Monday, August 20, 2012

บินลัดฟ้าเยือนยุโรปที่...อังกฤษ(3)

Welcome to Heathrow Airport!


มาถึง ท่าอากาศยานฮีทโธรว์ แล้วครับ หลังจากเดินทางอย่างยาวนาน 13-14 ชั่วโมง เป็นเช้ามืดวันที่ 9 พฤศจิกายน ของที่นี่(ส่วนที่บ้านเราก็ยังประมาณ 4-5 ทุ่ม ของวันที่ 8 อยู่) เริ่มรู้สึกถึงอากาศที่เย็นๆ เล็กน้อย แต่ยังไม่มาก อาจเป็นเพราะในสนามบินแห่งนี้ มี Heater ที่เปิดไว้ก็เป็นได้

 

เดินลากกระเป๋ามากันเป็นหมู่คณะ จุดนี้เรียกว่า Terminal 4 ว่าแล้วหลายๆคนก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน 

 

พ่อเข้าห้องน้ำนานครับ ระหว่างรอ ก็สำรวจในห้องน้ำไปด้วย มีน้ำประปาแบบดื่มได้ อยู่ในนี้ด้วย เคยได้ยินว่าระบบการทำน้ำปะปาในอังกฤษ สะอาดมาก ต้องลองซะหน่อย

ออกมาทุกๆคน ล่วงหน้าไปกันแล้ว คงไปต่อแถวที่ช่อง Immigration นั่นแหละ ผมกับพ่อก็เดินตามทางไปยังบันไดเลื่อนต่อไป

 

Immigration!


มีป้าย No photography or use of video ผมคงต้องเก็บกล้องใส่ในกระเป๋าแล้วล่ะครับ ก่อนจะผ่านเข้าไปในจุดนี้ มองเห็นแถวยาวมาก นักท่องเที่ยวมาจากทุกสารทิศ นั่น! พวกเราต่อแถวอยู่ตรงนั้นกัน

การต่อแถวมีหลายช่องครับ หากเป็นคนอังกฤษ หรือเป็นประเทศในกลุ่ม EU ก็จะมีช่องพิเศษไว้ให้ สำหรับผมและทางคณะ แน่นอนว่าเป็นแถวที่ยาวที่สุดนั่นแหละ ขยับได้ทีละนิด ทีละนิด

ผมใช้เวลาระหว่างรอ เปิดโทรศัพท์เติมเงินที่เอามาจากไทย ต่อสัญญานของที่นี่ อ้าว ปุ่มดอกจันหายไปไหนแล้ว สงสัยคงหลุดอยู่ในกระเป๋านั่นแหละ 

ใช้เป็น SMS ดีกว่าครับ เก็บค่าโทรไว้ใช้เวลาจำเป็นจริงๆ ประหยัดค่าโทรไปได้มาก แค่บอกว่าถึงแล้ว เท่านั้นแหละ

น้องอ๋อมโดนตรวจนานเลยครับ เห็นว่าเจ้าหน้าที่เทียบกับ Passport ของคุณแม่ ว่าเป็นแม่-ลูก กันจริงหรือเปล่า แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีนะ

 

ออกมาเรียบร้อย ก็มารอรับกระเป๋า ระหว่างรอ มาดูที่รถเข็น คุณลุงก็ยังออกมาต้อนรับ ท่าทางใจดีมากซะด้วย(ลุง ขอไก่ทอด ซักขาดิ ไม่ใช่ล่ะ ผิดคน ผิดประเทศ 555)

ลุงธวัชชัยบอกว่า กระเป๋ามีรอยแตก คงเกิดจากการโยน ดูแล้วใช้ไม่ทน(เห็นว่าของแท้ด้วย) แกบอกอีกว่า อีกใบซื้อจากจีน แต่กลับใช้ทนกว่าเสียอีก ว่าแล้ว ใครที่มีซิมโทรศัพท์ของที่นี่(ที่ฝากหัวหน้าทัวร์ ซื้อ) ก็เอามาใส่กัน จะได้ใช้ติดต่อกันได้

รอรับกระเป๋าให้ป้าไม ผมก็เลยช่วยเข็นรถให้ป้าไมด้วย เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกตรงนี้ ก่อนที่จะเดินออกมาขึ้นรถด้านนอก และแล้วประตูอัตโนมัติก็ได้เปิดออก

 

เฮ้ย อากาศเย็นมาก!


สิ่งแรกที่ทำ ก็คือ รูดซิปเสื้อโค๊ตที่สวมครับ(ใส่มาทำไมเนี่ย เสื้อยืดแขนสั้นด้านใน 555) อากาศเหมือนสัมผัสแรกที่เดินออกจากสนามบินนาริตะ ครั้งไปญี่ปุ่น (น่าจะอยู่ประมาณ 7-12 องศาเซลเซียสนะครับ)

บรรยากาศ เย็น ชื้น และขมุกขมัว ตามสไตล์ของประเทศอังกฤษ ขนสัมภาระขึ้นรถ Coach ดีกว่า คนขับรถ ชื่อ Mr. Nick (เฮ้ย นี่มันผู้พัน Sanders คุณลุง KFC ชัดๆ เหมือนมาก 555) 

 

ภาพทหารอังกฤษในชุดนี้ ยังคงเป็นเอกลักษณ์เสมอ ผมถ่ายก่อนที่จะขึ้นรถ Coach ไปต่อ

 

หัวหน้าทัวร์แนะนำตัว / ออกเดินทางสู่ Wiltshire


ผมกับพ่อนั่งหลังสุดครับ ด้านหลังยังมีที่นั่งเหลือเยอะ ผมพยายามจับจองที่นั่ง ที่อยู่ใกล้หน้าต่าง ทั้ง 2 ข้าง เผื่อจะเจอวิวสวยๆ จะได้ถ่ายภาพเก็บไว้ทัน

หัวหน้าทัวร์ของเราในทริปนี้ ชื่อคุณแอน ดูท่าทางจากการพูดเป็นคนมีอัธยาศัยดีมาก มีข้อมูลและความรู้แน่นปึ๊ก คุณแอนบอกว่า เราจะไปรับคุณไพโรจน์ก่อน (ลุงไพโรจน์ มาถึงก่อนหน้านี้แล้วครับ)

 

อันดับแรก เราจะออกเดินทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน ไปที่วิลต์เชอร์ (Wiltshire) เป็นมณฑลหนึ่งในอังกฤษ เพื่อท่องเที่ยวสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่าง สโตนเฮนจ์(Stonehenge) 

คุณแอนให้จดเบอร์โทรศัพท์ของเธอไว้ เผื่อหลงทาง และพูดถึงในวันหลังๆ ที่กรุงลอนดอน ให้ระมัดระวังกระเป๋าไว้ (เพราะเธอก็พึ่งโดนไป) รวมทั้งคืนนี้ ที่โรงแรมใน Bristol ด้วย(เห็นว่าสมัยก่อนไม่เท่าไรครับ ตั้งแต่อังกฤษให้แรงงานจากประเทศนอกกลุ่ม EU เข้ามาทำงานและพำนักในอังกฤษ นั่นแหละ ก็เริ่มมีมากขึ้น)

 

รับคุณลุงไพโรจน์ขึ้นมาเรียบร้อย ในถุงที่แจก มีน้ำกับขนมไว้ด้วย(เผื่อหิว) เป็นพวกขนมปังกรอบครับ งั้นกินซะเลย กำลังหิวพอดี

 

Tesco Lotus มาดูต้นตำรับกันบ้าง ครบวงจรเลยครับ มีปั้มน้ำมันด้วยนะ

ถ่ายรูปยากเหมือนกัน ในที่ที่แสงน้อย แถมรถกำลังเคลื่อนที่ ผมไม่อยากเปิดแฟลชด้วย ก็เลยจะมีเบลอกันบ้างล่ะ

 

สังเกตต้นไม้รอบๆ ใบไม้เปลี่ยนสีด้วย (เหมือนตอนไปญี่ปุ่นเลย) แต่ท้องฟ้าก็ยังคงขาวสนิท คงบรรยากาศแบบอังกฤษไว้ 

 

ผมว่าเมืองที่อังกฤษค่อนข้างเงียบๆนะ (แต่พ่อบอกว่า มันยังเช้าอยู่น่ะ)

 

ป้ายบอกระยะทางที่อังกฤษ จะใช้เป็นไมล์นะครับ ฉะนั้น ถ้าดูแล้ว เราก็ต้องคำนวนกันอีกที ส่วนการเข้าปั้มก็จะมีทางเบี่ยงออกไปริมทาง ไม่ค่อยมีอยู่ตามเส้นทางแบบบ้านเรา ส่วนการจับความเร็วก็จะมีป้ายเตือนก่อนว่าจะจับ ไม่ใช่ โผล่มาทันทีแบบตำรวจที่บ้านเรา

 

สำหรับรถไฟ ของที่นี่มี 4 มุมเมือง เลยครับ แบ่งเป็นโซน เช่น เหนือไปขึ้นที่ไหน ใต้ไปขึ้นที่ไหน

ไม่เหมือนหัวลำโพง ของบ้านเรา ที่ขึ้นเหนือ ลงใต้ ไปอีสาน ก็จะเป็นศูนย์รวม ว่าจะต้องมาขึ้นที่นี่

 

คุณแอนก็เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ในขณะทึ่หลายๆคนก็เริ่มหลับไหล ส่วนผมก็พยายามเก็บข้อมูลและบรรยากาศรอบๆ

 

สโตนเฮนจ์(Stonehenge) จะอยู่ห่างจากเมืองอเมซเบอร์รี่ (Amesbury) ทางตะวันตก 3.2 กิโลเมตร และห่างจากเมือง Salisbury ทางเหนือ 13 กิโลเมตร

 

เส้นทางจะเริ่มเป็นทางเล็กๆ มีทุ่งหญ้าเขียวขจีรอบๆ มีฟาร์มเลี้ยงแกะ มีการขายขนแกะ(ซึ่งมีมาตั้งแต่อดีต) พืชไร่ก็จะมี ข้าวสาลี ข้าวมอลต์ มีต้นไม้สำหรับทำน้ำตาล และน้ำมันด้วย(น่าจะเป็นพวกน้ำมันพืช) อากาศในตอนนี้ อึมครึมมาก ทำให้ยิ่งดูขลัง 5555 (คุณแอนว่าแบบนั้น)

 

ใช้เวลาเดินทางจากสนามบิน Heathrow มาสโตนเฮนจ์(Stonehenge) ประมาณ 2 ชั่วโมง (140 กิโลเมตร)

 

ฝนตกด้วย ดีนะที่เตรียมหมวกมา เอากระเป๋าไว้ในรถดีกว่า ไม่อยากแบกไป คงไม่หายหรอก(ลุงนิคครับ ฝากดูกระเป๋าผมด้วยนะ)

 

ลงไปสำรวจสโตนเฮนจ์กันเลยครับ

0 Comments:

Post a Comment

<< Home