Thursday, July 26, 2012

บินลัดฟ้าเยือนยุโรปที่...อังกฤษ(1)


“เดือนพฤศจิกายน พ่อจะพาไปเที่ยวยุโรปนะ ที่ทำงานพ่อเขาจัดไปอังกฤษกัน” เป็นเสียงของพ่อที่บอกผมล่วงหน้าหลายเดือน

“โห ยุโรป เลยเหรอพ่อ” ผมคิดในใจ ชาตินี้ยังไม่เคยคิดเลยครับ ว่าจะมีโอกาสได้ไปเมื่อไร เนื่องจากเงินที่ผมเก็บไว้สำหรับเที่ยว แค่เอาไปดำน้ำก็หมดแล้ว ปีนึงก็คงไปได้แค่ครั้งเดียว ถามกี่ครั้ง ผมก็คงเลือกดำน้ำก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นโอกาสจะได้ไป คงไม่มีในช่วงนี้

แม้ในใจจะอยากไปอยู่เหมือนกัน แต่ผมพึ่งกลับจากการดำน้ำที่ช่องแคบ Lembeh ประเทศอินโดนีเซีย ได้แค่ 1 อาทิตย์ ต้องจากบ้านไปอีกแล้วเหรอ (ต่อมอยากเที่ยว มันได้ถูกใช้ไปหมดเรียบร้อยในทริป Lembeh เนื่องจากอัดอั้นมานานนั่นเอง)

เรื่องค่าใช้จ่ายพ่อออกให้ครับ(แต่ก็เถอะ มันมากอยู่เหมือนกันนะ) ยิ่งตอนนี้น้ำกำลังคลืบคลานเข้ามาในบ้าน พ่อก็เครียดทุกวัน เพราะเริ่มจะเดินทางไม่สะดวก รถเข้าบ้านไม่ได้ ต้องนอนที่ทำงานในที่สุด จนบางทีผมก็บอกพ่อว่ายกเลิกการเดินทางได้ไหม ห่วงบ้าน คงไม่มีกระจิตกระใจที่จะเที่ยว เลื่อนไปก่อนเถอะ

เอาไงดี ผมเข้าใจว่า พ่อก็ไม่อยากไปหรอก แต่จ่ายเงินไปแล้วนี่ คงไม่ได้คืนแน่ เพราะทริปยังไปต่อได้ ถ้าผมดื้อดึงพ่อก็คงเสียเงินไปฟรีๆ อยู่บ้านก็เครียด ทำให้ผมนึกถึงคำพูดพี่ชายคนโตว่า

“ ก็ถือว่าพาพ่อไปเที่ยวแก้เครียดละกัน เดี๋ยวทางนี้พี่ช่วยดูต่อ ก่อนไปก็ช่วยพี่ยกของขึ้นชั้นสองหน่อย เผื่อน้ำมาเร็ว พี่จะย้ายของไม่ทัน”

เป็นอันตกลงตามนั้นครับ จะว่าไปแล้ว คนที่ควรจะได้ไปอังกฤษในทริปนี้ ไม่ใช่ผมหรอกครับ แต่เป็นคุณแม่ต่างหาก ที่ผ่านมา พ่อมักจะเดินทางไปต่างประเทศโดยมีแม่ตามไปด้วยเสมอๆ (ถ้าผมจะได้ไปต้องไปพร้อมๆกันทุกคนน่ะ เช่น ไปมาเลเซีย ไปฮ่องกง ไปญี่ปุ่น เป็นต้น)

แต่ผมรับปาก และได้ให้คำมั่นสัญญากับคุณแม่ไว้เรียบร้อย ในช่วงที่มีโอกาสดูแลท่านอยู่ว่า

“แม่ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลพ่อ ต่อจากแม่เอง”

....................................................................................

ก่อนเดินทาง นอกจากเรื่องวีซ่า แล้ว ก็ช่วยกับพี่ชายคนโตยกของขึ้นที่สูง ถือว่า ทำอะไรที่ทำได้ไปก่อน ที่เหลือคงต้องลุ้นโชคชะตา วาสนา แล้วกัน

ผมเตรียมข้อมูลการท่องเที่ยวในประเทศอังกฤษ ไว้บ้าง ทั้งแผนที่รถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อที่จะให้ทราบว่า เราไปจะไปที่ไหนกันบ้าง ยังไงก็เป็นประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ คงไม่มีอะไรที่น่าห่วงมากนัก

การเดินทางเยือนยุโรปครั้งแรก ของผม กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ยังไง ผมก็ไม่ลืมที่จะพาคุณแม่ไปด้วยเหมือนเคยครับ


8 พฤศจิกายน 2554


เปลี่ยนกางเกงขาสั้น ใส่รองเท้าแตะไปก่อน เดินลุยน้ำออกมาจากบ้านพร้อมกับสัมภาระ จนมาถึงหน้าปากซอย ขณะนี้ระดับน้ำที่ถนนสูงระดับฟุตบาทแล้ว 

ขนของขึ้นรถโดยมีลูกน้องพ่อมารับ ออกไปตามเส้นทางที่ไม่มีน้ำท่วมขัง แล้วขึ้นทางด่วน ปรากฎว่า รถติดมากครับ เพราะมีรถของผู้คนที่มาจอดหนีน้ำ เต็มทางด่วนไปหมด มีบางคันเห็นได้ชัดเลยว่า ถูกชนด้วย(เอ้า ซวยจริง)

ลงทางด่วน จนถึงที่ทำงานพ่อ พ่อโล่งใจ(นึกว่าจะออกจากบ้านมาไม่ได้ซะแล้ว) ที่ต้องออกมาแต่เช้า ทั้งๆที่เดินทางช่วงกลางคืนเพราะจากที่ทำงานพ่อ ไปสนามบินสุวรรณภูมิสะดวกกว่า และยังไม่ใช่พื้นที่ที่น้ำมาถึงครับ

ล้างเท้า เปลี่ยนกางเกงขายาว เตรียมรองเท้าผ้าใบไว้ ไหนดูรายชื่อ สมาชิกที่เดินทางไปซิ มีใครที่รู้จักบ้าง มีทั้งเพื่อนพ่อ ลูกน้องพ่อ ซึ่ง หลายๆคนพาลูก พาหลานไปด้วย มีรุ่นราวคราวเดียวกับผม ประมาณ 4-5 คน แน่ะ(สาวๆก็ไป 4 คน แล้ว)

เช็คอุณหภูมิที่อังกฤษตอนนี้ 10 องศาเซลเซียส (สำหรับผมถือว่าหนาวมากเลยล่ะ) เนื่องจากเป็นคนไม่ไปภูเขา สัมผัสอากาศหนาวเท่าไรนัก(ครั้งล่าสุดที่เจออากาศหนาวแบบนี้ ก็ครั้งตอนไปญี่ปุ่นทั้งครอบครัว ปากสั่นเลยครับ คราวนี้ก็เตรียมเสื้อมาในระดับนึง แต่ไม่รู้จะพอไหม 555)

แต่ที่แน่ๆ ดันเตรียมเสื้อแขนสั้นมา(พ่อบอก เอามาแต่เสื้อแขนยาวก็พอ แขนสั้นไม่จำเป็นเลย) ไม่ทันแล้วครับ สะบายดี หลวงพระบางซะด้วย(เพื่อนมันซื้อมาฝาก ไม่เคยไปหรอก) แต่ผิดงานหรือเปล่าเฮีย เฮียไปอังกฤษแต่ใส่เสื้อหลวงพระบางไป 555

เราออกเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิกันดีกว่าครับ ไปรถตู้ โดยมีลุงธวัชชัย ป้ามัย อาอ๊อด น้าโอ๋ น้าหน่อย น้าอุไร อีกคันมีลูกน้องพ่อที่มาขึ้นรถที่นี่ด้วย ส่วนที่เหลือก็ไปเจอกันที่สนามบินเลย

 

พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ!


การท่องเที่ยวเป็นกรุ๊ปทัวร์แบบนี้ ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันนะครับ จึงต้องมารวมกันก่อนที่ Row Q และรอสมาชิกคนอื่นๆ ที่ยังเดินทางมาไม่ถึง

 

พ่อแนะนำผมให้รู้จักกับลูกน้องพ่อ ก็ยกมือไหว้ และสวัสดี คุณอา คุณน้า เหล่านั้น ป้ามัยแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนป้ามัยและลูกสาวของเธอ ชื่อเจน (ดูแล้วน่าจะอายุไล่เลี่ยกับผมนะ)

อีกคนก็ลูกสาวของลูกน้องพ่อ ชื่อน้องอ๋อม

 

เห็นได้ชัดเลยว่า พ่อมีความสุขมาก ที่อยู่ท่ามกลางลูกน้องและเพื่อน อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุย ทำให้ผมรู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิด ที่มาเป็นเพื่อนพ่อ นอกจากนี้ผมก็ยังได้อานิสงส์ ไปด้วย พ่อมีความสุข ผมก็มีความสุขไปด้วย และยังจะได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆในต่างแดนอีก

สำหรับครั้งสุดท้ายที่มาทัวร์แบบนี้ ย้อนไป 8 ปีที่แล้ว ตอนไปญี่ปุ่นกับครอบครัวครับ

 

ทางกรุ๊ปทัวร์เขาแจกเอกสาร ข้อมูลการท่องเที่ยวอังกฤษ(จริงๆผมก็ Print มาเองชุดนึงด้วยนะ หาข้อมูลเอง เผื่อจะมีข้อมูลที่เราอยากรู้แล้วทางทัวร์ไม่ได้มีให้น่ะ)

นอกจากนั้นก็เป็นซองพลาสติค ในนั้นมีปากกา ใบ Immigration ที่ถูกเขียนไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว รอให้เจ้าของเขียนลายเซ็นต์(Signature) เพียงอย่างเดียว(ก็สะดวกดีครับ)

ไปแลกเงินมาเพิ่มอีก 40 ปอนด์ รวมแล้วเอาไปใช้ส่วนตัว(140 ปอนด์) หลายๆคนอาจคิดว่าเหตุใดเอาไปน้อยจัง(ผมพึ่งกลับมาจากการดำน้ำที่ Lembeh Strait ดังนั้น จึงไม่ค่อยมีตังค์ซักเท่าไร อะไรแพงมากจริงๆก็คงไม่ซื้อครับ ดูของที่สมราคาดีกว่า) (ไอ้ชูฮวย ซึ่งอยู่อังกฤษมานาน บอกผมว่า ไปร้าน Lilly White ที่ Piccadilly Circus นะ มีชุดกีฬาถูกๆ) ส่วนผมน่ะ อยากไปเหยียบสนาม Emirates Stadium ของสโมสร Arsenal มากๆ แต่ไม่รู้จะได้ไปไหม มากับเขาก็ต้องไปกับเขาแหละ

ก่อนมารวมกับกลุ่ม ผมเจอเพื่อนด้วยครับ เป็นเพื่อนเรียนนิติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยปริญญาตรีแล้ว เธอชื่อ นิ กำลังจะไปอินเดียกับรุ่นพี่(เห็นว่าไปแสวงบุญ) ก็ไปกับทัวร์นี่แหละ

ตอนนี้สมาชิกเริ่มมากันครบแล้ว เดินไปอย่างพร้อมเพรียง โหลดกระเป๋า ใช้เวลาพอสมควร เพราะมาเป็นกลุ่มก็ต้องไปด้วยกัน วันนี้คนเดินทางออกนอกประเทศก็แน่นพอดูล่ะ

ฝนก็มาด้วย ไม่ได้เจอตั้งนานแล้ว(โอ้ ยังกับนางแบบเลยนะ) เราถ่ายรูปหมู่รวมกันที่รูปปั้นยักษ์นี้ ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปที่จุด ต่อไป

 

Immigration


สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เราจะไปลงไปเปลี่ยนเครื่องที่ Abu Dhabi (ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เดินทางด้วยสายการบิน Etihad เวลา 2 ทุ่ม

ใช้เวลาไม่นานมากครับ ผ่านตรงจุดนี้ก็ไป จุดตรวจสัมภาระขึ้นเครื่อง ถอดสิ่งของที่เป็นโลหะทั้งหมด รวมทั้งหัวเข็มขัดที่เป็นเหล็กด้วย 

 

Auntie Anne's เติมพลัง!


แต่ละคนก็แยกย้ายกันเดิน ก่อนจะไปรอตรง Gate ขึ้นเครื่อง พ่อบอกให้อะไรทานรองท้องก่อน แม้บนเครื่องจะมีอาหารแจกก็เถอะ เลยเลือกร้านที่คนน้อยๆ หน่อย ทานง่าย ก็แฮมเบอร์เกอร์ นี่แหละครับ(เห็นน้องอ๋อมกับคุณแม่ก็มาทานร้านนี้ด้วย) 

เดินต่อไปหยุดที่ร้านน้ำหอม พ่อจะซื้อครับ(ยังไม่ทันเดินทางไปไหน ก็ซื้อซะแล้ว 555 ) ที่นี่เจออาอ๊อดน้าโอ๋ ฝนกับหลานอาอ๊อด( เห็นว่า ชื่อน้องพลอย) ดูเด็กมากครับ เด็กมัธยมหรือเปล่าเนี่ย 555 พนักงานถามว่ามีบัตรลดไหม พ่อไม่มีบัตรลด อาอ๊อดก็เลยหยิบบัตรลดมาให้ด้วย

กลับมาถามอีกรอบ พ่อกลัวจะนำของเหลวขึ้นเครื่องไม่ได้ครับ เนื่องจากอยู่ในปริมาณที่น้อย พนักงานบอกว่าเอาขึ้นเครื่องได้

ไปที่ Gate แล้วรอซักครู่ใหญ่ๆ มองเห็นนักบินและแอร์โฮสเตส หน้าตาฝรั่ง เดินลงไป(ไม่ค่อยคุ้นเท่าไร เพราะเคยเดินทางแต่ในเอเชียนี่นา) 

นั่งรอกันอีกนิด ถ่ายรูปกันอีกหน่อย ก่อนเจ้าหน้าที่จะเรียก Priority ขึ้นก่อน(คนสูงอายุก็จะได้ขึ้นก่อนครับ) เอาล่ะ ไปขึ้นเครื่องกันดีกว่า

 

Welcome to Etihad Airways


เครื่องก็ดูใหม่ดีครับ มีจอมอนิเตอร์ด้วย สายการบินนี้เริ่มบินตั้งแต่ปี 2546 (ก็หลายปีแล้วนะ แต่ผมพึ่งได้ยินชื่อเมื่อไม่นานนี้เองครับ) (นึกออกล่ะ มาได้ยินตอนเป็นสปอนเซอร์ที่หน้าอกเสื้อของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้)

 


นั่งกับพ่อ และคุยกับน้าหน่อย เธอก็พึ่งเสียคุณพ่อไปครับ เอารูปคุณพ่อมาด้วย (ก็เหมือนผมที่ติดรูปคุณแม่มาเหมือนกัน) คุยกันจนเครื่องขึ้น น้าหน่อยจะมีข้อมูลการท่องเที่ยวทริปนี้เยอะ เพราะเป็นคนประสานงานในหลายๆเรื่อง มีอะไรที่อยากทราบ ผมก็จะถามเธอครับ 

 

แอร์โฮสเตส แจกอาหาร หลังจากทานเสร็จแล้ว ก็ขอลองเล่นจอมอนิเตอร์หน่อย เห็นคนอื่นๆเขาดูหนัง เล่นเกมกัน เราก็เอาบ้างซิ

555 อะไรเนี่ย จอพังครับ(เฉพาะที่นั่งของผมและของน้าหน่อยนะ) ลองบอกแอร์โฮสเตสหลายรอบละ ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขซะที(สงสัยเราจะค้างจ่ายค่าเครื่อง 555) เลยเปิดหนังให้พ่อดู กับคุยกับน้าหน่อยไปพลางๆ จนผมหลับไป

เราใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพ ไปยัง เมือง อาบูดาบี ประมาณ 6 ชั่วโมง ครับ

0 Comments:

Post a Comment

<< Home