียว พอใส่แป้งก็ดีขึ้น พอมาเรื่อยๆ อีกข้างที่ไม่เคยมี ก็มีครับ

ล่าสุดวันพฤหัส ไปโรงพยาบาล น้ำก็เพิ่มขึ้นไม่มาก แต่แม่ยังบ่นว่าเหนื่อยอยู่ครับ

เสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2552 วันที่ผมและครอบครัวไม่อาจลืม

เช้าวันนี้ แม่ดูเหมือนทุกวันครับ ยังแปรงฟัน ยังทานข้าวปกติ แต่พูดน้อยลง ผมบอกแม่ว่า เย็นๆจะกลับมา ผมกอดท่าน 1 ครั้ง บอกว่า ไปบริจาคเลือด เย็นๆกลับมานะครับแม่ แม่หลับตาแต่พยักหน้า

พอบริจาคเลือดเสร็จ คุณพ่อโทรมาบอกว่า คุณแม่ไม่หายใจแล้ว!!! และไม่มีใครทราบเลยว่า ท่านหยุดหายใจไปนานแค่ไหน เพราะแม่ก็ดูหลับ เหมือนปกติทุกอย่าง

ผมตกใจมากครับ รีบกลับบ้านทันที ในใจเครียดมาก และเป็นไปได้อย่างไร เมื่อวานแม่ก็ยังดีๆอยู่เลย

รถติดมากครับ ผมนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมหมดแรง ผมนั่งกับพื้น ผมสิ้นหวัง ผมท้อแท้

ตอนที่เคยพูดร่ำลา ยังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับแม่ แต่ตอนที่ไม่ได้พูดอะไร แม่กลับจากไป

แม่ครับ แม่ไปไหน

กลับมาที่บ้าน แม่หลับอย่างสงบครับ ผมช๊อค ทุกคนช๊อค คุณพ่อก็เสียใจมาก เพราะท่านก็ออกมารดน้ำต้นไม้ข้างหน้าบ้าน

แม่ไม่หายใจอีกแล้ว แม่ไม่พูดกับผมอีกแล้ว แม่นอนหลับไม่ตื่นอีกแล้ว แม่ ผู้หญิงที่คอยให้กำลังใจผมเสมอมา ปลอบใจ ยามผมท้อแท้ ยามผมผิดหวัง

ท่านได้จากไปแล้ว อย่างสงบ ไม่ทรมาน

ขอนอนกับแม่เป็นวันสุดท้าย

หากต้องพาแม่ไปโรงพยาบาล แม่ก็ต้องไปแช่ในตู้ ผมและทุกคนสงสารแม่ เราจึงเช็ดตัวให้แม่ แต่งตัวให้แม่ ยกตัวแม่ไปนอนในห้อง โดยเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำๆ มีน้าอรุณ น้าอ้อย เพื่อนสนิทของแม่มาช่วยด้วย

นอนไม่หลับ ไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้

ผมเสียใจ พ่อเสียใจ ทุกคนเสียใจ ผมนอนไม่หลับจนถึงเช้า ผมอยากเจอแม่ อยากให้แม่มาหา ผมไม่กลัว ไม่ว่าท่านจะมาในแบบไหน เพราะผมดูแลท่าน อยู่กับท่านมาตลอด

ผมไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้ ผมพยายามว่าตัวเองเข็มแข็ง ปลอบใจพ่อ แต่ลับหลัง ผมร้องไห้ ผมอ่อนแอ ผมทำใจไม่ได้

ทุกคนทำเพื่อแม่ อีกครั้ง

ระหว่างพิธีทางศาสนา ผมและทุกคนเห็นตรงกันว่า อยากจะให้แม่ได้รับเกียรติอันสูงสุด อยากให้มีการพระราชทานเพลิงศพ จึงรีบไปสำนักพระราชวังเพื่อทำเรื่อง ซึ่งแม่ก็เป็นข้าราชการ เคยได้รับ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ กว่าจะได้ก็เล่นเอาเหนื่อยครับ

ตอนแรกผมจะบวชหน้าไฟให้แม่คนเดียว เพราะคนอื่นๆก็ต้องช่วยงานพ่อ ไปๆมาๆ พี่ชายสองคนอยากจะบวชให้แม่ด้วยครับ หากทำให้แม่ได้บุญกุศล ก็เป็นสิ่งที่ลูกๆอยากจะทำให้อีกครั้งหนึ่ง

โชคดีว่ามีเพื่อนๆของผม เพื่อนๆของพี่ คอยช่วยครับ คุณพ่อก็เลยไม่เหนื่อยมากนัก

พระเพลิงผ่านไป ลอยอังคารแม่ แม่ครับ หลับให้สบายนะ

วันพระราชทานเพลิง แม้ผมจะอยู่ในผ้าเหลือง ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ครับ ผมเศร้า ผมเสียใจ จากนั้น วันรุ่งขึ้นก็ไปลอยอังคารที่พัทยาครับ คุณแม่ชอบที่นี่ ผมเป็นคนปล่อยอัฐิของแม่ ค่อยๆลงไปสู่ใต้ทะเล


ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานและให้กำลังใจครับ

มากมายจริงๆครับ ทั้งเพื่อนแม่จากวชิระ รุ่น 10 เพื่อนจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เพื่อนจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เจ้านายเก่าของแม่ พลเอกอู๊ด เบื้องบน พลเอกทศรถและพลเรือตรีหญิง สุรีพร เมืองอ่ำ คุณมีชัย วีระไวทยะ ลูกน้องของพ่อที่มาช่วยงาน เพื่อนๆของพ่อจากสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน

เพื่อนพี่ๆน้องๆ นักเรียนเก่าวชิราวุธ รุ่น 66 , 68 และ 71

เพื่อนๆจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รุ่น 4

เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ จากกลุ่มดำน้ำ

เพื่อนๆแม่ในหมู่บ้าน

และอีกหลายๆท่านที่ผมไม่ได้กล่าวถึง แต่ผมจำได้ทุกคนและระลึกเสมอ หากผมมีโอกาส ผมขออนุญาตตอบแทนบุญคุณนะครับ

เรื่องมหัศจรรย์ โปรดใช้วิจารณญาณ

“เจอแม่หรือยังล่ะ” ป้าจงถาม

“ยังเลยครับป้า” ผมตอบแบบเศร้าๆ

บ้านที่แม่ผมชอบไป นั่งสมาธิกันทุกคนครับ บอกว่า ในวันที่แม่เสีย แม่ไม่รู้ว่าท่านจากไปแล้ว ท่านก็อยู่ในบ้านเพียงแต่เราไม่เห็น แต่พอแม่ทราบแม่ก็นั่งสมาธิ และจากไปในวันที่สาม

ผมและทุกคนพึ่งทราบจากป้าจิ๋มว่า ก่อนแม่เสีย แม่โทรศัพท์ไปหา บอกว่าไม่ไหวแล้ว ป้าจิ๋มบอกให้แม่นั่งสมาธิ ทำใจให้สบาย ไม่ต้องห่วงอะไร ลูกๆก็โตกันหมดแล้ว ขอให้นึกถึงผลบุญที่ทำมา

และท่านก็หลับไปอย่างสงบ แบบที่ผมเล่าให้ฟังครับ

ท่านได้ไปสวรรค์ มีราชรถมารับ ไม่ใช่ยมทูต และท่านไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย

ผมเชื่อนะครับ แม้จะพิสูจน์ยาก แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งเดียวที่ผมรู้ และผมดีใจ ถ้าท่านไปสบาย

หัวใจแตกสลาย สูญเสียของรัก คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะหาย

บางเวลา ผมดีขึ้น บางเวลาผมกลับมาเศร้าเหมือนเดิม ผมอ่อนไหว ผมเห็นของใช้ของแม่ ผมเห็นหลอดดูดน้ำที่เคยซื้อให้แม่บ่อยๆ ผมเห็นกะละมังที่แม่ใช้บ้วนปาก ผมเห็นแก้วน้ำ ผมเห็นเสื้อผ้า เป็นต้น ทำให้ผมนึกถึงท่านตลอดเวลา

สองปี แปดเดือน ที่ผมดูแลท่านอย่างใกล้ชิดแทบ 24 ชั่วโมง ผมยังอยากดูแลท่านต่อไปเรื่อยๆ อีกนาน มีความรู้สึกว่าพระคุณของแม่ ผมตอบแทนยังไงก็ไม่หมด ผมเสียดายที่ผมไม่ได้ตอบแทนบุญคุณท่านอีก และจากนี้ไป ไม่มีแม่อีกแล้ว

มันมากกว่าความผูกพันครับ ผมก็เรียกไม่ถูกนะ

ผมสัญญากับแม่ ว่าผมจะดูแลพ่อต่อ เพราะพ่อก็อายุมากแล้ว เข่าไม่ดี โรคประจำตัวก็มี

แม้ผมจะทราบว่า ท่านไปสบาย แต่บางครั้ง ผมคิดว่า ถ้าผมไม่ไปบริจาคเลือดล่ะ แต่มาคิดอีกที หากผมพาท่านไปโรงพยาบาล ท่านก็ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หากปั้มหัวใจมาได้ ท่านก็ต้องกลับมาทรมาน ให้ยาใหม่ และฉากสุดท้ายก็ต้องฉีดมอร์ฟีน ระงับปวด

ผมอาจจะสบายมานาน มีครอบครัวที่อบอุ่นมานาน จากนี้ไปคงเป็นบททดสอบของชีวิต ซึ่งเป็นบทที่ยากเหลือเกิน

สำหรับผม ไม่มีสิ่งที่คิดว่า ยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณแม่ เพียงแต่ว่า

ผมยังรู้สึกว่า มันเร็วไปหน่อย และผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อแม่ต่อไปเรื่อยๆ

หากชาติหน้ามีจริง ผมอยากเกิดมาเป็นลูกของแม่ ครับ

ผู้หญิง คนที่สำคัญกับผมมากที่สุด ท่านได้จากไปอย่างสงบแล้ว

ไม่มีอ้อมกอดให้ผมกอด

ไม่มีอีกแล้วแววตาที่เฝ้าห่วงใยผม

ไม่มีมือของแม่ ที่คอยสัมผัส คอยให้กำลังใจ

แต่ผมเชื่อว่า ท่านยังมองผม มองคุณพ่อ มองพี่เก่ง และมองพี่ณัฐอยู่

ทุกคนรักแม่นะครับ


คิดถึงแม่และระลึกถึงพระคุณเสมอ


Phop Payapvipapong

29 Oct 2009

15:40 PM