ผ่อนคลาย สบายใจไป….เกาะสุรินทร์(4)
อ่าวสุเทพ
จุดนี้แนวปะการังยังพังอยู่มากครับ สังเกตจากเศษปะการังตามพื้น(ส่วนดีก็ยังพอมีให้เห็น) ในขณะที่ผมกำลังมองไปเรื่อยๆ ก็พบสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง รูปร่างไม่คล้ายปลาเลยนะ
หนึ่งในสัตว์ตระกูลหอย ที่เปลือกลดรูปไป “หมึกครับ หมึกกล้วย เป็นฝูงเลย”
ยี่สิบตัวขึ้นไปครับ จากการกลับมาดูในกล้อง โอกาสที่จะเห็นฝูงหมึกกล้วยว่ายน้ำแบบนี้ไม่ง่ายครับ และเป็นการดำแบบผิวน้ำซะด้วยนะ(Scuba ก็ไม่ได้เห็นง่ายนัก ยิ่งใกล้ๆแบบนี้ยิ่งยาก ส่วนใหญ่จะเห็นไกลๆ การเห็นหมึกกระดองและหมึกยักษ์ดูจะง่ายกว่าเยอะครับ)
ขึ้นเรือ แล้วไปดำน้ำจุดต่อไปกันครับ
เกาะมังกร(ปาจุมบา)
ดีกว่าตรงอ่าวสุเทพครับ เริ่มมีแดดมากขึ้น ใต้น้ำก็มีแนวปะการังที่ดูดีกว่า แม้จะมีร่องรอยการเสียหายก็ตาม เจ้าปลาผีเสื้อพระจันทร์(Racoon Butterflyfish) ว่ายอยู่บนปะการังก้อนอย่างมีความสุขครับ
ฝูงปลารูปร่างยาว ว่ายผ่านด้านหน้าผมไปครับ สัญชาติญานบอกว่า ต้องถ่ายให้ได้นะ ดูแล้วคล้ายๆBaracuda ครับ
ปลาสินสมุทรบั้งเหลือง(Regal Angelfish) ลวดลายสวยไม่แพ้เจ้าแว่นเหลืองที่ผมเห็นเมื่อเช้านี้ แต่แป๊บเดียวก็ว่ายหนีเข้าไปในซอกหินครับ ไม่ทันได้ถ่ายเลยน่ะ
สุดท้ายที่จำได้ เป็นปลาการ์ตูนอินเดียน(Skunk Anemonefish) ที่คนมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นปลาการ์ตูนอินเดียนแดงครับ
ยังไม่จบครับ บ่ายนี้มีโปรแกรมดำน้ำสามจุด เราไปยังอีกจุดหนึ่งดีกว่านะ
อ่าวไม้งาม
ของดีและของเด็ดอยู่ไม่ไกลจากที่พักครับ นอกจากแนวปะการังที่ตื้นแล้ว แสงแดดก็มีสภาวะที่เหมาะสม ถ้าเป็นฝรั่งก็ต้องบอกว่า “Cool!!!”
แนวปะการังค่อนข้างสมบูรณ์ครับ มองเห็นปลาขี้ตังเบ็ดลาย(Striped Surgeonfish) ว่ายอยู่โดยมีปะการังหลากชนิดเป็น Background
มีปลาตัวหนึง หน้าตาค่อนข้างประหลาดครับ อาจเป็นเพราะมุมมองตอนเธอหันหน้ามาด้วยละมั้ง(ใครทราบบอกหน่อยนะครับ)
ปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish) ลำตัวคล้ายก้างปลา บริเวณปากมีสีชมพูแดง น่าจูบซะจริง 555
เจอเจ้านีโมจนได้ เจ้านีโมหรือ ปลาการ์ตูนส้มขาว( False Clown Anemonefish) ตัวเอกในภาพยนต์ดัง ขวัญใจของเด็กๆ
ถ่ายรูปได้ด้วยครับ แต่ออกจะเบลอเพราะตัวผมก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ปลาก็ไม่ได้อยู่นิ่ง(ไว้แก้ตัวกลับไปถ่ายแบบ Scuba ครับ)
นอกนั้นที่จำได้ก็มี ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) ปลาสินสมุทรแว่นเหลือง(Blue-Face Angelfish) ครับ
ตอนแรกคิดว่าจะต้องว่ายกลับฝั่งแล้วครับ เพราะหาเรือไม่เจอ ผมลอยคออยู่กับสาวไทยในชุดบิกินี่สีดำ(ก็ไม่รู้จักชื่อครับ ก็ต้องเรียกแบบนี้ก่อนล่ะ) อ่อ ฝรั่งก็อยู่ด้วยนะ โชคดีว่ารอซักพักเรือก็มารับน่ะ
พี่บิ๊กแกยังนอนอยู่เลยครับ นอนคลุกทรายเหมือนพวกเมาค้างน่ะ พี่เหมียวบอกว่า “แบบนี้แหละเป็นความสุขของเขาล่ะ”
นอนเล่นที่เปลญวน ถ่ายรูปวงรอบของเปลือกไม้ รอให้แดดร่มครับ ขืนไปเล่นน้ำตอนนี้ก็เกรียมแน่นอน
สบายครับ เล่นน้ำสบายตัวมากๆ ไม่มีเหนียวตัวด้วย ไม่นานนักพี่ๆก็ออกมา ถือหน้ากากออกมาสน๊อคเกิ้ลด้วย
ตอนเอาอุปกรณ์ไปคืน ผมถามทอมว่า ไปเจออะไรมา เพราะสงสัยที่เป็ด บอกผมว่า ทอมเจอปลาที่ชื่อเหมือนโจรสลัด สรุป เป็น นโปเลียนครับ(Napoleonfish) ทอมบอกไม่เคยเจอที่นี่มาก่อน นโปเลียนถือว่าเป็นปลาที่เจอยากครับ Scuba ที่เกาะเก้าสิมิลัน อาจเจอบ่อยๆ แต่สำหรับการสน๊อคเกิ้ล มีไม่กี่ที่หรอกครับ ที่จะได้เจอ ผมยังอยากเจอแบบสน๊อคเกิ้ลบ้างเลย
อาบน้ำเสร็จ ก็เดินมาสั่งข้าวไว้ก่อน ใกล้สองทุ่มด้วยครับ ต้องเตรียมชำระค่าเต๊นส์ไว้ตอนนี้เลย พรุ่งนี้บ่ายผมก็จะกลับแล้ว พี่เหมียวก็มาชำระด้วยครับ เห็นตอนแรกว่าจะอยู่ต่อ
ผมลงชื่อไปหมู่บ้านมอแกนวันพรุ่งนี้ครับ น่าจะได้ไปนะ เพราะจำนวนคนเยอะพอสมควร ก่อนหน้านี้สามครั้งที่มา ผมยังไม่เคยได้ไปเยี่ยมชาวมอแกนเลยครับ แต่ก่อนผมห่วงเรื่องดำน้ำ กลัวจะดำไม่ครบโปรแกรม ตอนนี้ไม่ห่วงแล้วครับ แค่ไหนก็แค่นั้น(ครั้นพอจะอยากไปแต่จำนวนคนก็น้อย เรือไม่ออกซะงั้น)
ปั้มตราอุทยานแห่งชาติไว้ซะด้วยเลยครับ จริงๆควรจะมีอุทยานแห่งชาติทางทะเลมากกว่านี้ แต่ดันพึ่งจะเริ่มซื้อหนังสือน่ะ(ภาคอื่นที่ไม่ใช่ภาคใต้กับตะวันออก ว่างเปล่าแน่ครับ ผมไม่ค่อยได้ไปอยู่แล้ว)
ข้าวผัดกุ้งรสชาดดีเลยล่ะครับ ครั้นจะสั่งต่อ แต่ครัวก็ดันปิดแล้ว ก็เลยอดไป
ช่วงแปรงฟันเจอเจ้าฝรั่งที่มีแฟนแสนจะ sexy (มีอะไรหรือเปล่า พูดถึงบ่อยจัง) ไม่ทันขาดคำ เธอก็มาครับ ได้เห็นใกล้ๆ ตัวแดงแป๊ดเลย ท่าทางจะตากแดดเยอะครับ เลยถามเกี่ยวกับสีที่ลำตัว เธอก็ตอบว่า
“แสบไปหมดเลยค่ะ”(เสียงหวานมาก)
คืนนี้ น่าจะเป็นวันแรกในรอบหลายปี ที่ผมนอนในเวลาสามทุ่มครึ่งครับ
ค่ำคืน แห่งความสุขกำลังผ่านไป วันรุ่งขึ้นจะต้องกลับกรุงเทพแล้ว เร็วจริงๆ ครับ
18 เมษายน 2552
ตื่นมาด้วยความสดชื่นครับ ได้นอนเต็มอิ่ม เข้านอนเร็วด้วยล่ะ ยังเหลือมาม่าอยู่ครับ ขี้เกียจขนกลับ ว่าแล้วก็เอาไปกินเลยดีกว่า
ที่โรงอาหารจะมีน้ำร้อนให้ครับ ใครจะทานมาม่าก็ได้ จะชงกาแฟดื่มก็ได้ ไม่ว่ากัน
ซื้อขนมไปฝากเด็กมอแกนดีกว่าครับ ได้ยินว่าเด็กๆที่นั่นเยอะมากด้วย ช่วงสึนามิผมก็เคยบริจาคเสื้อผ้าให้มอแกน เพียงแต่ไม่ได้มาให้ด้วยตัวเองน่ะ(คราวหน้าอาจจะขนมาเองก็ได้ครับ)
เดินไปที่จุดสองร้อยเมตร พี่วสันต์กับพี่เล็กก็ไปหมู่บ้านมอแกนเหมือนกันครับ เพียงแต่ไปคนละลำน่ะ(แพคเกจทัวร์ แยกไปอีกลำครับ)
มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านมอแกนกันเลยครับ
หมู่บ้านมอแกน ณ อ่าวบอน
น้ำทะเลสีเขียวอ่อน ด้านหน้าผม คือ อ่าวบอน มีบ้านหลายหลังตั้งเรียงรายกันอยู่ครับ ดูเป็นระเบียบและเรียบง่าย ทุกบ้านยกใต้ถุนสูง ด้านหลังเป็นภูเขาสูงใหญ่ วิวสวยดีมากครับ เป็นธรรมชาติจริงๆ
เดินเข้าไปด้านใน มีเด็กๆเยอะเลยครับ พอแจกขนม แทบทุกคนยกมือไหว้ กิริยามารยาท เรียบร้อยกว่าเด็กเมืองกรุง บางคนอีกครับ
น้องมอแกนยิ้มแย้มและเป็นกันเองมาก ใครเห็นก็ต้องชอบล่ะครับ
ด้านในมีอาคารนิทรรศการครับ แสดงถึงขั้นตอนการสร้างเรือของชาวมอแกน แผนที่ตั้งของชาวเลสามกลุ่ม คือ มอแกน มอเกลนและอูรักลาโว้ย ซึ่งแต่ละกลุ่มก็ใช้ภาษาแตกต่างกัน
เดินไปสำรวจต่อครับ เอาขนมไปแจกต่อด้วย ที่บ้านแต่ละหลังจะมีเลขที่ครับและชื่อเจ้าของบ้านและ นามสกุล “กล้าทะเล” เหมือนกันทุกบ้าน เป็นนามสกุลพระราชทานครับ ตอนนี้ชาวมอแกนได้สัญชาติไทยแล้วด้วย
ผมเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ติดอยู่ที่บ้านและอีกหลายๆหลัง รู้สึก ชื่นใจครับ ทำให้นึกถึงเพลง “รูปที่มีทุกบ้าน” เลยล่ะ
คุณยายชาวมอแกนนั่งขายมะละกอครับ เธอตาบอด ใกล้ๆก็มีคุณป้าอีกคนขายสายรัดข้อมือที่ทำด้วย(ต้นอะไรผมก็จำไม่ได้แล้วครับ) และมีกระเป๋าที่ทำจากต้นเดียวกัน ไว้ใส่เศษเงินก็ได้
เดินต่อไป มีแผงโซลาร์เซลล์ครับ ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ถัดไปมีสถานีอนามัย มีเด็กๆ นั่งเล่นอยู่ด้วย คราวหน้าต้องซื้อขนมมาให้เยอะกว่านี้ครับ ขนมของผมหมดไปตั้งแต่ ต้นๆหมู่บ้านแล้วน่ะ เด็กเยอะจริงๆ
วิวตรงนี้สวยดีครับ มีต้นผักบุ้งทะเลด้วย(น่าจะใช่นะครับ ที่ดอกมีสีม่วงๆน่ะ) ถัดไปเป็นโรงเรียนของเด็กๆชาวมอแกน ถัดไปอีกเป็นบ้านพักครูครับ ออกแบบได้เจ๋ง จริงๆ
เดินกลับไปที่ต้นหมู่บ้านครับ พี่ชายคนหนึ่งชาวมอแกน แนะนำให้ผมเดินเข้าไปด้านหลัง จะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ชื่อว่า “ช่อกมาด๊ะห์” จะมีจุดชมวิวด้วย ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที(ทางออกอยู่หลังโรงเรียนครับ)
แกบอกว่า เดินขึ้นไปมีทางแยกให้ไปทางขวา อย่าตรงขึ้นไปเพราะจะขึ้นเขาซึ่งจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงครับ
ผม พี่เหมียว พี่บิ๊ก ตัดสินใจจะขึ้นไปสำรวจด้านบนล่ะ
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ “ช่อกมาด๊ะห์”
ถึงทางแยกแล้วเลี้ยวขวานะครับ อย่าตรงขึ้นไป ด้านในเป็นป่าดิบชื้นครับ ระยะทางประมาณ 800 เมตร เส้นทางไม่ลำบากมากนัก แต่ต้องระวังกิ่งไม้ครับ วันนี้ผมใส่เสื้อกล้าม ก็โดนกิ่งไม้เฉี่ยวไปหนึ่งแผล
ระหว่างทางจะมีป้ายบอกตลอดครับ ได้ความรู้ดีด้วย เดินไปซักพัก ก็ถึงจุดชมวิวที่เป็นนอกชาน ยื่นออกไป พื้นทำด้วยไม้ไผ่ คุ้มค่าในการเดินขึ้นมาครับ เพราะวิวสวยจริงๆ มองเห็นหมู่บ้านมอแกน มองเห็นอ่าวบอนอยู่ด้านล่าง สิทธิพิเศษสำหรับคนที่เดินขึ้นมาเท่านั้นครับ
แต่ตรงทางลง ซึ่งจะมาออกหลังโรงเรียนนั้น มีป้ายเขียนว่า เส้นทางศึกษาธรรมชาติ “ตะบิง ก่อตาน” เลยงงครับว่า ตกลงเข้าใช้ชื่อไหนกันแน่(ใครทราบช่วยบอกผมด้วยครับ ตอนนี้ ผมจะถือว่ามีสองชื่อนะ)
เดินย้อนมาทางหน้าหมู่บ้านครับ เห็นแม่ลูกชาวมอแกนคู่หนึ่ง ลูกพึ่งจะเกิดได้ 11 วัน ยังแบเบาะอยู่เลยครับ เขาบอกว่า ถ้าปกติแบบนี้ต้องอยู่ในโรงพยาบาล ที่หน้าผากของเจ้าเด็กน้อยมีสีดำๆติดอยู่ ด้วย คนที่คุยอยู่ เล่าให้ฟังว่า ถือเป็นการขับไล่ภูต ผี ปีศาจครับ
ที่น่าเศร้า คือ ผู้หญิงคนนี้ เธอผ่านการมีลูกมาแล้วสามคน สามคนนั้นเสียชีวิตทั้งหมดครับ( ตั้งแต่ยังแบเบาะแบบนี้แหละ) ส่วนเด็กทารกที่ผมเห็น อาการก็ดูไม่ค่อยดีเลยครับ ผมหวังว่า เด็กคนนี้จะรอดชีวิต และเติบโตเป็นผู้ใหญ่นะ
เดินต่อไปเจอเด็กๆมอแกนเล่นดีดลูกแก้ว เดินต่อไปอีก เจอสาววัยรุ่นชาวมอแกน(เลยหันกลับมาดู) ดูก็รู้ครับว่าเธอน่ารักครับ
ได้เวลาแล้ว เราขึ้นเรือเพื่อเดินทางกลับไปยังจุด 200 เมตร ผมคิดว่า คราวหน้าอยากจะกลับมาอีก อย่างน้อยเด็กๆก็จะมีขนมกิน ชาวมอแกนก็จะมีรายได้ เราเป็นมนุษย์ ก็ควรจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จริงไหมครับ
ที่จุด 200 เมตร ผมเจอพี่นิพนธ์ จึงสวัสดีและบอกลาว่า บ่ายนี้ผมจะกลับแล้ว แกถามผมว่า
“ภพ เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างครับ”
“เห็นครับพี่”
เริ่มจากจุดดำน้ำที่แย่ลงกว่าเดิม คือ เกาะสตอร์ค กับอ่าวจาก ในขณะที่จุดที่ดีขึ้นกว่าเดิม คือ ตอรินลาและอ่าวผักกาด
ระหว่างที่ผมเล่านั้น พี่นิพนธ์กับพี่อีกคนหนึ่ง พยักหน้าเหมือนจะบอกว่า ที่ผมเล่ามานั้นถูกต้องทุกอย่าง
“เล่าให้น้องฟังหน่อย ว่า เกาะสตอร์ค กับอ่าวจาก เกิดอะไรขึ้น”? พี่นิพนธ์บอกให้พี่อีกคนเล่าให้ฟัง
สองจุดที่ว่านั้น พังทลายโดยฝีมือของมนุษย์ที่แอบมาวางอวน เนื่องจากจุดดังกล่าวอยู่ไกล ยากแก่การดูแล ในขณะที่อีกเหตุหนึ่ง เกิดจากธรรมชาติเพราะดาวมงกุฎหนามนั่นเอง
กาลเวลาย่อมเปลี่ยนแปลงครับ ไม่ว่าจะเป็นอ่าวช่องขาดที่ยอดเยี่ยมก่อนคลื่นสึนามิ หรืออ่าวจากที่มีความหลากหลายของปะการังสูงมาก( อ . ธรณ์ เคยเรียกว่า ระดับ Mega ครับ)
คงเหมือนมนุษย์ครับ ที่มีเกิด มีแก่ มีเจ็บและก็มีตาย แต่ปัจจัยที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติอย่างการวางอวน การจับปลา ควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการแก้ไขครับ
ส่วนโครงการบ้านทาร์ซานที่อ่าวกระทิงนั้น โชคดีว่า ถูกพับเก็บไปแล้วครับ ตอนนี้ มีทหารเรือมาตั้งศูนย์อยู่ที่นั่น คอยตรวจตรา ซึ่งก็ยังดูดีกว่า จะปลูกบ้านพักตรงนั้นน่ะ
กลับมาอาบน้ำแต่งตัวครับ ผมบอกพี่เหมียวว่า จะรออยู่ที่โรงอาหาร นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว หาข้าวทานก่อนไปดีกว่าครับ
บ่ายนี้อิ่มมากครับ นอกจากข้าวผัดกุ้งที่ผมสั่งมา ก็ยังมีกับข้าวของพี่เล็กกับพี่วสันต์ที่แบ่งให้ผมทาน ทั้งน้ำพริกมะขาม ไข่พะโล้ ผัดผักรวม อิ่มสุดๆเลยล่ะ
ผมเดินกลับไปที่เต๊นส์เพื่อตามพี่เหมียวและพี่บิ๊ก ไม่เจอครับ ไปไหนหว่า นี่ก็ได้เวลาแล้ว พี่ๆอาจจะล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ผมไปที่จุด 200 เมตรเลยดีกว่านะ
ไม่มีครับ ผมเจอเพียงพี่วสันต์และ พี่เล็ก แล้วพี่เหมียวกับพี่บิ๊กไม่กลับวันนี้หรืออย่างไร?(จ่ายเงินไปแล้วเมื่อวานด้วย)
ไม่มีเวลามากไปกว่านี้ครับ ผมนั่งเรือหางยาว ขึ้นสู่เรือใหญ่ มองดูเรือแต่ละลำที่มาส่งผู้โดยสาร ก็ไม่ปรากฎว่า มีพี่เหมียวกับพี่บิ๊กครับ
ผมสันนิษฐานได้สองประการครับ คือ ข้อแรก ตกเรือ อาจจะดูเวลาผิดน่ะ นึกว่า บ่ายสอง อีกข้อ คือ อยู่เกาะต่อครับ(ผมเดาข้อแรกมากกว่าครับ 55)
ผมมองดูอ่าวช่องขาด แหลมแม่ยาย ค่อยๆเล็กลงไป เล็กลงไป
ระหว่างทาง บริเวณกองหินริเชลิว มีดิงกี้ส่งสัญญานมาที่เรือโดยสารว่าให้รอก่อน มีชาวต่างชาตินอนฟุบอยู่ในเรือด้วย อาการไม่ค่อยดีเท่าไรครับ
“น๊อคน้ำ น๊อคน้ำ”
โชคดีที่ชาวต่างชาติคนนี้ยังพอเดินได้ครับ แต่ต้องรีบไปที่ห้องหัวเรือและเอนตัวนอน เมื่อถึงฝั่งก็จะไปโรงพยาบาลต่อ เข้าใจว่าจะเข้าไปที่ห้องปรับความดันครับ(เหมือนกรณีของคุณอิงค์ อชิตะ ที่ลงข่าวนั่นแหละ)
ไม่ว่าจะเกิดด้วยสาเหตุใด แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอครับ ควรเคร่งครัดในกฎระเบียบ ดำน้ำอย่างปลอดภัย และไม่ฝืนหากไม่สบายจริงๆ ก็น่าจะพอช่วยได้บ้างครับ(หากระวังตัวดีแล้วยังเกิดก็คงต้องยอมรับและแก้ไขครับ)
ขากลับเร็วจริงๆครับ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง สี่สิบนาที เท่านั้น ก็ถึงฝั่งแล้ว
มีน้ำเป๊บซี่เย็นๆ คอยให้บริการครับ ก็ถือว่าเป็นบริการหลังการขาย ผม พี่วสันต์และพี่เล็ก ก็นั่งรถของทางซาบีน่า ไปส่งที่ท่ารถ บ ข ส
ผมได้รถเสริมครับ(คนก็ดันมากลับเอาวันนี้พอดี) ไม่เป็นไรครับ ดีกว่าไม่มีรถ ลองมาเดินดูที่ตลาดเย็นกันบ้าง(จะอยู่คนละด้านกับตลาดตอนเช้าครับ) มีของกินขายพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นรถเข็น ผมซื้อขนมครกมาลองทานด้วย อร่อยดีครับ
นั่งกินข้าวเย็นกับพี่วสันต์และพี่เล็ก ซักพักก็ต้องขอลากลับ เพราะรถมาซะแล้ว ถึงเวลาต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯครับ
บทส่งท้าย
แม้จะไม่ได้ดำน้ำแบบ Scuba แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ทำให้ผมมีความสุขมากๆ ที่ได้กลับมายังสถานที่รักอีกครั้งหนึ่ง
หมู่เกาะสุรินทร์ ยังคงเป็นสุดยอดแห่งการดำน้ำแบบ Snorkeling ที่หาตัวจับได้ยาก ชาวต่างชาติหลายคนกลับมาเที่ยวที่นี่อีกหลายครั้ง
สำหรับผมแล้วการเดินทางนอกจากจะได้รับประสบการณ์ที่ดีแล้ว การเดินทางก็เป็นการผ่อนคลายที่ดีมากๆครับ ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม
อยากให้ทุกๆคนมาเที่ยวที่นี่นะครับ ระยะเวลาการเปิดเกาะก็มีเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น หากพลาดไป ปีหน้าค่อยมาใหม่(อย่าลืมแวะมาหาชาวมอแกนด้วยล่ะครับ)
และสุดท้าย ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม
แล้วพบกันใหม่ครับ ^^
Phop Payapvipapong
1 May 2009
3:46 PM
จุดนี้แนวปะการังยังพังอยู่มากครับ สังเกตจากเศษปะการังตามพื้น(ส่วนดีก็ยังพอมีให้เห็น) ในขณะที่ผมกำลังมองไปเรื่อยๆ ก็พบสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง รูปร่างไม่คล้ายปลาเลยนะ
หนึ่งในสัตว์ตระกูลหอย ที่เปลือกลดรูปไป “หมึกครับ หมึกกล้วย เป็นฝูงเลย”
ยี่สิบตัวขึ้นไปครับ จากการกลับมาดูในกล้อง โอกาสที่จะเห็นฝูงหมึกกล้วยว่ายน้ำแบบนี้ไม่ง่ายครับ และเป็นการดำแบบผิวน้ำซะด้วยนะ(Scuba ก็ไม่ได้เห็นง่ายนัก ยิ่งใกล้ๆแบบนี้ยิ่งยาก ส่วนใหญ่จะเห็นไกลๆ การเห็นหมึกกระดองและหมึกยักษ์ดูจะง่ายกว่าเยอะครับ)
ขึ้นเรือ แล้วไปดำน้ำจุดต่อไปกันครับ
เกาะมังกร(ปาจุมบา)
ดีกว่าตรงอ่าวสุเทพครับ เริ่มมีแดดมากขึ้น ใต้น้ำก็มีแนวปะการังที่ดูดีกว่า แม้จะมีร่องรอยการเสียหายก็ตาม เจ้าปลาผีเสื้อพระจันทร์(Racoon Butterflyfish) ว่ายอยู่บนปะการังก้อนอย่างมีความสุขครับ
ฝูงปลารูปร่างยาว ว่ายผ่านด้านหน้าผมไปครับ สัญชาติญานบอกว่า ต้องถ่ายให้ได้นะ ดูแล้วคล้ายๆBaracuda ครับ
ปลาสินสมุทรบั้งเหลือง(Regal Angelfish) ลวดลายสวยไม่แพ้เจ้าแว่นเหลืองที่ผมเห็นเมื่อเช้านี้ แต่แป๊บเดียวก็ว่ายหนีเข้าไปในซอกหินครับ ไม่ทันได้ถ่ายเลยน่ะ
สุดท้ายที่จำได้ เป็นปลาการ์ตูนอินเดียน(Skunk Anemonefish) ที่คนมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นปลาการ์ตูนอินเดียนแดงครับ
ยังไม่จบครับ บ่ายนี้มีโปรแกรมดำน้ำสามจุด เราไปยังอีกจุดหนึ่งดีกว่านะ
อ่าวไม้งาม
ของดีและของเด็ดอยู่ไม่ไกลจากที่พักครับ นอกจากแนวปะการังที่ตื้นแล้ว แสงแดดก็มีสภาวะที่เหมาะสม ถ้าเป็นฝรั่งก็ต้องบอกว่า “Cool!!!”
แนวปะการังค่อนข้างสมบูรณ์ครับ มองเห็นปลาขี้ตังเบ็ดลาย(Striped Surgeonfish) ว่ายอยู่โดยมีปะการังหลากชนิดเป็น Background
มีปลาตัวหนึง หน้าตาค่อนข้างประหลาดครับ อาจเป็นเพราะมุมมองตอนเธอหันหน้ามาด้วยละมั้ง(ใครทราบบอกหน่อยนะครับ)
ปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish) ลำตัวคล้ายก้างปลา บริเวณปากมีสีชมพูแดง น่าจูบซะจริง 555
เจอเจ้านีโมจนได้ เจ้านีโมหรือ ปลาการ์ตูนส้มขาว( False Clown Anemonefish) ตัวเอกในภาพยนต์ดัง ขวัญใจของเด็กๆ
ถ่ายรูปได้ด้วยครับ แต่ออกจะเบลอเพราะตัวผมก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ปลาก็ไม่ได้อยู่นิ่ง(ไว้แก้ตัวกลับไปถ่ายแบบ Scuba ครับ)
นอกนั้นที่จำได้ก็มี ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) ปลาสินสมุทรแว่นเหลือง(Blue-Face Angelfish) ครับ
ตอนแรกคิดว่าจะต้องว่ายกลับฝั่งแล้วครับ เพราะหาเรือไม่เจอ ผมลอยคออยู่กับสาวไทยในชุดบิกินี่สีดำ(ก็ไม่รู้จักชื่อครับ ก็ต้องเรียกแบบนี้ก่อนล่ะ) อ่อ ฝรั่งก็อยู่ด้วยนะ โชคดีว่ารอซักพักเรือก็มารับน่ะ
พี่บิ๊กแกยังนอนอยู่เลยครับ นอนคลุกทรายเหมือนพวกเมาค้างน่ะ พี่เหมียวบอกว่า “แบบนี้แหละเป็นความสุขของเขาล่ะ”
นอนเล่นที่เปลญวน ถ่ายรูปวงรอบของเปลือกไม้ รอให้แดดร่มครับ ขืนไปเล่นน้ำตอนนี้ก็เกรียมแน่นอน
สบายครับ เล่นน้ำสบายตัวมากๆ ไม่มีเหนียวตัวด้วย ไม่นานนักพี่ๆก็ออกมา ถือหน้ากากออกมาสน๊อคเกิ้ลด้วย
ตอนเอาอุปกรณ์ไปคืน ผมถามทอมว่า ไปเจออะไรมา เพราะสงสัยที่เป็ด บอกผมว่า ทอมเจอปลาที่ชื่อเหมือนโจรสลัด สรุป เป็น นโปเลียนครับ(Napoleonfish) ทอมบอกไม่เคยเจอที่นี่มาก่อน นโปเลียนถือว่าเป็นปลาที่เจอยากครับ Scuba ที่เกาะเก้าสิมิลัน อาจเจอบ่อยๆ แต่สำหรับการสน๊อคเกิ้ล มีไม่กี่ที่หรอกครับ ที่จะได้เจอ ผมยังอยากเจอแบบสน๊อคเกิ้ลบ้างเลย
อาบน้ำเสร็จ ก็เดินมาสั่งข้าวไว้ก่อน ใกล้สองทุ่มด้วยครับ ต้องเตรียมชำระค่าเต๊นส์ไว้ตอนนี้เลย พรุ่งนี้บ่ายผมก็จะกลับแล้ว พี่เหมียวก็มาชำระด้วยครับ เห็นตอนแรกว่าจะอยู่ต่อ
ผมลงชื่อไปหมู่บ้านมอแกนวันพรุ่งนี้ครับ น่าจะได้ไปนะ เพราะจำนวนคนเยอะพอสมควร ก่อนหน้านี้สามครั้งที่มา ผมยังไม่เคยได้ไปเยี่ยมชาวมอแกนเลยครับ แต่ก่อนผมห่วงเรื่องดำน้ำ กลัวจะดำไม่ครบโปรแกรม ตอนนี้ไม่ห่วงแล้วครับ แค่ไหนก็แค่นั้น(ครั้นพอจะอยากไปแต่จำนวนคนก็น้อย เรือไม่ออกซะงั้น)
ปั้มตราอุทยานแห่งชาติไว้ซะด้วยเลยครับ จริงๆควรจะมีอุทยานแห่งชาติทางทะเลมากกว่านี้ แต่ดันพึ่งจะเริ่มซื้อหนังสือน่ะ(ภาคอื่นที่ไม่ใช่ภาคใต้กับตะวันออก ว่างเปล่าแน่ครับ ผมไม่ค่อยได้ไปอยู่แล้ว)
ข้าวผัดกุ้งรสชาดดีเลยล่ะครับ ครั้นจะสั่งต่อ แต่ครัวก็ดันปิดแล้ว ก็เลยอดไป
ช่วงแปรงฟันเจอเจ้าฝรั่งที่มีแฟนแสนจะ sexy (มีอะไรหรือเปล่า พูดถึงบ่อยจัง) ไม่ทันขาดคำ เธอก็มาครับ ได้เห็นใกล้ๆ ตัวแดงแป๊ดเลย ท่าทางจะตากแดดเยอะครับ เลยถามเกี่ยวกับสีที่ลำตัว เธอก็ตอบว่า
“แสบไปหมดเลยค่ะ”(เสียงหวานมาก)
คืนนี้ น่าจะเป็นวันแรกในรอบหลายปี ที่ผมนอนในเวลาสามทุ่มครึ่งครับ
ค่ำคืน แห่งความสุขกำลังผ่านไป วันรุ่งขึ้นจะต้องกลับกรุงเทพแล้ว เร็วจริงๆ ครับ
18 เมษายน 2552
ตื่นมาด้วยความสดชื่นครับ ได้นอนเต็มอิ่ม เข้านอนเร็วด้วยล่ะ ยังเหลือมาม่าอยู่ครับ ขี้เกียจขนกลับ ว่าแล้วก็เอาไปกินเลยดีกว่า
ที่โรงอาหารจะมีน้ำร้อนให้ครับ ใครจะทานมาม่าก็ได้ จะชงกาแฟดื่มก็ได้ ไม่ว่ากัน
ซื้อขนมไปฝากเด็กมอแกนดีกว่าครับ ได้ยินว่าเด็กๆที่นั่นเยอะมากด้วย ช่วงสึนามิผมก็เคยบริจาคเสื้อผ้าให้มอแกน เพียงแต่ไม่ได้มาให้ด้วยตัวเองน่ะ(คราวหน้าอาจจะขนมาเองก็ได้ครับ)
เดินไปที่จุดสองร้อยเมตร พี่วสันต์กับพี่เล็กก็ไปหมู่บ้านมอแกนเหมือนกันครับ เพียงแต่ไปคนละลำน่ะ(แพคเกจทัวร์ แยกไปอีกลำครับ)
มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านมอแกนกันเลยครับ
หมู่บ้านมอแกน ณ อ่าวบอน
น้ำทะเลสีเขียวอ่อน ด้านหน้าผม คือ อ่าวบอน มีบ้านหลายหลังตั้งเรียงรายกันอยู่ครับ ดูเป็นระเบียบและเรียบง่าย ทุกบ้านยกใต้ถุนสูง ด้านหลังเป็นภูเขาสูงใหญ่ วิวสวยดีมากครับ เป็นธรรมชาติจริงๆ
เดินเข้าไปด้านใน มีเด็กๆเยอะเลยครับ พอแจกขนม แทบทุกคนยกมือไหว้ กิริยามารยาท เรียบร้อยกว่าเด็กเมืองกรุง บางคนอีกครับ
น้องมอแกนยิ้มแย้มและเป็นกันเองมาก ใครเห็นก็ต้องชอบล่ะครับ
ด้านในมีอาคารนิทรรศการครับ แสดงถึงขั้นตอนการสร้างเรือของชาวมอแกน แผนที่ตั้งของชาวเลสามกลุ่ม คือ มอแกน มอเกลนและอูรักลาโว้ย ซึ่งแต่ละกลุ่มก็ใช้ภาษาแตกต่างกัน
เดินไปสำรวจต่อครับ เอาขนมไปแจกต่อด้วย ที่บ้านแต่ละหลังจะมีเลขที่ครับและชื่อเจ้าของบ้านและ นามสกุล “กล้าทะเล” เหมือนกันทุกบ้าน เป็นนามสกุลพระราชทานครับ ตอนนี้ชาวมอแกนได้สัญชาติไทยแล้วด้วย
ผมเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ติดอยู่ที่บ้านและอีกหลายๆหลัง รู้สึก ชื่นใจครับ ทำให้นึกถึงเพลง “รูปที่มีทุกบ้าน” เลยล่ะ
คุณยายชาวมอแกนนั่งขายมะละกอครับ เธอตาบอด ใกล้ๆก็มีคุณป้าอีกคนขายสายรัดข้อมือที่ทำด้วย(ต้นอะไรผมก็จำไม่ได้แล้วครับ) และมีกระเป๋าที่ทำจากต้นเดียวกัน ไว้ใส่เศษเงินก็ได้
เดินต่อไป มีแผงโซลาร์เซลล์ครับ ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ถัดไปมีสถานีอนามัย มีเด็กๆ นั่งเล่นอยู่ด้วย คราวหน้าต้องซื้อขนมมาให้เยอะกว่านี้ครับ ขนมของผมหมดไปตั้งแต่ ต้นๆหมู่บ้านแล้วน่ะ เด็กเยอะจริงๆ
วิวตรงนี้สวยดีครับ มีต้นผักบุ้งทะเลด้วย(น่าจะใช่นะครับ ที่ดอกมีสีม่วงๆน่ะ) ถัดไปเป็นโรงเรียนของเด็กๆชาวมอแกน ถัดไปอีกเป็นบ้านพักครูครับ ออกแบบได้เจ๋ง จริงๆ
เดินกลับไปที่ต้นหมู่บ้านครับ พี่ชายคนหนึ่งชาวมอแกน แนะนำให้ผมเดินเข้าไปด้านหลัง จะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ชื่อว่า “ช่อกมาด๊ะห์” จะมีจุดชมวิวด้วย ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที(ทางออกอยู่หลังโรงเรียนครับ)
แกบอกว่า เดินขึ้นไปมีทางแยกให้ไปทางขวา อย่าตรงขึ้นไปเพราะจะขึ้นเขาซึ่งจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงครับ
ผม พี่เหมียว พี่บิ๊ก ตัดสินใจจะขึ้นไปสำรวจด้านบนล่ะ
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ “ช่อกมาด๊ะห์”
ถึงทางแยกแล้วเลี้ยวขวานะครับ อย่าตรงขึ้นไป ด้านในเป็นป่าดิบชื้นครับ ระยะทางประมาณ 800 เมตร เส้นทางไม่ลำบากมากนัก แต่ต้องระวังกิ่งไม้ครับ วันนี้ผมใส่เสื้อกล้าม ก็โดนกิ่งไม้เฉี่ยวไปหนึ่งแผล
ระหว่างทางจะมีป้ายบอกตลอดครับ ได้ความรู้ดีด้วย เดินไปซักพัก ก็ถึงจุดชมวิวที่เป็นนอกชาน ยื่นออกไป พื้นทำด้วยไม้ไผ่ คุ้มค่าในการเดินขึ้นมาครับ เพราะวิวสวยจริงๆ มองเห็นหมู่บ้านมอแกน มองเห็นอ่าวบอนอยู่ด้านล่าง สิทธิพิเศษสำหรับคนที่เดินขึ้นมาเท่านั้นครับ
แต่ตรงทางลง ซึ่งจะมาออกหลังโรงเรียนนั้น มีป้ายเขียนว่า เส้นทางศึกษาธรรมชาติ “ตะบิง ก่อตาน” เลยงงครับว่า ตกลงเข้าใช้ชื่อไหนกันแน่(ใครทราบช่วยบอกผมด้วยครับ ตอนนี้ ผมจะถือว่ามีสองชื่อนะ)
เดินย้อนมาทางหน้าหมู่บ้านครับ เห็นแม่ลูกชาวมอแกนคู่หนึ่ง ลูกพึ่งจะเกิดได้ 11 วัน ยังแบเบาะอยู่เลยครับ เขาบอกว่า ถ้าปกติแบบนี้ต้องอยู่ในโรงพยาบาล ที่หน้าผากของเจ้าเด็กน้อยมีสีดำๆติดอยู่ ด้วย คนที่คุยอยู่ เล่าให้ฟังว่า ถือเป็นการขับไล่ภูต ผี ปีศาจครับ
ที่น่าเศร้า คือ ผู้หญิงคนนี้ เธอผ่านการมีลูกมาแล้วสามคน สามคนนั้นเสียชีวิตทั้งหมดครับ( ตั้งแต่ยังแบเบาะแบบนี้แหละ) ส่วนเด็กทารกที่ผมเห็น อาการก็ดูไม่ค่อยดีเลยครับ ผมหวังว่า เด็กคนนี้จะรอดชีวิต และเติบโตเป็นผู้ใหญ่นะ
เดินต่อไปเจอเด็กๆมอแกนเล่นดีดลูกแก้ว เดินต่อไปอีก เจอสาววัยรุ่นชาวมอแกน(เลยหันกลับมาดู) ดูก็รู้ครับว่าเธอน่ารักครับ
ได้เวลาแล้ว เราขึ้นเรือเพื่อเดินทางกลับไปยังจุด 200 เมตร ผมคิดว่า คราวหน้าอยากจะกลับมาอีก อย่างน้อยเด็กๆก็จะมีขนมกิน ชาวมอแกนก็จะมีรายได้ เราเป็นมนุษย์ ก็ควรจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จริงไหมครับ
ที่จุด 200 เมตร ผมเจอพี่นิพนธ์ จึงสวัสดีและบอกลาว่า บ่ายนี้ผมจะกลับแล้ว แกถามผมว่า
“ภพ เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างครับ”
“เห็นครับพี่”
เริ่มจากจุดดำน้ำที่แย่ลงกว่าเดิม คือ เกาะสตอร์ค กับอ่าวจาก ในขณะที่จุดที่ดีขึ้นกว่าเดิม คือ ตอรินลาและอ่าวผักกาด
ระหว่างที่ผมเล่านั้น พี่นิพนธ์กับพี่อีกคนหนึ่ง พยักหน้าเหมือนจะบอกว่า ที่ผมเล่ามานั้นถูกต้องทุกอย่าง
“เล่าให้น้องฟังหน่อย ว่า เกาะสตอร์ค กับอ่าวจาก เกิดอะไรขึ้น”? พี่นิพนธ์บอกให้พี่อีกคนเล่าให้ฟัง
สองจุดที่ว่านั้น พังทลายโดยฝีมือของมนุษย์ที่แอบมาวางอวน เนื่องจากจุดดังกล่าวอยู่ไกล ยากแก่การดูแล ในขณะที่อีกเหตุหนึ่ง เกิดจากธรรมชาติเพราะดาวมงกุฎหนามนั่นเอง
กาลเวลาย่อมเปลี่ยนแปลงครับ ไม่ว่าจะเป็นอ่าวช่องขาดที่ยอดเยี่ยมก่อนคลื่นสึนามิ หรืออ่าวจากที่มีความหลากหลายของปะการังสูงมาก( อ . ธรณ์ เคยเรียกว่า ระดับ Mega ครับ)
คงเหมือนมนุษย์ครับ ที่มีเกิด มีแก่ มีเจ็บและก็มีตาย แต่ปัจจัยที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติอย่างการวางอวน การจับปลา ควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการแก้ไขครับ
ส่วนโครงการบ้านทาร์ซานที่อ่าวกระทิงนั้น โชคดีว่า ถูกพับเก็บไปแล้วครับ ตอนนี้ มีทหารเรือมาตั้งศูนย์อยู่ที่นั่น คอยตรวจตรา ซึ่งก็ยังดูดีกว่า จะปลูกบ้านพักตรงนั้นน่ะ
กลับมาอาบน้ำแต่งตัวครับ ผมบอกพี่เหมียวว่า จะรออยู่ที่โรงอาหาร นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว หาข้าวทานก่อนไปดีกว่าครับ
บ่ายนี้อิ่มมากครับ นอกจากข้าวผัดกุ้งที่ผมสั่งมา ก็ยังมีกับข้าวของพี่เล็กกับพี่วสันต์ที่แบ่งให้ผมทาน ทั้งน้ำพริกมะขาม ไข่พะโล้ ผัดผักรวม อิ่มสุดๆเลยล่ะ
ผมเดินกลับไปที่เต๊นส์เพื่อตามพี่เหมียวและพี่บิ๊ก ไม่เจอครับ ไปไหนหว่า นี่ก็ได้เวลาแล้ว พี่ๆอาจจะล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ผมไปที่จุด 200 เมตรเลยดีกว่านะ
ไม่มีครับ ผมเจอเพียงพี่วสันต์และ พี่เล็ก แล้วพี่เหมียวกับพี่บิ๊กไม่กลับวันนี้หรืออย่างไร?(จ่ายเงินไปแล้วเมื่อวานด้วย)
ไม่มีเวลามากไปกว่านี้ครับ ผมนั่งเรือหางยาว ขึ้นสู่เรือใหญ่ มองดูเรือแต่ละลำที่มาส่งผู้โดยสาร ก็ไม่ปรากฎว่า มีพี่เหมียวกับพี่บิ๊กครับ
ผมสันนิษฐานได้สองประการครับ คือ ข้อแรก ตกเรือ อาจจะดูเวลาผิดน่ะ นึกว่า บ่ายสอง อีกข้อ คือ อยู่เกาะต่อครับ(ผมเดาข้อแรกมากกว่าครับ 55)
ผมมองดูอ่าวช่องขาด แหลมแม่ยาย ค่อยๆเล็กลงไป เล็กลงไป
ระหว่างทาง บริเวณกองหินริเชลิว มีดิงกี้ส่งสัญญานมาที่เรือโดยสารว่าให้รอก่อน มีชาวต่างชาตินอนฟุบอยู่ในเรือด้วย อาการไม่ค่อยดีเท่าไรครับ
“น๊อคน้ำ น๊อคน้ำ”
โชคดีที่ชาวต่างชาติคนนี้ยังพอเดินได้ครับ แต่ต้องรีบไปที่ห้องหัวเรือและเอนตัวนอน เมื่อถึงฝั่งก็จะไปโรงพยาบาลต่อ เข้าใจว่าจะเข้าไปที่ห้องปรับความดันครับ(เหมือนกรณีของคุณอิงค์ อชิตะ ที่ลงข่าวนั่นแหละ)
ไม่ว่าจะเกิดด้วยสาเหตุใด แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอครับ ควรเคร่งครัดในกฎระเบียบ ดำน้ำอย่างปลอดภัย และไม่ฝืนหากไม่สบายจริงๆ ก็น่าจะพอช่วยได้บ้างครับ(หากระวังตัวดีแล้วยังเกิดก็คงต้องยอมรับและแก้ไขครับ)
ขากลับเร็วจริงๆครับ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง สี่สิบนาที เท่านั้น ก็ถึงฝั่งแล้ว
มีน้ำเป๊บซี่เย็นๆ คอยให้บริการครับ ก็ถือว่าเป็นบริการหลังการขาย ผม พี่วสันต์และพี่เล็ก ก็นั่งรถของทางซาบีน่า ไปส่งที่ท่ารถ บ ข ส
ผมได้รถเสริมครับ(คนก็ดันมากลับเอาวันนี้พอดี) ไม่เป็นไรครับ ดีกว่าไม่มีรถ ลองมาเดินดูที่ตลาดเย็นกันบ้าง(จะอยู่คนละด้านกับตลาดตอนเช้าครับ) มีของกินขายพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นรถเข็น ผมซื้อขนมครกมาลองทานด้วย อร่อยดีครับ
นั่งกินข้าวเย็นกับพี่วสันต์และพี่เล็ก ซักพักก็ต้องขอลากลับ เพราะรถมาซะแล้ว ถึงเวลาต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯครับ
บทส่งท้าย
แม้จะไม่ได้ดำน้ำแบบ Scuba แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ทำให้ผมมีความสุขมากๆ ที่ได้กลับมายังสถานที่รักอีกครั้งหนึ่ง
หมู่เกาะสุรินทร์ ยังคงเป็นสุดยอดแห่งการดำน้ำแบบ Snorkeling ที่หาตัวจับได้ยาก ชาวต่างชาติหลายคนกลับมาเที่ยวที่นี่อีกหลายครั้ง
สำหรับผมแล้วการเดินทางนอกจากจะได้รับประสบการณ์ที่ดีแล้ว การเดินทางก็เป็นการผ่อนคลายที่ดีมากๆครับ ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม
อยากให้ทุกๆคนมาเที่ยวที่นี่นะครับ ระยะเวลาการเปิดเกาะก็มีเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น หากพลาดไป ปีหน้าค่อยมาใหม่(อย่าลืมแวะมาหาชาวมอแกนด้วยล่ะครับ)
และสุดท้าย ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม
แล้วพบกันใหม่ครับ ^^
Phop Payapvipapong
1 May 2009
3:46 PM
1 Comments:
sa wa di kap
wahai orang2 kampung semerahpadi jom layan blog aku....
http://pakharunmeejawa.blogspot.com/
http://pakharunmeejawa.blogspot.com/
http://pakharunmeejawa.blogspot.com/
http://pakharunmeejawa.blogspot.com/
Post a Comment
<< Home