Saturday, November 07, 2009

แม่ครับ…ผมรักแม่






เดือนมีนาคม 2550 ผมและครอบครัวได้รับข่าวร้ายว่า คุณแม่ผม ผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด
เป็นมะเร็งปอด ระยะลุกลาม

วันนั้นแม่ร้องไห้ ผมและครอบครัวเสียใจมาก แต่ผมพยายามเก็บกลั้นน้ำตาไว้ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับครอบครัวของผมด้วย ครอบครัวของเราก็มีความสุข อบอุ่น มานาน

วันนั้นจำได้ว่า ผมเดินขึ้นไปเอารถที่จอดอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินทั้งน้ำตา เดินข้ามสะพานลอยแบบหมดแรง แทบจะล้มทั้งยืน และทราบถึงความร้ายแรงของโรคนี้ดี และเวลาที่เหลืออยู่ของคุณแม่ ซึ่งไม่รู้ว่า วันใดจะเป็นวันสุดท้าย

............................

ชีวิตที่พลิกผัน อนาคตเอาไว้ก่อนน่ะ

ขณะนั้น ผมทำงานเป็นเจ้าหน้าที่วิชาการ สถาบันวิจัยและพัฒนากฎหมาย สภาทนายความ เช้าวันนั้นผมเข้าเว็บหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ด้วยน้ำตา ร้องไห้แบบไม่อายใคร เป็นความรู้สึกที่เสียใจและไม่สามารถเก็บกลั้นความรู้สึกได้ บางครั้งน้อยใจ ว่าทำไมต้องมาเกิดกับคุณแม่ด้วย

ผมใช้เวลาคิดตรึกตรองไม่นานนักและไม่มีใครบังคับ ที่จะทำเรื่องขอลาออก เพราะจากนี้ไป ผมจะทำหน้าที่ของลูกดูแลคุณแม่ของผมอย่างเต็มที่ ผมรู้ดีว่าคุณแม่ต้องการกำลังใจอย่างมาก หากจ้างคนมาดูแลคุณแม่ที่บ้าน ก็อาจจะทำได้แต่คงไม่ดีเท่าลูกทำให้เอง อีกอย่างเมื่อแม่ผมต้องการไปโรงพยาบาลเมื่อไร ผมก็สามารถที่จะขับรถพาท่านไปโรงพยาบาลได้ทันที

คนอื่นๆมีหน้าที่ครับ จะให้ลาออกเหมือนผมก็คงไม่ดีนัก ทั้งหน้าที่การงานและอัตราเงินเดือน ครอบครัวเรายังต้องใช้เงินอีกมาก ต่อจากนี้ไป ทุกคนต้องมีหน้าที่ของตัวเองครับ

สำหรับผม คุณแม่สำคัญที่สุด หน้าที่การงาน อนาคตของผมจะเป็นอย่างไร ผมไม่สนใจ ผมยังมีเวลาที่สามารถจะทำตรงนี้ได้ แต่จากนี้ไป ผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุด ครับ


เริ่มการรักษาเคมีบำบัด

เนื่องจากเป็นมะเร็งระยะที่เยอะแล้ว(บ้างก็ว่าระยะสาม บ้างก็ว่าระยะสุดท้าย) ทำให้ไม่สามารถที่จะผ่าตัดได้ จึงต้องเข้ารับการรักษาแบบเคมีบำบัด ซึ่งการรักษาแบบนี้ มีทั้งผลดีและผลเสีย หากยาตอบสนอง ก้อนมะเร็งก็จะเล็กลง สามารถยืดชีวิตไปให้นานขึ้น แต่หากไม่ตอบสนองก็ต้องเปลี่ยนยาตัวใหม่ และสิ่งที่ร้ายก็คือ การให้เคมีบำบัด มีผลข้างเคียง ทำให้เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด ต่ำลง เส้นผมร่วง เป็นต้น
หากใครร่างกายรับไม่ไหว ก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็ได้ เพราะตัวยาจะเข้าไปจัดการทั้งเซลล์ดีและเซลล์ร้าย(มะเร็ง) แบบไม่เลือกหน้า

แต่ยาแบบที่เป็นเฉพาะที่ก็มีครับ เรียกว่า Target Therapy จะไปจัดการเฉพาะเซลล์มะเร็ง แต่ราคาก็แพงมาก ระหว่างที่รักษานั้น Target Therapy สำหรับคุณแม่ ไม่ได้ผลเท่าไรนัก

แต่ยาแบบแรง(เหมาทั้งเซลล์ดีและเซลล์ร้าย) หลายตัวได้ผลครับ ทำให้ก้อนมีขนาดเล็กลง ผมและครอบครัวดีใจมากและให้กำลังใจท่าน คุณแม่ก็เช่นกัน ท่านสู้มากๆ รับยาไปเยอะ อ่อนเพลียก็มาก บางครั้งทานข้าวไม่ค่อยได้ก็บ่อย

เราใช้เวลาที่มี พาคุณแม่ไปเที่ยวพัทยาเพราะพี่ชายทำงานอยู่ที่นั่น ผมมีความสุขมาก ที่ท่านเห็นทะเล ได้ผ่อนคลายบ้าง


ระยะไหนไม่สำคัญและไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

การรักษาแบบนี้ ไม่มีที่สิ้นสุดครับ พอหยุดนานๆเข้า มะเร็งก็โตขึ้น จึงต้องมา Follow up เจาะเลือดบ่อยๆ คุณแม่ก็เจ็บตัวบ่อย หลายครั้งหาเส้นไม่ได้ หากเจาะแทนกันได้ ผมอยากจะเจาะแทนท่านจริงๆครับ

หากถามผมว่า จากประสบการณ์การดูแลคุณแม่ เป็นมะเร็งระยะต้นๆ สามารถหายได้จริงหรือไม่ ถูกเพียงครึ่งเดียวครับ

นั่นเป็นเพราะว่า แม้จะเป็นระยะแรก ระยะสอง แต่ถ้าหากขาดการ Follow up มะเร็งก็กลับมาอีกครั้ง ดังเช่น เพื่อนคุณแม่ที่เป็นมะเร็งเหมือนกันครับ รู้จักที่โรงพยาบาล เธอเป็นมะเร็งเต้านมระยะสอง ตัดออกไปแล้ว แต่เธอไปอเมริกา 1 ปี ไม่ได้ไปพบหมออีกเลย กลับมาอีกที มะเร็งได้กระจายเข้ากระดูก และจากไปในที่สุด

เป็นมะเร็ง ไม่ว่าที่ใด ระยะไหน ผมถือว่า มันเป็นเรื่องร้ายทั้งนั้นครับ

กำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญ

โรคนี้ กำลังใจสำคัญมากครับ เพราะถ้าผู้ป่วยมีกำลังใจ สามารถต่อสู้โรคได้ ภูมิคุ้มกันก็จะดีไปด้วย หากกำลังใจหมด ร่างกายจะอ่อนแอลงมากๆ

คุณแม่มีกำลังใจครับ มีมาก ทั้งจากผม คุณพ่อ และพี่ๆ ทั้งสองคน หลายครั้งที่ท่านท้อแท้ ผมจะให้กำลังใจท่านและมองในแง่บวกเสมอๆ

คุณแม่ผมเป็นพยาบาลครับ ท่านเลยรู้ทุกอย่าง แม้กระทั่งตัวยาและวิธีการรักษา ผมก็พยายามบอกท่าน ให้อย่าคิดอะไรมาก และทำวันนี้ให้ดีที่สุด

สละเวลาส่วนตัว เพื่อคนที่รัก

จากที่เคยออกไปไหนมาไหนวันเสาร์อาทิตย์ ผมก็ต้องอยู่บ้านเป็นเพื่อนท่าน หาข้าวให้ท่านทาน พาไปโรงพยาบาล หลายครั้งผมก็มีเครียดบ้างครับ ที่ไม่ได้ไปไหน แต่พอคิดว่า มีคนที่รัก รอคอยผมอยู่ ผมก็สามารถที่จะตัดเวลาส่วนนั้นออกไปได้ครับ

บางครั้งผมไปต่างจังหวัด หากคุณแม่รู้สึกไม่ดี ผมก็จะไม่ไปไหน ครับ หรือถ้าไปก็ตัดเวลาให้น้อยลง เช่น จากการดำน้ำบนเรือ Liveaboard อาจจะเหลือ แค่ไปนอนเกาะแทนครับ

หลายครั้ง ท่านรู้สึกสงสารผม ที่ไปนอนแบบลำบาก ผมบอกไม่เป็นไรครับ ผมเลือกเองและผมก็ Happy เสมอ เมื่อได้มาผ่อนคลายที่ทะเล สถานที่ที่ผมรัก


กริ่ง อาญาสิทธิ

หลังๆแม่ไม่ค่อยมีเสียงครับ การจะเรียกใครจึงเป็นไปได้ยาก พี่คนกลางจึงซื้อกริ่งให้แม่ แม่ชอบมากครับ เพราะแม่จะถือตัวกดปุ่ม อีกส่วนจะอยู่ที่ผม ไม่ว่าผมจะอยู่ส่วนไหนของบ้าน เมื่อผมได้ยินเสียง ผมจะมาหาท่านทันทีครับ หากผมไม่อยู่ คนอื่นก็จะมาหาท่านแทน

กิจวัตรประจำวันของผม

เช้าตื่นมา ผมต้องออกไปตลาดหาซื้อผัก ของสดๆ มาทำอาหารเย็นให้ท่าน จากคนที่ไม่ชอบการทำอาหารและทำไม่เป็น แต่เพื่อคนที่ผมรัก ผมทำได้เสมอครับ จากนั้นก็ซื้อข้าวเช้าให้ท่าน อาจเป็นโจ๊ก ติ่มซำ หลังๆจะเป็นซาลาเปา เพราะคุณแม่เริ่มมีอาการทานข้าวไม่ค่อยได้

กลับมา ก็เตรียมของใส่จาน พอคุณแม่ตื่นก็พาไปเข้าห้องน้ำ แต่งตัวให้(หลังๆแม่จะมีสายออกซิเจนที่บ้าน ใส่ตลอดเวลาเพราะมีปัญหาเรื่องออกซิเจนในเลือดต่ำ)

เทปัสสาวะและอุจจาระ(ถ้ามีใน Bed Plan) และทำความสะอาดห้องนอน Bed Plan เป็นอุปกรณ์สำหรับคนไข้ครับ สะดวกและไม่ต้องลุกไปห้องน้ำ

มีกองผ้าซักทุกวันครับ ตั้งแต่แม่เกษียณอายุราชการ ผมก็ทำแทนตลอดและทำแทบจะทุกวัน เว้นแต่ วันไหนไปนอนแอดมิดที่โรงพยาบาลก็จะไม่ได้ทำ

อยู่ Stand by ตลอดครับ หากคุณแม่รู้สึกไม่ดี ผมจะพาท่านไปโรงพยาบาล นึกออกไหมครับ หากผมไม่ลาออก ใครจะพาท่านไปโรงพยาบาล จึงต้องมีคนเสียสละครับ และผมนี่ล่ะ เหมาะที่สุดแล้ว

ออกไปซื้อข้าวกลางวันให้ท่านครับ ถ้าเป็นช่วงที่ท่านออกไปไหว ก็พาออกไปด้วยกัน อยากไปไหน ผมทำหน้าที่เป็นสารถี ขอให้บอกมา

อ่านหนังสือให้ท่านฟัง ทาโลชั่นที่ขา เพราะบางทีผิวหนังจะแห้งครับ

เปลี่ยนบรรยากาศ กางเก้าอี้ให้ท่านไปนอนนอกบ้าน ถ้าท่านร้อน ค่อยกลับมานอนด้านในครับ

ชงอาหารเสริมให้ท่านทาน ซึ่งช่วยได้เยอะครับ ท่านก็สดชื่นขึ้น

เย็นๆ ผมพาท่านออกมาเดินรอบหมู่บ้านครับ ออกกำลังกาย ให้มีแรงที่จะสู้ต่อไป ท่านก็ได้ผ่อนคลาย ได้คุยกับคนนั้น คนนี้

ทำอาหารครับ ก็ต้องเตรียมของ แล้วก็ล้างจานเมื่อทานเสร็จ หากท่านเบื่อๆก็อาจจะพาออกไปข้างนอก หรือซื้อเข้ามาทานครับ หลังๆแม่ออกไปไหนไม่ค่อยได้ ผมก็จะปั่นจักรยานออกไปซื้อ คุณพ่อเข่าไม่ค่อยดี ท่านก็มีโรคประจำตัว ให้ท่านทำ ผมก็คงไม่สบายใจ

บางครั้งฝนตกหนัก ก็ไม่เป็นไรครับ ผมมีแรง ผมยินดี ผมรักที่จะทำให้แม่ ผู้หญิงคนที่ผมรักมากที่สุด

หลายครั้งแม่อาเจียน ผมก็พยายามช่วยท่าน ปลอบใจท่าน

ตกกลางคืน ผมพาท่านไปนอนในห้อง หลังๆแม่ขึ้นด้านบนไม่ไหว ก็ไปนอนอีกห้องที่ทำใหม่ ผมปรับแอร์ให้ท่าน หายาให้ท่านทาน สวมกางเกงให้ท่าน และนอนกับท่านทุกวัน หลายครั้งผมไม่ได้นอน เพราะแม่นอนไม่หลับเพราะมีอาการเหนื่อย จึงต้องให้ผมดึงตัวขึ้นมาจากเตียง

กดกริ่งเรียกผมทุกชั่วโมงจนถึงเช้า หลายครั้งผมเครียดเพราะต้องอ่านหนังสือสอบ หลายครั้งต้องพักผ่อน แต่พอมาคิดว่า ท่านลำบากและทรมานมาก ผมจึงต้องช่วยเหลือท่าน ก็ทำให้ความลำบากของผมเปลี่ยนเป็นพลังที่จะทำให้แม่ต่อไปครับ

ก่อนนอนทุกวัน ผมจะสวดมนต์ให้แม่ครับ บางครั้งผมก็ใช้วิธีอัดเทป แต่ก็จะจับมือของท่านเอาไว้ เพราะท่านบอกว่า ทำให้ท่านมีกำลังใจ

ต่างคน ต่างมีหน้าที่ ของตัวเอง

ทุกคนช่วยกันดีครับ ทั้งหมดก็เพื่อแม่ พ่อก็เป็นหัวหน้าครอบครัว คอยหาเงินมารักษา คอยให้กำลังใจแม่ บางครั้งไปต่างจังหวัดท่านก็อุ่นใจ ว่ามีผมอยู่เคียงข้างแม่

พี่เก่ง ก็เป็นหมอ คอยให้คำปรึกษาแม่ คอยให้กำลังใจแม่อยู่ตลอด ช่วยเหลือจ่ายค่าอินเตอร์เนทให้ผม เพราะเห็นว่าผมไม่มีรายได้ และการอยู่บ้านเล่นคอม ก็คงจะช่วยผ่อนคลายได้

พี่ณัฐ แม้อยู่ต่างจังหวัด แต่เวลามากรุงเทพ ก็จะซื้อของมาให้แม่ หาอะไรหลายๆอย่างเพื่ออำนวยความสะดวก หาอาหารเสริมให้แม่ ออกแบบห้องใหม่ให้แม่อยู่ ทำเสร็จภายใน 1 สัปดาห์

พี่มุก ภริยาพี่ณัฐ พี่สะใภ้ของผม เธอเป็นแอร์โฮสเตส หาซื้ออาหารเสริมให้แม่ คอยเป็นเพื่อนคุยกับแม่ ทำให้แม่สบายใจ หลายครั้งแม่ก็หัวเราะ ผ่อนคลายความตึงเครียด

แม่ จิตใจ แข็งแกร่ง มากกว่าใครๆ

ท่านมีความอดทนสูงมากๆ รับเคมีบำบัดบางครั้งถี่มากๆ ถี่แบบเกือบทุกอาทิตย์ แต่ถ้าเม็ดเลือดต่ำ ก็ต้องเลื่อนออกไปครับ แม้ท่านจะบ่นในบางครั้ง แต่ท้ายสุดท่านก็สู้อยู่ตลอด

แพทย์แผนทางเลือก ไม่ใช่ว่าไม่ดี

มีหลายๆคนให้ยานั้น ยานี้มาเยอะครับ ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะครับ แต่เราไม่รู้ว่า ยาไหนจะทำให้แม่เราดีขึ้น ยาไหนจะทำให้แม่เราแย่ลง เพราะมีผลต่อการรักษาครับ ดีไม่ดี ไตอาจจะพังก็ได้ แต่ของแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนไข้ครับ

กล่าวไว้ว่าแม่ผมเป็นพยาบาล แน่นอนครับ อะไรๆ แม่จึงต้องไปถามหมอก่อน จึงจะกล้าทาน

แต่การนั่งสมาธิ การทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับการกิน แบบนั้นช่วยได้ครับ และสามารถปฏิบัติได้อย่างไม่ลังเล

เมื่อน้ำในปอด เริ่มมา

ช่วงหลังๆไม่ค่อยดีครับ นับตั้งแต่มีน้ำ เพราะทำให้ปอดเล็กลงเพราะถูกน้ำเบียด ออกซิเจนในเลือดต่ำ ต้องไปเจาะน้ำออก ตอนแรกก็มีข้างเดียว พอใส่แป้งก็ดีขึ้น พอมาเรื่อยๆ อีกข้างที่ไม่เคยมี ก็มีครับ

ล่าสุดวันพฤหัส ไปโรงพยาบาล น้ำก็เพิ่มขึ้นไม่มาก แต่แม่ยังบ่นว่าเหนื่อยอยู่ครับ

เสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2552 วันที่ผมและครอบครัวไม่อาจลืม

เช้าวันนี้ แม่ดูเหมือนทุกวันครับ ยังแปรงฟัน ยังทานข้าวปกติ แต่พูดน้อยลง ผมบอกแม่ว่า เย็นๆจะกลับมา ผมกอดท่าน 1 ครั้ง บอกว่า ไปบริจาคเลือด เย็นๆกลับมานะครับแม่ แม่หลับตาแต่พยักหน้า

พอบริจาคเลือดเสร็จ คุณพ่อโทรมาบอกว่า คุณแม่ไม่หายใจแล้ว!!! และไม่มีใครทราบเลยว่า ท่านหยุดหายใจไปนานแค่ไหน เพราะแม่ก็ดูหลับ เหมือนปกติทุกอย่าง

ผมตกใจมากครับ รีบกลับบ้านทันที ในใจเครียดมาก และเป็นไปได้อย่างไร เมื่อวานแม่ก็ยังดีๆอยู่เลย

รถติดมากครับ ผมนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมหมดแรง ผมนั่งกับพื้น ผมสิ้นหวัง ผมท้อแท้

ตอนที่เคยพูดร่ำลา ยังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับแม่ แต่ตอนที่ไม่ได้พูดอะไร แม่กลับจากไป

แม่ครับ แม่ไปไหน

กลับมาที่บ้าน แม่หลับอย่างสงบครับ ผมช๊อค ทุกคนช๊อค คุณพ่อก็เสียใจมาก เพราะท่านก็ออกมารดน้ำต้นไม้ข้างหน้าบ้าน

แม่ไม่หายใจอีกแล้ว แม่ไม่พูดกับผมอีกแล้ว แม่นอนหลับไม่ตื่นอีกแล้ว แม่ ผู้หญิงที่คอยให้กำลังใจผมเสมอมา ปลอบใจ ยามผมท้อแท้ ยามผมผิดหวัง

ท่านได้จากไปแล้ว อย่างสงบ ไม่ทรมาน

ขอนอนกับแม่เป็นวันสุดท้าย

หากต้องพาแม่ไปโรงพยาบาล แม่ก็ต้องไปแช่ในตู้ ผมและทุกคนสงสารแม่ เราจึงเช็ดตัวให้แม่ แต่งตัวให้แม่ ยกตัวแม่ไปนอนในห้อง โดยเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำๆ มีน้าอรุณ น้าอ้อย เพื่อนสนิทของแม่มาช่วยด้วย

นอนไม่หลับ ไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้

ผมเสียใจ พ่อเสียใจ ทุกคนเสียใจ ผมนอนไม่หลับจนถึงเช้า ผมอยากเจอแม่ อยากให้แม่มาหา ผมไม่กลัว ไม่ว่าท่านจะมาในแบบไหน เพราะผมดูแลท่าน อยู่กับท่านมาตลอด

ผมไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้ ผมพยายามว่าตัวเองเข็มแข็ง ปลอบใจพ่อ แต่ลับหลัง ผมร้องไห้ ผมอ่อนแอ ผมทำใจไม่ได้

ทุกคนทำเพื่อแม่ อีกครั้ง

ระหว่างพิธีทางศาสนา ผมและทุกคนเห็นตรงกันว่า อยากจะให้แม่ได้รับเกียรติอันสูงสุด อยากให้มีการพระราชทานเพลิงศพ จึงรีบไปสำนักพระราชวังเพื่อทำเรื่อง ซึ่งแม่ก็เป็นข้าราชการ เคยได้รับ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ กว่าจะได้ก็เล่นเอาเหนื่อยครับ

ตอนแรกผมจะบวชหน้าไฟให้แม่คนเดียว เพราะคนอื่นๆก็ต้องช่วยงานพ่อ ไปๆมาๆ พี่ชายสองคนอยากจะบวชให้แม่ด้วยครับ หากทำให้แม่ได้บุญกุศล ก็เป็นสิ่งที่ลูกๆอยากจะทำให้อีกครั้งหนึ่ง

โชคดีว่ามีเพื่อนๆของผม เพื่อนๆของพี่ คอยช่วยครับ คุณพ่อก็เลยไม่เหนื่อยมากนัก

พระเพลิงผ่านไป ลอยอังคารแม่ แม่ครับ หลับให้สบายนะ

วันพระราชทานเพลิง แม้ผมจะอยู่ในผ้าเหลือง ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ครับ ผมเศร้า ผมเสียใจ จากนั้น วันรุ่งขึ้นก็ไปลอยอังคารที่พัทยาครับ คุณแม่ชอบที่นี่ ผมเป็นคนปล่อยอัฐิของแม่ ค่อยๆลงไปสู่ใต้ทะเล


ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานและให้กำลังใจครับ

มากมายจริงๆครับ ทั้งเพื่อนแม่จากวชิระ รุ่น 10 เพื่อนจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เพื่อนจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เจ้านายเก่าของแม่ พลเอกอู๊ด เบื้องบน พลเอกทศรถและพลเรือตรีหญิง สุรีพร เมืองอ่ำ คุณมีชัย วีระไวทยะ ลูกน้องของพ่อที่มาช่วยงาน เพื่อนๆของพ่อจากสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน

เพื่อนพี่ๆน้องๆ นักเรียนเก่าวชิราวุธ รุ่น 66 , 68 และ 71

เพื่อนๆจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รุ่น 4

เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ จากกลุ่มดำน้ำ

เพื่อนๆแม่ในหมู่บ้าน

และอีกหลายๆท่านที่ผมไม่ได้กล่าวถึง แต่ผมจำได้ทุกคนและระลึกเสมอ หากผมมีโอกาส ผมขออนุญาตตอบแทนบุญคุณนะครับ

เรื่องมหัศจรรย์ โปรดใช้วิจารณญาณ

“เจอแม่หรือยังล่ะ” ป้าจงถาม

“ยังเลยครับป้า” ผมตอบแบบเศร้าๆ

บ้านที่แม่ผมชอบไป นั่งสมาธิกันทุกคนครับ บอกว่า ในวันที่แม่เสีย แม่ไม่รู้ว่าท่านจากไปแล้ว ท่านก็อยู่ในบ้านเพียงแต่เราไม่เห็น แต่พอแม่ทราบแม่ก็นั่งสมาธิ และจากไปในวันที่สาม

ผมและทุกคนพึ่งทราบจากป้าจิ๋มว่า ก่อนแม่เสีย แม่โทรศัพท์ไปหา บอกว่าไม่ไหวแล้ว ป้าจิ๋มบอกให้แม่นั่งสมาธิ ทำใจให้สบาย ไม่ต้องห่วงอะไร ลูกๆก็โตกันหมดแล้ว ขอให้นึกถึงผลบุญที่ทำมา

และท่านก็หลับไปอย่างสงบ แบบที่ผมเล่าให้ฟังครับ

ท่านได้ไปสวรรค์ มีราชรถมารับ ไม่ใช่ยมทูต และท่านไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย

ผมเชื่อนะครับ แม้จะพิสูจน์ยาก แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งเดียวที่ผมรู้ และผมดีใจ ถ้าท่านไปสบาย

หัวใจแตกสลาย สูญเสียของรัก คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะหาย

บางเวลา ผมดีขึ้น บางเวลาผมกลับมาเศร้าเหมือนเดิม ผมอ่อนไหว ผมเห็นของใช้ของแม่ ผมเห็นหลอดดูดน้ำที่เคยซื้อให้แม่บ่อยๆ ผมเห็นกะละมังที่แม่ใช้บ้วนปาก ผมเห็นแก้วน้ำ ผมเห็นเสื้อผ้า เป็นต้น ทำให้ผมนึกถึงท่านตลอดเวลา

สองปี แปดเดือน ที่ผมดูแลท่านอย่างใกล้ชิดแทบ 24 ชั่วโมง ผมยังอยากดูแลท่านต่อไปเรื่อยๆ อีกนาน มีความรู้สึกว่าพระคุณของแม่ ผมตอบแทนยังไงก็ไม่หมด ผมเสียดายที่ผมไม่ได้ตอบแทนบุญคุณท่านอีก และจากนี้ไป ไม่มีแม่อีกแล้ว

มันมากกว่าความผูกพันครับ ผมก็เรียกไม่ถูกนะ

ผมสัญญากับแม่ ว่าผมจะดูแลพ่อต่อ เพราะพ่อก็อายุมากแล้ว เข่าไม่ดี โรคประจำตัวก็มี

แม้ผมจะทราบว่า ท่านไปสบาย แต่บางครั้ง ผมคิดว่า ถ้าผมไม่ไปบริจาคเลือดล่ะ แต่มาคิดอีกที หากผมพาท่านไปโรงพยาบาล ท่านก็ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หากปั้มหัวใจมาได้ ท่านก็ต้องกลับมาทรมาน ให้ยาใหม่ และฉากสุดท้ายก็ต้องฉีดมอร์ฟีน ระงับปวด

ผมอาจจะสบายมานาน มีครอบครัวที่อบอุ่นมานาน จากนี้ไปคงเป็นบททดสอบของชีวิต ซึ่งเป็นบทที่ยากเหลือเกิน

สำหรับผม ไม่มีสิ่งที่คิดว่า ยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณแม่ เพียงแต่ว่า

ผมยังรู้สึกว่า มันเร็วไปหน่อย และผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อแม่ต่อไปเรื่อยๆ

หากชาติหน้ามีจริง ผมอยากเกิดมาเป็นลูกของแม่ ครับ

ผู้หญิง คนที่สำคัญกับผมมากที่สุด ท่านได้จากไปอย่างสงบแล้ว

ไม่มีอ้อมกอดให้ผมกอด

ไม่มีอีกแล้วแววตาที่เฝ้าห่วงใยผม

ไม่มีมือของแม่ ที่คอยสัมผัส คอยให้กำลังใจ

แต่ผมเชื่อว่า ท่านยังมองผม มองคุณพ่อ มองพี่เก่ง และมองพี่ณัฐอยู่

ทุกคนรักแม่นะครับ


คิดถึงแม่และระลึกถึงพระคุณเสมอ


Phop Payapvipapong

29 Oct 2009

15:40 PM








2 Comments:

At 12:16 AM, February 08, 2010, Anonymous นิ้วก้อย said...

ขอให้พี่กระสาบ แข็งแรงขึ้นโดยเร็วนะคะ
คุณแม่ที่มองพี่กระสาบคงดีใจที่ได้เห็นพี่กระสาบยิ้มค่ะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ

 
At 1:06 AM, February 08, 2010, Anonymous Anonymous said...

ขอบคุณน้องนิ้วก้อยมากๆนะครับ

พยายามอยู่ทุกวันครับ

ไม่ได้คุยกันนานเลย

 

Post a Comment

<< Home