Saturday, November 04, 2006

โลซิน……มหัศจรรย์ใต้สมุทร(1)




“ ครั้งหน้า พี่จะพาพวกเราไปเรือลำนั้น” พี่ป้อมชี้ให้ผมและเพื่อนๆดูเรือ Liveaboard ลำหรู นามว่า ฐาปนา ซึ่งกำลังค่อยๆแล่นออกไปก่อนเรือ Little Princess(เรือของผม) เล็กน้อย

เรือลำนี้ผมจดจำได้ดีตลอดการเดินทางไปทริปอันดามันเหนือครั้งแรกในชีวิต(อยากอ่านเรื่องอันดามันเหนือ ต้องไปย้อนไปดูเรื่อง “สิมิลัน…. ฉันรักเธอ” นะครับ) เพราะได้รู้มาก่อนว่า บริการดีเลิศ ราคาแพง มองผ่านไปด้านในมีห้องติดแอร์อย่างดี มีที่กดน้ำดื่มแบบห้างสรรพสินค้า ที่สำคัญเรือลำนี้ยังมีมิตรภาพดีๆแบ่งปลาหมึกย่างให้เราได้อิ่มหนำสำราญกันด้วย ผมคิดในใจว่า คงอีกนานกว่าผมจะยอมเสียเงินมาเรือแบบนี้ เพราะคงสู้ราคาไม่ไหว(คงรอให้มีอำนาจซื้อมากกว่านี้ก่อน)

ในเดือนกรกฎาคม 2549 ผมทราบข่าวจากพี่ป้อมว่า มีทริปไปโลซิน ต้นเดือนกันยายน ที่สำคัญเป็นเรือฐาปนาเสียด้วย แถมเป็นราคาที่ผมรับได้ แบบนี้รอช้าไม่ได้แล้ว

โลซินเป็นจุดดำน้ำที่โดดเดี่ยวกลางทะเลอ่าวไทย อยู่ห่างจากฝั่งนราธิวาส 80ไมล์ทะเล ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง(จากฝั่ง) (ส่วนสิมิลันแค่ 70 ไมล์ทะเลเท่านั้นเอง ไม่รวมการไปเกาะบอนและเกาะตาชัยนะครับ) ภาพบนบกที่ทุกคนคิดถึงโลซิน คือประภาคารสูงตระหง่านกลางทะเล เมื่ออยู่ไกล จึงมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง(มาก) ปลาทะเลบางชนิดที่นักวิทยาศาสตร์ฟันธงว่าเจอในอันดามันเท่านั้นแต่ไม่เจอในอ่าวไทย เช่น ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) โลซินก็สามารถทำให้หลายๆท่านทึ่งมาแล้วเพราะมีพวกเขาอาศัยอยู่ และผมเชื่อว่ายังมีสัตว์ทะเลอีกหลายชนิดที่ยังรอคอยการค้นหาอยู่(สัตว์ทะเลนอนรอแล้ว คนล่ะเมื่อไรจะมาซะที) แค่นี้ก็น่าสนใจแล้วใช่ไหมครับ ยังไม่พอ โลซินเป็นจุดดำน้ำที่ไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นปีหนึ่ง จึงไปได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น(นอกนั้นคลื่นแรงมากครับ) ฤดูกาลท่องเที่ยวโลซิน น้อยกว่าอันดามันเหนือ อันดามันใต้ และชุมพรมาก เท่านี้คงพอทราบแล้วนะครับว่า เหตุใดผมถึงตัดสินใจในการเดินทางครั้งนี้ไม่ยากนัก

ผมเตรียมตัวล่วงหน้าในการเดินทางครั้งนี้ 2 เดือน เพราะจะต้องจองตั๋วเครื่องบินไปลงที่หาดใหญ่ ก่อนต่อรถไปขึ้นเรือที่ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา หากเลือกได้ผมก็อยากนั่งรถทัวร์ครับ ไม่ว่าจะนั่งคิด นอนคิดก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะเวลาที่มีจำกัด ลางานได้เพียงวันเดียว ระยะทางก็ไกลมาก(หากนั่งรถประมาณ 11 ชั่วโมงขึ้นไป) ยังไงก็ไปไม่ทันขึ้นเรือที่จะออกก่อนเที่ยงคืนอยู่ดี ขากลับก็กลับมาไม่ทันทำงาน ฉะนั้น โลโซ(ไม่ใช่เสก)อย่างผม จะได้นั่งสายการบิน Low Cost Airline ครั้งแรกด้วย(ถ้าเป็นโปงลางสะออน คงต้องเรียกว่า บ้านน้อก.... บ้านน้อก)

อนิจจา ทุกข์ขัง อนัตตัง ทำไมมันซวยแบบนี้หนอ พอมาถึงช่วงก่อนออกเดินทาง กลับมีงานตรงกับช่วงที่จะไป(พอดิบพอดี) โชคดีที่เป็นงานที่ไปก็ได้ ไม่ไปก็ไม่เป็นไร(แต่สำหรับเด็กหน้าใหม่อย่างผม ก็ควรไป) เนื่องจากต้องเสียเงินค่าเครื่องบินไปแล้วและต่างๆนาๆ หากเลื่อนออกไปจะทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย(น้องๆ นี่เรื่องดำน้ำ ไม่ใช่กฎหมาย) ฮ่าๆ ต่อครับ ผมรวบรวมความกล้าบอกกับหัวหน้าตรงๆว่าจะไปเที่ยว โดนด่าก็โดนด่าวะ ผมไม่ชอบโกหกเสียด้วย สบายใจกว่าเยอะ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ต้องรับกรรม

ในเรื่องท่องเที่ยว โชคยังเข้าข้างผมเสมอ หัวหน้าอนุญาตแบบง่ายๆ(งงเลย) ผมจัดของได้อย่างเต็มที่ ทั้งการไปหาซื้อนาฬิกากันน้ำราคาถูกไปลองของที่โลซิน(ทั้งๆที่รู้ว่ากันน้ำ 30 เมตร มันโกหก แต่อยากลองน่ะ) 7 Dive ที่โลซินไม่มีการดำ Night Dive จึงไม่ต้องเตรียมไฟฉายไป แม้ผมจะเสียดายอยู่บ้าง แต่ที่นี่ไม่มีผาหินให้ส่องไฟเวลามีภัย และยิ่งขึ้นชื่อว่าน้ำแรงด้วย(พี่ป้อมบอกว่า ถ้าไหลไปใครจะตามไปเก็บละน้องเอ้ย อันตราย) ฉะนั้น ผมควรจะดีใจว่า ปลอดภัยไว้ก่อนเถอะดีแล้ว(ที่สำคัญ ไม่มีใครลงซักคนเดียว อยากจะลองลงไปคนเดียวไหมละครับ ฮ่าๆ)

เรือจะออกเดินทางจากฝั่ง จังหวัดสงขลาประมาณเที่ยงคืน กลับถึงฝั่ง 3-4 ทุ่มในวันอาทิตย์(ไม่มีตั๋วเครื่องบินกลับครับ เพราะเราจะกลับมาไม่ทัน) จึงต้องกลับวันจันทร์สถานเดียว ผมลากิจโดยบอกว่าจะพาแม่ไปทำธุระที่กรมบังคับคดีซึ่งก็ไม่ได้โกหก(เพียงแต่พูดไม่หมดว่าจะกลับจากเที่ยวในวันจันทร์) ผมจะขึ้นเครื่องบินรอบเช้าสุดซึ่งก็คือ นกแอร์ แม้จะแพงกว่าแอร์เอเซีย ที่นั่งขาไป(หลายร้อยนา) แต่ก็ต้องยอมครับเพราะเร็วกว่าเยอะ(กรมบังคับคดีต้องไปติดต่อก่อนบ่าย 2 โมง) จะได้ไม่เสียงาน เที่ยวก็ดี ธุระก็ได้ สุขใจจริงเอย

เพื่อไม่ให้เอิกเกริก หากแบกเป้มาที่ทำงาน เดี๋ยวคนแตกตื่นกันใหญ่(เขาจะได้รู้กันทั้งบางซิ ว่าจะไปเที่ยว) ผมจึงนำกระเป๋าไปฝากไว้ที่พี่หนิงและพี่โอ๊บ 2 คู่รักนักดำน้ำที่ผมพึ่งรู้จักได้ไม่นาน(บ้านอยู่ใกล้ผมเสียด้วย) ในวันที่รู้จักกันครั้งแรกทั้ง 2 คนนี้มีน้ำใจขับรถมาส่งผมถึงที่บ้านด้วย(ซื้อใจเลยครับพี่)

แม้เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังครุกกรุ่นอยู่ แต่ผมก็มั่นใจว่าโจรใต้คงไม่บุกกลางทะเลเป็นแน่(มั่นใจจังนะ แล้วถ้ามีโจรสลัดล่ะ) (ก็ยกมือเรียกกัปตัน แจ๊ค สแปรโร่ซิ ไม่เห็นยากเลย ฮ่าๆๆ)

ช้างมาหยุดก็ไม่อยู่แล้วครับ ผมจะพาทุกท่านไปค้นหาสัตว์ทะเลที่ “โลซิน”กัน


1 กันยายน 2549

รถเมล์ที่ผมขึ้นดันไม่มีเงินทอนแบงค์ 100 ทำให้ไม่สามารถลงบริเวณรถไฟฟ้าใต้ดินได้ เลยต้องยอมนั่งไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ถือว่าโอเคเพราะรถไม่ติดอย่างที่คิด(ผมหลีกเลี่ยงเส้นทางมาอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่หฤโหดมากในช่วงเร่งรีบมานานพอสมควรเพราะเบื่อรถติด) กว่ากระเป๋ารถเมล์จะมีเงินทอนให้ก็เกือบถึงราชดำเนินแล้ว(เอาเข้าไป)

ผมทำตัวเป็นนินจาตลอดวัน(เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น)มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าผมกำลังจะไปเที่ยว พอออกมาจากที่ทำงานช่วง 5 โมงเย็น ผมต้องแข่งกับเวลาเพราะต้องรีบไปสนามบินให้ทัน 6 โมงเย็น(เครื่องออก 1 ทุ่มครับ) แถวราชดำเนิน รถติดมากในช่วงเย็น ใครๆก็รู้

คุณลุงแท๊กซี่อัธยาศัยดีมาก ไม่อยากให้ผมเสียค่าทางด่วนหลายเที่ยว หากขึ้นทางด่วนที่ยมราช ก็จะต้องลงแถวถนนวิภาวดีและเสียอีกต่ออยู่ดี จึงพาผมมาอีกเส้นทางที่เร็วกว่า ในเวลานี้

ผมคุยกับลุงหลายเรื่องทั้งปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้(จากประสบการณ์การเล่าของคนในพื้นที่อย่างพี่ดาและพี่ดนัย รายละเอียดในเรื่อง กระบี่....มนต์เสน่ห์แห่งอันดามันนะครับ )

ผมยังคุยเรื่องคลื่นยักษ์สึนามิกับลุงด้วย(จากการติดตามข่าวสารของผมเอง รายละเอียดในเรื่อง น้ำตา...แห่งอันดามันนะครับ) นอกจากนี้ก็ยังมีการขับรถแท๊กซี่ ที่มีหลายกะและกะเดียว ตลอดจนการส่งรถ อีกทั้งปัญหาอรรถคดีที่ลุงกำลังถูกโกงจากผู้มีอิทธิพล

ก่อนจากกันผมแนะนำข้อกฎหมายให้ลุงทราบพร้อมวิธีการต่อสู้คดี ในฐานะที่ผมเรียนมาทางนี้ พร้อมบอกให้ลุงอย่ายอมแพ้กับพวกคนเลว ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เพราะผมเชื่อว่าอย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมก็ต้องเกิดขึ้นกับลุงแน่นอน

แม้รถจะติด(มาก)แต่ผมก็มาถึงสนามบินดอนเมืองทันเวลา ผมโทรติดต่อพี่เต้ ลูกเจ้าของร้านทองที่พึ่งหลงรักการดำน้ำได้ไม่นาน

“พี่นี่เด่นมาก โอ๊ตมองไกลๆยังเห็นพี่ชัดเลย” กลับกลายเป็นเจ้าโอ๊ต เด็กม 5 ที่มักจะติดตามพี่ป้อมไปทุกๆทริป ที่ผมเจอเป็นคนแรก

ใกล้ๆมี 3 สาว ซึ่งผมรู้จักเพียงพี่หมี(แฟนพี่ปุ๊ยแห่ง Nation) นอกนั้นอีก 2 สาว คือสมาชิกใหม่ของผมในทริปนี้(เธอชื่อพี่จ๋าและพี่อ้อครับ)

และแล้วผมก็พบกับสมาชิกหน้าเดิม คือ พี่เต้ พี่ปุ๊ย พี่ป้อม พี่นัท พี่มิ้ง พี่ต่อ พี่ดิ้น พี่พิช ที่มาถึงก่อนแล้ว ต่อจากนั้นเป็นพี่เอและแฟนสาวพี่เอซึ่งผมเจอเป็นครั้งแรก(พี่ปลา) โดยคราวนี้พี่ปลาจะมาแบบ Non Dive(ไม่ได้มาดำน้ำแต่มาพักผ่อนบนเรือ)เพื่อให้กำลังใจพี่เอโดยเฉพาะ ระหว่างนี้เราออกไปช่วยขนเกียร์แบค(กระเป๋าสำหรับขนอุปกรณ์ดำน้ำ)ที่มาถึงพอดี

เวลาเข้าใกล้มาเรื่อยๆ เรานำกระเป๋าทั้งหลายทยอยโหลดขึ้นเครื่อง โดยมีครูตาลและเหล่าลูกศิษย์ที่จะไปเรือลำเดียวกับเราด้วย

และแล้วพี่หนิงกับพี่โอ๊บและกระเป๋าของผมก็มาถึง หลังจากโหลดของ(ที่น้ำหนักเกิน)แต่พวกพี่ๆได้ใช้สายตาอ้อนวอนจนพนักงานสาว(สุดสวย)ใจอ่อน พี่หนิงและพี่โอ๊บเล่าให้ฟังถึงสถานการณ์รถติดในวันนี้ว่า เกือบจะมาไม่ทันเพราะรถติดมากแม้จะเผื่อเวลามาแล้วก็ตาม พี่โอ๊บต้องลงไปโบกรถด้วยตนเองเพื่อขอทางให้รถไปต่อได้(ไม่งั้นคงมาไม่ทันแน่นอน)

ส่วนพี่พิชได้กลับไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะมีธุระต้องไปทำต่อ ไม่สามารถร่วมทริปไปโลซินกับเราในครั้งนี้ได้(มาเพื่อส่งเพื่อนๆโดยเฉพาะ)

เราเดินเข้าไปด้านในเพื่อทำการตรวจสิ่งของ ผมดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะเลือกโดยสารทางนี้ แถมนี้ก็อาจจะเป็นการมาสนามบินดอนเมืองครั้งสุดท้ายก่อนที่จะไปใช้สนามบินแห่งใหม่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ(ยังไงก็ยังทันเวลา ได้ขึ้นชื่อว่า เคยนั่งสายการบินราคาถูก จากดอนเมืองแล้ว คราวหน้าเจอกัน สุวรรณภูมิ)

ผมช่วยพี่เอถือกระเป๋ากล้อง(หวังผลในการฉกฉวยของราคาแพง ฮ่าๆ) แต่ต้องถืออย่างระมัดระวังมากๆเพราะหากตกไปผมอาจไม่ได้ดำน้ำอีกนานแน่ๆ (ขอบคุณสำหรับขนมนะครับ อร่อยมากเลย)

ที่นี่ผมได้เจอพี่เปิ้ลและคุณแม่แห่งร้าน Dive Concept ซึ่งผมได้เจอเมื่อครั้งไปซื้อ Wet Suit ในงานมหกรรมดำน้ำ TDEX ที่ผ่านมาไม่นาน เมื่อคุยกันจึงทราบว่าจุดหมายปลายทางเดียวกัน คือ โลซิน แต่พวกเธอไปกับเรือโชคทวี ส่วนผมไปฐาปนา(ขอหรูบ้างนะ ผมไม่ยึดติดอยู่แล้วครับ ไปหลายๆแบบสนุกดีออก จะได้รู้ว่าแบบไหนเป็นอย่างไร)

บนเครื่องบินแอร์ เอเชีย เห็นได้ชัดว่ามีนักดำน้ำเยอะมาก อาจเพราะนี่เป็นวันศุกร์อีกทั้งเป็นฤดูกาลโลซิน นักดำน้ำจึงหาเวลามาเที่ยวเพื่อหาความสุขใส่ตัว

ในสายการบิน Air Asia ชั้น Economy เราสามารถนั่งตรงไหนก็ได้ ไม่แปลกใจว่าที่นั่งด้านหน้ามักจะถูกจับจองอย่างรวดเร็วเพราะสามารถยืดขาได้ ผมนั่งกับพี่หนิง พี่โอ๊บพร้อมถ่ายภาพบรรยากาศบนเครื่องบินเล็กน้อย

กัปตันแจ้งว่า เครื่องจะ Delay เล็กน้อยเพราะขณะนี้มีเครื่องขึ้น-ลงเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็มีเสียงสัญญาณแจ้งว่า สายการบินนี้ No Drink No Food อันหมายถึงว่า ไม่มีบริการให้แต่ใครประสงค์จะดื่มจะกินก็ต้องจ่ายเงินสถานเดียว

แอร์ โฮสเตส สาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบินเปรียบดั่งการดูหนังที่กด Forward ก็ไม่ปานเพราะสาธิตเร็วมากเร็วจนดูไม่แทบทัน ไม่รู้จะรีบไปไหน ทำช้าๆหน่อยก็ได้ ผมว่ามันไม่เสียเวลามากนักหรอก

ผมนั่งคุยกับพี่หนิงและพี่โอ๊บหลายเรื่อง ตั้งแต่เริ่มแรกของการดำน้ำจนถึงประสบการณ์สยองที่พี่โอ๊บมักเจอบ่อยๆ ฟังไปขนลุกไป(หากใครเจอแล้วก็จะเจอเรื่อยๆใครไม่เจอก็คงไม่เจอ ผมว่ามันเป็น Six sense ครับ)

เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที สายการบิน Air Asia นำผมและเพื่อนๆมาถึงสนามบินหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา(รวดเร็ว สะดวก ดีจริงๆ) เราเดินออกไปรอกระเป๋าด้านนอก พบพีกับเจ สองศรีพี่น้อง และพี่เท็นที่มาถึงก่อนหน้านี้แล้ว

ส่วนสาวอีกคนที่เจอที่นี่ คือ พี่ยี่(แฟนพี่ต่อ) สังเกตได้จากปฎิกิริยาของพี่ต่อ ที่เงียบ ยิ้ม เชื่องเป็นแมวนอนหวด ถึงตรงนี้พี่ต่อกับพี่ยี่ก็จะแยกกับพวกเรา (พี่ยี่ดำน้ำไม่ได้เพราะมีปัญหาเรื่องหลัง พี่ต่อก็เลยไม่ไปดำน้ำแต่ก็ถือโอกาสกลับบ้านซะเลย) ผมหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพหลังจากที่ต้องให้พี่เอและพี่ป้อมมากระตุ้น(เดี๋ยวจะไม่มีรูปมาเขียนเรื่องนะ วัตถุดิบครับวัตถุดิบ)

รถตู้จะแบ่งเป็น 2 คัน จุดหมายเดียวกัน คือ เรือฐาปนาซึ่งจอดอยู่ใน อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โชคดีที่ผมอยู่คันที่มีเสียงครึกครื้น ดังสนั่นตลอดทาง(พี่ป้อม น้องโอ๊ต พี่นัท พี่ปุ๊ย พี่หมี พี่มิ้ง พี เจ พี่เท็น พี่หนิง พี่โอ๊บ พี่จ๋า พี่อ้อ) แม้จะแคบเพราะรถที่เรานั่งเสริมที่นั่งเข้าไปมากกว่ารถตู้ในกรุงเทพ 1 แถว แต่ก็ถือว่าชดเชยกันได้สำหรับบรรยากาศที่สนุกสนานอย่างนี้ ผมคุยกับพี่เท็นสำหรับประสบการณ์การไปศึกษาต่อที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส น่าสนใจมากครับ นอกจากนี้แกเป็นคนที่ไม่มีพิษ มีภัยกับใคร อัธยาศัยดีมากทีเดียว)

แม้จะมืด ผมมองเห็นบรรยากาศภายนอก ถ้าโจรใต้มันมาจะทำไงดีวะเนี่ย(ทำใจครับทำใจ) ฝนก็เริ่มตกแล้ว ช่างเป็นใจดีแท้

เราถึง อำเภอเมือง ผมมองเห็นทะเลแล้ว แต่ยังไม่เห็นเรือ จอดรถถามทางหลายที่ เราเริ่มมีปัญหาเพราะหาเรือฐาปนาไม่เจอเสียที เห็นได้ชัดว่ามีทหารยืนเรียงรายตรวจตราอย่างเข้มงวดเพราะก่อนเรามาไม่กี่วันเกิดเหตุการณ์โจรใต้ระเบิดธนาคารที่ยะลา มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

ในที่สุด เราก็เจอเรือฐาปนาอยู่หลังเรือรบขนาดใหญ่ ฝนที่ตกลงมาทำให้บางคนต้องไปหลบอยู่ใต้สะพาน(ระหว่างรอดิงกี้มารับ)

เมื่อถึงเรือ ผมตื่นเต้นกับขนาดของเรือที่ใหญ่กว่าเรือ Little Princess ที่ผมเคยไป แถม Plat Form(บริเวณท้ายเรือ สำหรับให้นักดำน้ำกระโดด) ใหญ่และกว้างมากๆ เจ๋งจริง ฮ่าๆๆๆๆ (แอบหัวเราะในใจ)

ผมได้จับคู่นอนกับโอ๊ต ระหว่างรอกระเป๋ามาผมนำกระเป๋าทำงานมาเก็บที่ห้องนอน เห็นสภาพห้องแล้วยิ้มกริ่มเพราะหรูหรามากแถมแอร์ก็เย็น บนเตียงมีผ้าปูแนวเฉียงสไตล์เอเซีย มีปลั๊กไฟ ให้ใช้อย่างครบครัน

ขึ้นมาชั้น 2 ภาพเก่าๆในหัวสมองกลับมาต่อในจิ๊กซอร์อีกครั้ง มองเข้าไปในห้องกระจกปูด้วยพรมและมีเก้าอี้นั่งอย่างดี มีทีวีขนาดใหญ่พร้อมเครื่องเสียงและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรูหรามากทีเดียว

บนเรือมีข้าวต้มหมูบริการ ทุกคนทยอยรับประทานด้วยความหิว(ใส่กระเทียมเจียว อร่อยมาก) นอกจากนี้พี่ดิ้นยังนำไก่ทอดหาดใหญ่และข้าวเหนียวมาด้วย(พี่ยี่ซื้อมาฝาก) ข้างๆมีที่กดน้ำบริการ ทั้งน้ำแดง น้ำเขียวและน้ำเปล่า อ่อ ยังมีผลไม้ กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล ลำไย ไว้บริการด้วยนะ

เมื่อกระเป๋ามาถึง เราลงไปด้านล่างเพื่อนำของไปเก็บที่ห้อง ผมหยิบ Wet Suit ออกมาและนำมาแขวนไว้ใกล้ๆแท๊งค์ออกซิเจน พร้อมกับเช็คอุปกรณ์ในเกียร์แบคว่าถูกต้องหรือไม่(คนอื่นๆก็ทำเช่นเดียวกัน บางคนขยันนำ BCD สวมกับแท๊งค์เลยหรือจะให้พี่ Staffของเรือประกอบในวันรุ่งขึ้นก็ไม่มีใครว่าแต่อย่างใด)

ผมขึ้นมาถ่ายรูปในห้อง Living room ที่ติดแอร์สุดหรู มีพี่ป้อม พี่เท็น พี่เอ พี่ปลา พี่เต้ ถึงตอนนี้คนเริ่มทยอยหายไปเยอะเพราะเริ่มดึกแล้วประกอบกับเดินทางมาเหนื่อยๆจึงอาบน้ำและเข้านอนกัน

ภายในห้องนอกจากที่อธิบายไปแล้ว ก็มีโซฟาสีแดงขนาดใหญ่พร้อมหมอน น่ากระโดดทับมาก เชื่อหรือไม่ว่ามีกีตาร์ 1 ตัวด้วยนะ (ถูกใจคนชอบเล่นแน่ๆ)

ผมนั่งดูรูปในคอมกับพี่ป้อม เห็นได้ว่านอกจากรูปสัตว์ทะเลแล้วก็ยังมีรูปบรรยากาศในเรือของผู้ร่วมทริปในแต่ละครั้ง หนึ่งในนั้นก็มีดาราอยู่ด้วย เช่น คุณอ้อม พิยดา คุณแป้ง อรจิรา คุณภูริ หิรัญพฤกษ์ คุณแซน พนมกร คุณกัปตัน UHT ผมมานั่งคิดว่า เรือฐาปนาไม่ใช่เรือลำที่หรูที่สุด ในเมื่อดาราเหล่านี้ต่างมีกำลังทรัพย์มากเหตุใดจึงเลือกที่จะมาเรือฐาปนา อาจเป็นเพราะบริการที่ดีและความสะดวกสบายก็ได้ ผมจะพิสูจน์แล้วจะบอกหลังเรื่องจบนะครับ

ผมนั่งคุยกับพี่หมี(เจ้าของเรือ) เล็กน้อย พี่หมีเล่าให้ฟังถึงระยะทางในการเดินทางครั้งนี้ พร้อมกับบอกว่าในการเดินทางครั้งนี้ มีนักดำน้ำ 22 คน ทำให้ผมรู้สึกเช่นเดียวกับเจี๊ยบ(ที่ติดธุระไม่ได้มาอย่างน่าเสียดาย) ว่า การที่มีคนในเรือน้อยก็รู้สึกดีไปอีกแบบ ผมรู้สึกว่ามีเวลาส่วนตัวเยอะ เรือใหญ่ ห้องโอ่โถง หรืออาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่นอนกันหมดแล้วก็เป็นได้

พี่ป้อมไล่ให้ไปอาบน้ำนอนเพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้า ผมไปอาบน้ำก่อนขึ้นมาชมบรรยากาศอีกครั้ง คราวนี้เหลือเพียงพี่เต้ที่กำลังร้องคาราโอเกะอย่างสนุกสนาน ผมคิดเหมือนแกว่า มาเที่ยวทั้งทีจะให้ผมอาบน้ำนอนในทันที ผมทำไม่ได้หรอกครับ ต้องมาฆ่าเวลาทำอะไรซักหน่อยแล้วค่อยเข้านอน

ผมถ่ายรูปต่อ ทั้งเครื่องชงกาแฟ เครื่องปิ้งขนมปัง ไมโครเวฟ กระติกน้ำร้อน(คิดดูแล้วกัน เรือเหมือนบ้านเลยครับ) พร้อมกับนั่งลงบนโซฟาคุยกับพี่เต้ ไม่นานนักผมกับพี่เต้ก็เข้านอน ชักตื่นเต้นไม่รู้โลกใต้ทะเลที่โลซินจะเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนนอนช่วยกันปิดไฟที่ไม่จำเป็นอีกด้วย

ผมล้มตัวนอน อมยิ้มและคิดในใจว่า “ช่างมีความสุขจริงๆ”

0 Comments:

Post a Comment

<< Home