Saturday, November 25, 2006

อีกก้าวหนึ่ง.....ที่ต้องเดินต่อไป


“พี่ดูจากไพ่นะ พี่เห็นความสำเร็จในเร็วๆนี้น่ะ” เป็นเสียงของพี่เท็น นักดำน้ำรุ่นพี่

2 ครั้ง ล่าสุดที่พี่เท็นดูดวงให้ผม ในเรื่องการศึกษา จะฉายแววประสบความสำเร็จทุกครั้ง ผมคิดในใจว่าถ้าเป็นจริงก็คงจะดีไม่น้อยเพราะไม่ว่าจะเป็นการสอบเนติบัณฑิต หรือการสอบใบอนุญาตว่าความ ก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามมาหลายครั้ง หวังอย่างยิ่งว่าจะผ่านซักที แต่ยังไงถ้าไม่ขยัน ไม่ใส่ใจ ก็ไม่มีใครจะช่วยอะไรได้หรอกครับ แม้จะดวงดีก็ตาม(ตอกย้ำว่า ยังไง ตนก็ต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนเสมอครับ)

ผมยังคิดเล่นๆ(แบบเข้าข้างตัวเอง)ในใจว่า คราวก่อน การสอบผ่านในภาคทฤษฎี(การจะได้ใบอนุญาตว่าความ จะต้องสอบผ่านทั้งภาคทฤษฎี ภาคปฎิบัติ และการสอบสัมภาษณ์) เกิดขึ้นขณะผมไปเรียนดำน้ำที่ชุมพรคาบาน่า

คราวนี้ พึ่งกลับมาจากชุมพรคาบาน่าได้ไม่นาน น่าจะมีข่าวดีสำหรับผมบ้างล่ะน่า(น่าเหมือนคราวก่อนนะ)

....................

หลังจากพยายามสอบในภาคปฎิบัติมา 3 ครั้ง(ตั้งแต่ รุ่นที่ 24) ผมก็พึ่งการทดสอบในรุ่นนี้นี่เอง (รุ่นที่ 26) และเมื่อผมสอบผ่านการสัมภาษณ์ที่ปีนี้เริ่มยากขึ้นมาก ผมก็ใกล้ที่จะเป็นทนายความเต็มตัวเหลือเพียงกระบวนการรับจดทะเบียนที่ต้องรอระยะเวลาพอสมควร(หากใครจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเอกชนเช่นผม หลังจากได้ประกาศนียบัตรก็ต้องรีบไปสมัครสมาชิกวิสามัญของเนติบัณฑิตยสภาโดยด่วน) (พี่เท็น ดูดวงแม่นมาก ขอบคุณครับ)

ในวันนี้(25 พฤศจิกายน 2549)ผมได้เข้ารับการอบรมจริยธรรม มรรยาททนายความก่อนที่จะเข้ารับประกาศนียบัตรในช่วงบ่าย

แม้จะต้องแลกกับการที่จะต้องอดไปถวายบังคมพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ที่โรงเรียนเก่า ที่ผมไปเป็นประจำทุกปี

แม้จะต้องอดไปเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนๆ ที่ปีนี้จัดขึ้นที่ต่างจังหวัดเป็นปีแรกด้วย

การได้สิ่งใดมา มักจะสูญเสียโอกาสบางอย่างไปเสมอ(แต่ก็คุ้มน่า)

จากนี้ไปยังมีหนทางอีกยาวไกลที่ผมจะต้องต่อสู้ ต้องอดทน(แต่สอบเสร็จก็ต้องมีดำน้ำบ้างตามปกติ ไม่อยากมีพฤติกรรมที่ต้องพูดคนเดียวครับ) การสอบเนติบัณฑิตที่แสนยากให้ผ่านและ การสอบเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาที่ยากยิ่งกว่า(ทำสิ่งที่คุณพ่อ หวังไว้ให้ได้ครับ)

ในตอนนี้ ผมเป็นแค่คนตัวเล็กๆในวงการนี้ แต่ผมเชื่อว่าในอนาคต ความพยายาม ความมุ่งมั่นและความรักในความยุติธรรม ประสบการณ์ที่สั่งสมในการทำงาน จะทำให้ผมก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ใครๆหลายคน อาจคาดไม่ถึง

ผมเชื่อว่า วันนั้นจะมาถึงแน่นอนครับ

Wednesday, November 22, 2006

ข่าวสารจากเพื่อน...ผู้เสียสละ


ผมมีเพื่อนและรุ่นพี่ที่จบโรงเรียนเตรียมทหารหลายคน ทุกคนล้วนเคยอยู่โรงเรียนเดียวกับผมมาก่อน แต่เพื่อทำตามความฝันของตนเองที่อยากเป็นคนในเครื่องแบบ ทำภารกิจเพื่อประเทศชาติ พวกเขาเหล่านั้นจึงต้องออกจากโรงเรียนเก่า สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เพื่อเดินตามเส้นทางของตัวเอง
ปัจจุบันเพื่อนของผมต่างก็แยกเหล่าไป มีทั้งทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจหรือแม้กระทั่งกลับมาอยู่ในสายอาชีพใกล้ๆตัวเรา อยากกัปตัน ผู้ควบคุมเครื่องบิน เป็นต้น

หลายเดือนก่อน ผมทราบข่าวในเว็บรุ่นว่า งิ้ว(ธีรพงษ์ สุวรรณเวช) ต้องไปลาดตระเวนที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนๆทุกคนต่างก็เป็นห่วงงิ้วกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่อีกด้านก็รู้สึกภูมิใจแทนงิ้วและครอบครัวว่า งิ้วได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติบ้านเมือง เป็นผู้เสียสละมากกว่าใครๆ ผมจึงได้แต่จดเบอร์งิ้วไว้เพื่อถามข่าวคราวการทำงานและให้กำลังใจเพื่อน

วันนี้ที่สภาทนายความ เจ้าเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาสวัสดีผม ผมงงพร้อมหันไปด้านหลัง(มันสวัสดีคนที่อยู่ด้านหลังหรือเปล่าหนอ ก็ไม่มีนี่นา) ซึ่งเด็กคนนั้นสวัสดีผมนั่นแหละ ผมลองสังเกตดู นี่คือน้องเจ้างิ้วนี่นา(วิทยา สุวรรณเวช)

น้องเจ้างิ้วจบกฎหมายมาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ วันนี้มาติดต่อเรื่องเกี่ยวกับการร้องเรียนทนายความ ที่ฝ่ายมรรยาท ทำให้ผมเริ่มนึกถึงเจ้างิ้วว่า ป่านนี้มันจะเป็นอย่างไรบ้างนะ จึงลองโทรศัพท์สอบถามดู

“ว่าไง เพื่อน” เจ้างิ้วน้ำเสียงยิ้มแย้ม มันเล่าให้ฟังว่าช่วงนี้ก็ไปๆมาๆ บางทีก็กลับไปประจำการที่จังหวัดกาญจนบุรี ตอนนี้พึ่งขึ้นมาประจำการที่ อำเภอ สุไหงโกลก อีกครั้ง เมื่อวันก่อนรถทหารพึ่งถูกระเบิดไป โชคดีว่าอยู่คนละหน่วย

งิ้วบอกว่า คืนนี้ก็ต้องออกไปลาดตระเวนอีก ผมเห็นตรงกันกับมันว่า ปัญหาที่นั่นแก้ไขยากเพราะเวลาโจรก่อเหตุก็หนีเข้าหมู่บ้าน ไม่ก็สุเหร่า พอเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปก็ไม่มีใครให้ความร่วมมือ(ตรงกับที่ผม เคยคุยกับพี่ดนัย อาจารย์ใหญ่ใน รร แห่งหนึ่ง ใน อ เจาะไอร้อง เปี๊ยบ)

งิ้วบอกอีกว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐตกเป็นเป้าได้ตลอดเพราะที่นั่นทุกคนแต่งตัวเหมือนๆกัน ไม่สามารถที่จะแยกได้เลยว่าใครเป็นชาวบ้าน ใครเป็นผู้ก่อการร้าย

ก่อนวางสาย ผมอวยพรให้งิ้วระมัดระวังตัวและตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติต่อไป ตัวมันเองก็ดูจะมีความรับผิดชอบในหน้าที่มากเช่นกัน

และนี่ คือ เรื่องของเพื่อน....ผู้เสียสละที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังครับ

Tuesday, November 07, 2006

โลซิน……มหัศจรรย์ใต้สมุทร(4)




Dive 6 ครั้งแรกกับปลานกแก้วหัวโหนก!!!

ลงไปด้านล่างไม่นานนัก เจ้าปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) ก็ออกมาทักทาย ทันใดนั้นพี่เอกับกล้องตัวใหญ่ก็ตีฟินอ้อมตัวผมไปอย่างรวดเร็ว หลังกองหินมีอะไรจึงดึงดูดพี่เอนัก ตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเสียด้วย ผมเลยลองตีขาขึ้นไปให้เห็นบริเวณหลังกองหิน

ปลาชนิดหนึ่งว่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ปลาที่จะพบกันได้ง่ายๆ เสียด้วย เฮ้ย! ปลานกแก้วหัวโหนก!!!(Hump-Headed Parrotfish) ผมรีบเคาะแท๊งค์อย่างดังสนั่นพร้อมชี้ไปด้านข้างเพื่อเรียกให้ทุกๆคนได้เห็นกัน(ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นปลานกขุนทองหัวโหนก Napoleonfish , Hump-Headed Maori Wrasse แต่พอได้กลับมาดูรูปที่พี่เอถ่ายไว้ จึงเห็นความแตกต่าง โหนกหัวของปลานกแก้วหัวโหนกจะยื่นออกมา มีลักษณะใหญ่กว่าของปลานกขุนทองหัวโหนก ในขณะที่ครีบหางของปลานกขุนทองหัวโหนกจะมีลักษณะกลมมน (Rounded) ลำตัวมีขีดสีเข้มแนวตั้งตลอดทั้งตัว ซึ่งแตกต่างจากปลานกแก้วหัวโหนกอย่างชัดเจน )

เพียงไม่กี่วินาที นกแก้วหัวโหนกก็หายไป สาเหตุที่ทำให้เข้าใจผิดคงเป็นเพราะโดยปกตินกแก้วหัวโหนกจะอยู่เป็นฝูง ส่วนนกขุนทองหัวโหนกจะชอบอยู่โดดเดี่ยว ด้วยความที่มีหัวโหนกเหมือนกันในระยะเวลาที่มีน้อยก็ทำให้ผมดูผิดไปได้(ให้อภัยเถอะครับ สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้งนะ) ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีครับในการพบเห็นพวกเขาครั้งแรก แม้จะไม่ใช่แมนต้าหรือฉลามวาฬแต่สำหรับผมถือว่าเป็นปลาระดับบิ๊กที่ยอดเยี่ยมครับ

ทากปุ่มยักษ์ที่ชื่อว่า(Phyllidia Varicosa) (อาจมีมากกว่านี้แต่ไม่ได้สังเกตครับหรือไม่ก็จำไม่ได้ครับ)

นอกจากนี้ก็ยังมีปลาสินสมุทรวงฟ้า(Blue-Ringed Angelfish) ปลานกขุนทองปากยื่น(SlingJaw Wrasse) ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-Banded Buttelflyfish) ปลาวัวไตตันหรือปลาวัวอำมหิต(Titan Triggerfish) ปลาโนรีครีบยาว(Longfin Bannerfish) ) ปลาสลิดหินกลมสีทอง(Golden Damsel) ปลาสลิดหินสามจุด(Three-Spot Dascyllus) ปลาสลิดหินดำหางส้ม(Philippine Damsel) ปลากล้วยแถบเขียว(Blue and Gold Fusilier)และปลากล้วยหลังเหลือง(Yellow-Back Fusilier)

ขึ้นมาผมปวดหัวมากอาจเป็นเพราะขึ้นเร็วเกินไปหรือเปล่าแต่ที่แน่ๆ คลื่นไส้ อาเจียนอีกแล้วครับ

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันสุดอร่อยอย่าง ไข่เจียว กระเพราะหมูสับ ทอดมัน พี่นัทได้บอกผมว่า สาเหตุของการอาเจียนของผมน่าจะมาจากการตาม Leader ที่ไม่สม่ำเสมอกล่าวคือ ผมตามพี่ป้อมอยู่ พอพี่ป้อมหายไปก็มาตามพี่นัทต่อ(ซึ่งระยะเวลาการอยู่ในระดับความลึก เช่น 30 เมตรของแต่ละคนแม้จะเท่ากัน ตัวอย่างเช่น 10 นาที ผมตามพี่ป้อมอยู่ 10 นาที พอพี่ป้อมหายไป ผมมาตามพี่นัท ซึ่งแกพึ่งลงมาในระดับความลึกนี้หลังพี่ป้อม 5 นาที นั่นก็หมายความว่าผมอยู่ในระดับความลึก 30 เมตร 15 นาที นานกว่าคนอื่นๆ คงจะติดดีคอมแน่นอนครับ แต่ไม่ได้เช็ค พอจะเข้าใจกันไหมครับเอ่ย อย่าทำแบบนี้นะครับ มันไม่ดี) ถึงตอนนี้ขอผมไปนอนพักก่อนแล้วกัน


Dive 7 ประสบการณ์ อาเจียนคา Regulator!!!

ความรู้สึกในไดฟ์นี้เหนื่อยเหมือนกับไดฟ์ที่ตีขา 4 คูณ 100 เมตร ตามหาแมนต้าที่กองหินริเชลิวเพราะต่างคนต่างอยู่ไกลกัน(มากกว่า 2 ช่วงตัว แต่มองเห็นชัดเจน) ผมสังเกตเห็นปะการังเขากวางพังมากมายโดยไม่ทรายสาเหตุ มีดาวมงกุฎหนาม(Crown-of-Thorns) มากไม่แพ้กัน ก่อนที่ผมจะเริ่มรู้สึกแย่ไปกว่านี้ ผมพยายามจดจำรายละเอียดให้มากที่สุด เห็นปลาสลิดทะเลที่ชื่อว่า Fox-Face Rabbitfish(Lo Vulpinus) ปลานกขุนทองปากยื่น(SlingJaw Wrasse) ปลานกขุนทองหลังขีด(Vrolik’s Wrasse) ปลากล้วยแถบเขียว(Blue and Gold Fusilier)และปลากล้วยหลังเหลือง(Yellow-Back Fusilier)

พอตามทุกๆคนมาได้ เมื่อผมเห็นพี่ป้อมใกล้จะขึ้นโดยพาพี่หนิงและพี่โอ๊บขึ้นไปด้วย ทางสว่างของผมก็มาทันที ผมเริ่มไม่ไหวจึงขึ้นดีกว่า ทันใดนั้นความรู้สึกคลื้นไส้ก็มาทันที ผมรีบหันหน้าออกไปจากพวกเขาเพื่อไม่ให้เห็นภาพที่น่าสยดสยอง!!!

และแล้ว ไข่เจียวเมื่อกลางวัน เศษข้าว เป็นต้น ก็ออกมาโดยมีฝูงปลาน้อยใหญ่ช่วยกันเก็บกวาดอย่างอิ่มหนำสำราญ(จากคำบอกเล่าของพี่โอ๊บที่เห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน) ผมรู้สึกทรมานมาก ลองนึกถึงเวลาอาเจียนข้างบนนะครับจะรู้สึกร้อนท้อง(ไม่ได้กินปูนนะ) ร้อนคอ คงเป็นเพราะน้ำย่อยที่ออกมาจากกระเพาะ(ก็เพราะว่ารักเธอ)แน่นอน

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การไม่ Panic ครับ ขอให้มีสติ ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเลย(ฟังดูง่ายนะครับ แต่ผมยืนยันว่าไม่ยาก) ผมจำได้ว่าเคยถามพี่ป้อมตอนไปเรียนดำน้ำที่ชุมพรคาบาน่าว่า “พี่ครับ ถ้าผมอ๊วกใต้น้ำจะทำยังไงครับพี่” “ก็อ๊วกทั้งที่คาบ Regulator นั่นแหละน้อง แล้วค่อยทำความสะอาดเอา

ผมทำความสะอาด Regulator ใต้น้ำด้วยการ ดึงออกจากปาก ทำ Bubble ล้าง Regulator(เคาะๆ) แล้วนำกลับเข้าปาก กดปุ่มไล่น้ำออก แค่นี้ก็ทำให้สะอาดขึ้นแล้วครับ

บนผิวน้ำ ก็ต้องทำความสะอาดอีกทีเพราะความขม ความเปรี้ยวในปาก ในลำคอ มันก็ยังมีอยู่(เฮ้ย แล้วจะบรรยายทำไม ฮ่าๆๆ ขอโทษครับ จะได้นึกภาพกันออกไง)

ภารกิจของเรือฐาปนาในการพาเรามาดำน้ำใกล้สิ้นสุดลง(คลื่นเริ่มแรงขึ้น โชคดีว่ามาเกิดตอนผมกลับ ฟ้าช่างเป็นใจจริงๆ) พี่ๆเอาบันไดเรือบริเวณ Plat Form ขึ้นจากน้ำ เรือค่อยๆแล่นออกจากกองหินโลซิน ผมกับพี่ดิ้น น้องโอ๊ต พี่เท็น มานั่งบริเวณท้ายเรือ เอาขาราทะเล(งงซิ มือไม่พายเอาเท้าราน้ำไง ฮ่าๆๆๆ) ความรู้สึกเหมือนอาบน้ำในอ่างจากุซชี่เลย แต่เป็นจากุซชี่ที่อยู่ไกลมาก ไม่ได้มากันง่ายๆแน่นอน(เป็นกิจกรรมที่สนุกสนานระหว่างรอห้องน้ำว่างครับ)

หลายๆคนพักผ่อน เปิดหนังสือปลา จด Log Book บ้างก็ดูหนัง ในคราวนี้ผมไม่ได้เห็นปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) สินสมุทรสุดเท่ในความคิดของผมซึ่งพี่เท็นก็เป็นคนหนึ่งที่ยืนยันว่าได้เห็นพวกเขาที่นี่

ผม พี่เต้ พี พี่หมี พี่ปุ๊ย พี่มิ้ง พี่อ้อและพี่จ๋า ขึ้นมาถ่ายรูปบนดาดฟ้า(ตอนนี้ หมอดูอย่างพี่เท็นเริ่มเปิดร้านแล้ว) มองลงไปด้านหน้าเรือ มีเจ้าโอ๊ตและพี่ดิ้นมาถ่ายรูปอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพี่โอ๊บก็ดูจะมีความสุขกับที่นอนบริเวณด้านหน้าเรือมาก(เห็นมานั่งประจำเลย)

จากนั้นที่ลืมไม่ได้ก็คือ เบื้องหลังความสำเร็จของพวกเรา หากไม่มีพวกพี่ๆ Staff ของเรือฐาปนาก็คงไม่ทำให้การเดินทางสนุกสนาน ราบรื่นเช่นนี้ ผมเดินไปหาพวกเขาเพื่อถ่ายรูป ไม่ว่าจะเป็นพี่ตั้มที่คอยบริการน้ำดื่มให้ตลอดทุกไดฟ์ ทุกมื้อ กัปตันเรือ พี่Staff ทุกคน ที่ช่วยดูแลและประกอบอุปกรณ์ พี่ๆ พ่อครัว และพี่หมี เจ้าของเรือมาดนิ่งแต่แฝงความเป็นกันเอง หากใครไม่มาสัมผัสก็คงไม่ทราบ

พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าตอนนี้กำลังสวยมาก พวกเราเดินลงไปด้านหน้าเรือเพื่อถ่ายรูป แสงอาทิตย์เหลืองทองอยู่ไกลๆ ไม่นานนักด้านหน้าเรือก็เต็มไปด้วยผู้คน แต่ละคนต่างมีความสุขกันทั้งนั้น จากนั้นพี่หมีเรียกให้พวกเราไปรับประทานอาหารเย็น มีแกงเขียวหวานเนื้อ ผัดผักถั่วลันเตากับดอกกระหล่ำ ไก่ทอด

หลายๆคนมีความรู้สึกเจ็บบริเวณเหงือกแบบผม เช่น พี่เต้ เป็นต้น อาจเป็นเพราะการขาดน้ำเวลาอยู่ใต้น้ำก็ได้ ทำให้เกิดอาการร้อนในขึ้นมา

จากนั้นร้านหมอดูก็เริ่มคึกคักยิ่งขึ้นไม่แพ้กับคาราโอเกะที่ดังสนั่นเช่นกัน ขนาดพี่เอและพี่ป้อมก็ยังใช้บริการพี่หมอเท็นด้วย(คราวก่อนที่พัทยา 2 คนนี้ก็ไม่ได้ดูครับ)

ต่างคน ต่างแยกย้ายกันไปนอน มีเพียงผม พี่มิ้ง พี่ปุ๊ย พี่เต้ น้องโอ๊ตและพี ที่ยังนั่งคุยกันอยู่ มองเห็นฝั่งสงขลาอยู่ไม่ไกล โทรศัพท์เริ่มใช้การได้แล้ว จนในที่สุดก็เหลือเพียง ผม พีและน้องโอ๊ตเท่านั้น(เปิดทีวีรับสัญญาณได้แล้วด้วย ตามข่าวไม่ทันไปหลายวันเลย)

เมื่อได้เวลาอันสมควร(เรือถึงฝั่งประมาณ เที่ยงคืน) ผมลงไปจัดของเข้ากระเป๋าและแยกย้ายกันพักผ่อน เราต้องตื่นตี 5 ในรุ่งเช้าเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ



4 กันยายน 2549

ตี 5 แล้ว หลังจากจัดอุปกรณ์ของตัวเองลงเกียรแบคเรียบร้อย ระหว่างรอห้องน้ำว่าง ผมช่วยพี่ป้อมจัดอุปกรณ์ของคนอื่นๆลงด้วย จะได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

หลังจากรับประทานอาหารเช้าตามอัธยาศัย(ขนมปัง ซีเรี่ยว นม กาแฟ) เราขึ้นมาถ่ายรูปบนดาดฟ้าเป็นที่ระลึก (พี่จ๋ากับพี่โอ๊บยังต้องกลับไปทำงานช่วงบ่ายด้วย สุดยอดจริง)

รถมาถึงแล้ว ก่อนกลับเราไม่ลืมที่จะหยอดทิป ก่อนขึ้นดิงกี้เพื่อขึ้นฝั่งโดยผมกับโอ๊ตต้องไปก่อนเพราะเที่ยวบินเช้ากว่าใครเพื่อน ถึงตอนนี้เวลาก็ใกล้เข้ามาแล้ว เสี่ยงต่อการตกเครื่องบินมาก

ช่วงเช้า อำเภอเมืองสงขลา ค่อนข้างคึกคัก รถติดเล็กน้อย พี่คนขับเหยียบกระจายเลยเพื่อจะได้ไม่ตกเครื่อง ซึ่งเขาก็ทำได้ครับ

ผมกับโอ๊ตรีบวิ่งเข้ามา โดยโอ๊ตให้ผมไปเช็คอินเพื่อถ่วงเวลาก่อน(ใช้เพียงแค่บัตรประชาชน) พนักงานสาวของนกแอร์คนนี้ ช่างน่ารักจริงๆ(ปิ๊ง ปิ๊ง เหมือนหนังไทย)

ไม่นานนักคนอื่นๆก็ตามมา ผมร่ำลาทุกคนเพราะคงไม่ได้เจอกันที่สนามบินเนื่องจากผมมีธุระต้องรีบไปทำต่อ

10 นาทีหลังจากนั้น ผมกับโอ๊ตก็ไปอยู่บนเครื่องเรียบร้อย แต่ไม่ได้นั่งด้วยกันครับ เจ้าโอ๊ตมันตัวใหญ่ไปนั่ง Business Class ครับ

เมื่อพนักงานสาว(สวย) อธิบายการใช้อุปกรณ์ ผมสังเกตว่าเขาอธิบายดีมาก ทำตามขั้นตอนแบบช้าๆไม่รีบเหมือนแอร์ เอเชีย แม้ค่าบริการนกแอร์จะแพงกว่าแต่เครื่องดื่มจะถูกกว่าแอร์ เอเชียนะ(ด้านหน้ามีคนกินมาม่า อยากบีบคอ แย่งมาม่ามากิน ยั่วน้ำลายซะ)

ที่นั่งเป็นของการบินไทย เห็นโลโก้การบินไทยชัดเจน(ทราบจากน้องโอ๊ตว่า นกแอร์เช่าเครื่องของการบินไทยมาจ้า)

เมื่อเข้าห้ามการใช้วิทยุ อุปกรณ์ สื่อสาร (ไม่ได้พูดถึงอุปกรณ์อิเลคทรอนิค) ผมเลยตีความแบบนักกฎหมายว่า กล้องถ่ายรูปก็ใช้ได้ซิ(ไม่ใช่อุปกรณ์สื่อสาร) ขอถ่ายรูปหน่อยเถอะ เมื่อเครื่องบินอยู่ในระดับความสูง 32,000 ฟิต มองเห็นทะเลอ่าวไทยอยู่ด้านล่าง สวยงามมากครับ เหมือนได้เล่นโปรแกรม Google Earth เลย

น่าแปลกที่ขึ้นเครื่องคราวนี้ หูผมไม่อื้อแล้ว คงเป็นเพราะการดำน้ำ ทำให้ผมหูบานแล้วก็ได้(ไม่อันตรายหรอกครับ) ไม่นานนักผมก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน และถึงกรุงเทพในเวลาไม่นานนัก(น้ำลายยืดด้วย ฮ่าๆ)

เสร็จสิ้น ทริปโลซินครั้งแรกในชีวิต การเดินทางครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดการชักชวนของพี่ป้อม ความปรารถนาดีของพี่ไหม หัวหน้าที่อนุญาตให้ผมมาเที่ยว

ขอบคุณพี่หมีและ Staff เรือฐาปนาทุกคน ผมไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดเหล่าดาราถึงชอบที่มาใช้บริการเรือลำนี้

ขอบคุณอากาศดี ทะเลเรียบ ที่ต้อนรับผมที่โลซิน

ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆทุกคน ที่ทำให้บรรยากาศบนเรือมีแต่ความสุข

ขอบคุณทุกท่านที่อุตสาห์ อ่านเรื่องเล่าของผมอีกครั้งครับ( กว่าจะเสร็จกินเวลา 2 เดือนพอดี)

ผมสัญญาว่าปีหน้า หากโอกาสทุกอย่างเอื้ออำนวย ผมจะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน

โลซินจ๋า แล้วเจอกันนะ


Phop Payapvipapong

4 Nov 2006

12.16 pm

Monday, November 06, 2006

โลซิน……มหัศจรรย์ใต้สมุทร(3)




Dive 3 มอเรย์ยักษ์ใต้ปะการังแผ่น

ช่วงแรกผมยอมรับว่าดำน้ำอึดอัดเพราะมัวแต่พะวงอยู่กับเรื่องที่ว่าจะดำน้ำต่ำกว่า Dive Leader หรือไม่ ทำให้ตีขารัว ใช้อากาศเปลือง ซักพักอาการจึงดีขึ้น ผ่อนคลายขึ้น

ช่วงแรกผมเจอปลานกขุนทองปากยื่น(SlingJaw Wrasse) ต่อด้วยปลาสินสมุทรวงฟ้า(Blue-Ringed Angelfish) และปลาปักเป้าหน้าหมา(Seelfaced Puffer) พูดถึงเจ้านี่แม้หน้าตาจะไม่น่ารักแบบปักเป้ากล่องแต่ผมว่ามันดูเซ่อๆ น่ารักอีกแบบครับ

และแล้ว ปลาวัวไตตันหรือปลาวัวอำมหิต(Titan Triggerfish)ก็โผล่มา ตาขวางมาแต่ไกลเชียวโชคดีว่าตัวนี้ไม่น่ากลัว ไม่ได้จู่โจมผม(ท่าทางคงต้องลองไปดูที่เกาะเต่าว่าดุจริงไหม เขาว่าปลาวัวไตตันที่นั่นดุมากครับ)

ผมลองก้มใต้ปะการังแผ่น มีปากยาวๆขมุบขมิบยื่นออกมา พวกเขาคือปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray Eel) ผมเคาะ Pointer เรียกเพื่อนๆ แต่ดูจะไกลเกินไป(ไม่ก็ธรรมดาเกินไปจนคนไม่สนใจ) แต่ก็ยังมีพี อุตสาห์เข้ามาดูครับ(มีคนสนใจการเรียกของข้าพเจ้าแล้ว ฮ่าๆๆๆ) อ่อ กรุณาอย่าเอามือแหย่นะครับ

ทากปุ่มยักษ์(Phyllidia Varicosa)ที่ทุกคนคุ้นกันดีที่ชุมพร ก็มาพบที่นี่ด้วย ปลาเก๋าหน้าแดง(Blacktip Grouper)นอกจากนั้นก็ยังมี ปลาผีเสื้อปากยาว(Beak Buttelflyfish) ปลาโนรีครีบยาว(Longfin Bannerfish) ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-Banded Buttelflyfish) หอยมือเสือ(Crocus Giant Clam) และหนอนทะเล(Annelids) ตัวยึกยือที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ มีแต่จะขยะขแยงมากกว่า

ขึ้นมาด้านบนผิวน้ำ ผมคลื้นไส้เล็กน้อยทำให้ข้าวต้มเมื่อเช้าออกมาเผชิญโลกทั้งๆที่ไม่อยากให้ออกมา ต่อจากนี้ผมถ่ายรูปบรรยากาศบนเรือ ในห้องครัวมีปลาหมึกสดๆที่เตรียมมาจากฝั่งพร้อมประกอบอาหารอยู่แล้ว(เดาครับเพราะว่าบนเรือเขียนว่าไม่จับสัตว์น้ำ) จากนั้นเป็นภาพพระอาทิตย์กำลังตกที่โลซิน แสงสวยๆแม้จะไม่ใช่ฝีมือถ่ายแบบมือโปรแต่ก็ทำให้คนดูชวนฝันได้เหมือนกันล่ะครับ ผมคุยกับพี่หมี แกบอกว่าไดฟ์ที่แล้วเจอกระเบนนก(Eagle Ray) ด้วยล่ะ แต่แกไม่มี Pointer เลยไม่ได้เรียกใคร พี่หมีเล่าให้ฟังอีกว่ากำลังจะทำทริปไปเกาะกระ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผมคุ้นอยู่แล้วเพราะผ่านตาจากหนังสือท่องเที่ยวบ่อยๆ มีทากสวยๆให้ดู อาจต้องสู้กับน้ำขุ่นและคลื่นลมบ้างแต่ก็เป็นสิ่งที่น่าลองครับ(แกบอกสวยกว่าโลซินอีกแน่ะ ปะการังผักกาดขึ้นเป็นชั้นๆ เจอปลาหมอทะเลที่นั่นด้วยนะ ไม่อยากเชื่อเลย)

ไดฟ์ต่อไปเราคงอยู่ไม่นานเพราะตอนเช้าเราลงช้า อีกไม่นานก็จะมืดแล้ว ดำน้ำแบบไม่มีไฟฉายซะส่วนใหญ่จะลำบากกัน อาจไม่สนุก


Dive 4 Evening Dive /First Time


จะสว่างก็ไม่ใช่ จะมืดก็ไม่เชิง นี่เป็นไดฟ์ตอนเย็นครับ(ไม่ค่อยมีใครเขาทำกันหรอก) แถมไม่มีไฟฉายกัน แต่เขาลงกัน ผมยังไม่เหนื่อยยังไงก็ต้องสู้ครับ

มองในแง่ดีเห็นได้ชัดว่าปลาบางชนิดเริ่มกลับบ้านหลังจากไปเรียนพิเศษ(โม้ใหญ่แล้ว เขาคงตกใจที่คุณลงมานั่นแหละ) ผีเสื้อสุดที่เลิฟของผมมาแล้วครับ เธอชื่อ ผีเสื้อเหลืองชุมพร(Weibel’s Butterflyfish) มาเป็นคู่น่ารักเชียว(ขอบอกเลยว่า ทะเลเมืองนอกที่ไม่ใช่แถบญี่ปุ่นก็ไม่มีนะ จะแคริเบียนหรือเกรท แบบริเออร์ รีฟ ก็ไม่มี คนไทยควรภูมิใจนะครับ) ไม่ว่าจะใกล้อย่างพัทยาหรือไกลสุดขั้วแบบโลซิน ผมยังมีโอกาสได้พบเธอเสมอๆ(รักเธอเสมอ)

จากนั้นรายต่อไปที่กลับบ้านปะการัง คือ ปลาผีเสื้อปากยาว(Beak Buttelflyfish) ปลาสินสมุทรวงฟ้า(Blue-Ringed Angelfish) ที่พื้นทรายปลิงขูด(Bohadschia Graeffei) ก็กำลังนิ่งอยู่(ผมรู้ว่าอีกไม่กี่ ชม เจ้าปลิงขูดก็ต้องขยับ(หากเอากล้องมาตั้งจะทราบว่าพวกเขาขยับครับแต่จะช้ามากๆ(ดูจากสารคดีน่ะ)

แม้จะเริ่มมืด ไฟฉายก็ไม่มี ผมพยายามที่จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ที่สุด ถูกต้องครับเก็บถุงปุ๋ย ระหว่างที่กำลังชักเย่ออยู่ มีคนช่วยส่องไฟฉายให้ด้วย ขอบคุณมากครับ(จนป่านนี้ยังไม่แน่ใจเลยว่าใครช่วย น่าจะเป็นพี่ปุ๊ยนะ)

ผมรู้ดีว่าอยู่นานกว่านี้มีเฮแน่นอน(จะเจออะไรดีๆอีก) แต่เพื่อความปลอดภัย เราต้องขึ้นแล้ว(รอบๆมืดหมดเลย) จากนั้นเราเกาะดิ้งกี้มาที่เรือ ความรู้สึกสนุกดีจริงๆ

อาหารเย็นวันนี้คุ้มค่าแก่การรอคอยและเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันจริงๆ ปลาสำลี ปลาหมึกไข่ ผัดผักหน่อไม้ฝรั่งกับข้าวโพดและเห็ด ปูผัดผงกระหรี่ (โดยมีพี่ตั้มเสริฟน้ำให้อย่างดีเยี่ยม)

ผมยังไม่ได้ลุกไปไหนเท่าไรเพราะมัวแต่คุยเรื่องปลาทะเลกับพี่จ๋าอีกหนึ่งสาวที่รักการดำน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ส่วนพี่หมีมาเล่าเรื่องการดำน้ำให้ฟัง คุยกันหลายเรื่อง ผมจะยกมาซักเรื่องล่ะกัน ข้อแตกต่างระหว่างกระเบนปีศาจ(Devil Ray)กับแมนต้าเรย์(Manta Ray) พี่หมีบอกให้ดูที่ตากระเบนปีศาจ ดวงตาจะอยู่บริเวณปลายอวัยวะที่ยื่นออกมาด้านหน้า ส่วนหลังเป็นรูป 3 เหลี่ยม แต่แมนต้าเรย์ดวงตาจะอยู่บริเวณโคนของอวัยวะที่ยื่นออกมา หลังจะเป็นรูปทรงที่กว้างกว่า มีขอบสีขาว(งงไหมเอ่ย ฮ่าๆๆ) ผมคิดว่าเหตุใดพี่หมีถึงดูรู้จักผมมากจัง เรียกชื่อผมทุกครั้งและเชิญชวนให้ผมมาเที่ยวอีกแต่บางทีอาจคิดไปเองก็ได้(ยังไงเราก็พึ่งรู้จักกัน)

ต่อไปเป็นการดูดวง พี่เท็น แม่หมอแห่ง
http://www.nivach.com/ (มีคนดูอุ่นหนาฝาคั่งมาก) (รับดูดวงตลอดทริปฟรี ถ้าไม่เหนื่อยเสียก่อนนะ) แกบอกว่าผมจะสอบผ่านบางสิ่งในไม่ช้านี่ เรามารอดูกันว่าจะสมหวังจริงๆไหม คนอื่นๆบ้างก็พักผ่อน บ้างก็ร้องคาราโอเกะ สนุกสนานมาก (โดยเฉพาะพี่ป้อม จะมันส์เป็นพิเศษ)

กิจกรรมต่อมา คือการเล่นกีตาร์โดยพี่เต้ ส่วนพี่จ๋ารับหน้าที่ร้องเพลง ผมไม่ถนัดขอนั่งฟังเฉยๆโดยมีพีเข้ามาร่วมฟังด้วย ทะเลวันนี้นิ่งจนน่าแปลกใจจริงๆ(กล้าพูดว่าเงียบมาก) นิ่งกว่าที่เกาะแปด ตอนผมไปเสียอีก(นี่อาจจะเป็นการต้อนรับผมและเพื่อนๆที่อบอุ่นของทะเลโลซินก็ได้)

คนอื่นๆเริ่มไปกันหมดแล้ว ผมหยิบหนังสือกฎหมายมานั่งอ่าน(เป็นมุมที่หายากและคลาสสิคที่สุด เอามาอ่านตั้งไกล แถมกลางทะเลด้วย) อ่านได้หน่อยเดียว พี่เต้ก็ขึ้นมาคุยด้วย ซักพักได้เวลา เราจึงไปพักผ่อนเพื่อตื่นมาดำน้ำในวันรุ่งขึ้น

มีความสุขจริงๆ โว้ย ไอ้หนุ่มคนหนึ่งยิ้มในใจก่อนล้มตัวนอน


3 กันยายน 2549

เช้านี้ผมได้ตื่นมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นสมใจ หลังจากกินขนมปัง โอวัณติน ซีเรี่ยว(คลอนเฟคนั่นแหละครับ) ไม่ถึง10 นาที เราก็ต้องเปลี่ยนชุดลงไดฟ์แรกกันแล้ว(ซวยแล้ว ยังอิ่มๆอยู่เลย)

Dive 5 สาหร่ายเห็ดหูหนู

จากการที่รีบลงเกินไปหลังรับประทานอาหารหรือไม่ก็การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอทำให้ไดฟ์แรกของวันสำหรับผมเริ่มมีปัญหา

ผมควบคุมการลอยตัวไม่ได้ ตีขาโดยไม่จำเป็น เหนื่อยง่าย หายใจผิดจังหวะ ตัวจะลอยอยู่ตลอด แถมสำลักคา Regulator(โชคดี ที่ไม่ตกใจครับ ท่องไว้ว่า ปากคาบไว้ตลอดนะ)

กว่าผมจะควบคุมจังหวะได้ทั้งหมดอากาศก็เหลืออยู่ 100 แล้ว ถึงตอนนี้สบายขึ้นเยอะ ผมมีอารมณ์สังเกตชีวิตสัตว์ทะเลต่อไปได้แล้ว

บริเวณจุดดำน้ำที่โลซินนอกจากปะการังฟอกขาว(น้ำทะเลอุณหภูมิสูงขึ้น) ดาวมงกุฎหนามพิฆาตปะการัง อีกอย่างที่ผมเห็นก็คือ สาหร่ายเห็ดหูหนู(Funnel Weed) ขาวโพลนที่ปกคลุมปะการังเขากวางในบริเวณที่กว้าง แน่นอนว่าเมื่อถูกปกคลุม ปะการังก็จะไม่ได้รับแสงแดดและตายในที่สุดเหลือเพียงโครงสร้างหินปูนเท่านั้น ผมเห็นภาพนี้ชัดเจนเพราะพี่ป้อมหยิบเจ้าพวกนี้ขึ้นมาทำให้ผมเห็นภาพด้านล่างนั้น(จะลงไปหยิบเอง แม้จะไม่ถึง 2 เมตร ก็กลัวอาการจะออกครับ รู้สึกไม่ค่อยดีอีกแล้ว)

วันนี้น้ำยังคงใสดี ทำให้ผมมองเห็นสรรพสัตว์ที่นี่อย่างสบายๆ ไม่ว่าจะเป็นปลานกขุนทองปากยื่น(SlingJaw Wrasse) ปลาสินสมุทรวงฟ้า(Blue-Ringed Angelfish) ปลาขี้ตังเบ็ดหนามส้ม ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-Banded Buttelflyfish) ปลาวัวไตตันหรือปลาวัวอำมหิต(Titan Triggerfish) ปลาการ์ตูนอินเดียนแดงและดอกไม้ทะเล(Pink Anemonefish and Sea Anemone) ปลากะรังแดงจุดน้ำเงิน(Coral Rockcod) ปลาสลิดหินกลมสีทอง(Golden Damsel) ปลาสลิดหินสามจุด(Three-Spot Dascyllus) ปลาสลิดหินดำหางส้ม(Philippine Damsel) เจ้าปลาสลิดทะเลที่ชื่อว่า Fox-Face Rabbitfish(Lo Vulpinus) ปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish) ปลาโนรีครีบยาว(Longfin Bannerfish) ปลากล้วยแถบเขียว(Blue and Gold Fusilier)และปลากล้วยหลังเหลือง(Yellow-Back Fusilier)

ผมรู้สึกดีใจว่าไม่ใช่มีแต่ผมที่บ้าเก็บถุงปุ๋ยอยู่คนเดียว ในไดฟ์นี้พี่โอ๊บก็เก็บถุงปุ๋ยด้วย ก่อนขึ้นผมยังเห็นพี่ปุ๊ยแชร์อากาศของพี่หมีด้วยนะ(แฟนแชร์อากาศแฟน โอ้ดีจัง)

ขึ้นมาอาการของผมก็ออกจนได้ ผมอาเจียนบนผิวน้ำ จึงรีบบอกพี่ๆว่าให้อยู่ห่างๆผมไว้ เดี๋ยวจะโดนหางเลขไปด้วย(คงไม่ต้องบรรยายนะครับ ฮ่าๆๆ)

กระเพาะปลา เส้นหมี่ ไส้กรอก ไข่ดาว แม้จะดูไม่เข้ากัน แต่นักดำน้ำก็ไม่สนใจแล้วครับเวลาสายๆแบบนี้ท้องมันหิวก็ขอเอามากระแทกปากก่อนแล้วกัน

มีนกนางแอ่นบิน(น่าจะใช่นะครับ)มาเกาะบริเวณเสาท้ายเรือ ท่าทางมันจะหนาวเสียด้วย พวกพี่ๆจึงช่วยให้ให้ความอบอุ่นแกมันแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจยื้อชีวิตน้อยๆนี้เอาไว้ได้(เคยมีกระทู้ของพันธ์ทิพย์เล่าเรื่องเกี่ยวกับเรือดำน้ำลำหนึ่งที่โลซินกับการช่วยเหลือนกนางแอ่นแล้วถูกด่ายับเพราะไปเล่นกับมันมากหรือยังไงนี่แหละครับ ผมลองเข้าไปดูแล้ว ไม่ใช่เรือผมแน่นอนเพราะบนเรือไม่มีใครสวมเสื้อแบบนั้นครับ)

ทุกคนหาที่พักผ่อน เพื่อรอเวลาลงในไดฟ์ต่อไป

Sunday, November 05, 2006

โลซิน……มหัศจรรย์ใต้สมุทร(2)





2 กันยายน 2549

ผมนอนหลับเต็มที่ ตื่นแบบสบายๆ(ไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น) เช้านี้อากาศดีมาก ทะเลเรียบ ผมมองเห็นประภาคารตั้งตระหง่านอันเป็นเอกลักษณ์ของโลซิน ผมรู้ทันทีว่าประภาคารเปลี่ยนสภาพไปจากที่ผมเคยเห็นในรูป พี่หมีบอกว่าประภาคารถูกเรือขนาดใหญ่ชน จนส่วนยอดพังและจมสู่ใต้น้ำ

แดดกำลังออก เดินไปที่ด้านหน้าของเรือมีเบาะสำหรับให้นักดำน้ำนั่งหรือนอนชมวิว มีตระกร้าวางผลไม้ด้วย(อะไรจะราชาขนาดนั้น)

การตื่นสายแม้จะไม่ทันฟังพี่ป้อม Brief แต่ยังทันฟังพี่หมี Brief ผมถ่ายรายชื่อนักดำน้ำบน White Board เก็บเอาไว้ พร้อมกับ Dive Site โลซินด้วย

พี่หมีกับพี่ป้อมคุยว่า อากาศที่โลซินดีมากผิดกับทุกๆครั้งที่มักมีคลื่นลมแรง หากอากาศเป็นแบบนี้เราจะดำกันที่นี่ 7 Dive เลย ไม่ไปดำที่ลอปิ(ตู้รถไฟ) ซึ่งตรงนั้นจะน้ำขุ่นกว่ามาก ถ้าถามผม ผมไม่อยากไปไหนแน่นอนครับ มาก็ลำบาก อากาศก็ดี ทะเลก็สงบ หาไม่ได้อีกแล้ว

พี่หมี Brief ให้ฟังว่า เราอาจเห็นแมนต้าก็ได้ ที่นี่มีทากทะเลและปลาเยอะแยะ มีปะการังเขากวางมาก(สุดยอดมากครับ บางคนอาจไม่ชอบดูปะการังแต่ผมชอบครับ เพราะสามารถวัดความอุดมสมบูรณ์ของทะเลแถบนั้นได้ดี จะมีปลาที่อาศัยตามแนวปะการังมาก เมื่อมีความสมบูรณ์ความหลากหลายก็จะตามมาเอง) พี่หมีบอกอีกว่าที่นี่มีถุงปุ๋ยเยอะมากหากใครเจอถุงปุ๋ยขอความกรุณาให้เก็บขึ้นมาด้วย ถุงปุ๋ยนี้ปลิวจากเรือที่ขนทรายมาตอนมาก่อสร้างประภาคารที่โลซินนั่นเอง(คงพอนึกภาพออกนะครับ ขนาดถุงปุ๋ยยังปลิว บ่งบอกถึงสภาพอากาศได้ดี) ได้เวลาการลงไดฟ์แรกแล้ว ใครจะไปกับผมบ้าง ยกมือขึ้น!!!!!


Dive 1 ใสแบบนี้ มีได้ที่โลซิน!!!

ชุดของผมมีพี่ป้อม พี่ดิ้น น้องโอ๊ต พี่เท็น พี่หนิง พี่โอ๊บ พีและเจ แต่รวมๆแล้ว อยู่คนละชุดก็เหมือนอยู่ชุดเดียวกันเพราะบางครั้งเราดำกันแบบหน้ากระดานแถวตอน(อบอุ่นดี) ข้อดีของการดำแบบนี้ คือ เราสามารถเห็นเพื่อนและช่วยเหลือกันได้หากมีภัย ส่วนข้อเสียคงเป็นเรื่องการเห็นสัตว์ใหญ่ หากไม่โชคดีจริงๆ เราจะเห็นเขายากมาก(เขาจะตกใจ)

วินาทีแรกที่ผมเห็นโลกใต้ทะเลที่โลซิน(อยากจะอ้าปากตะโกนดังๆแต่กลัว Regulator หลุดครับ) น้ำใสมาก ผมไม่แปลกใจว่าเหตุใดหลายๆคนถึงเปรียบว่าหากสิมิลันน้ำใส โลซินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลย ผมโชคดีที่มาในช่วงที่ทะเลเรียบ แดดออก จึงเห็นโลซินในช่วงที่สวยที่สุด ผมเห็นด้วยกับพวกเขาจริงๆครับ

เมื่อลงไปประมาณ 10 เมตร นาฬิกาของผมเริ่มมีฟองอากาศเข้าพร้อมกับตัวเลขที่เลือนหายไป มีเสียงบอกลาว่า “ลาก่อนเจ้านาย ผมราคาถูก ที่เขียนว่ากันน้ำ 50 เมตร น่ะ กันน้ำเข้าแต่ไม่กันน้ำออกนะเจ้านาย”(ไม่ต้องมาเยาะเย้ย เจ้าคือ หนูทดลอง จำไว้)

ดงปะการังเขากวางมีขนาดกว้างใหญ่มาก บางจุดมีสีทองด้วย ดูสวยมากครับ ผมไม่เคยเห็นดงปะการังแบบนี้อีกเลยหลังจากที่เคยไปSnorkeling ที่เกาะตอรินลา อุทยานแห่งชาติหมุ่เกาะสุรินทร์(กลับไปตอรินลาตอนนี้ ก็คงไม่ได้เห็นแบบนั้นแล้วครับเพราะโดนสึนามิกวาดเรียบ ถ้าเป็นภาษาเขียนของอาจารย์ธรณ์ก็ต้องบอกว่า เหี้ยนเต้ครับ)

ด้านในดงปะการังเขากวางมีปลากะรังแดงจุดน้ำเงิน(Coral Rockcod) แม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่ด้านบนสุดของห่วงโซ่อาหารแต่พวกเขาก็เป็นนักล่าตัวยงเช่นกัน(ดูหน้าตาซิ ไม่ใช่แววตาที่อ่อนต่อโลกแต่อย่างใด)

จากนั้นเทวดาแห่งอ่าวไทยก็ออกมาทักทายผม เขาคือปลาสินสมุทรวงฟ้า(Blue-Ringed Angelfish) เราจะพบเห็นพวกเขาได้บ่อยมาก คงไม่แปลกที่นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลจะยกเจ้าวงฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของปลาสินสมุทรในอ่าวไทย

ที่ว่ายผ่านผมไป คือ ฝูงปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) หนึ่งในปลาที่นักดำน้ำชื่นชอบ ด้วยอุปนิสัยที่ขี้เล่น ไม่กลัวนักดำน้ำ ทำให้หูช้างเข้ามาอยู่ในใจของใครหลายๆคนอย่างรวดเร็ว

พี่หนิงกับพี่เอถ่ายรูปให้ผมด้วย พอกล้องมาถึงผมก็ต้องเก๊กไว้ก่อน(อย่าให้มีฟองอากาศมาบังหน้า) จากนั้นที่ด้านหน้าเราพบซากประภาคารจึงเข้าไปสำรวจ ประภาคารมีขนาดใหญ่พอสมควรเลยครับ(ไม่น่าตกมาเลยน้อง)

เมื่อพบถุงปุ๋ย ผมไม่รอช้าที่จะเก็บขึ้นมาทันที ส่วนใหญ่จะดึงขึ้นมาไม่ง่ายนัก(ต้องออกแรงนิดหน่อย) บางถุงจะติดปะการังมาด้วย(เอาเฉพาะถุงปุ๋ย ปะการังไม่ต้องเอาขึ้นมาจ๊ะ) ส่วนใหญ่จะเป็นปะการังข้าวซีด ที่ได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์ เอลนินโย่ (ปรากฎการณ์ที่น้ำทะเลเปลี่ยนอุณหภูมิครับ)(อยากรู้เรื่องปะการังมากขึ้น อ่าน STS ซิครับ จะได้ความรู้เยอะเลย)

ก่อนมาที่นี่ผมพยายามศึกษาเรื่องปลาสลิดหิน(Damsel Fish)และปลานกขุนทอง(Wrasse)ให้มากขึ้น(จะได้ไม่มองข้ามพวกเขาอีกต่อไป)(ยกเว้นปลาตละกละอย่างสลิดหินบั้งและปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์อันนั้นรู้จักดีอยู่แล้วจ้า) และแล้วผมก็สามารถจดจำพวกเขาได้ซะที ผมพบปลาสลิดหินกลมสีทอง(Golden Damsel) ปลาสลิดหินสามจุด(Three-Spot Dascyllus) ปลาสลิดหินดำหางส้ม(Philippine Damsel) ปลานกขุนทองอกแดง(Redbreast Wrasse)

นอกจากนั้นผมพบปลาสลิดทะเลที่ชื่อว่า Fox-Face Rabbitfish(Lo Vulpinus) ปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish) ปลานกแก้ว(Parrot Fish) ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-Banded Buttelflyfish)ปลาขี้ตังเบ็ด(Surgeonfish) ปลาโนรีครีบยาว(Longfin Bannerfish) และที่ลืมไม่ได้ก็คือ ดาวมงกุฎหนาม(Crown-of-Thorns)ศัตรูตัวฉกาจของปะการังก็มากับเขาด้วย

ขึ้นมา พี่หมีเล่าให้ฟังว่ามีคนเจอแมนต้า ตอนพวกเราขึ้นมาพอดี(โอ้ โชคดีมาก) แม้ผมจะไม่เจอทากทะเล (Sea Slug)ปลาปักเป้ากล่อง(Yellow Box Fish) แต่ก็ประทับใจกับความใสของน้ำทะเลมาก ขนาดตอนอยู่ใต้น้ำพี่โอ๊บยังเห็นผมชัดเจนเลยว่า ถือถุงปุ๋ยอยู่(แกสงสัยอยู่ตั้งนานว่า ผมถือถุง ถือไป ถือมา ทำไม)

ข้าวต้มหมูเป็นอาหารเติมพลังในช่วงเช้า ผมรู้สึกไม่ค่อยสดชื่น เคลียร์หูลำบาก จึงกินแอคติเฟดเข้าไปด้วย พร้อมหาที่นอน ก่อนที่จะลงในไดฟ์ต่อไป


Dive 2 ปลาอะไรเอ่ย มีขากรรไกรยืด-หดได้

เราเปลี่ยนจุดลงมาอีกด้านหนึ่งของกองหิน น้ำใสมีแนวปะการังที่สมบูรณ์มาก พบปลาการ์ตูนอินเดียนแดงและดอกไม้ทะเล(Pink Anemonefish and Sea Anemone) ผมเคาะ Pointer ชี้ให้พีดูปลาปักเป้าลำตัวสีดำ ตัวหนึ่ง น่าเสียดายที่ผมจำลักษณะไม่ได้มากนัก

ปากยื่นปากยาว ตัวนี้ผมสงสัยในชื่อภาษาอังกฤษที่โปสเตอร์ในห้องและที่ Under Water world มานานว่า Sling-Jaw นี่มันคือปลาอะไรหนอ? ในที่สุดผมก็ได้คำตอบที่โลซินนี่เอง พวกเขาชื่อปลานกขุนทองปากยื่น(SlingJaw Wrasse) ที่นี่พวกเขาสีสวยครับ(สวยกว่าที่เห็นในอควอเรี่ยมเยอะ) จุดเด่นที่ชื่อนี้เพราะเขามีขากรรไกรที่ยาว สามารถยืด-หดได้ด้วย แม้ผมเคยดำน้ำที่สิมิลันเพียงครั้งเดียวแต่ผมก็กล้าบอกได้ว่า เราพบปลานกขุนทองปากยื่นที่นี่บ่อยมากไม่แพ้ที่สิมิลัน(พบบ่อยกว่าตอนที่ผมไปสิมิลันเยอะ) พูดถึง Wrasse ผมยังพบ ปลานกขุนทองอกแดง(Redbreast Wrasse)และปลานกขุนทองหลังขีด(Vrolik’s Wrasse) อีกด้วย

พีชี้ให้ผมดูปลาชนิดหนึ่งบนผิวน้ำ ผมเคาะ Pointer และชี้ขึ้นไปทันที(เจ้าตัวก็มารู้ภายหลังครับ ว่าหายาก) เขาคือปลาสาก(ฺBaracuda) มีฟันแหลมคมเป็นหนึ่งในนักล่า(และถูกมนุษย์ล่าเช่นกัน) คราวนี้เขามาเดี่ยวซะด้วยหลังจากที่ผมเคยเห็นพวกเขาแล้วในการดำสน็อคเกิ้ลที่เกาะสต๊อค อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์(คราวนั้นมาเป็นฝูงอยู่ไม่เกิน 5 เมตร มองลงไปน่ากลัวมาก) น่าเสียดายว่าคราวนี้ระยะห่างไกลมากจนผมไม่รู้ว่าพวกเขาคือปลาสากชนิดไหนกันแน่(กว่าจะตีฟินขึ้นไป ปลาคงอยู่ให้ผมดูหรอกนะ)

ต่อไปเป็นปลาผีเสื้อลายเส้น(Lined Butterflyfish)ที่พบเฉพาะในทะเลอันดามันแต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ที่โลซิน ผมพบพวกเขาที่นี่(ตรงกับข้อมูลของ อ.ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง ที่ระบุว่าพบปลาผีเสื้อชนิดนี้ที่นี่ครับ) นอกนั้นก็เป็นปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-Banded Buttelflyfish) ที่พบในทุกสภาพของน้ำ(ไม่ว่าจะใสหรือขุ่น)อยู่แล้ว

เทวดามาโปรดอีกแล้วครับ คราวนี้เจ้าเก่าอย่าง ปลาสินสมุทรวงฟ้า(Blue-Ringed Angelfish)ก็ออกมาให้ยลโฉมอีก ส่วนอีกตัวผมเคยพบครั้งแรกที่อันดามัน(ตัวใหญ่เชียวครับ) พวกเขาชื่อว่าปลาสินสมุทรลายบั้ง(Six-Banded Angelfish) ลำตัวสีไข่ไก่กับลายบั้งเป็นเอกลักษณ์เด่น เห็นแล้วก็จำได้ทันที

ฝูงปลาข้างเหลืองทำเอาผมตะลึงกับความยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเล พวกนี้คือปลากล้วยแถบเขียว(Blue and Gold Fusilier)และปลากล้วยหลังเหลือง(Yellow-Back Fusilier) แต่ไปๆมาๆชักหิวข้าวซะแล้วล่ะ(กินอะไรดี) ฝูงปลากลางน้ำยังไม่หมดครับ เจ้าปลามงตาโต(Bigeye Trevally) แม้ไม่มาเป็นฝูงใหญ่แต่ก็ทำเอาตื่นตาตื่นใจได้ล่ะ

ท ทหาร แถวตรง เจอทีไร มักจะอยู่เป็นระเบียบเสมอ(ไม่ใช่คุณระเบียบรัตน์)พวกเขาคือ ปลากระรอกลายแดง(Redcoat) หากใครรักท่าทางที่เป็นระเบียบ อาจหลงรักพวกเขาก็ได้ครับ

ผมสงสัยอีกล่ะ(ช่างสงสัยจังวุ้ย) ทำไมลงมาไม่ค่อยเจอปะการังอ่อนสีแดงเลย วันนี้ก็เจอปะการังอ่อนสีม่วง จึงได้ความว่าเวลาแสงแฟลชกระทบทำให้ปะการังอ่อนมีสีแดง ที่เราไม่เห็นเพราะเวลาอยู่ลึกๆสีแดงจะหายไปนั่นเอง(จบมาได้ไงเนี่ย แค่นี้ก็ลืม เดี๋ยวไล่ไปทำข้อสอบใหม่ซะเลย)

ผมยังคงเพลิดเพลินกับความสวยงามที่โลซิน มีสัตว์ทะเลอีกมากที่ดึงดูดใจผม ปลานกแก้ว(Parrot Fish)กับปลาพยาบาล(Bluestreak Cleaner Wrasse) ปลาสลิดทะเลที่ชื่อว่า ( Fox-Face Rabbitfish(Lo Vulpinus) ปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish) ปลาสลิดหินกลมสีทอง(Golden Damsel) ปลาสลิดหินสามจุด(Three-Spot Dascyllus) ปลากะรังลายนกยูง(Peacock Grouper)ปลาโนรีครีบยาว(Longfin Bannerfish) ปลาโนรีครีบสั้น(Singular Bannerfish) ปลาขี้ตังเบ็ด(Roundspot Surgeonfish) และดาวมงกุฎหนาม(Crown-of-Thorns)

จะเห็นได้ว่าโลกใต้ทะเลที่นี่สุดยอดจริงๆ ผมยังได้ถุงปุ๋ยมาอีก 1 ถุง คราวนี้ผมดำนานเกินไป(เพลิน) จนพี่เอ พี่ป้อม พี่ดิ้น พี่เทน พี่นัท เตือน(เขาจะขึ้นกันหมดแล้ว) แบบนี้บ่อยๆไม่ดีครับ ผมยอมรับว่าผิด ไดฟ์หน้าจะระวังตัวให้มากกว่านี้ครับ เพื่อความปลอดภัย

ข้าวเที่ยงวันนี้มีก๋วยเตี๋ยวปีกไก่ พี่ตั้มก็บริการดีมากเสริฟน้ำให้ตลอดเลย(ผมเชื่อในการบริการแล้ว) ถึงตอนนี้แต่ละคนหามุมส่วนตัวพักผ่อน บางคนก็ดูโทรทัศน์แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะนอนมากกว่า

Saturday, November 04, 2006

โลซิน……มหัศจรรย์ใต้สมุทร(1)




“ ครั้งหน้า พี่จะพาพวกเราไปเรือลำนั้น” พี่ป้อมชี้ให้ผมและเพื่อนๆดูเรือ Liveaboard ลำหรู นามว่า ฐาปนา ซึ่งกำลังค่อยๆแล่นออกไปก่อนเรือ Little Princess(เรือของผม) เล็กน้อย

เรือลำนี้ผมจดจำได้ดีตลอดการเดินทางไปทริปอันดามันเหนือครั้งแรกในชีวิต(อยากอ่านเรื่องอันดามันเหนือ ต้องไปย้อนไปดูเรื่อง “สิมิลัน…. ฉันรักเธอ” นะครับ) เพราะได้รู้มาก่อนว่า บริการดีเลิศ ราคาแพง มองผ่านไปด้านในมีห้องติดแอร์อย่างดี มีที่กดน้ำดื่มแบบห้างสรรพสินค้า ที่สำคัญเรือลำนี้ยังมีมิตรภาพดีๆแบ่งปลาหมึกย่างให้เราได้อิ่มหนำสำราญกันด้วย ผมคิดในใจว่า คงอีกนานกว่าผมจะยอมเสียเงินมาเรือแบบนี้ เพราะคงสู้ราคาไม่ไหว(คงรอให้มีอำนาจซื้อมากกว่านี้ก่อน)

ในเดือนกรกฎาคม 2549 ผมทราบข่าวจากพี่ป้อมว่า มีทริปไปโลซิน ต้นเดือนกันยายน ที่สำคัญเป็นเรือฐาปนาเสียด้วย แถมเป็นราคาที่ผมรับได้ แบบนี้รอช้าไม่ได้แล้ว

โลซินเป็นจุดดำน้ำที่โดดเดี่ยวกลางทะเลอ่าวไทย อยู่ห่างจากฝั่งนราธิวาส 80ไมล์ทะเล ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง(จากฝั่ง) (ส่วนสิมิลันแค่ 70 ไมล์ทะเลเท่านั้นเอง ไม่รวมการไปเกาะบอนและเกาะตาชัยนะครับ) ภาพบนบกที่ทุกคนคิดถึงโลซิน คือประภาคารสูงตระหง่านกลางทะเล เมื่ออยู่ไกล จึงมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง(มาก) ปลาทะเลบางชนิดที่นักวิทยาศาสตร์ฟันธงว่าเจอในอันดามันเท่านั้นแต่ไม่เจอในอ่าวไทย เช่น ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) โลซินก็สามารถทำให้หลายๆท่านทึ่งมาแล้วเพราะมีพวกเขาอาศัยอยู่ และผมเชื่อว่ายังมีสัตว์ทะเลอีกหลายชนิดที่ยังรอคอยการค้นหาอยู่(สัตว์ทะเลนอนรอแล้ว คนล่ะเมื่อไรจะมาซะที) แค่นี้ก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมครับ ยังไม่พอ โลซินเป็นจุดดำน้ำที่ไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นปีหนึ่ง จึงไปได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น(นอกนั้นคลื่นแรงมากครับ) ฤดูกาลท่องเที่ยวโลซิน น้อยกว่าอันดามันเหนือ อันดามันใต้ และชุมพรมาก เท่านี้คงพอทราบแล้วนะครับว่า เหตุใดผมถึงตัดสินใจในการเดินทางครั้งนี้ไม่ยากนัก

ผมเตรียมตัวล่วงหน้าในการเดินทางครั้งนี้ 2 เดือน เพราะจะต้องจองตั๋วเครื่องบินไปลงที่หาดใหญ่ ก่อนต่อรถไปขึ้นเรือที่ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา หากเลือกได้ผมก็อยากนั่งรถทัวร์ครับ ไม่ว่าจะนั่งคิด นอนคิดก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะเวลาที่มีจำกัด ลางานได้เพียงวันเดียว ระยะทางก็ไกลมาก(หากนั่งรถประมาณ 11 ชั่วโมงขึ้นไป) ยังไงก็ไปไม่ทันขึ้นเรือที่จะออกก่อนเที่ยงคืนอยู่ดี ขากลับก็กลับมาไม่ทันทำงาน ฉะนั้น โลโซ(ไม่ใช่เสก)อย่างผม จะได้นั่งสายการบิน Low Cost Airline ครั้งแรกด้วย(ถ้าเป็นโปงลางสะออน คงต้องเรียกว่า บ้านน้อก.... บ้านน้อก)

อนิจจา ทุกข์ขัง อนัตตัง ทำไมมันซวยแบบนี้หนอ พอมาถึงช่วงก่อนออกเดินทาง กลับมีงานตรงกับช่วงที่จะไป(พอดิบพอดี) โชคดีที่เป็นงานที่ไปก็ได้ ไม่ไปก็ไม่เป็นไร(แต่สำหรับเด็กหน้าใหม่อย่างผม ก็ควรไป) เนื่องจากต้องเสียเงินค่าเครื่องบินไปแล้วและต่างๆนาๆ หากเลื่อนออกไปจะทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย(น้องๆ นี่เรื่องดำน้ำ ไม่ใช่กฎหมาย) ฮ่าๆ ต่อครับ ผมรวบรวมความกล้าบอกกับหัวหน้าตรงๆว่าจะไปเที่ยว โดนด่าก็โดนด่าวะ ผมไม่ชอบโกหกเสียด้วย สบายใจกว่าเยอะ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ต้องรับกรรม

ในเรื่องท่องเที่ยว โชคยังเข้าข้างผมเสมอ หัวหน้าอนุญาตแบบง่ายๆ(งงเลย) ผมจัดของได้อย่างเต็มที่ ทั้งการไปหาซื้อนาฬิกากันน้ำราคาถูกไปลองของที่โลซิน(ทั้งๆที่รู้ว่ากันน้ำ 30 เมตร มันโกหก แต่อยากลองน่ะ) 7 Dive ที่โลซินไม่มีการดำ Night Dive จึงไม่ต้องเตรียมไฟฉายไป แม้ผมจะเสียดายอยู่บ้าง แต่ที่นี่ไม่มีผาหินให้ส่องไฟเวลามีภัย และยิ่งขึ้นชื่อว่าน้ำแรงด้วย(พี่ป้อมบอกว่า ถ้าไหลไปใครจะตามไปเก็บละน้องเอ้ย อันตราย) ฉะนั้น ผมควรจะดีใจว่า ปลอดภัยไว้ก่อนเถอะดีแล้ว(ที่สำคัญ ไม่มีใครลงซักคนเดียว อยากจะลองลงไปคนเดียวไหมละครับ ฮ่าๆ)

เรือจะออกเดินทางจากฝั่ง จังหวัดสงขลาประมาณเที่ยงคืน กลับถึงฝั่ง 3-4 ทุ่มในวันอาทิตย์(ไม่มีตั๋วเครื่องบินกลับครับ เพราะเราจะกลับมาไม่ทัน) จึงต้องกลับวันจันทร์สถานเดียว ผมลากิจโดยบอกว่าจะพาแม่ไปทำธุระที่กรมบังคับคดีซึ่งก็ไม่ได้โกหก(เพียงแต่พูดไม่หมดว่าจะกลับจากเที่ยวในวันจันทร์) ผมจะขึ้นเครื่องบินรอบเช้าสุดซึ่งก็คือ นกแอร์ แม้จะแพงกว่าแอร์เอเซีย ที่นั่งขาไป(หลายร้อยนา) แต่ก็ต้องยอมครับเพราะเร็วกว่าเยอะ(กรมบังคับคดีต้องไปติดต่อก่อนบ่าย 2 โมง) จะได้ไม่เสียงาน เที่ยวก็ดี ธุระก็ได้ สุขใจจริงเอย

เพื่อไม่ให้เอิกเกริก หากแบกเป้มาที่ทำงาน เดี๋ยวคนแตกตื่นกันใหญ่(เขาจะได้รู้กันทั้งบางซิ ว่าจะไปเที่ยว) ผมจึงนำกระเป๋าไปฝากไว้ที่พี่หนิงและพี่โอ๊บ 2 คู่รักนักดำน้ำที่ผมพึ่งรู้จักได้ไม่นาน(บ้านอยู่ใกล้ผมเสียด้วย) ในวันที่รู้จักกันครั้งแรกทั้ง 2 คนนี้มีน้ำใจขับรถมาส่งผมถึงที่บ้านด้วย(ซื้อใจเลยครับพี่)

แม้เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังครุกกรุ่นอยู่ แต่ผมก็มั่นใจว่าโจรใต้คงไม่บุกกลางทะเลเป็นแน่(มั่นใจจังนะ แล้วถ้ามีโจรสลัดล่ะ) (ก็ยกมือเรียกกัปตัน แจ๊ค สแปรโร่ซิ ไม่เห็นยากเลย ฮ่าๆๆ)

ช้างมาหยุดก็ไม่อยู่แล้วครับ ผมจะพาทุกท่านไปค้นหาสัตว์ทะเลที่ “โลซิน”กัน


1 กันยายน 2549

รถเมล์ที่ผมขึ้นดันไม่มีเงินทอนแบงค์ 100 ทำให้ไม่สามารถลงบริเวณรถไฟฟ้าใต้ดินได้ เลยต้องยอมนั่งไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ถือว่าโอเคเพราะรถไม่ติดอย่างที่คิด(ผมหลีกเลี่ยงเส้นทางมาอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่หฤโหดมากในช่วงเร่งรีบมานานพอสมควรเพราะเบื่อรถติด) กว่ากระเป๋ารถเมล์จะมีเงินทอนให้ก็เกือบถึงราชดำเนินแล้ว(เอาเข้าไป)

ผมทำตัวเป็นนินจาตลอดวัน(เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น)มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าผมกำลังจะไปเที่ยว พอออกมาจากที่ทำงานช่วง 5 โมงเย็น ผมต้องแข่งกับเวลาเพราะต้องรีบไปสนามบินให้ทัน 6 โมงเย็น(เครื่องออก 1 ทุ่มครับ) แถวราชดำเนิน รถติดมากในช่วงเย็น ใครๆก็รู้

คุณลุงแท๊กซี่อัธยาศัยดีมาก ไม่อยากให้ผมเสียค่าทางด่วนหลายเที่ยว หากขึ้นทางด่วนที่ยมราช ก็จะต้องลงแถวถนนวิภาวดีและเสียอีกต่ออยู่ดี จึงพาผมมาอีกเส้นทางที่เร็วกว่า ในเวลานี้

ผมคุยกับลุงหลายเรื่องทั้งปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้(จากประสบการณ์การเล่าของคนในพื้นที่อย่างพี่ดาและพี่ดนัย รายละเอียดในเรื่อง กระบี่....มนต์เสน่ห์แห่งอันดามันนะครับ )

ผมยังคุยเรื่องคลื่นยักษ์สึนามิกับลุงด้วย(จากการติดตามข่าวสารของผมเอง รายละเอียดในเรื่อง น้ำตา...แห่งอันดามันนะครับ) นอกจากนี้ก็ยังมีการขับรถแท๊กซี่ ที่มีหลายกะและกะเดียว ตลอดจนการส่งรถ อีกทั้งปัญหาอรรถคดีที่ลุงกำลังถูกโกงจากผู้มีอิทธิพล

ก่อนจากกันผมแนะนำข้อกฎหมายให้ลุงทราบพร้อมวิธีการต่อสู้คดี ในฐานะที่ผมเรียนมาทางนี้ พร้อมบอกให้ลุงอย่ายอมแพ้กับพวกคนเลว ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เพราะผมเชื่อว่าอย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมก็ต้องเกิดขึ้นกับลุงแน่นอน

แม้รถจะติด(มาก)แต่ผมก็มาถึงสนามบินดอนเมืองทันเวลา ผมโทรติดต่อพี่เต้ ลูกเจ้าของร้านทองที่พึ่งหลงรักการดำน้ำได้ไม่นาน

“พี่นี่เด่นมาก โอ๊ตมองไกลๆยังเห็นพี่ชัดเลย” กลับกลายเป็นเจ้าโอ๊ต เด็กม 5 ที่มักจะติดตามพี่ป้อมไปทุกๆทริป ที่ผมเจอเป็นคนแรก

ใกล้ๆมี 3 สาว ซึ่งผมรู้จักเพียงพี่หมี(แฟนพี่ปุ๊ยแห่ง Nation) นอกนั้นอีก 2 สาว คือสมาชิกใหม่ของผมในทริปนี้(เธอชื่อพี่จ๋าและพี่อ้อครับ)

และแล้วผมก็พบกับสมาชิกหน้าเดิม คือ พี่เต้ พี่ปุ๊ย พี่ป้อม พี่นัท พี่มิ้ง พี่ต่อ พี่ดิ้น พี่พิช ที่มาถึงก่อนแล้ว ต่อจากนั้นเป็นพี่เอและแฟนสาวพี่เอซึ่งผมเจอเป็นครั้งแรก(พี่ปลา) โดยคราวนี้พี่ปลาจะมาแบบ Non Dive(ไม่ได้มาดำน้ำแต่มาพักผ่อนบนเรือ)เพื่อให้กำลังใจพี่เอโดยเฉพาะ ระหว่างนี้เราออกไปช่วยขนเกียร์แบค(กระเป๋าสำหรับขนอุปกรณ์ดำน้ำ)ที่มาถึงพอดี

เวลาเข้าใกล้มาเรื่อยๆ เรานำกระเป๋าทั้งหลายทยอยโหลดขึ้นเครื่อง โดยมีครูตาลและเหล่าลูกศิษย์ที่จะไปเรือลำเดียวกับเราด้วย

และแล้วพี่หนิงกับพี่โอ๊บและกระเป๋าของผมก็มาถึง หลังจากโหลดของ(ที่น้ำหนักเกิน)แต่พวกพี่ๆได้ใช้สายตาอ้อนวอนจนพนักงานสาว(สุดสวย)ใจอ่อน พี่หนิงและพี่โอ๊บเล่าให้ฟังถึงสถานการณ์รถติดในวันนี้ว่า เกือบจะมาไม่ทันเพราะรถติดมากแม้จะเผื่อเวลามาแล้วก็ตาม พี่โอ๊บต้องลงไปโบกรถด้วยตนเองเพื่อขอทางให้รถไปต่อได้(ไม่งั้นคงมาไม่ทันแน่นอน)

ส่วนพี่พิชได้กลับไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะมีธุระต้องไปทำต่อ ไม่สามารถร่วมทริปไปโลซินกับเราในครั้งนี้ได้(มาเพื่อส่งเพื่อนๆโดยเฉพาะ)

เราเดินเข้าไปด้านในเพื่อทำการตรวจสิ่งของ ผมดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะเลือกโดยสารทางนี้ แถมนี้ก็อาจจะเป็นการมาสนามบินดอนเมืองครั้งสุดท้ายก่อนที่จะไปใช้สนามบินแห่งใหม่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ(ยังไงก็ยังทันเวลา ได้ขึ้นชื่อว่า เคยนั่งสายการบินราคาถูก จากดอนเมืองแล้ว คราวหน้าเจอกัน สุวรรณภูมิ)

ผมช่วยพี่เอถือกระเป๋ากล้อง(หวังผลในการฉกฉวยของราคาแพง ฮ่าๆ) แต่ต้องถืออย่างระมัดระวังมากๆเพราะหากตกไปผมอาจไม่ได้ดำน้ำอีกนานแน่ๆ (ขอบคุณสำหรับขนมนะครับ อร่อยมากเลย)

ที่นี่ผมได้เจอพี่เปิ้ลและคุณแม่แห่งร้าน Dive Concept ซึ่งผมได้เจอเมื่อครั้งไปซื้อ Wet Suit ในงานมหกรรมดำน้ำ TDEX ที่ผ่านมาไม่นาน เมื่อคุยกันจึงทราบว่าจุดหมายปลายทางเดียวกัน คือ โลซิน แต่พวกเธอไปกับเรือโชคทวี ส่วนผมไปฐาปนา(ขอหรูบ้างนะ ผมไม่ยึดติดอยู่แล้วครับ ไปหลายๆแบบสนุกดีออก จะได้รู้ว่าแบบไหนเป็นอย่างไร)

บนเครื่องบินแอร์ เอเชีย เห็นได้ชัดว่ามีนักดำน้ำเยอะมาก อาจเพราะนี่เป็นวันศุกร์อีกทั้งเป็นฤดูกาลโลซิน นักดำน้ำจึงหาเวลามาเที่ยวเพื่อหาความสุขใส่ตัว

ในสายการบิน Air Asia ชั้น Economy เราสามารถนั่งตรงไหนก็ได้ ไม่แปลกใจว่าที่นั่งด้านหน้ามักจะถูกจับจองอย่างรวดเร็วเพราะสามารถยืดขาได้ ผมนั่งกับพี่หนิง พี่โอ๊บพร้อมถ่ายภาพบรรยากาศบนเครื่องบินเล็กน้อย

กัปตันแจ้งว่า เครื่องจะ Delay เล็กน้อยเพราะขณะนี้มีเครื่องขึ้น-ลงเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็มีเสียงสัญญาณแจ้งว่า สายการบินนี้ No Drink No Food อันหมายถึงว่า ไม่มีบริการให้แต่ใครประสงค์จะดื่มจะกินก็ต้องจ่ายเงินสถานเดียว

แอร์ โฮสเตส สาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบินเปรียบดั่งการดูหนังที่กด Forward ก็ไม่ปานเพราะสาธิตเร็วมากเร็วจนดูไม่แทบทัน ไม่รู้จะรีบไปไหน ทำช้าๆหน่อยก็ได้ ผมว่ามันไม่เสียเวลามากนักหรอก

ผมนั่งคุยกับพี่หนิงและพี่โอ๊บหลายเรื่อง ตั้งแต่เริ่มแรกของการดำน้ำจนถึงประสบการณ์สยองที่พี่โอ๊บมักเจอบ่อยๆ ฟังไปขนลุกไป(หากใครเจอแล้วก็จะเจอเรื่อยๆใครไม่เจอก็คงไม่เจอ ผมว่ามันเป็น Six sense ครับ)

เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที สายการบิน Air Asia นำผมและเพื่อนๆมาถึงสนามบินหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา(รวดเร็ว สะดวก ดีจริงๆ) เราเดินออกไปรอกระเป๋าด้านนอก พบพีกับเจ สองศรีพี่น้อง และพี่เท็นที่มาถึงก่อนหน้านี้แล้ว

ส่วนสาวอีกคนที่เจอที่นี่ คือ พี่ยี่(แฟนพี่ต่อ) สังเกตได้จากปฎิกิริยาของพี่ต่อ ที่เงียบ ยิ้ม เชื่องเป็นแมวนอนหวด ถึงตรงนี้พี่ต่อกับพี่ยี่ก็จะแยกกับพวกเรา (พี่ยี่ดำน้ำไม่ได้เพราะมีปัญหาเรื่องหลัง พี่ต่อก็เลยไม่ไปดำน้ำแต่ก็ถือโอกาสกลับบ้านซะเลย) ผมหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพหลังจากที่ต้องให้พี่เอและพี่ป้อมมากระตุ้น(เดี๋ยวจะไม่มีรูปมาเขียนเรื่องนะ วัตถุดิบครับวัตถุดิบ)

รถตู้จะแบ่งเป็น 2 คัน จุดหมายเดียวกัน คือ เรือฐาปนาซึ่งจอดอยู่ใน อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โชคดีที่ผมอยู่คันที่มีเสียงครึกครื้น ดังสนั่นตลอดทาง(พี่ป้อม น้องโอ๊ต พี่นัท พี่ปุ๊ย พี่หมี พี่มิ้ง พี เจ พี่เท็น พี่หนิง พี่โอ๊บ พี่จ๋า พี่อ้อ) แม้จะแคบเพราะรถที่เรานั่งเสริมที่นั่งเข้าไปมากกว่ารถตู้ในกรุงเทพ 1 แถว แต่ก็ถือว่าชดเชยกันได้สำหรับบรรยากาศที่สนุกสนานอย่างนี้ ผมคุยกับพี่เท็นสำหรับประสบการณ์การไปศึกษาต่อที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส น่าสนใจมากครับ นอกจากนี้แกเป็นคนที่ไม่มีพิษ มีภัยกับใคร อัธยาศัยดีมากทีเดียว)

แม้จะมืด ผมมองเห็นบรรยากาศภายนอก ถ้าโจรใต้มันมาจะทำไงดีวะเนี่ย(ทำใจครับทำใจ) ฝนก็เริ่มตกแล้ว ช่างเป็นใจดีแท้

เราถึง อำเภอเมือง ผมมองเห็นทะเลแล้ว แต่ยังไม่เห็นเรือ จอดรถถามทางหลายที่ เราเริ่มมีปัญหาเพราะหาเรือฐาปนาไม่เจอเสียที เห็นได้ชัดว่ามีทหารยืนเรียงรายตรวจตราอย่างเข้มงวดเพราะก่อนเรามาไม่กี่วันเกิดเหตุการณ์โจรใต้ระเบิดธนาคารที่ยะลา มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

ในที่สุด เราก็เจอเรือฐาปนาอยู่หลังเรือรบขนาดใหญ่ ฝนที่ตกลงมาทำให้บางคนต้องไปหลบอยู่ใต้สะพาน(ระหว่างรอดิงกี้มารับ)

เมื่อถึงเรือ ผมตื่นเต้นกับขนาดของเรือที่ใหญ่กว่าเรือ Little Princess ที่ผมเคยไป แถม Plat Form(บริเวณท้ายเรือ สำหรับให้นักดำน้ำกระโดด) ใหญ่และกว้างมากๆ เจ๋งจริง ฮ่าๆๆๆๆ (แอบหัวเราะในใจ)

ผมได้จับคู่นอนกับโอ๊ต ระหว่างรอกระเป๋ามาผมนำกระเป๋าทำงานมาเก็บที่ห้องนอน เห็นสภาพห้องแล้วยิ้มกริ่มเพราะหรูหรามากแถมแอร์ก็เย็น บนเตียงมีผ้าปูแนวเฉียงสไตล์เอเซีย มีปลั๊กไฟ ให้ใช้อย่างครบครัน

ขึ้นมาชั้น 2 ภาพเก่าๆในหัวสมองกลับมาต่อในจิ๊กซอร์อีกครั้ง มองเข้าไปในห้องกระจกปูด้วยพรมและมีเก้าอี้นั่งอย่างดี มีทีวีขนาดใหญ่พร้อมเครื่องเสียงและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรูหรามากทีเดียว

บนเรือมีข้าวต้มหมูบริการ ทุกคนทยอยรับประทานด้วยความหิว(ใส่กระเทียมเจียว อร่อยมาก) นอกจากนี้พี่ดิ้นยังนำไก่ทอดหาดใหญ่และข้าวเหนียวมาด้วย(พี่ยี่ซื้อมาฝาก) ข้างๆมีที่กดน้ำบริการ ทั้งน้ำแดง น้ำเขียวและน้ำเปล่า อ่อ ยังมีผลไม้ กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล ลำไย ไว้บริการด้วยนะ

เมื่อกระเป๋ามาถึง เราลงไปด้านล่างเพื่อนำของไปเก็บที่ห้อง ผมหยิบ Wet Suit ออกมาและนำมาแขวนไว้ใกล้ๆแท๊งค์ออกซิเจน พร้อมกับเช็คอุปกรณ์ในเกียร์แบคว่าถูกต้องหรือไม่(คนอื่นๆก็ทำเช่นเดียวกัน บางคนขยันนำ BCD สวมกับแท๊งค์เลยหรือจะให้พี่ Staffของเรือประกอบในวันรุ่งขึ้นก็ไม่มีใครว่าแต่อย่างใด)

ผมขึ้นมาถ่ายรูปในห้อง Living room ที่ติดแอร์สุดหรู มีพี่ป้อม พี่เท็น พี่เอ พี่ปลา พี่เต้ ถึงตอนนี้คนเริ่มทยอยหายไปเยอะเพราะเริ่มดึกแล้วประกอบกับเดินทางมาเหนื่อยๆจึงอาบน้ำและเข้านอนกัน

ภายในห้องนอกจากที่อธิบายไปแล้ว ก็มีโซฟาสีแดงขนาดใหญ่พร้อมหมอน น่ากระโดดทับมาก เชื่อหรือไม่ว่ามีกีตาร์ 1 ตัวด้วยนะ (ถูกใจคนชอบเล่นแน่ๆ)

ผมนั่งดูรูปในคอมกับพี่ป้อม เห็นได้ว่านอกจากรูปสัตว์ทะเลแล้วก็ยังมีรูปบรรยากาศในเรือของผู้ร่วมทริปในแต่ละครั้ง หนึ่งในนั้นก็มีดาราอยู่ด้วย เช่น คุณอ้อม พิยดา คุณแป้ง อรจิรา คุณภูริ หิรัญพฤกษ์ คุณแซน พนมกร คุณกัปตัน UHT ผมมานั่งคิดว่า เรือฐาปนาไม่ใช่เรือลำที่หรูที่สุด ในเมื่อดาราเหล่านี้ต่างมีกำลังทรัพย์มากเหตุใดจึงเลือกที่จะมาเรือฐาปนา อาจเป็นเพราะบริการที่ดีและความสะดวกสบายก็ได้ ผมจะพิสูจน์แล้วจะบอกหลังเรื่องจบนะครับ

ผมนั่งคุยกับพี่หมี(เจ้าของเรือ) เล็กน้อย พี่หมีเล่าให้ฟังถึงระยะทางในการเดินทางครั้งนี้ พร้อมกับบอกว่าในการเดินทางครั้งนี้ มีนักดำน้ำ 22 คน ทำให้ผมรู้สึกเช่นเดียวกับเจี๊ยบ(ที่ติดธุระไม่ได้มาอย่างน่าเสียดาย) ว่า การที่มีคนในเรือน้อยก็รู้สึกดีไปอีกแบบ ผมรู้สึกว่ามีเวลาส่วนตัวเยอะ เรือใหญ่ ห้องโอ่โถง หรืออาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่นอนกันหมดแล้วก็เป็นได้

พี่ป้อมไล่ให้ไปอาบน้ำนอนเพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้า ผมไปอาบน้ำก่อนขึ้นมาชมบรรยากาศอีกครั้ง คราวนี้เหลือเพียงพี่เต้ที่กำลังร้องคาราโอเกะอย่างสนุกสนาน ผมคิดเหมือนแกว่า มาเที่ยวทั้งทีจะให้ผมอาบน้ำนอนในทันที ผมทำไม่ได้หรอกครับ ต้องมาฆ่าเวลาทำอะไรซักหน่อยแล้วค่อยเข้านอน

ผมถ่ายรูปต่อ ทั้งเครื่องชงกาแฟ เครื่องปิ้งขนมปัง ไมโครเวฟ กระติกน้ำร้อน(คิดดูแล้วกัน เรือเหมือนบ้านเลยครับ) พร้อมกับนั่งลงบนโซฟาคุยกับพี่เต้ ไม่นานนักผมกับพี่เต้ก็เข้านอน ชักตื่นเต้นไม่รู้โลกใต้ทะเลที่โลซินจะเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนนอนช่วยกันปิดไฟที่ไม่จำเป็นอีกด้วย

ผมล้มตัวนอน อมยิ้มและคิดในใจว่า “ช่างมีความสุขจริงๆ”