Friday, May 22, 2009


หลายสัปดาห์ก่อน มีธุระต้องไปแถวบ้านหม้อครับ ปกติจะเริ่มจากนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน มาลงสถานีหัวลำโพงแล้วต่อรถเมล์ จากนั้นก็เดินต่อจนถึงที่หมาย


แต่วันนี้จากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมอยากแวะมาไหว้พระที่วัดไตรมิตร ซึ่งอยู่ใกล้ๆด้วย ซึ่งพอจะทราบจากเพื่อนว่า ตอนนี้ที่วัดมีการก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ หากจะมาสักการะ ก็สักการะองค์จำลองไปก่อนครับ


เดินออกมาทางฝั่งที่ไปเยาวราช เดินข้ามถนนตรงมาเรื่อยๆ ก็จะเจอวัดอยู่ทางขวามือครับ ไปไม่ถูกลองถามคนแถวนั้นดูได้


เสร็จแล้ว จากจุดนี้ยังไม่เคยขึ้นรถเมล์ครับ ไม่รู้สายไหนไปถึงสะพานเหล็กบ้าง(แหล่งเกมครับ นักเล่นเกมต้องรู้จักเลยล่ะ ไปสะพานเหล็กถูก บ้านหม้อก็อยู่ไม่ไกลครับ) เลยลองเดินไปเรื่อยๆดีกว่า


ผ่านดิโอสยาม วิวสวยครับ ใครจะมาถ่ายรูปก็คงได้วิวสวยๆ เพราะใกล้ๆก็เห็นพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดไตรมิตรด้วย(หาน้ำดื่มก่อนครับ คอแห้งเป็นผงแล้วล่ะ)


มีป้ายเขียน เยาวราช900 เมตร ก็ไม่ไกลนี่หว่า ผมเลยตัดสินใจเดินต่อไป เลาะฟุตบาทไปเรื่อยๆ นั่นแหละ และก็ดูเหมือนว่าจะดีครับ เพราะรถค่อนข้างติดมาก เดินเอาน่าจะเร็วกว่า แต่จะเหนื่อยหน่อย ควรมีรองเท้าผ้าใบครับ กันเจ็บเท้า


แถวนี้ ร้านอาหารเพียบเลยครับ มีทั้งกระทบกระเทือนกระเป๋าแบบน้อยๆ จนไปถึงกระทบกระเทือนกระเป๋าแบบทะลุจนเป็นรูโบ๋ พวกร้านหูฉลาม ภัตตาคารต่างๆนี่แหละครับ ให้คนมีตังค์เขากินไปเถอะ(อีกอย่าง ถึงมีก็ไม่กินครับ หูฉลาม ส่งเสริมการล่า ไม่ดีนะ)


มีของขายริมทางเยอะครับ ข้ามฝั่งตรงไปเรื่อยๆ ผ่านสะพานเหล็ก(เร็วจังเว้ย) ขอแวะไปเข้าห้องน้ำ ตากแอร์ในห้างที่พนักงานขายดูจะเยอะกว่าลูกค้าครับ(ก็ยังไม่เจ๊งนะ) เมอร์รี่ คิง หรืออะไรนี่ล่ะ


ค่อยยังช่วย เดินต่อครับ จากห้างนี้ ตรงไปเรื่อยๆ จะมาทะลุถนนอีกเส้น ข้ามถนนไปเลยครับ ก็จะผ่านอีกห้างหนึ่ง ที่แอร์เย็นและคนเยอะ(คนละเรื่องกับห้างเมื่อซักครู่)


ทะลุออกมา เจอถนนอีกเส้น ข้ามถนนไปก็ถึงบ้านหม้อแล้วครับ มีอุปกรณ์ไฟฟ้า และจิปาถะขาย ที่ไม่ชอบใจ คือ เจอพระสงฆ์มาซื้อของครับ ผมว่าท่านฝากเด็กวัดมาซื้อยังจะดูดีกว่าอีกนะ แบบนี้มีให้เห็นครับ เช่น พันธ์ทิพย์ก็มี(เคยฟังจากพระรูปนึง ท่านบอกว่า แม้ไม่ผิด แต่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรครับ)


เสร็จธุระเรียบร้อย ขากลับไม่ไหวแล้วครับ พลังหมด ขอโบกแท๊กซี่แล้วกัน


ใครอยากจะลองเดินดูก็ไม่เลวนะครับ ถ้าอากาศไม่ร้อน ผมว่าจะเดินสบายกว่านี้น่ะ

Saturday, May 09, 2009

ผ่อนคลาย สบายใจไป….เกาะสุรินทร์(4)







อ่าวสุเทพ

จุดนี้แนวปะการังยังพังอยู่มากครับ สังเกตจากเศษปะการังตามพื้น(ส่วนดีก็ยังพอมีให้เห็น) ในขณะที่ผมกำลังมองไปเรื่อยๆ ก็พบสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง รูปร่างไม่คล้ายปลาเลยนะ

หนึ่งในสัตว์ตระกูลหอย ที่เปลือกลดรูปไป “หมึกครับ หมึกกล้วย เป็นฝูงเลย”

ยี่สิบตัวขึ้นไปครับ จากการกลับมาดูในกล้อง โอกาสที่จะเห็นฝูงหมึกกล้วยว่ายน้ำแบบนี้ไม่ง่ายครับ และเป็นการดำแบบผิวน้ำซะด้วยนะ(Scuba ก็ไม่ได้เห็นง่ายนัก ยิ่งใกล้ๆแบบนี้ยิ่งยาก ส่วนใหญ่จะเห็นไกลๆ การเห็นหมึกกระดองและหมึกยักษ์ดูจะง่ายกว่าเยอะครับ)

ขึ้นเรือ แล้วไปดำน้ำจุดต่อไปกันครับ


เกาะมังกร(ปาจุมบา)

ดีกว่าตรงอ่าวสุเทพครับ เริ่มมีแดดมากขึ้น ใต้น้ำก็มีแนวปะการังที่ดูดีกว่า แม้จะมีร่องรอยการเสียหายก็ตาม เจ้าปลาผีเสื้อพระจันทร์(Racoon Butterflyfish) ว่ายอยู่บนปะการังก้อนอย่างมีความสุขครับ

ฝูงปลารูปร่างยาว ว่ายผ่านด้านหน้าผมไปครับ สัญชาติญานบอกว่า ต้องถ่ายให้ได้นะ ดูแล้วคล้ายๆBaracuda ครับ

ปลาสินสมุทรบั้งเหลือง(Regal Angelfish) ลวดลายสวยไม่แพ้เจ้าแว่นเหลืองที่ผมเห็นเมื่อเช้านี้ แต่แป๊บเดียวก็ว่ายหนีเข้าไปในซอกหินครับ ไม่ทันได้ถ่ายเลยน่ะ

สุดท้ายที่จำได้ เป็นปลาการ์ตูนอินเดียน(Skunk Anemonefish) ที่คนมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นปลาการ์ตูนอินเดียนแดงครับ

ยังไม่จบครับ บ่ายนี้มีโปรแกรมดำน้ำสามจุด เราไปยังอีกจุดหนึ่งดีกว่านะ


อ่าวไม้งาม

ของดีและของเด็ดอยู่ไม่ไกลจากที่พักครับ นอกจากแนวปะการังที่ตื้นแล้ว แสงแดดก็มีสภาวะที่เหมาะสม ถ้าเป็นฝรั่งก็ต้องบอกว่า “Cool!!!”

แนวปะการังค่อนข้างสมบูรณ์ครับ มองเห็นปลาขี้ตังเบ็ดลาย(Striped Surgeonfish) ว่ายอยู่โดยมีปะการังหลากชนิดเป็น Background

มีปลาตัวหนึง หน้าตาค่อนข้างประหลาดครับ อาจเป็นเพราะมุมมองตอนเธอหันหน้ามาด้วยละมั้ง(ใครทราบบอกหน่อยนะครับ)

ปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish) ลำตัวคล้ายก้างปลา บริเวณปากมีสีชมพูแดง น่าจูบซะจริง 555

เจอเจ้านีโมจนได้ เจ้านีโมหรือ ปลาการ์ตูนส้มขาว( False Clown Anemonefish) ตัวเอกในภาพยนต์ดัง ขวัญใจของเด็กๆ

ถ่ายรูปได้ด้วยครับ แต่ออกจะเบลอเพราะตัวผมก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ปลาก็ไม่ได้อยู่นิ่ง(ไว้แก้ตัวกลับไปถ่ายแบบ Scuba ครับ)

นอกนั้นที่จำได้ก็มี ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) ปลาสินสมุทรแว่นเหลือง(Blue-Face Angelfish) ครับ

ตอนแรกคิดว่าจะต้องว่ายกลับฝั่งแล้วครับ เพราะหาเรือไม่เจอ ผมลอยคออยู่กับสาวไทยในชุดบิกินี่สีดำ(ก็ไม่รู้จักชื่อครับ ก็ต้องเรียกแบบนี้ก่อนล่ะ) อ่อ ฝรั่งก็อยู่ด้วยนะ โชคดีว่ารอซักพักเรือก็มารับน่ะ

พี่บิ๊กแกยังนอนอยู่เลยครับ นอนคลุกทรายเหมือนพวกเมาค้างน่ะ พี่เหมียวบอกว่า “แบบนี้แหละเป็นความสุขของเขาล่ะ”

นอนเล่นที่เปลญวน ถ่ายรูปวงรอบของเปลือกไม้ รอให้แดดร่มครับ ขืนไปเล่นน้ำตอนนี้ก็เกรียมแน่นอน

สบายครับ เล่นน้ำสบายตัวมากๆ ไม่มีเหนียวตัวด้วย ไม่นานนักพี่ๆก็ออกมา ถือหน้ากากออกมาสน๊อคเกิ้ลด้วย
ตอนเอาอุปกรณ์ไปคืน ผมถามทอมว่า ไปเจออะไรมา เพราะสงสัยที่เป็ด บอกผมว่า ทอมเจอปลาที่ชื่อเหมือนโจรสลัด สรุป เป็น นโปเลียนครับ(Napoleonfish) ทอมบอกไม่เคยเจอที่นี่มาก่อน นโปเลียนถือว่าเป็นปลาที่เจอยากครับ Scuba ที่เกาะเก้าสิมิลัน อาจเจอบ่อยๆ แต่สำหรับการสน๊อคเกิ้ล มีไม่กี่ที่หรอกครับ ที่จะได้เจอ ผมยังอยากเจอแบบสน๊อคเกิ้ลบ้างเลย

อาบน้ำเสร็จ ก็เดินมาสั่งข้าวไว้ก่อน ใกล้สองทุ่มด้วยครับ ต้องเตรียมชำระค่าเต๊นส์ไว้ตอนนี้เลย พรุ่งนี้บ่ายผมก็จะกลับแล้ว พี่เหมียวก็มาชำระด้วยครับ เห็นตอนแรกว่าจะอยู่ต่อ

ผมลงชื่อไปหมู่บ้านมอแกนวันพรุ่งนี้ครับ น่าจะได้ไปนะ เพราะจำนวนคนเยอะพอสมควร ก่อนหน้านี้สามครั้งที่มา ผมยังไม่เคยได้ไปเยี่ยมชาวมอแกนเลยครับ แต่ก่อนผมห่วงเรื่องดำน้ำ กลัวจะดำไม่ครบโปรแกรม ตอนนี้ไม่ห่วงแล้วครับ แค่ไหนก็แค่นั้น(ครั้นพอจะอยากไปแต่จำนวนคนก็น้อย เรือไม่ออกซะงั้น)

ปั้มตราอุทยานแห่งชาติไว้ซะด้วยเลยครับ จริงๆควรจะมีอุทยานแห่งชาติทางทะเลมากกว่านี้ แต่ดันพึ่งจะเริ่มซื้อหนังสือน่ะ(ภาคอื่นที่ไม่ใช่ภาคใต้กับตะวันออก ว่างเปล่าแน่ครับ ผมไม่ค่อยได้ไปอยู่แล้ว)

ข้าวผัดกุ้งรสชาดดีเลยล่ะครับ ครั้นจะสั่งต่อ แต่ครัวก็ดันปิดแล้ว ก็เลยอดไป

ช่วงแปรงฟันเจอเจ้าฝรั่งที่มีแฟนแสนจะ sexy (มีอะไรหรือเปล่า พูดถึงบ่อยจัง) ไม่ทันขาดคำ เธอก็มาครับ ได้เห็นใกล้ๆ ตัวแดงแป๊ดเลย ท่าทางจะตากแดดเยอะครับ เลยถามเกี่ยวกับสีที่ลำตัว เธอก็ตอบว่า

“แสบไปหมดเลยค่ะ”(เสียงหวานมาก)

คืนนี้ น่าจะเป็นวันแรกในรอบหลายปี ที่ผมนอนในเวลาสามทุ่มครึ่งครับ

ค่ำคืน แห่งความสุขกำลังผ่านไป วันรุ่งขึ้นจะต้องกลับกรุงเทพแล้ว เร็วจริงๆ ครับ


18 เมษายน 2552

ตื่นมาด้วยความสดชื่นครับ ได้นอนเต็มอิ่ม เข้านอนเร็วด้วยล่ะ ยังเหลือมาม่าอยู่ครับ ขี้เกียจขนกลับ ว่าแล้วก็เอาไปกินเลยดีกว่า

ที่โรงอาหารจะมีน้ำร้อนให้ครับ ใครจะทานมาม่าก็ได้ จะชงกาแฟดื่มก็ได้ ไม่ว่ากัน

ซื้อขนมไปฝากเด็กมอแกนดีกว่าครับ ได้ยินว่าเด็กๆที่นั่นเยอะมากด้วย ช่วงสึนามิผมก็เคยบริจาคเสื้อผ้าให้มอแกน เพียงแต่ไม่ได้มาให้ด้วยตัวเองน่ะ(คราวหน้าอาจจะขนมาเองก็ได้ครับ)

เดินไปที่จุดสองร้อยเมตร พี่วสันต์กับพี่เล็กก็ไปหมู่บ้านมอแกนเหมือนกันครับ เพียงแต่ไปคนละลำน่ะ(แพคเกจทัวร์ แยกไปอีกลำครับ)

มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านมอแกนกันเลยครับ


หมู่บ้านมอแกน ณ อ่าวบอน

น้ำทะเลสีเขียวอ่อน ด้านหน้าผม คือ อ่าวบอน มีบ้านหลายหลังตั้งเรียงรายกันอยู่ครับ ดูเป็นระเบียบและเรียบง่าย ทุกบ้านยกใต้ถุนสูง ด้านหลังเป็นภูเขาสูงใหญ่ วิวสวยดีมากครับ เป็นธรรมชาติจริงๆ

เดินเข้าไปด้านใน มีเด็กๆเยอะเลยครับ พอแจกขนม แทบทุกคนยกมือไหว้ กิริยามารยาท เรียบร้อยกว่าเด็กเมืองกรุง บางคนอีกครับ

น้องมอแกนยิ้มแย้มและเป็นกันเองมาก ใครเห็นก็ต้องชอบล่ะครับ

ด้านในมีอาคารนิทรรศการครับ แสดงถึงขั้นตอนการสร้างเรือของชาวมอแกน แผนที่ตั้งของชาวเลสามกลุ่ม คือ มอแกน มอเกลนและอูรักลาโว้ย ซึ่งแต่ละกลุ่มก็ใช้ภาษาแตกต่างกัน

เดินไปสำรวจต่อครับ เอาขนมไปแจกต่อด้วย ที่บ้านแต่ละหลังจะมีเลขที่ครับและชื่อเจ้าของบ้านและ นามสกุล “กล้าทะเล” เหมือนกันทุกบ้าน เป็นนามสกุลพระราชทานครับ ตอนนี้ชาวมอแกนได้สัญชาติไทยแล้วด้วย

ผมเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ติดอยู่ที่บ้านและอีกหลายๆหลัง รู้สึก ชื่นใจครับ ทำให้นึกถึงเพลง “รูปที่มีทุกบ้าน” เลยล่ะ

คุณยายชาวมอแกนนั่งขายมะละกอครับ เธอตาบอด ใกล้ๆก็มีคุณป้าอีกคนขายสายรัดข้อมือที่ทำด้วย(ต้นอะไรผมก็จำไม่ได้แล้วครับ) และมีกระเป๋าที่ทำจากต้นเดียวกัน ไว้ใส่เศษเงินก็ได้

เดินต่อไป มีแผงโซลาร์เซลล์ครับ ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ถัดไปมีสถานีอนามัย มีเด็กๆ นั่งเล่นอยู่ด้วย คราวหน้าต้องซื้อขนมมาให้เยอะกว่านี้ครับ ขนมของผมหมดไปตั้งแต่ ต้นๆหมู่บ้านแล้วน่ะ เด็กเยอะจริงๆ

วิวตรงนี้สวยดีครับ มีต้นผักบุ้งทะเลด้วย(น่าจะใช่นะครับ ที่ดอกมีสีม่วงๆน่ะ) ถัดไปเป็นโรงเรียนของเด็กๆชาวมอแกน ถัดไปอีกเป็นบ้านพักครูครับ ออกแบบได้เจ๋ง จริงๆ

เดินกลับไปที่ต้นหมู่บ้านครับ พี่ชายคนหนึ่งชาวมอแกน แนะนำให้ผมเดินเข้าไปด้านหลัง จะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ชื่อว่า “ช่อกมาด๊ะห์” จะมีจุดชมวิวด้วย ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที(ทางออกอยู่หลังโรงเรียนครับ)

แกบอกว่า เดินขึ้นไปมีทางแยกให้ไปทางขวา อย่าตรงขึ้นไปเพราะจะขึ้นเขาซึ่งจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงครับ
ผม พี่เหมียว พี่บิ๊ก ตัดสินใจจะขึ้นไปสำรวจด้านบนล่ะ


เส้นทางศึกษาธรรมชาติ “ช่อกมาด๊ะห์”

ถึงทางแยกแล้วเลี้ยวขวานะครับ อย่าตรงขึ้นไป ด้านในเป็นป่าดิบชื้นครับ ระยะทางประมาณ 800 เมตร เส้นทางไม่ลำบากมากนัก แต่ต้องระวังกิ่งไม้ครับ วันนี้ผมใส่เสื้อกล้าม ก็โดนกิ่งไม้เฉี่ยวไปหนึ่งแผล

ระหว่างทางจะมีป้ายบอกตลอดครับ ได้ความรู้ดีด้วย เดินไปซักพัก ก็ถึงจุดชมวิวที่เป็นนอกชาน ยื่นออกไป พื้นทำด้วยไม้ไผ่ คุ้มค่าในการเดินขึ้นมาครับ เพราะวิวสวยจริงๆ มองเห็นหมู่บ้านมอแกน มองเห็นอ่าวบอนอยู่ด้านล่าง สิทธิพิเศษสำหรับคนที่เดินขึ้นมาเท่านั้นครับ

แต่ตรงทางลง ซึ่งจะมาออกหลังโรงเรียนนั้น มีป้ายเขียนว่า เส้นทางศึกษาธรรมชาติ “ตะบิง ก่อตาน” เลยงงครับว่า ตกลงเข้าใช้ชื่อไหนกันแน่(ใครทราบช่วยบอกผมด้วยครับ ตอนนี้ ผมจะถือว่ามีสองชื่อนะ)

เดินย้อนมาทางหน้าหมู่บ้านครับ เห็นแม่ลูกชาวมอแกนคู่หนึ่ง ลูกพึ่งจะเกิดได้ 11 วัน ยังแบเบาะอยู่เลยครับ เขาบอกว่า ถ้าปกติแบบนี้ต้องอยู่ในโรงพยาบาล ที่หน้าผากของเจ้าเด็กน้อยมีสีดำๆติดอยู่ ด้วย คนที่คุยอยู่ เล่าให้ฟังว่า ถือเป็นการขับไล่ภูต ผี ปีศาจครับ

ที่น่าเศร้า คือ ผู้หญิงคนนี้ เธอผ่านการมีลูกมาแล้วสามคน สามคนนั้นเสียชีวิตทั้งหมดครับ( ตั้งแต่ยังแบเบาะแบบนี้แหละ) ส่วนเด็กทารกที่ผมเห็น อาการก็ดูไม่ค่อยดีเลยครับ ผมหวังว่า เด็กคนนี้จะรอดชีวิต และเติบโตเป็นผู้ใหญ่นะ

เดินต่อไปเจอเด็กๆมอแกนเล่นดีดลูกแก้ว เดินต่อไปอีก เจอสาววัยรุ่นชาวมอแกน(เลยหันกลับมาดู) ดูก็รู้ครับว่าเธอน่ารักครับ

ได้เวลาแล้ว เราขึ้นเรือเพื่อเดินทางกลับไปยังจุด 200 เมตร ผมคิดว่า คราวหน้าอยากจะกลับมาอีก อย่างน้อยเด็กๆก็จะมีขนมกิน ชาวมอแกนก็จะมีรายได้ เราเป็นมนุษย์ ก็ควรจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จริงไหมครับ

ที่จุด 200 เมตร ผมเจอพี่นิพนธ์ จึงสวัสดีและบอกลาว่า บ่ายนี้ผมจะกลับแล้ว แกถามผมว่า

“ภพ เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างครับ”

“เห็นครับพี่”

เริ่มจากจุดดำน้ำที่แย่ลงกว่าเดิม คือ เกาะสตอร์ค กับอ่าวจาก ในขณะที่จุดที่ดีขึ้นกว่าเดิม คือ ตอรินลาและอ่าวผักกาด

ระหว่างที่ผมเล่านั้น พี่นิพนธ์กับพี่อีกคนหนึ่ง พยักหน้าเหมือนจะบอกว่า ที่ผมเล่ามานั้นถูกต้องทุกอย่าง

“เล่าให้น้องฟังหน่อย ว่า เกาะสตอร์ค กับอ่าวจาก เกิดอะไรขึ้น”? พี่นิพนธ์บอกให้พี่อีกคนเล่าให้ฟัง

สองจุดที่ว่านั้น พังทลายโดยฝีมือของมนุษย์ที่แอบมาวางอวน เนื่องจากจุดดังกล่าวอยู่ไกล ยากแก่การดูแล ในขณะที่อีกเหตุหนึ่ง เกิดจากธรรมชาติเพราะดาวมงกุฎหนามนั่นเอง

กาลเวลาย่อมเปลี่ยนแปลงครับ ไม่ว่าจะเป็นอ่าวช่องขาดที่ยอดเยี่ยมก่อนคลื่นสึนามิ หรืออ่าวจากที่มีความหลากหลายของปะการังสูงมาก( อ . ธรณ์ เคยเรียกว่า ระดับ Mega ครับ)

คงเหมือนมนุษย์ครับ ที่มีเกิด มีแก่ มีเจ็บและก็มีตาย แต่ปัจจัยที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติอย่างการวางอวน การจับปลา ควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการแก้ไขครับ

ส่วนโครงการบ้านทาร์ซานที่อ่าวกระทิงนั้น โชคดีว่า ถูกพับเก็บไปแล้วครับ ตอนนี้ มีทหารเรือมาตั้งศูนย์อยู่ที่นั่น คอยตรวจตรา ซึ่งก็ยังดูดีกว่า จะปลูกบ้านพักตรงนั้นน่ะ

กลับมาอาบน้ำแต่งตัวครับ ผมบอกพี่เหมียวว่า จะรออยู่ที่โรงอาหาร นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว หาข้าวทานก่อนไปดีกว่าครับ

บ่ายนี้อิ่มมากครับ นอกจากข้าวผัดกุ้งที่ผมสั่งมา ก็ยังมีกับข้าวของพี่เล็กกับพี่วสันต์ที่แบ่งให้ผมทาน ทั้งน้ำพริกมะขาม ไข่พะโล้ ผัดผักรวม อิ่มสุดๆเลยล่ะ

ผมเดินกลับไปที่เต๊นส์เพื่อตามพี่เหมียวและพี่บิ๊ก ไม่เจอครับ ไปไหนหว่า นี่ก็ได้เวลาแล้ว พี่ๆอาจจะล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ผมไปที่จุด 200 เมตรเลยดีกว่านะ

ไม่มีครับ ผมเจอเพียงพี่วสันต์และ พี่เล็ก แล้วพี่เหมียวกับพี่บิ๊กไม่กลับวันนี้หรืออย่างไร?(จ่ายเงินไปแล้วเมื่อวานด้วย)

ไม่มีเวลามากไปกว่านี้ครับ ผมนั่งเรือหางยาว ขึ้นสู่เรือใหญ่ มองดูเรือแต่ละลำที่มาส่งผู้โดยสาร ก็ไม่ปรากฎว่า มีพี่เหมียวกับพี่บิ๊กครับ

ผมสันนิษฐานได้สองประการครับ คือ ข้อแรก ตกเรือ อาจจะดูเวลาผิดน่ะ นึกว่า บ่ายสอง อีกข้อ คือ อยู่เกาะต่อครับ(ผมเดาข้อแรกมากกว่าครับ 55)

ผมมองดูอ่าวช่องขาด แหลมแม่ยาย ค่อยๆเล็กลงไป เล็กลงไป

ระหว่างทาง บริเวณกองหินริเชลิว มีดิงกี้ส่งสัญญานมาที่เรือโดยสารว่าให้รอก่อน มีชาวต่างชาตินอนฟุบอยู่ในเรือด้วย อาการไม่ค่อยดีเท่าไรครับ
“น๊อคน้ำ น๊อคน้ำ”

โชคดีที่ชาวต่างชาติคนนี้ยังพอเดินได้ครับ แต่ต้องรีบไปที่ห้องหัวเรือและเอนตัวนอน เมื่อถึงฝั่งก็จะไปโรงพยาบาลต่อ เข้าใจว่าจะเข้าไปที่ห้องปรับความดันครับ(เหมือนกรณีของคุณอิงค์ อชิตะ ที่ลงข่าวนั่นแหละ)

ไม่ว่าจะเกิดด้วยสาเหตุใด แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอครับ ควรเคร่งครัดในกฎระเบียบ ดำน้ำอย่างปลอดภัย และไม่ฝืนหากไม่สบายจริงๆ ก็น่าจะพอช่วยได้บ้างครับ(หากระวังตัวดีแล้วยังเกิดก็คงต้องยอมรับและแก้ไขครับ)

ขากลับเร็วจริงๆครับ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง สี่สิบนาที เท่านั้น ก็ถึงฝั่งแล้ว

มีน้ำเป๊บซี่เย็นๆ คอยให้บริการครับ ก็ถือว่าเป็นบริการหลังการขาย ผม พี่วสันต์และพี่เล็ก ก็นั่งรถของทางซาบีน่า ไปส่งที่ท่ารถ บ ข ส

ผมได้รถเสริมครับ(คนก็ดันมากลับเอาวันนี้พอดี) ไม่เป็นไรครับ ดีกว่าไม่มีรถ ลองมาเดินดูที่ตลาดเย็นกันบ้าง(จะอยู่คนละด้านกับตลาดตอนเช้าครับ) มีของกินขายพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นรถเข็น ผมซื้อขนมครกมาลองทานด้วย อร่อยดีครับ

นั่งกินข้าวเย็นกับพี่วสันต์และพี่เล็ก ซักพักก็ต้องขอลากลับ เพราะรถมาซะแล้ว ถึงเวลาต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯครับ



บทส่งท้าย

แม้จะไม่ได้ดำน้ำแบบ Scuba แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ทำให้ผมมีความสุขมากๆ ที่ได้กลับมายังสถานที่รักอีกครั้งหนึ่ง

หมู่เกาะสุรินทร์ ยังคงเป็นสุดยอดแห่งการดำน้ำแบบ Snorkeling ที่หาตัวจับได้ยาก ชาวต่างชาติหลายคนกลับมาเที่ยวที่นี่อีกหลายครั้ง

สำหรับผมแล้วการเดินทางนอกจากจะได้รับประสบการณ์ที่ดีแล้ว การเดินทางก็เป็นการผ่อนคลายที่ดีมากๆครับ ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม

อยากให้ทุกๆคนมาเที่ยวที่นี่นะครับ ระยะเวลาการเปิดเกาะก็มีเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น หากพลาดไป ปีหน้าค่อยมาใหม่(อย่าลืมแวะมาหาชาวมอแกนด้วยล่ะครับ)

และสุดท้าย ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม

แล้วพบกันใหม่ครับ ^^






Phop Payapvipapong

1 May 2009

3:46 PM





Thursday, May 07, 2009

ผ่อนคลาย สบายใจไป….เกาะสุรินทร์(3)







เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่าวไม้งาม-อ่าวช่องขาด

เงียบครับ เงียบจริงๆ ปกติผมจะเห็นคนเดินทั้งขาไปและขากลับ แต่นี่เงียบครับ ผิดปกติแล้วล่ะ อาจเป็นไปได้ว่าเป็นช่วงเย็น หากใครจะมาก็เริ่มจากจุดสองร้อยเมตรครับ จะมีทางเดินลัดเลาะลงไปถึงอ่าวกระทิง ต่อไปจนถึงอ่าวช่องขาด ใช้เวลาเดินไป-กลับ สองชั่วโมงครับ

แต่คราวนี้ผมรู้สึกว่าเส้นทาง มองยากครับ ก่อนถึงอ่าวกระทิง ผมจึงตัดสินใจกลับเพราะเริ่มมืดแล้ว อีกอย่าง ด้านหน้าผม มีกิ่งไม้ขวางเส้นทาง ต้องปีนข้ามไป ต้องให้เจ้าหน้าที่มาเคลียร์เส้นทางครับ อาจเป็นไปได้ว่า คนมาน้อยเพราะเห็นเส้นทางมีสิ่งกีดขวางละมั้ง

แต่ร้อนใช้ได้ครับ เหงื่อท่วมตัวเลย ผมถึงที่เต๊นส์แล้ว จะรีบอาบน้ำไปใย ลงไปสำรวจด้านหน้าหาดดีกว่าครับ


หน้าหาดอ่าวไม้งาม

นอกจากปลาที่ชอบพลุบๆ โผล่ๆ ตามพื้นทรายแล้ว ผมเจอของเด็ดด้วยครับ ขนาดแค่ปลายเล็บเท่านั้น ตอนแรกชั่งใจว่าจะเป็นหนอนตัวแบนหรือทากทะเล กลับมาดูจากภาพแล้ว ให้เป็นหนอนตัวแบน(Flat worm) ต้องขอขอบคุณพี่ AA แห่ง Scubazoomด้วยครับ

ยังไม่จบแค่นั้นครับ แม้ผมจะถ่ายรูปมาไม่ได้ เพราะเขาออกมาแล้วหลบเข้ารูไป แต่มั่นใจว่าเป็นลูกปลาวัวปิกัซโซ่ครับ(Wedge Picassofish) หรือจะเรียกว่าปลาวัวหางลิ่มก็ได้ ขนาดเท่าหัวแม่โป้ง ลวดลายนั้นใช้แน่นอน เคยได้ยินว่า วัยเด็กมักจะชอบอาศัยในเขตน้ำตื้น เหมือนลูกปลาอีกหลายชนิดครับ ทำไมถึงได้ชื่อนี้ ต้องดูที่ลวดลายเลยครับ เหมือนมีใครไปแต้มสีให้มันจริงๆ เท่น่ะเนี่ย ชื่อเหมือนจิตรกรเอกเลย

ช่วงที่ผมถ่ายนูดี้อยู่นั้น มีคนตะโกนว่า “ฉลามๆ กระเบนๆ” ผมไม่สนใจครับ ผมจะถ่ายนูดี้ แต่ตรงนั้นคงมุงเยอะเหมือนกันนะ

พอคนมุงไปแล้ว ผมกำลังจะเดินเข้าหาด “เฮ้ย ฉลามจริงครับ ลูกฉลามสองตัวกับกระเบนพื้นทรายอีกหนึ่งตัว” !!!!!!!!

พยายามเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อถ่ายรูปครับ(เดินอย่างเงียบๆ) แต่ไม่ง่ายเพราะปลาก็ว่ายน้ำเป็น แต่เท่าที่สังเกตน่าจะเป็นลูก Blacktips Shark สองตัว กับ กระเบนซึ่งอาจเป็นพวก Stingray ก็ได้ครับ

ไม่ง่ายนะครับ กับการที่เห็นฉลามว่ายเข้ามาใกล้แบบนี้ ไม่ต้องกลัวครับ พวกนี้ไม่ได้เป็นอันตรายน่ะ เห็นคนมันกลัวครับ ไม่ใช่วิ่งเข้าใส่ เหมือนในหนัง ที่แสนจะโม้

ไปอาบน้ำดีกว่า นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว หากไปโรงอาหารช้าอาจจะสั่งอะไรไม่ได้เลยเพราะครัวปิดตอนสองทุ่มนั่นเอง(ก็เอาน้ำลูบท้องไปแล้วกัน 55)

เผ็ดครับ เผ็ดจริงๆ ขนาดสั่งว่าไม่เผ็ดนะเนี่ย นี่มันผัดกระเพราหรือผัดพริกขี้หนูก็ไม่รู้ เหงื่อท่วมตัวเหมือนอาบน้ำใหม่อีกรอบครับ (ลาก่อน ไม่สั่งแล้วครับ มื้อหน้า 555)

กล้วยครับ เอากล้วยมากินต่อ ผมพลาดอย่างหนึ่ง คือ ทำไมไม่ซื้อกล้วยที่ยังไม่สุกมา(วะ) ผมซื้อแบบสุกมากๆมา พอเก็บไว้ในเต๊นส์ที่ร้อนจัด กลายเป็นเน่าหมดแล้วครับ เยิ้มไปหมด(ดีนะเนี่ย ตอนแรกว่าจะแบ่งให้ฝรั่งที่นั่งใกล้ๆกิน ขืนแบ่งก็ขายหน้าแน่ๆครับ555)

ทอมยื่นนามบัตรให้ผมครับ เขาอยากจะให้ผมส่งข้อมูลเกี่ยวกับการดำน้ำให้น่ะ แม้จะเป็นนักเขียนเหมือนกัน ต่างกันที่เขาเขียนเป็นอาชีพ แต่ผมเขียนเอาสนุกครับ(เรียกว่าเอามันดีกว่านะ)
เอา Pocket book ขึ้นมาเขียน Short note ย่อๆเอาไว้ ผมยังนอนไม่หลับครับ เลยถือไฟฉายเดินสำรวจหาดดีกว่า

นอกจากนี้ยังมีอะไรๆให้ทำครับ ผมถ่ายเจ้าปูเสฉวน(Hermit Crab) ที่มักจะแอบเคลื่อนไหว พอเราเข้าไปใกล้ก็จะหยุดนิ่ง และหดลำตัวเข้าไปด้านในเปลือก

ใกล้เต๊นส์ผม ยังมีเจ้าปูที่ค่อนข้างถ่ายยากในเวลากลางวัน แต่พอตอนนี้ มันกลับนิ่ง จ้องมาที่ผม และไม่เดินหนี ก็เสร็จซิน้อง พี่รอโอกาสนี้มานานแล้วล่ะ มาเป็นของพี่เถอะ(แล้วแต่จะจินตนาการครับ แนวๆพวกนักเลงขี้ยาหรือโรคจิตหน่อยนะ 555)

ไม่มีลมเลยครับ ร้อนจริงๆ ถ้าอยู่ติดหาดคงดีกว่านี้(ก็ให้คนอื่นไปแล้วนิ) มียุงด้วยครับ(โชคสองชั้น) โชคดีผมเอายากันยุงมา แจกฟรีที่สายใต้ใหม่ตั้งแต่เมษาปีก่อนครับ นานไหมล่ะ 555

พลาดอีกอย่างที่ไม่ได้หยิบผ้าห่มมาครับ ตอนดึกๆค่อนข้างหนาว ต้องนอนขดตัวเป็นงู หมอนลมแบบเป่าที่บ้านก็มี ดันไม่หยิบมา ก็เลยใช้เป้หนุนหัวไปครับ ไม่มีปัญหา

นอนแล้วครับ พรุ่งนี้ไปดำน้ำกันต่อ มีความสุขจริงๆ


17 เมษายน 2552

อากาศดีครับเช้านี้ ด้านหน้าหาดมีคนออกมาถ่ายรูปเยอะเหมือนเดิม ผมเดินออกมาเจอพี่เล็กกับพี่วสันต์ ก็ออกมาเดินเล่นเหมือนกันครับ

หลังจากรับประทานอาหารเช้า(ซึ่งไม่เอากระเพราแล้ว) ไก่กระเทียมก็ได้ครับ ขอหนักข้าวหน่อย ซึ่งข้าวที่นี่ให้เยอะ ผู้หญิงร่างบางๆคงกินกันสองคนหนึ่งจาน(ถ้าเป็น Scuba หนักข้าวแบบนี้ มีอ๊วกใต้น้ำแน่ครับ สน๊อคเกิ้ลสำหรับผมพอไหวน่ะ ดีกว่าหิว)

พี่เหมียวกับพี่บิ๊กจะออกไปดำน้ำวันนี้ด้วยครับ ก็เลยไปลงชื่อด้วย ไปซื้อคูปองดำน้ำและเช่าอุปกรณ์กัน

“ไปด้วยกัน ทำไมไม่ลงชื่อด้วยกันล่ะครับ” ผมพลาดครับ ที่จุด 200 เมตร ผมต้องแยกเรือไปอีกลำ เพราะดันลงชื่อไว้แยกกับพี่ๆ ต้องบอกทุกท่านว่า หากอยากอยู่ลำเดียวกัน ก็ต้องลงชื่อด้วยกันนะครับ เช่น คุณภพ 3 คน เป็นต้น ไม่งั้นเขาจะจัดแยกกันครับ ขอเปลี่ยนไม่ได้ด้วยน่ะ

แต่ลำผมก็มีสาวๆเยอะครับ แต่นับดูแล้ว มาเป็นคู่เลยนี่หว่า(เอ้า ว่าจะโชคดี เจอตอซะแล้ว)

แต่พวกเธอมีน้ำใจดีครับ สาวคนหนึ่งแบ่งลูกอมให้ผมทานด้วยน่ะ
ถึงจุดดำน้ำแล้วครับ มองไปทางซ้ายและทางขวา จำรูปแบบเกาะได้ครับ ผมมาอยู่กลางร่องน้ำ ไม่ต้องสงสัยเลยครับ ว่านี่ คือ จุดดำน้ำ ที่ชื่อว่า ตอรินลา


ร่องตอรินลา

ไม่น่าเชื่อครับ ตอรินลาที่พังราบเพราะคลื่นยักษ์สึนามิ ที่ผมมาสำรวจเมื่อสองปีก่อน แต่มาวันนี้ฟื้นครับ ฟื้นเกือบเท่าๆปี 2546 ซึ่งเกิดก่อนคลื่นยักษ์สึนามิ และเป็นปีที่ผมมาเกาะสุรินทร์เป็นครั้งแรก

ปะการังเขากวางน้ำตื้นแนวกว้างใหญ่แบบนี้ จะหาที่ไหนในประเทศไทยเป็นแบบนี้ ผมยังนึกไม่ออกครับ สมบูรณ์จริงๆ ดูแล้วสบายตา อลังการมากๆ จะขาดแต่ฝูงปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า(Powder-Blue Surgeonfish) ที่ผมเคยเห็นเป็นฝูง แต่ตอนนี้ก็เป็นสัญญาณที่ดีขึ้นครับ เพราะปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า เริ่มกลับมาให้เห็นแล้ว

ผมมองเห็นปลาสลิดทะเลชนิดหนึ่งครับ ว่ายเป็นฝูง แถมไม่หนีด้วย(แบบนี้ก็เสร็จซิ) ด้านล่างมีปลาวัวลายส้ม(Orangestriped Triggerfish) ด้วย และสิ่งที่ผมอยากถ่ายแต่ถ่ายไม่ได้ครับ คือ ลูกปลานกแก้วสองสี(Bicolor Parrotfish) ลำตัวมีสีขาว ที่หัวมีแถบสีส้มหนึ่งแถบ เป็นอะไรที่หาดูไม่ง่ายครับ เพราะวัยเด็กกับวัยโต ไม่ได้มีความเหมือนกันเลยน่ะ 555 วัยเด็กน่ารักกว่าเยอะ

ปลาสลิดทะเลโฉมงาม(Andaman Foxfish) ปลาสลิดทะเลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จงอยปากที่ยาวและลวดลายที่ใบหน้าสวย สดใส ว่ายมาเป็นคู่ อยู่ท่ามกลางแนวปะการังในส่วนที่ยังไม่ฟื้นคืนชีพครับ

ขบวนปลาผีเสื้อครับ เริ่มจาก ปลาผีเสื้อลายไขว้(Treadfin Butterflyfish) ที่ลำตัวมีลายไขว้อยู่หลายด้าน ดูมึนงงดี ปลาผีเสื้อพระจันทร์(Racoon Butterflyfish) ที่หน้าตาแบบแรคคูนจริงๆ จากนั้นเป็นปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) ที่พบได้บ่อย และปลาผีเสื้อลายเส้น(Lined Butterflyfish) ที่พบได้บ่อยมากๆเช่นกัน

ก่อนขึ้นเรือ ผมเห็นฝูงปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) อยู่สามตัวครับ กล้าพูดเลยว่า การดำ Scuba ในถิ่นของเขาอาจพบเจอง่าย แต่การดำ Snorkel ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ ปะการังแถวนั้นต้องดีนะ

นอกนั้นที่จำได้ก็มีปลาน่ากินอย่าง กุลสลาดจุดฟ้า(Squaretail CoralGrouper) และเจ้าถิ่นอย่าง ปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish) ครับ

เรือหางยาวแล่นไปยังจุดดำน้ำต่อไป แน่นอนว่า ที่อ่าวผักกาด สองปีก่อน เป็นจุดที่ผมเห็นว่า พังราบ ไม่มีอะไรดูเท่าไร


อ่าวผักกาด

เหมือนหนังแขก ที่หัวขาดไปแล้ว ยังกลับมาต่อใหม่ได้(เครดิตคำนี้เอามาจากอาจารย์พรชัย สุนทรพันธ์ อาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายมรดกครับ)

อ่าวผักกาดในเวลานี้ ฟื้นคีนชีพครับ แม้จะไม่ดีเท่าตอรินลา แต่เศษปะการังผักกาดที่หัก ที่ผมเคยเห็นว่า พังราบเป็นหน้ากลองนั้น ในเวลานี้มีปะการังเขากวางเริ่มเติบโตขึ้นมาครับ(ปะการังชนิดนี้เติบโตได้เร็วมากแต่เปราะบาง หักง่ายครับ)

“ฉลามๆ”

แม้จะถ่ายรูปไม่ทัน แต่นี่คือ ลูก Blacktips Shark อีกตัวที่ผมเห็นครับ เมื่อวานเจอที่หาด วันนี้เจออีกแล้ว สง่างามครับ เธอว่ายน้ำหนีผมออกไปในแนวด้านลึก

เจอเจ้าปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) ว่ายออกไปนอกแนวปะการังครับ จากนั้นเป็น ปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish) ที่ว่ายช้าๆอ่อยเหยื่อซะเหลือเกิน แบบนี้มันท้าทาย ต้องเข้าไปถ่ายรูปหน่อย

ปิดท้ายด้วยสินสมุทรสองชนิด หนึ่งชนิด คือ สินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) ปลาที่ผมมีรูปติดหมอนอยู่ในรถยนต์ และอีกหนึ่งชนิดนั้น หายากกว่า คือ สินสมุทรแว่นเหลือง(Blue-Face Angelfish) บางคนก็จะเรียก Yellow-mask สีเหลืองที่ลำด้วย สวยมากจริงๆครับ

กลับมาที่จุดสองร้อยเมตรครับ มาที่โรงอาหาร ผมยังรักไก่กระเทียมไม่เปลี่ยนแปลง บางคนบอกว่า มาทะเลทำไมไม่กินอาหารทะเล ผมไม่ถือครับ อะไรที่คิดว่าอร่อยก็กินแหละ ขนาดที่โรงอาหารยังมีส้มตำขายเลยครับ 555

บ่ายนี้ผมไปดำน้ำต่อครับ มานั่งเล่นที่ริมหาด นั่งถ่ายรูปและคุยกับพี่เหมียว ส่วนพี่บิ๊ก แกนอนคลุกทรายอย่างมีความสุข แกบอกว่าคงไม่ไปดำน้ำแล้ว เมาเรือครับ

ตรงนี้ มีเปลญวนด้วยครับ นอนสบายจริงๆ มองเห็นสาวไทย size เอส กับชุดบิกินี่สีดำ เล่นน้ำทะเล หยอกล้อกับชาวต่างชาติอย่างมีความสุข(ขอเปลี่ยนคนจากชาวต่างชาติเป็นผมแทนได้ไหมครับ 555)

เมื่อความโรคจิตได้ที่ ผมซูมไปที่สาวคนนั้น(แฮ่ม ใครว่าก็ไม่สนครับ เขาและเธอไม่เห็นหรอก อีกอย่างผมเชื่อว่า ถ้าพี่ๆที่ผมรู้จักมา แถมมีDSLR พี่จะไม่แอบถ่ายเลยเหรอครับ 555(รูปออกมาไม่ดี กล้องคอมแพค ใช้ดิจิตอลซูม ก็ไม่ชัดหรอกครับ)

พี่เหมียวบอกว่า บ่ายนี้อยากไปด้วยครับ แม้จะเมาเรือแต่ก็อยากไป ก็เลยไปลงชื่อ ไปเพิ่มที่ชื่อผม เป็นสองคน คราวนี้ก็ได้ไปด้วยกันล่ะ
เดินไปสองร้อยเมตรกันดีกว่าครับ

ลำของผม มี สาวไทย size เอส ในชุดบิกินี่สีดำมาด้วย แต่ก็มีชาวต่างชาติคนนั้นมาด้วย(เอ้า ก็เขามาด้วยกัน) แต่เธอตากแดดจนตัวแดง เธอมานั่งด้านหน้าผม ก็เลยเห็นชัดเลยว่าส่วนอื่นที่ไม่โดนแดดนั้นขาว เฉพาะส่วนที่ตากแดดเท่านั้นที่มีสีแดงครับ(มันมองเห็นพอดีครับ จะให้ผมปิดตาหรือไง 555)

เรือแล่นมาถึงอ่าวสุเทพครับ เราจะลงกันที่นี่ล่ะ

Tuesday, May 05, 2009

ผ่อนคลาย สบายใจไป….เกาะสุรินทร์(2)







ได้เวลาเรือออกแล้วครับ ผมไม่ชอบไปนั่งด้านล่างน่ะ ถึงจะอยู่ด้านบนแต่ไม่มีที่นั่งหรือจะโดนแดดบ้างก็ยอมครับ(แต่คราวนี้มีครับ โชคดี)

มีตำรวจน้ำมาตรวจด้วยครับ บอกให้ผู้โดยสารทุกท่าน สวมชูชีพ ไม่เช่นนั้นจะไม่ให้ออกเรือ ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ แม้ว่าผมจะไม่อยากสวมก็ตาม แต่ก็ดีกว่าวัวหายล้อมคอกครับ ทำไปก่อนเลยดีกว่า

ใครไม่สันทันเรื่องการนั่งเรือออกทะเล หายาแก้เมาคลื่นทานก็ดีครับ แม้ทะเลจะเรียบมาก ข้างๆผมก็มีสาวอาเจียนจนได้ เห็นแล้วสงสารครับ ผมว่าขึ้นอยู่กับชั่วโมงบิน ใครออกทะเลบ่อยๆ เจอคลื่นแรงมากๆอาจจะไม่เมาเรือก็เป็นไปได้เหมือนกัน อย่างลูกเรือชาวประมงที่ต้องอยู่ในทะเลเป็นเดือนๆ นั่นล่ะครับ ตัวอย่างที่ดีเลย

ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครับ มองเห็นแหลมแม่ยายอยู่ด้านหน้า ลึกเข้าไปก็เป็นอ่าวช่องขาด ความทรงจำของผมเริ่มกลับมาอีกครั้ง กับเกาะที่ผมมาเป็นประจำกับสมาชิกที่ผมเจอและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ฟ้าไม่ค่อยเป็นใจครับ มีฝนตกเม็ดเล็กๆ ซึ่งผมหวังว่าวันต่อๆไป คงจะไม่มีฝนและอากาศดีทุกๆวันนับจากนี้ไป(ขนาดมีฝน นักท่องเที่ยวก็อดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นมาถ่ายความสวยงามของสีเขียวอ่อนของแนวปะการังน้ำตื้นครับ)

“ไม้งามครับ ใครไปไม้งามลงเรือได้เลย” เสียงเจ้าหน้าที่บอก

จากนี้ไปต้องถ่ายผู้โดยสารลงเรือหางยาว เพราะเรือใหญ่เข้าไปไม่ได้ อาจจะทำให้แนวปะการังเสียหายได้ครับ

ลงเรือได้ไม่นาน แดดก็มาครับ แน่นอนว่าเมื่อแดดมาก็เริ่มแสดงถึงความสวยงามของสีน้ำทะเล ที่มีมากขึ้นตามไปด้วย สีเขียวอ่อนจัดๆ แบบนี้ ใครเล่าจะทนไว้ ต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายกันหมดครับ

เรือผ่านอ่าวช่องขาด ผ่านอ่าวกระทิง ผมมองไปที่อ่าวกระทิงมองเห็นเหมือนมีบ้านครับ หรือว่าไอ้โครงการบ้านทาร์ซานจะทำสำเร็จแล้ว ไม่นะ ถ้าทำสำเร็จอ่าวที่สงบเงียบแห่งนี้จะเปลี่ยนไปในทันที
มาถึงที่จุดสองร้อยเมตรครับ รอซักพักเรือหางยาวจะขนกระเป๋ามาให้เราตรงจุดนี้ หากใครไม่ต้องรอก็สามารถเดินตรงเข้าไปที่หาดไม้งามได้เลยครับ

ผมได้เห็นภาพที่น่าดูและน่ารักมากๆมากของนักท่องเที่ยวทุกๆคน(ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ) ต่อแถวเรียงกัน รับกระเป๋าและส่งต่อกันมาจากเรือหางยาวโดยไม่เกี่ยงว่ากระเป๋าเป็นของใครและไม่มีใครสั่งให้ทำแบบนั้น ผมเลยอดไม่ได้ที่จะต้องไปช่วยด้วยครับ(เรื่องของน้ำใจเป็นเรื่องดีครับ ถ้าช่วยได้ก็ควรจะช่วยนะ)

“หวัดดีครับพี่นิพนธ์ จำผมได้หรือเปล่าครับ ที่มาดำScuba กับพี่ ไม่ได้มาสองปีแล้ว”

“หวัดดีครับภพ จำได้ซิ ดีใจที่ได้เจอครับ” พี่นิพนธ์ตอบ

ผมเจอพี่นิดด้วยครับ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะจำผมไม่ได้(ก็ตั้งสองปีครับ ทุกวันก็ต้องเจอนั่งท่องเที่ยวหน้าใหม่ จะลืมก็คงไม่แปลกนัก555)

เมื่อได้ของครบแล้ว ก็เดินเข้าไปเลยครับ ดูเหมือนว่าถุงน้ำดื่มของผมจะขาดวิ่น เวลาถือก็ลำบากหน่อยครับ

ตรงจุดที่เป็นรากไม้ซึ่งจะเป็นพื้นต่างระดับ สาวเกาหลีดูท่าจะลากกระเป๋าไปไม่ได้ครับ ไม่มีคนช่วยเธอซะด้วย(เธอใช้กระเป๋าเดินทางแบบลากน่ะ คงไม่ทราบล่วงหน้าว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นอย่างไร)

“I will help you” ภาษาประกิดแบบดาดๆนี่แหละ ผมช่วยเธอยกกระเป๋าขึ้น ยกมาเรื่อยๆจนเห็นว่าเป็นพื้นที่เรียบแล้ว สามารถลากกระเป๋าได้ จึงวางลง

“Thank you very much” เธอขอบคุณผม(เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นเบอร์อีเมลได้ไหมครับ555) ก็พูดไปแบบนั้นแหละครับ มันดูเจื่อนๆน่ะ แปลกด้วย ช่วยถือกระเป๋าเสร็จแล้วบอกว่าขอเบอร์อีเมลหน่อยครับ มันตลกไหมล่ะ ต้องได้เจอกันบ่อยๆก่อน

มาถึงอ่าวไม้งามแล้วครับ เหงื่อท่วมตัวเลย ร้อนก็ร้อน เดินไปติดต่อเรื่องเต๊นส์ก่อน แต่คิวเยอะน่าดูเลยครับ

“เต๊นส์เล็กครับ ขอติดหาดเลยได้ไหมครับ” ผมจำได้ครับ ก็ป้าคนเดิมที่กวาดเต๊นส์ให้ผมนั่นแหละ

“ไม่มีแล้วจ๊ะ มีแต่ถัดลงมาหน่อยน่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ตรงไหนก็ได้ ” จริงๆมีว่างติดหาดอยู่หนึ่งที่ แต่ผมให้ชาวต่างชาติคู่สามี ภริยาไปครับ เลยพูดแซวนิดหน่อย ดูท่าทางเขาและเธอจะดีใจใหญ่เลยล่ะ (ใครๆก็อยากนอนติดหาด ผมคิดแบบนั้นนะ )
ก่อนไปทานข้าวกลางวัน ขอเปลี่ยนกางเกงก่อนเลยครับ ต้องใส่กลับด้วย ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อและเตรียมกางเกงที่ใช้สำหรับลงน้ำทะเลมาใส่

บ่ายนี้ผมจะไปดำน้ำเลยครับ กะว่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ดำน้ำเสร็จผมค่อยไปสำรวจแล้วกัน คราวนี้เวลามีน้อย ว่าแล้วก็เตรียมกล้องและ Housing ไปประกอบที่โรงอาหาร

คิดว่าคงไม่มีใครอยู่เต๊นส์หรอกครับ เตาอบดีๆนี่เอง ออกมานอนหาดแบบชิวๆหรือไปดำน้ำ น่าจะดีกว่านะ

ข้าวหมูทอดไข่เจียวเป็นอาหารกลางวันครับ ระหว่างรอก็ไปติดต่อเรื่องดำน้ำก่อนเลย ไปลงชื่อก่อนครับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่จัดนักท่องเที่ยวลงเรือ ส่วนอุปกรณ์ค่อยมาดูทีหลัง ผมเช่าชูชีพอย่างเดียวอยู่แล้ว

ใกล้เวลาแล้ว ขืนรับประทานช้า เดี๋ยวลงน้ำไปจะยิ่งลำบาก ผมนำซิลิโคนมาทารอบๆโอริง เช็คดูว่าไม่มีเส้นผมหรือเม็ดทราย(จริงๆไม่น่ามีปัญหาครับ เพราะแค่ผิวน้ำ แต่เพื่อความไม่ประมาททำให้ถูกต้องดีกว่าครับ)

พี่เหมียวกับพี่บิ๊กยังไม่ไปดำน้ำครับ ว่าจะนอนที่ริมหาด พี่เหมียวบอกว่ายังเหนื่อยอยู่ครับ ขอพักก่อน ผมบอกว่างั้นรอผมกลับมาแล้วกันพี่ อาจจะชวนเดินไปอ่าวช่องขาดซะหน่อย

ผมมีหน้ากากกับท่อหายใจเป็นของตัวเองอยู่แล้วครับ ก็เช่าชูชีพอย่างเดียวพอ หากไม่มีชูชีพคงดำไม่ได้นานครับ เพราะการ Free Diving นั้น(การดำน้ำแบบกลั้นหายใจ ลงไปโดยไม่มีชูชีพ นอกจากจะเสี่ยงกับอาการปวดหูมากๆแล้ว เวลาเหนื่อย หรือเป็นตระคริว ก็ต้องลอยตัวให้ได้ครับ การไปเหยียบปะการังเพื่อพักเหนื่อย แบบนั้นผมว่าใส่ชูชีพดีกว่านะ)

เรือออกที่หน้าหาดเลยครับ คราวนี้ผมใส่เสื้อแขนยาว คราวก่อนที่หลีเป๊ะ ผิวหนังลอกอย่างรุนแรงเหมือนงู เข็ดไปเลยครับ(ตอนใส่เสื้อกล้ามดำน้ำก็เท่ดีครับ แต่ตอนผิวลอกแล้วแสบนี่ซิ 555)

ดูเหมือนเรือจะดีเลย์ครับ(เฮ้ย ไม่ใช่เครื่องบิน) เขากำลังรออะไรซักอย่างอยู่ครับ ผมเลยนั่งรอที่ใต้ต้นไม้พร้อมกับถ่ายรูปสวยๆของหาดแห่งนี้ไปพลางๆ ได้ยินเสียงคนไทยด้านหลัง นินทาเรื่อง Housing ของผมอยู่ด้วยล่ะ(แพงแบบนั้น ลงได้ลึกแบบนี้ ผมว่ามันแล้วแต่ความชอบของบุคคลครับ ผมชอบถ่ายใต้น้ำมากกว่าบนบกน่ะ จะให้ผมไปซื้อกล้อง DSLR เพื่อมาถ่ายบกบก ผมก็ไม่เอาหรอกครับ แต่ถ้าซื้อแล้วหา Housing ใส่ เพื่อเอามาลงน้ำ มันก็ไม่แน่นะ 555)

ได้ขึ้นเรือแล้วครับ ลำของผมมีแต่ชาวต่างชาติมีทั้งเด็ก สาวรุ่น หนุ่มวัยกลางคนและคนแก่ ทุกคนไม่ใช้เสื้อชูชีพครับ เดาได้ว่าก็ต้องลงแบบ Free Diving ทุกคน

มีคนไทยเพียงคนเดียวครับ ชื่อ เป็ด มาเที่ยวทะเลคนเดียวเหมือนกัน

นั่งเรือค่อนข้างนานครับ ประมาณเกือบชั่วโมงก็มาถึงจุดดำน้ำแรก ผมคุ้นเคยมากๆ เห็นหัวเกาะก็คลับคล้าย คลับคลา และด้วยระยะทางที่ไกลแบบนี้

“ตรงนี้ เกาะสตอร์คใช่ไหมครับ”

“ครับ” คนขับเรือชาวมอแกนบอกผม

เป็นอันว่า จุดแรก คือ เกาะสตอร์คครับ เป็นจุดดำน้ำที่ไกลที่สุด มองไปด้านนอกก็เป็นเขตพม่าแล้วครับ มักจะมีคนเจอสัตว์ใหญ่อย่างฉลามวาฬและกระเบนราหูที่นี่ ผมเคยเจอเต่ากระ ปลาสากฝูงใหญ่ และลูกปลาวัวจมูกยาวตัวจิ๋วที่นี่แหละครับ

พร้อมแล้วลงไปสำรวจกันเลยดีกว่า


เกาะสตอร์ค(เกาะไฟแว๊บ)

ดูไม่เหมือนเดิมครับ ปะการังดูจะพังไปมาก แนวปะการังน้ำตื้นก็หายไปหมดแต่ยังพอมีปะการังเขากวางให้เห็นครับ ผมพยายามว่ายไปจุดที่ตื้นเพื่อหาปลาวัวจมูกยาวแต่ก็คว้าน้ำเหลวครับ นอกจากไม่เจอ ผมยังคิดว่า นี่ใช่จุดเดิมที่ผมเคยลงหรือเปล่านะ?

ถ่ายรูปยากครับ ผมยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับการถ่ายจากด้านบนลงไปแบบนี้ นอกจากระยะจะไกลแล้ว แน่นอนว่ารูปแบบในการถ่ายก็จะไม่หลากหลายเหมือนกับการดำน้ำแบบ Scuba ครับ ยิ่งไม่ได้ลงไป Free Diving ด้วย(พี่หมีเคยบอกว่า ห้ามซูมครับ บางทีมันก็อดไม่ได้จริงๆนะ )

ผมพยายามหายใจให้เบาครับ ไม่ได้กลัวปลาตื่นนะ แต่ว่าท่อหายใจไม่ดี ถ้าหายใจแรงๆน้ำเข้าปากก็ต้องพ่นน้ำออกเป็นประจำ ขนาดหายใจอย่างเบาก็ยังเข้าเลยครับ(ได้ ฤกษ์ซื้อใหม่ งาน TDEX แน่ๆ)

เจอเป้าหมายแล้วครับ ผมกำลังตามปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish) บ้างก็เรียกว่าปลาวัวอำมหิต ปลาวัวยักษ์ บ้างล่ะ แต่จะโหดหรือเปล่า เป็นบางตัวครับ ไม่ใช่ว่าว่ายไล่กัดทุกตัวไป สำหรับตัวนี้ ผมไม่ได้เป็นเป้าหมายสำหรับมัน ยังไม่เข้าระยะปลอดภัยด้วยครับ ก็ตามถ่ายรูปอย่างเงียบๆ ดีกว่า

ในท่ามกลางเศษปะการังที่พังนั้น ยังมีปลาปากขลุ่ย(Smooth Flutemouse) ปลาที่มีรูปร่างยาว ลำตัวค่อนข้างผอม ผมพยายามถ่ายรูปครับ แต่อยู่ไกลเหลือเกิน(เพราะว่าเราห่าง ไกลกันเหลือเกิน คิดถึงแต่เธอนั้น… 555)

ผมเจอหินก้อนใหญ่อยู่สองก้อนครับ ระดับค่อนข้างตื้นน่าจะถ่ายรูปโอเค เลยลอยว่ายเข้าไป
บนก้อนหินมีสาหร่ายซึ่งเป็นอาหารของปลาครับ ผมเห็นเจ้าปลาขี้ตังเบ็ดลาย(Striped Surgeonfish) ลำตัวมีสีเหลือง มีแถบสีฟ้าพาดผ่านอยู่หลายแถบครับ เห็นสีสดใสแบบนี้ บริเวณหางมีพิษนะครับ

ผมลองใช้โหมดธรรมดาดูบ้างครับ เพราะน้ำก็ตื้นนะ แต่การถ่ายลงไปทำให้สีหายอยู่ดีครับ สรุปใช้โหมดใต้น้ำน่าจะดีที่สุดสำหรับกล้องที่ผมใช้อยู่ สีจะไม่ซีดจนเกินไป(ปรับ Manual ไม่ได้ด้วยซิ)

นอกจากนั้นก็มี ปลาการ์ตูนส้มขาว( False Clown Anemonefish) ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) ปลานกแก้ว(Parrotfish) ปลาวัวหางพัด(Scrawled Leatherjacket) และฝูงปลากล้วยฟ้าหลังเหลือง(Yellowtop Fusilier) ครับ

ขึ้นมาบนเรือ มีฝรั่งคนหนึ่ง ที่ขึ้นมาช้าที่สุด เขาเจอกระเบนราหู(Manta Ray) ด้วย สร้างความอิจฉาให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก ต้องโชคดีจริงๆครับ ถึงจะได้เห็น

ฝรั่งอีกคนเป็นนักเขียนครับ ชื่อ ทอม มาเกาะสุรินทร์หลายครั้ง ยังไม่เคยเจอแมนต้าซะที แต่เท่าที่คุยทราบเลยครับ ว่าดำน้ำแบบ Scuba ด้วยแน่ๆ เพราะมีความรู้เรื่องปลาพอสมควร เคยเขียนบทความลงนิตยสารเกี่ยวกับเรื่อง Bull Shark ที่เกาะเต่าด้วย

ทอมขอให้ผมส่งข้อมูลการดำน้ำที่ชุมพร ให้ด้วย เพราะทะเลชุมพร อย่างที่บอกครับ ว่าส่วนใหญ่จัดไปเกาะเต่ากันหมด ผู้ประกอบการที่จัดไปดำน้ำแบบ Liveaboard ในทะเลชุมพร เท่าที่ผมทราบก็มีแต่ชุมพรคาบาน่า โรงเรียนสอนดำน้ำที่ผมเรียนจบมานั่นเอง

เรือแล่นออกไปยังจุดดำน้ำต่อไปครับ


อ่าวจาก

ที่นี่ผมเคยชอบมากๆครับ เพราะแนวปะการังน้ำตื้นนั้นหลากหลายเหลือเกิน ปะการังหลายชนิด อาศัยอยู่ที่อ่าวนี้ แต่วันนี้ที่ผมลงสำรวจ เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนแปลงไปครับ

ปะการังอยู่ห่างกันเป็นหย่อมๆ เหมือนไม่ใช่อ่าวจากที่ผมรู้จัก หรือผมลงผิดที่นะ เลยลองว่ายไปในที่ตื้นซึ่งก็ไม่แตกต่างกันครับ(ผมคิดว่า ก่อนกลับกรุงเทพฯ จะต้องทราบถึงสาเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงให้ได้)

แต่โดยรวมก็ยังหนาแน่นกว่าที่สตอร์คครับ ผมมองเห็นดาวมงกุฎหนาม ศัตรูตัวสำคัญที่ชอบกินปะการัง หรือนี่จะเป็นหนึ่งในสาเหตุนั้นนะ

เยี่ยมครับ ผมเจอสัตว์ทะเลที่อยากเจอมากๆนั่น คือ ปลาวัวจมูกยาว(Beaked Leatherjacket) ฝูงนี้มีประมาณสี่ตัวครับ อยู่บนปะการังเขากวาง อาหารของพวกเขานั่นเอง ลักษณะลำตัวยาว จะงอยปากยื่นยาว ลำตัวสีฟ้ามีจุดสีส้มกระจายทั่งตัว ที่ผมเห็นยังไม่ใช่ขนาดโตเต็มวัยครับ ประมาณ 6 ซม เท่านั้น ก็ประมาณนิ้วก้อยน่ะครับ(ปลาวัวชนิดนี้โตต็มที่ 12 ซม ครับ ก็เล็กอยู่ดีน่ะ)

มีปะการังแผ่นตั้ง(Coral foliose)เยอะแยะเลยครับ ถ่ายรูปออกมาก็ดูสวยทีเดียว

ปลาผีเสื้อไข่(Redfin Butterflyfish)ครับ มาเป็นคู่ตามสไตล์ เป็นปลาผีเสื้ออีกหนึ่งชนิดในหลายชนิด ที่พบได้ในทะเลอันดามัน อ่าวไทยไม่มีครับ

ผมกำลังตามถ่ายฝูงปลานกแก้ว ที่กำลังขบกัดปะการัง มีหลายชนิดครับ เริ่มจากชนิดที่เราเห็นเป็นประจำ จนไปถึงชนิดที่มีลำตัวเป็นสีดำทั้งหมด(จริงๆอาจเป็นเรื่องการแปรผันของสีก็ได้ครับ ผมก็ไม่แน่ใจนัก แต่มองเห็นเป็นสีดำน่ะ)

นอกจากนั้นที่จำได้ก็มี ปลากะรังลายนกยูง(Peacock Grouper) ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) ปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) และ ปลาโนรี(Longfin Bannerfish) ครับ

นั่งเรือกลับอ่าวไม้งามครับ คราวนี้ไปจอดหน้าหาด(โชคดีไป) ไม่ต้องเดินจาก 200 เมตร ครับ ผมเอาของไปเก็บ เอาชูชีพไปคืน เตรียมตัวออกไปเดินสำรวจเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เตรียมไฟฉายไปด้วยครับ ป้องกันเวลากลับมาแล้วมืด เดี๋ยวจะมองไม่เห็นทาง

ลองชวนพี่เหมียวกับพี่บิ๊ก แต่ดูแล้วยังนอนหลับสบายกัน เลยไปคนเดียวดีกว่าครับ

Sunday, May 03, 2009

ผ่อนคลาย สบายใจไป….เกาะสุรินทร์(1)







ร้อนครับ ร้อน เข้าเดือนเมษา ทำไมมันร้อนแบบนี้ บรรยากาศบ้านเมืองก็มาร้อนระอุเดือนนี้ซะด้วย ใครออกเดินทางตั้งแต่วันศุกร์ที่ 10 เมษายน ก็โชคดีไปครับ

สำหรับผม สงกรานต์ปีนี้ท่าทางจะแห้วครับ ไม่ได้ไปเที่ยวทะเลแน่ๆ เพราะกว่าจะได้กลับบ้านก็วันเสาร์เข้าไปแล้ว นับวันดู ถ้าจะไปจริงๆ วันเวลาก็เหลือน้อยเสียเหลือเกิน(มานอนเฝ้าคุณแม่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม ครับ)

การนอนโรงพยาบาลนานๆ ไม่ใช่คนป่วยอย่างเดียวที่เครียดครับ คนเฝ้าอย่างผมก็เครียดเป็นเหมือนกัน ยิ่งต้องอ่านหนังสือสอบในช่วงที่อยู่โรงพยาบาล ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ เพราะไม่ได้สะดวกสบายนัก ต้องนั่งๆลุกๆอยู่ตลอดเวลา(ถ้าไม่ใช่คนที่ทำงานในโรงพยาบาลแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ควรไปกิน-นอน อยู่นานๆหรอกครับ)

เมื่อได้กลับบ้านช่วงค่ำวันเสาร์ ผมขับรถไปสายใต้ใหม่ในทันที เพื่อหาซื้อตั๋วรถโดยสารไปลงคุระบุรี ไปเยือนเกาะสุรินทร์ ลืมไปว่าแถวรัฐสภาเขามีประท้วง ตรงเข้าไปอีกนิดก็ต้องถูกม๊อบเสื้อแดงตรวจแล้วครับ เลี้ยวรถกลับแทบไม่ทันแน่ะ(คนเยอะจริงๆครับ มีรถจอดเต็มไปหมดด้วย)

โชคชะตาเล่นตลกครับ ตั๋วทุกบริษัทเต็มหมดแล้ว ผมถอนหายใจ คงอดไปแล้วล่ะ ครั้นจะไปเกาะกูด ก็มีปัญหาในเรื่องเรือโดยสารและที่พักครับ(เท่าที่สอบถาม ที่พักก็เต็มหมดล่ะ ก็ไม่ได้เตรียมตัวมา นี่ก็ช่วงเทศกาลด้วย ส่วนเรือมีตอนเช้าครับ ต้องนั่งรถทัวร์ไปช่วงดึกๆ หากนั่งไปช่วงเช้า ไปถึงตราดบ่ายๆเย็นๆ ไม่มีเรือไปเกาะกูดครับ)

อยู่บ้านก็ไม่เลวครับ(ก็ต้องอยู่น่ะนะ) ออกไปไม่มีใครเล่นน้ำเลย เพราะมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนกรุง เครียด และไม่ออกมาเล่นน้ำกัน แต่พอเหตุการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผู้คนก็ออกมาเล่นน้ำกันมากขึ้นและมีข่าวดีมากๆนั่นก็ คือ รัฐบาลหยุดเพิ่มให้อีก

“โอกาสมาแล้วเว้ย” ผมเริ่มมีความหวัง

หากไม่มีใครอยู่บ้านเป็นเพื่อนคุณแม่ ผมจะไม่ไปเที่ยวไหนเลยครับ แต่ถ้ามี แล้วท่านอาการดีขึ้น ผมก็จะหาที่ไปครับ

เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว และพร้อมแล้ว ผมนั่งคิด นอนคิด จะไปไหนดี แต่หลายๆที่ คิดแล้วต้องล้มเลิกครับ เพราะมีข้อจำกัดหลายๆอย่าง

แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังสงกรานต์ที่รัฐบาลหยุดเพิ่มให้ ผมไม่อยู่บ้านแน่ๆครับ อีกทั้งที่บ้านก็ไม่ได้ไปไหนด้วย

ไฟเขียวจากครอบครัว ท่านเข้าใจว่า นักเดินทางอย่างผมต้องเดินทางน่ะ

จุดหมายปลายทาง จะเป็นอื่นไปไม่ได้ครับ ในภาวะที่อึดอัด เครียด ไม่สบายตัวแบบนี้

นอกจาก “ทะเล”


15 เมษายน 2552

“ออกเดินทางวันนี้นะครับ เดี๋ยวบ่ายๆไปซื้อตั๋วรถ เหลือเยอะเลยล่ะ น่าจะออกซักสองทุ่ม แต่จะกลับวันอาทิตย์เช้า” ผมคุยกับคุณแม่ กับการตัดสินใจที่รวดเร็ว

ต่อรองได้แบบนี้ครับ เช้าวันจันทร์ผมต้องพาท่านไปโรงพยาบาล การไปวันนี้แล้วกลับวันอาทิตย์ ดีกว่าไปวันพรุ่งนี้แล้วกลับวันจันทร์น่ะ ส่วนคุณพ่อท่านโอเคครับ ถ้ากลับมาวันอาทิตย์ (ส่วนผม ถ้าได้ไปก็ดีกว่าไม่ได้ไปครับ แม้จะได้นอนบนเกาะเพียงสองคืน น้อยกว่าทุกครั้งที่เคยไป แต่คงไม่บ่นล่ะ)

สรุปผมได้ไปเกาะสุรินทร์เป็นครั้งที่สี่ครับ ล่าสุดก็ปลายปี 49 ก็สองปีมาแล้ว หากใครเคยไป จะทราบครับว่า เหตุใด นักท่องเที่ยวหลายๆคนจึงต้องกลับมา อีกหลายๆครั้ง

ตั๋วเรือเดี๋ยวไปถึงค่อยซื้อครับ ก็รู้ๆกันอยู่(แฮะๆ โทรไปถามแล้วครับ) ส่วนที่พักแม้ไม่ได้จองไป แต่หลังสงกรานต์น่าจะมีที่เหลือน่ะ ไปวัดดวงเอาดีกว่า ไม่เอาเต๊นส์ไปด้วย (กล้านะ ยิ่งเขาเริ่มจำกัดนักท่องเที่ยวแล้ว เกิดไม่มีขึ้นมา สงสัยต้องนอนแบบไม่มีเต๊นส์ครับ 555)

บ่ายๆขับรถไปสายใต้ใหม่ครับ แต่ซิ่งไปหน่อยเลยขับเลยทุกที ต้องไปกลับรถไกลมากๆและไม่เคยจำ(ร่วมกิโล) แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้นครับ เพราะมีตั๋ว 555

ลองแหยมๆ ไปที่ลิกไนท์ทัวร์ครับ แต่ตั๋วเต็ม ก็ไม่แปลกใจอะไรครับ ที่นี่มักจะเต็มก่อนเสมอล่ะ

“ปรับอากาศชั้นหนึ่ง 508 บาท ค่ะ รถออกสองทุ่มนะคะ” เสียงพนักงานบอกผม บริษัทขนส่ง มักจะเต็มเป็นรายหลังๆครับ ผมมักจะได้ไปบริษัทนี้ แม้จะไม่ได้เตรียมตัวมา แต่นี่เป็นครั้งแรกๆในรอบหลายๆปี ที่ผมจะไม่ต้องนั่งรถเสริม แต่ได้นั่งรถของบริษัทนั้นๆจริงๆครับ(อธิบายว่า หากเป็นช่วงเทศกาล แม้ซื้อตั๋วได้ แต่อาจเป็นรถเสริม ซึ่งจะเป็นรถเฉพาะกิจประเภทรับจ้าง ไม่ประจำทาง แน่นอนว่า ไม่มีบริการแจกขนมและเครื่องดื่มครับ)

ยิ้มไป ดูตั๋วไป(ท่าจะบ้า) กลับบ้านดีกว่าครับ ยังมีเวลาเหลือสำหรับจัดของ ผมไม่เอา Wet Suit ไป เพราะคิดว่า เวลาน้อยแบบนี้คงไม่ได้ดำ Scuba แน่ๆครับ และพยายามหยิบของให้น้อยที่สุด สิ่งที่ลืมไปไม่ได้ นั่น คือ Housing ซื้อมาก็ต้องใช้ให้คุ้ม แต่เวลาถ่ายรูป คงไม่ดีเท่ากับตอนดำ Scuba น่ะ
ไฟฉาย เกือบลืมแน่ะ ไม่งั้นเวลาเข้าเต๊นส์จะลำบากครับ ผมหยิบไฟฉายใต้น้ำมาใช้บนบก เพราะน้ำเข้าตั้งแต่ตอนไปสิมิลันครั้งแรก(ประมาณไดฟ์ที่สิบน่ะครับ) อันละตั้ง 700 ไม่น่าเชื่อว่ายังใช้ได้อยู่ เอามาใช้บนบกก็สว่างดีครับ เพียงแต่เปลืองหน่อยเพราะใช้ถ่านสี่ก้อนแน่ะ

ใช้บริการเรียกแท๊กซี่มารับที่บ้านครับ(1666 กับ 1668) ค่าบริการ 20 บาท ปกติผมจะเดินออกไปเรียกเอง แต่วันนี้ ถ้าออกไปก็เปียกแน่ครับ คนสาดน้ำเพียบ ถ้าอยู่บ้านไม่มีปัญหา อยากจะสาด อยากจะปะแป้ง(ขอสาวๆ) ผมยินดีครับ 555

ถ้าไม่เคยใช้บริการ เขาจะสอบถามข้อมูลก่อนครับ เช่นอยู่ตรงไหน หากเคยใช้แล้ว จะมีข้อมูลอยู่ เขาก็จะบอกเลขทะเบียนรถมา จากนั้นก็รอ Taxi มารับ

เรามาที่สายใต้ใหม่กันดีกว่าครับ ผมสะพายเป้ใว้ที่ด้านหลัง ส่วนด้านข้างสะพายตัว Housing ไว้ บรรยากาศเวลาจะไปท่องเที่ยวมันช่างหอมหวานอะไรแบบนี้ แม้จะเป็นสถานที่ที่เคยไปอยู่เป็นประจำ แต่ความตื่นเต้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงครับ

ผู้คนมีจำนวนมากพอสมควรครับ คนกลับบ้านหลังสงกรานต์ก็มีนะ แต่เท่าสังเกตดูด้วยสายตา คนสะพายเป้ไปเที่ยวน้อยมากครับ เจอแต่ชาวต่างชาติ คนไทยดูแล้ว กลับบ้านกันทั้งนั้น

ขึ้นมาที่ Food Center ครับ หาข้าวเย็นทานดีกว่า ข้าวมันไก่ทอด กับ เส้นใหญ่ราดหน้าหมู ทำให้ท้องเริ่มมีอาหารขึ้นมาบ้าง(ยังกินได้อีกครับ โปรดอย่าตกใจ ราดหน้ามันนิดเดียวเอง ดูเหมือนจะกินเยอะ 555)

เข้าห้องน้ำแปรงฟันให้เรียบร้อยเลยครับ กะว่า ขึ้นรถ จะตีตั๋วนอนยาว(เฮ้ย เดี๋ยวเลยคุระบุรีนะ ถ้าเลยก็เรียบร้อยครับ คงเปลี่ยนแผนไปเที่ยวเขาหลักดีกว่ามั้ง 555 จะตกเรือเอาด้วยล่ะ)

เดินเข้าเซเว่นครับ ผมยังขาดของใช้จำเป็นอยู่บ้าง ยาสระผมนี่ใช่เลย ถ่านไฟฉายก็ด้วยครับ(เอาไปสำรองดีกว่า ใช้ทีสี่ก้อน หมดไปก็ยุ่งแน่)

ใกล้จะได้เวลาไปที่ชานชะลาแล้วครับ เขาให้เข้าไปได้ก่อนรถออกครึ่งชั่วโมง นี่ก็ทุ่มครึ่งแล้ว ไปดีกว่า

มาถึงที่ชานชะลา รถของผมยังเป็นไปสมุยอยู่เลยครับ แสดงว่ารถยังไม่มา ก็ต้องนั่งรอไปก่อน มองเห็นพนักงานสาวที่บริการในรถ แต่งชุดคล้ายแอร์โฮสเตส สายการบินนกแอร์ ดูแล้วน่าจะเป็นของบริษัท ขนส่ง ครับ แปลกตาไปอีกแบบนะ

รถมาแล้วครับ ขึ้นดีกว่า

“ลงที่ไหนคะ” พนักงานสาวพูดจาสุภาพ

“ลงคุระบุรีครับ” ผมตอบ
ส่วนใหญ่ผู้โดยสารจะกลับบ้านทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะลง เขาหลัก ลงทับละมุ ลงสุขสำราญ ลงตะกั่วป่า เป็นต้น มีผู้หญิงคนนึงครับ เธอซื้อตั๋วมาลงโคกกลอย(เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดพังงา อยู่ก่อนถึงภูเก็ตครับ ใครเคยไปภูเก็ตจะทราบดี) แต่ราคาตั๋วไม่ถึงครับ อาจเป็นความผิดพลาดในการสื่อสารตอนซื้อตั๋ว โชคดีว่า คนขับก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่งั้นผู้หญิงคนนี้คงไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ

มีน้ำหนึ่งขวด มีน้ำผลไม้หนึ่งกล่อง มีขนมหนึ่งกล่องและมีขนมขบเคี๊ยวอีกหนึ่งถุง เรียกว่าแจกเยอะมามาก ดีกว่ารถเสริมจริงๆ

รถว่างถึงขนาดข้างๆผมก็ไม่มีคนนั่ง ดีครับ วางของสบายเลย ไม่นานก็หลับ ง่วงจริงๆ ตื่นมาน่าจะเป็นหัวหินครับ เพราะมีชาวต่างชาติขึ้นมาคู่หนึ่ง คนไทยหนุ่มสาวอีกสองคน 4คนนี้แหละครับ ที่ผมมองแล้วลักษณะ ท่าทาง ป็นนักท่องเที่ยวอย่างแน่นอน

ช่วงแวะทานข้าว มีข้าวต้มรอบดึกด้วยครับ แต่ผมไม่ได้ทาน หากใครไม่ได้ทาน สามารถนำคูปองอาหารไปแลกขนมแทนได้(ก็ไม่ได้แลกอยู่ดีครับ) ว่าแล้วเอาโก๋แก่ มากินดีกว่า เริ่มหิว

นอนดีกว่าครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงที่หมายแล้ว


16 เมษายน 2552

“คุระบุรี คุระบุรี ค่ะ” เสียงเร่งร้อน ทำเอาผมรีบหยิบของลงครับ เพราะรถยังต้องไปต่ออีก

ถูกเผงครับ สัญชาติญานของผมถูกต้อง สี่คนจากหัวหินเมื่อตอนค่ำ มาลงที่นี่ทั้งคู่ครับ ไม่ต้องถามเลยว่า มาเกาะสุรินทร์อย่างแน่นอน

พึ่งจะหกโมงเช้าเองครับ ผมเดินเข้าไปในที่ทำการของซาบีน่า เพื่อติดต่อตั๋วรถกลับกรุงเทพ(อาจจะงง) ผมมาซื้อตั๋วเรือของบริษัทนี้ครับ เพราะผมไปเรือช้า(จริงๆก็ไม่ช้านะ สองชั่วโมงแป๊บเดียว) และราคาถูกกว่าเจ้าอื่น เขามีรถไปส่งที่ท่าเรือ และรับติดต่อเรื่องตั๋วกลับให้ด้วย (เดี๋ยวนี้ทุกๆเจ้าก็เป็นแบบนี้ครับ ถือเป็นการ service ลูกค้าด้วย)

เรื่องนี้ก็นานาจิตตังครับ บริษัทมีอีกหลายเจ้า เป็นแพคเกจทัวร์ก็มี เราก็เลือกตามที่เราชอบน่ะ ผมเคยมาแล้วและคิดว่าไม่ลำบากสำหรับผมมากนัก การบริการก็โอเค ผมก็ไปกับที่นี่แหละ

เดินข้ามฝั่งไปที่ตลาดคุระบุรีครับ มีคนเยอะเชียว คนทานข้าวต้ม ดื่มกาแฟยามเช้าก็เยอะ ผมเลยไม่เอาดีกว่า เดินตรงเข้าไปหลังตลาด มีวิวทุ่งหญ้าเขียวขจี ตัดกับขุนเขาและมีหมอก สวยดีครับ

มีพระสงฆ์มาบิณฑบาตรด้วยล่ะ
เตรียมหาซื้อน้ำดื่ม กล้วยซักหวี มาม่า เอาไปกินบนเกาะครับ ท้องเริ่มร้องแล้ว ผมเดินออกไปหาร้านข้าวกินดีกว่า เช้าๆแบบนี้ มีเปิดไม่กี่ร้านหรอกครับ

จากตลาด เดินออกมาทางขวามือ ชาวบ้านคุระบุรีบอกผมว่า มีร้านอาหารอีกหนึ่งร้าน เป็นร้านข้าวขาหมู ข้าวหมูแดงครับ ผมน่าจะสั่งอาหารตามสั่งมากกว่า แต่ดันกินข้าวหมูแดงครับ ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร แต่ไม่เหลือข้าวซักเม็ด อารมณ์ว่าหิวครับ มีอะไรก็ต้องกิน เหมือนตอนไปเรียนรักษาดินแดนครับ อาหารก็ไม่อร่อย แต่หมดเกลี้ยงทุกที

เดินกลับมาถึง ก็ขึ้นรถไปท่าเรือคุระบุรีครับ ลมเย็นดีจัง นอกจากชาวต่างชาติสองคนแล้ว สองหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน ชื่อว่า พี่วสันต์ กับ พี่เล็ก ส่วนอีกสองคน เป็นคู่หูต่างวัยครับ ชื่อพี่เหมียว กับพี่บิ๊ก

พี่บิ๊กถูกพี่เหมียวหลอกมาเที่ยวครับ หลอกมาว่าเกาะสุรินทร์มีรีสอร์ทหรูๆ มีเซเว่นให้ซื้อของ พอผมอธิบายให้ฟังว่า นอนเต๊นส์ครับพี่ เซเว่นก็ไม่มี แกอึ้งไปพักนึงเลยครับ

“แล้วพี่จะขอบคุณพี่เหมียวครับ ที่พามา เมื่อพี่ได้เห็นความสวยงามของเกาะสุรินทร์ ” ผมกล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจ

มาซื้อตั๋วเรือของซาบีน่าครับ บอกวันกลับให้เรียบร้อยแต่ถ้าจะผิดไปจากนี้ จะกลับก่อนหรือหลังที่แจ้งก็ไม่เป็นไรครับ

นอนอ่าวไหน ไม้งามหรือช่องขาดก็ควรจะบอกไว้ เพราะเวลาขนของลงไปที่เรือ เขาจะแยกครับ จะได้ไม่ปนกัน เขาก็จะมาส่งสัมภาระให้ เราก็คอยเลือก คล้ายๆสนามบินแบบนั้นน่ะครับ เพียงแต่เปลี่ยนจากสายพานเป็นเรือหางยาว 555

“ตาม ภพ แล้วกัน พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องน่ะ” พี่เหมียวบอก

ผมเดินมาที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งอยู่ที่เดียวกับท่าเรือคุระบุรี เพื่อมาติดต่อเรื่องเต๊นส์ ปกติควรจะโทรมาแจ้งล่วงหน้าครับ อย่าทำแบบผมเลย ผมคิดไว้ว่าหลังสงกรานต์มันมีที่แน่ๆครับ อีกอย่างการเดินทางครั้งนี้ก็ค่อนข้างจะปัจจุบัน ทันด่วนอยู่ด้วย

เต๊นส์เล็กราคา คืนละ 300ครับ ในขณะที่เต๊นส์ใหญ่ราคาคืนละ 450 บอกไว้ก่อนว่าเต๊นส์ลายทหารของทางอุทยานค่อนข้างใหญ่ครับ ไม่เหมือนกับเต๊นส์เล็กของทางแพคเกจทัวร์ที่สองคนก็แน่นแล้ว แต่เต๊นส์เล็กของทางอุทยาน ผมว่าสามคนก็ยังเหลือที่เลยครับ ผมเลยแนะนำให้พี่เหมียวกับพี่บิ๊กใช้เต๊นส์เล็กก็พอ

ส่วนของพี่เล็กกับพี่วสันต์มาแบบแพคเกจครับ ก็ไม่ต้องมาติดต่อตรงนี้เพราะที่เกาะ ของแพคเกจทัวร์จะมีโซนกางอยู่ครับ เป็นเต๊นส์หลากสีสันเลยล่ะ

เรื่องเต๊นส์เสร็จเรียบร้อยก็รอเรือออกครับ ผมนั่งคุยกับพี่ๆ ในหลายๆเรื่อง ซึ่งคราวนี้เหมือนไม่ได้มาคนเดียวเลยครับ ยังไม่ทันถึงเกาะก็มีเพื่อนร่วมเดินทางซะแล้ว

กระเป๋าที่จะฝากทางเรือขน(กรณีไม่ได้ขนติดตัวไป) ควรจะไปบอกและไปชี้ที่กระเป๋าด้วยครับ ว่าไปหาดไหน เจ้าหน้าที่จะเอาผ้าสีแดงๆมาติด ว่าไปหาดไม้งามนะ

มานั่งรอที่ศาลาครับ อย่างที่รู้ๆกันว่า อากาศร้อนมาก มองเห็นนักท่องเที่ยวหลายสัญชาติครับ หนึ่งในนั้นก็มีสาวเกาหลี(ขาวมาก) แต่ดูยากครับ ว่าเป็นโสด แม่ม่าย หรือแต่งงานแล้ว อายุมากกว่า อายุน้อยกว่า สมัยนี้ดูที่หน้าตาอย่างเดียว อาจจะคลาดเคลื่อนได้ครับ บางคนหน้าใสมากๆ แต่อายุมากกว่าผมก็มี