ผ่อนคลาย สบายใจไป….เกาะสุรินทร์(1)
ร้อนครับ ร้อน เข้าเดือนเมษา ทำไมมันร้อนแบบนี้ บรรยากาศบ้านเมืองก็มาร้อนระอุเดือนนี้ซะด้วย ใครออกเดินทางตั้งแต่วันศุกร์ที่ 10 เมษายน ก็โชคดีไปครับ
สำหรับผม สงกรานต์ปีนี้ท่าทางจะแห้วครับ ไม่ได้ไปเที่ยวทะเลแน่ๆ เพราะกว่าจะได้กลับบ้านก็วันเสาร์เข้าไปแล้ว นับวันดู ถ้าจะไปจริงๆ วันเวลาก็เหลือน้อยเสียเหลือเกิน(มานอนเฝ้าคุณแม่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม ครับ)
การนอนโรงพยาบาลนานๆ ไม่ใช่คนป่วยอย่างเดียวที่เครียดครับ คนเฝ้าอย่างผมก็เครียดเป็นเหมือนกัน ยิ่งต้องอ่านหนังสือสอบในช่วงที่อยู่โรงพยาบาล ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ เพราะไม่ได้สะดวกสบายนัก ต้องนั่งๆลุกๆอยู่ตลอดเวลา(ถ้าไม่ใช่คนที่ทำงานในโรงพยาบาลแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ควรไปกิน-นอน อยู่นานๆหรอกครับ)
เมื่อได้กลับบ้านช่วงค่ำวันเสาร์ ผมขับรถไปสายใต้ใหม่ในทันที เพื่อหาซื้อตั๋วรถโดยสารไปลงคุระบุรี ไปเยือนเกาะสุรินทร์ ลืมไปว่าแถวรัฐสภาเขามีประท้วง ตรงเข้าไปอีกนิดก็ต้องถูกม๊อบเสื้อแดงตรวจแล้วครับ เลี้ยวรถกลับแทบไม่ทันแน่ะ(คนเยอะจริงๆครับ มีรถจอดเต็มไปหมดด้วย)
โชคชะตาเล่นตลกครับ ตั๋วทุกบริษัทเต็มหมดแล้ว ผมถอนหายใจ คงอดไปแล้วล่ะ ครั้นจะไปเกาะกูด ก็มีปัญหาในเรื่องเรือโดยสารและที่พักครับ(เท่าที่สอบถาม ที่พักก็เต็มหมดล่ะ ก็ไม่ได้เตรียมตัวมา นี่ก็ช่วงเทศกาลด้วย ส่วนเรือมีตอนเช้าครับ ต้องนั่งรถทัวร์ไปช่วงดึกๆ หากนั่งไปช่วงเช้า ไปถึงตราดบ่ายๆเย็นๆ ไม่มีเรือไปเกาะกูดครับ)
อยู่บ้านก็ไม่เลวครับ(ก็ต้องอยู่น่ะนะ) ออกไปไม่มีใครเล่นน้ำเลย เพราะมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนกรุง เครียด และไม่ออกมาเล่นน้ำกัน แต่พอเหตุการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผู้คนก็ออกมาเล่นน้ำกันมากขึ้นและมีข่าวดีมากๆนั่นก็ คือ รัฐบาลหยุดเพิ่มให้อีก
“โอกาสมาแล้วเว้ย” ผมเริ่มมีความหวัง
หากไม่มีใครอยู่บ้านเป็นเพื่อนคุณแม่ ผมจะไม่ไปเที่ยวไหนเลยครับ แต่ถ้ามี แล้วท่านอาการดีขึ้น ผมก็จะหาที่ไปครับ
เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว และพร้อมแล้ว ผมนั่งคิด นอนคิด จะไปไหนดี แต่หลายๆที่ คิดแล้วต้องล้มเลิกครับ เพราะมีข้อจำกัดหลายๆอย่าง
แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังสงกรานต์ที่รัฐบาลหยุดเพิ่มให้ ผมไม่อยู่บ้านแน่ๆครับ อีกทั้งที่บ้านก็ไม่ได้ไปไหนด้วย
ไฟเขียวจากครอบครัว ท่านเข้าใจว่า นักเดินทางอย่างผมต้องเดินทางน่ะ
จุดหมายปลายทาง จะเป็นอื่นไปไม่ได้ครับ ในภาวะที่อึดอัด เครียด ไม่สบายตัวแบบนี้
นอกจาก “ทะเล”
15 เมษายน 2552
“ออกเดินทางวันนี้นะครับ เดี๋ยวบ่ายๆไปซื้อตั๋วรถ เหลือเยอะเลยล่ะ น่าจะออกซักสองทุ่ม แต่จะกลับวันอาทิตย์เช้า” ผมคุยกับคุณแม่ กับการตัดสินใจที่รวดเร็ว
ต่อรองได้แบบนี้ครับ เช้าวันจันทร์ผมต้องพาท่านไปโรงพยาบาล การไปวันนี้แล้วกลับวันอาทิตย์ ดีกว่าไปวันพรุ่งนี้แล้วกลับวันจันทร์น่ะ ส่วนคุณพ่อท่านโอเคครับ ถ้ากลับมาวันอาทิตย์ (ส่วนผม ถ้าได้ไปก็ดีกว่าไม่ได้ไปครับ แม้จะได้นอนบนเกาะเพียงสองคืน น้อยกว่าทุกครั้งที่เคยไป แต่คงไม่บ่นล่ะ)
สรุปผมได้ไปเกาะสุรินทร์เป็นครั้งที่สี่ครับ ล่าสุดก็ปลายปี 49 ก็สองปีมาแล้ว หากใครเคยไป จะทราบครับว่า เหตุใด นักท่องเที่ยวหลายๆคนจึงต้องกลับมา อีกหลายๆครั้ง
ตั๋วเรือเดี๋ยวไปถึงค่อยซื้อครับ ก็รู้ๆกันอยู่(แฮะๆ โทรไปถามแล้วครับ) ส่วนที่พักแม้ไม่ได้จองไป แต่หลังสงกรานต์น่าจะมีที่เหลือน่ะ ไปวัดดวงเอาดีกว่า ไม่เอาเต๊นส์ไปด้วย (กล้านะ ยิ่งเขาเริ่มจำกัดนักท่องเที่ยวแล้ว เกิดไม่มีขึ้นมา สงสัยต้องนอนแบบไม่มีเต๊นส์ครับ 555)
บ่ายๆขับรถไปสายใต้ใหม่ครับ แต่ซิ่งไปหน่อยเลยขับเลยทุกที ต้องไปกลับรถไกลมากๆและไม่เคยจำ(ร่วมกิโล) แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้นครับ เพราะมีตั๋ว 555
ลองแหยมๆ ไปที่ลิกไนท์ทัวร์ครับ แต่ตั๋วเต็ม ก็ไม่แปลกใจอะไรครับ ที่นี่มักจะเต็มก่อนเสมอล่ะ
“ปรับอากาศชั้นหนึ่ง 508 บาท ค่ะ รถออกสองทุ่มนะคะ” เสียงพนักงานบอกผม บริษัทขนส่ง มักจะเต็มเป็นรายหลังๆครับ ผมมักจะได้ไปบริษัทนี้ แม้จะไม่ได้เตรียมตัวมา แต่นี่เป็นครั้งแรกๆในรอบหลายๆปี ที่ผมจะไม่ต้องนั่งรถเสริม แต่ได้นั่งรถของบริษัทนั้นๆจริงๆครับ(อธิบายว่า หากเป็นช่วงเทศกาล แม้ซื้อตั๋วได้ แต่อาจเป็นรถเสริม ซึ่งจะเป็นรถเฉพาะกิจประเภทรับจ้าง ไม่ประจำทาง แน่นอนว่า ไม่มีบริการแจกขนมและเครื่องดื่มครับ)
ยิ้มไป ดูตั๋วไป(ท่าจะบ้า) กลับบ้านดีกว่าครับ ยังมีเวลาเหลือสำหรับจัดของ ผมไม่เอา Wet Suit ไป เพราะคิดว่า เวลาน้อยแบบนี้คงไม่ได้ดำ Scuba แน่ๆครับ และพยายามหยิบของให้น้อยที่สุด สิ่งที่ลืมไปไม่ได้ นั่น คือ Housing ซื้อมาก็ต้องใช้ให้คุ้ม แต่เวลาถ่ายรูป คงไม่ดีเท่ากับตอนดำ Scuba น่ะ
ไฟฉาย เกือบลืมแน่ะ ไม่งั้นเวลาเข้าเต๊นส์จะลำบากครับ ผมหยิบไฟฉายใต้น้ำมาใช้บนบก เพราะน้ำเข้าตั้งแต่ตอนไปสิมิลันครั้งแรก(ประมาณไดฟ์ที่สิบน่ะครับ) อันละตั้ง 700 ไม่น่าเชื่อว่ายังใช้ได้อยู่ เอามาใช้บนบกก็สว่างดีครับ เพียงแต่เปลืองหน่อยเพราะใช้ถ่านสี่ก้อนแน่ะ
ใช้บริการเรียกแท๊กซี่มารับที่บ้านครับ(1666 กับ 1668) ค่าบริการ 20 บาท ปกติผมจะเดินออกไปเรียกเอง แต่วันนี้ ถ้าออกไปก็เปียกแน่ครับ คนสาดน้ำเพียบ ถ้าอยู่บ้านไม่มีปัญหา อยากจะสาด อยากจะปะแป้ง(ขอสาวๆ) ผมยินดีครับ 555
ถ้าไม่เคยใช้บริการ เขาจะสอบถามข้อมูลก่อนครับ เช่นอยู่ตรงไหน หากเคยใช้แล้ว จะมีข้อมูลอยู่ เขาก็จะบอกเลขทะเบียนรถมา จากนั้นก็รอ Taxi มารับ
เรามาที่สายใต้ใหม่กันดีกว่าครับ ผมสะพายเป้ใว้ที่ด้านหลัง ส่วนด้านข้างสะพายตัว Housing ไว้ บรรยากาศเวลาจะไปท่องเที่ยวมันช่างหอมหวานอะไรแบบนี้ แม้จะเป็นสถานที่ที่เคยไปอยู่เป็นประจำ แต่ความตื่นเต้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงครับ
ผู้คนมีจำนวนมากพอสมควรครับ คนกลับบ้านหลังสงกรานต์ก็มีนะ แต่เท่าสังเกตดูด้วยสายตา คนสะพายเป้ไปเที่ยวน้อยมากครับ เจอแต่ชาวต่างชาติ คนไทยดูแล้ว กลับบ้านกันทั้งนั้น
ขึ้นมาที่ Food Center ครับ หาข้าวเย็นทานดีกว่า ข้าวมันไก่ทอด กับ เส้นใหญ่ราดหน้าหมู ทำให้ท้องเริ่มมีอาหารขึ้นมาบ้าง(ยังกินได้อีกครับ โปรดอย่าตกใจ ราดหน้ามันนิดเดียวเอง ดูเหมือนจะกินเยอะ 555)
เข้าห้องน้ำแปรงฟันให้เรียบร้อยเลยครับ กะว่า ขึ้นรถ จะตีตั๋วนอนยาว(เฮ้ย เดี๋ยวเลยคุระบุรีนะ ถ้าเลยก็เรียบร้อยครับ คงเปลี่ยนแผนไปเที่ยวเขาหลักดีกว่ามั้ง 555 จะตกเรือเอาด้วยล่ะ)
เดินเข้าเซเว่นครับ ผมยังขาดของใช้จำเป็นอยู่บ้าง ยาสระผมนี่ใช่เลย ถ่านไฟฉายก็ด้วยครับ(เอาไปสำรองดีกว่า ใช้ทีสี่ก้อน หมดไปก็ยุ่งแน่)
ใกล้จะได้เวลาไปที่ชานชะลาแล้วครับ เขาให้เข้าไปได้ก่อนรถออกครึ่งชั่วโมง นี่ก็ทุ่มครึ่งแล้ว ไปดีกว่า
มาถึงที่ชานชะลา รถของผมยังเป็นไปสมุยอยู่เลยครับ แสดงว่ารถยังไม่มา ก็ต้องนั่งรอไปก่อน มองเห็นพนักงานสาวที่บริการในรถ แต่งชุดคล้ายแอร์โฮสเตส สายการบินนกแอร์ ดูแล้วน่าจะเป็นของบริษัท ขนส่ง ครับ แปลกตาไปอีกแบบนะ
รถมาแล้วครับ ขึ้นดีกว่า
“ลงที่ไหนคะ” พนักงานสาวพูดจาสุภาพ
“ลงคุระบุรีครับ” ผมตอบ
ส่วนใหญ่ผู้โดยสารจะกลับบ้านทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะลง เขาหลัก ลงทับละมุ ลงสุขสำราญ ลงตะกั่วป่า เป็นต้น มีผู้หญิงคนนึงครับ เธอซื้อตั๋วมาลงโคกกลอย(เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดพังงา อยู่ก่อนถึงภูเก็ตครับ ใครเคยไปภูเก็ตจะทราบดี) แต่ราคาตั๋วไม่ถึงครับ อาจเป็นความผิดพลาดในการสื่อสารตอนซื้อตั๋ว โชคดีว่า คนขับก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่งั้นผู้หญิงคนนี้คงไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ
มีน้ำหนึ่งขวด มีน้ำผลไม้หนึ่งกล่อง มีขนมหนึ่งกล่องและมีขนมขบเคี๊ยวอีกหนึ่งถุง เรียกว่าแจกเยอะมามาก ดีกว่ารถเสริมจริงๆ
รถว่างถึงขนาดข้างๆผมก็ไม่มีคนนั่ง ดีครับ วางของสบายเลย ไม่นานก็หลับ ง่วงจริงๆ ตื่นมาน่าจะเป็นหัวหินครับ เพราะมีชาวต่างชาติขึ้นมาคู่หนึ่ง คนไทยหนุ่มสาวอีกสองคน 4คนนี้แหละครับ ที่ผมมองแล้วลักษณะ ท่าทาง ป็นนักท่องเที่ยวอย่างแน่นอน
ช่วงแวะทานข้าว มีข้าวต้มรอบดึกด้วยครับ แต่ผมไม่ได้ทาน หากใครไม่ได้ทาน สามารถนำคูปองอาหารไปแลกขนมแทนได้(ก็ไม่ได้แลกอยู่ดีครับ) ว่าแล้วเอาโก๋แก่ มากินดีกว่า เริ่มหิว
นอนดีกว่าครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงที่หมายแล้ว
16 เมษายน 2552
“คุระบุรี คุระบุรี ค่ะ” เสียงเร่งร้อน ทำเอาผมรีบหยิบของลงครับ เพราะรถยังต้องไปต่ออีก
ถูกเผงครับ สัญชาติญานของผมถูกต้อง สี่คนจากหัวหินเมื่อตอนค่ำ มาลงที่นี่ทั้งคู่ครับ ไม่ต้องถามเลยว่า มาเกาะสุรินทร์อย่างแน่นอน
พึ่งจะหกโมงเช้าเองครับ ผมเดินเข้าไปในที่ทำการของซาบีน่า เพื่อติดต่อตั๋วรถกลับกรุงเทพ(อาจจะงง) ผมมาซื้อตั๋วเรือของบริษัทนี้ครับ เพราะผมไปเรือช้า(จริงๆก็ไม่ช้านะ สองชั่วโมงแป๊บเดียว) และราคาถูกกว่าเจ้าอื่น เขามีรถไปส่งที่ท่าเรือ และรับติดต่อเรื่องตั๋วกลับให้ด้วย (เดี๋ยวนี้ทุกๆเจ้าก็เป็นแบบนี้ครับ ถือเป็นการ service ลูกค้าด้วย)
เรื่องนี้ก็นานาจิตตังครับ บริษัทมีอีกหลายเจ้า เป็นแพคเกจทัวร์ก็มี เราก็เลือกตามที่เราชอบน่ะ ผมเคยมาแล้วและคิดว่าไม่ลำบากสำหรับผมมากนัก การบริการก็โอเค ผมก็ไปกับที่นี่แหละ
เดินข้ามฝั่งไปที่ตลาดคุระบุรีครับ มีคนเยอะเชียว คนทานข้าวต้ม ดื่มกาแฟยามเช้าก็เยอะ ผมเลยไม่เอาดีกว่า เดินตรงเข้าไปหลังตลาด มีวิวทุ่งหญ้าเขียวขจี ตัดกับขุนเขาและมีหมอก สวยดีครับ
มีพระสงฆ์มาบิณฑบาตรด้วยล่ะ
เตรียมหาซื้อน้ำดื่ม กล้วยซักหวี มาม่า เอาไปกินบนเกาะครับ ท้องเริ่มร้องแล้ว ผมเดินออกไปหาร้านข้าวกินดีกว่า เช้าๆแบบนี้ มีเปิดไม่กี่ร้านหรอกครับ
จากตลาด เดินออกมาทางขวามือ ชาวบ้านคุระบุรีบอกผมว่า มีร้านอาหารอีกหนึ่งร้าน เป็นร้านข้าวขาหมู ข้าวหมูแดงครับ ผมน่าจะสั่งอาหารตามสั่งมากกว่า แต่ดันกินข้าวหมูแดงครับ ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร แต่ไม่เหลือข้าวซักเม็ด อารมณ์ว่าหิวครับ มีอะไรก็ต้องกิน เหมือนตอนไปเรียนรักษาดินแดนครับ อาหารก็ไม่อร่อย แต่หมดเกลี้ยงทุกที
เดินกลับมาถึง ก็ขึ้นรถไปท่าเรือคุระบุรีครับ ลมเย็นดีจัง นอกจากชาวต่างชาติสองคนแล้ว สองหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน ชื่อว่า พี่วสันต์ กับ พี่เล็ก ส่วนอีกสองคน เป็นคู่หูต่างวัยครับ ชื่อพี่เหมียว กับพี่บิ๊ก
พี่บิ๊กถูกพี่เหมียวหลอกมาเที่ยวครับ หลอกมาว่าเกาะสุรินทร์มีรีสอร์ทหรูๆ มีเซเว่นให้ซื้อของ พอผมอธิบายให้ฟังว่า นอนเต๊นส์ครับพี่ เซเว่นก็ไม่มี แกอึ้งไปพักนึงเลยครับ
“แล้วพี่จะขอบคุณพี่เหมียวครับ ที่พามา เมื่อพี่ได้เห็นความสวยงามของเกาะสุรินทร์ ” ผมกล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจ
มาซื้อตั๋วเรือของซาบีน่าครับ บอกวันกลับให้เรียบร้อยแต่ถ้าจะผิดไปจากนี้ จะกลับก่อนหรือหลังที่แจ้งก็ไม่เป็นไรครับ
นอนอ่าวไหน ไม้งามหรือช่องขาดก็ควรจะบอกไว้ เพราะเวลาขนของลงไปที่เรือ เขาจะแยกครับ จะได้ไม่ปนกัน เขาก็จะมาส่งสัมภาระให้ เราก็คอยเลือก คล้ายๆสนามบินแบบนั้นน่ะครับ เพียงแต่เปลี่ยนจากสายพานเป็นเรือหางยาว 555
“ตาม ภพ แล้วกัน พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องน่ะ” พี่เหมียวบอก
ผมเดินมาที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งอยู่ที่เดียวกับท่าเรือคุระบุรี เพื่อมาติดต่อเรื่องเต๊นส์ ปกติควรจะโทรมาแจ้งล่วงหน้าครับ อย่าทำแบบผมเลย ผมคิดไว้ว่าหลังสงกรานต์มันมีที่แน่ๆครับ อีกอย่างการเดินทางครั้งนี้ก็ค่อนข้างจะปัจจุบัน ทันด่วนอยู่ด้วย
เต๊นส์เล็กราคา คืนละ 300ครับ ในขณะที่เต๊นส์ใหญ่ราคาคืนละ 450 บอกไว้ก่อนว่าเต๊นส์ลายทหารของทางอุทยานค่อนข้างใหญ่ครับ ไม่เหมือนกับเต๊นส์เล็กของทางแพคเกจทัวร์ที่สองคนก็แน่นแล้ว แต่เต๊นส์เล็กของทางอุทยาน ผมว่าสามคนก็ยังเหลือที่เลยครับ ผมเลยแนะนำให้พี่เหมียวกับพี่บิ๊กใช้เต๊นส์เล็กก็พอ
ส่วนของพี่เล็กกับพี่วสันต์มาแบบแพคเกจครับ ก็ไม่ต้องมาติดต่อตรงนี้เพราะที่เกาะ ของแพคเกจทัวร์จะมีโซนกางอยู่ครับ เป็นเต๊นส์หลากสีสันเลยล่ะ
เรื่องเต๊นส์เสร็จเรียบร้อยก็รอเรือออกครับ ผมนั่งคุยกับพี่ๆ ในหลายๆเรื่อง ซึ่งคราวนี้เหมือนไม่ได้มาคนเดียวเลยครับ ยังไม่ทันถึงเกาะก็มีเพื่อนร่วมเดินทางซะแล้ว
กระเป๋าที่จะฝากทางเรือขน(กรณีไม่ได้ขนติดตัวไป) ควรจะไปบอกและไปชี้ที่กระเป๋าด้วยครับ ว่าไปหาดไหน เจ้าหน้าที่จะเอาผ้าสีแดงๆมาติด ว่าไปหาดไม้งามนะ
มานั่งรอที่ศาลาครับ อย่างที่รู้ๆกันว่า อากาศร้อนมาก มองเห็นนักท่องเที่ยวหลายสัญชาติครับ หนึ่งในนั้นก็มีสาวเกาหลี(ขาวมาก) แต่ดูยากครับ ว่าเป็นโสด แม่ม่าย หรือแต่งงานแล้ว อายุมากกว่า อายุน้อยกว่า สมัยนี้ดูที่หน้าตาอย่างเดียว อาจจะคลาดเคลื่อนได้ครับ บางคนหน้าใสมากๆ แต่อายุมากกว่าผมก็มี
สำหรับผม สงกรานต์ปีนี้ท่าทางจะแห้วครับ ไม่ได้ไปเที่ยวทะเลแน่ๆ เพราะกว่าจะได้กลับบ้านก็วันเสาร์เข้าไปแล้ว นับวันดู ถ้าจะไปจริงๆ วันเวลาก็เหลือน้อยเสียเหลือเกิน(มานอนเฝ้าคุณแม่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม ครับ)
การนอนโรงพยาบาลนานๆ ไม่ใช่คนป่วยอย่างเดียวที่เครียดครับ คนเฝ้าอย่างผมก็เครียดเป็นเหมือนกัน ยิ่งต้องอ่านหนังสือสอบในช่วงที่อยู่โรงพยาบาล ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ เพราะไม่ได้สะดวกสบายนัก ต้องนั่งๆลุกๆอยู่ตลอดเวลา(ถ้าไม่ใช่คนที่ทำงานในโรงพยาบาลแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ควรไปกิน-นอน อยู่นานๆหรอกครับ)
เมื่อได้กลับบ้านช่วงค่ำวันเสาร์ ผมขับรถไปสายใต้ใหม่ในทันที เพื่อหาซื้อตั๋วรถโดยสารไปลงคุระบุรี ไปเยือนเกาะสุรินทร์ ลืมไปว่าแถวรัฐสภาเขามีประท้วง ตรงเข้าไปอีกนิดก็ต้องถูกม๊อบเสื้อแดงตรวจแล้วครับ เลี้ยวรถกลับแทบไม่ทันแน่ะ(คนเยอะจริงๆครับ มีรถจอดเต็มไปหมดด้วย)
โชคชะตาเล่นตลกครับ ตั๋วทุกบริษัทเต็มหมดแล้ว ผมถอนหายใจ คงอดไปแล้วล่ะ ครั้นจะไปเกาะกูด ก็มีปัญหาในเรื่องเรือโดยสารและที่พักครับ(เท่าที่สอบถาม ที่พักก็เต็มหมดล่ะ ก็ไม่ได้เตรียมตัวมา นี่ก็ช่วงเทศกาลด้วย ส่วนเรือมีตอนเช้าครับ ต้องนั่งรถทัวร์ไปช่วงดึกๆ หากนั่งไปช่วงเช้า ไปถึงตราดบ่ายๆเย็นๆ ไม่มีเรือไปเกาะกูดครับ)
อยู่บ้านก็ไม่เลวครับ(ก็ต้องอยู่น่ะนะ) ออกไปไม่มีใครเล่นน้ำเลย เพราะมีเหตุการณ์ที่ทำให้คนกรุง เครียด และไม่ออกมาเล่นน้ำกัน แต่พอเหตุการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผู้คนก็ออกมาเล่นน้ำกันมากขึ้นและมีข่าวดีมากๆนั่นก็ คือ รัฐบาลหยุดเพิ่มให้อีก
“โอกาสมาแล้วเว้ย” ผมเริ่มมีความหวัง
หากไม่มีใครอยู่บ้านเป็นเพื่อนคุณแม่ ผมจะไม่ไปเที่ยวไหนเลยครับ แต่ถ้ามี แล้วท่านอาการดีขึ้น ผมก็จะหาที่ไปครับ
เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว และพร้อมแล้ว ผมนั่งคิด นอนคิด จะไปไหนดี แต่หลายๆที่ คิดแล้วต้องล้มเลิกครับ เพราะมีข้อจำกัดหลายๆอย่าง
แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังสงกรานต์ที่รัฐบาลหยุดเพิ่มให้ ผมไม่อยู่บ้านแน่ๆครับ อีกทั้งที่บ้านก็ไม่ได้ไปไหนด้วย
ไฟเขียวจากครอบครัว ท่านเข้าใจว่า นักเดินทางอย่างผมต้องเดินทางน่ะ
จุดหมายปลายทาง จะเป็นอื่นไปไม่ได้ครับ ในภาวะที่อึดอัด เครียด ไม่สบายตัวแบบนี้
นอกจาก “ทะเล”
15 เมษายน 2552
“ออกเดินทางวันนี้นะครับ เดี๋ยวบ่ายๆไปซื้อตั๋วรถ เหลือเยอะเลยล่ะ น่าจะออกซักสองทุ่ม แต่จะกลับวันอาทิตย์เช้า” ผมคุยกับคุณแม่ กับการตัดสินใจที่รวดเร็ว
ต่อรองได้แบบนี้ครับ เช้าวันจันทร์ผมต้องพาท่านไปโรงพยาบาล การไปวันนี้แล้วกลับวันอาทิตย์ ดีกว่าไปวันพรุ่งนี้แล้วกลับวันจันทร์น่ะ ส่วนคุณพ่อท่านโอเคครับ ถ้ากลับมาวันอาทิตย์ (ส่วนผม ถ้าได้ไปก็ดีกว่าไม่ได้ไปครับ แม้จะได้นอนบนเกาะเพียงสองคืน น้อยกว่าทุกครั้งที่เคยไป แต่คงไม่บ่นล่ะ)
สรุปผมได้ไปเกาะสุรินทร์เป็นครั้งที่สี่ครับ ล่าสุดก็ปลายปี 49 ก็สองปีมาแล้ว หากใครเคยไป จะทราบครับว่า เหตุใด นักท่องเที่ยวหลายๆคนจึงต้องกลับมา อีกหลายๆครั้ง
ตั๋วเรือเดี๋ยวไปถึงค่อยซื้อครับ ก็รู้ๆกันอยู่(แฮะๆ โทรไปถามแล้วครับ) ส่วนที่พักแม้ไม่ได้จองไป แต่หลังสงกรานต์น่าจะมีที่เหลือน่ะ ไปวัดดวงเอาดีกว่า ไม่เอาเต๊นส์ไปด้วย (กล้านะ ยิ่งเขาเริ่มจำกัดนักท่องเที่ยวแล้ว เกิดไม่มีขึ้นมา สงสัยต้องนอนแบบไม่มีเต๊นส์ครับ 555)
บ่ายๆขับรถไปสายใต้ใหม่ครับ แต่ซิ่งไปหน่อยเลยขับเลยทุกที ต้องไปกลับรถไกลมากๆและไม่เคยจำ(ร่วมกิโล) แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้นครับ เพราะมีตั๋ว 555
ลองแหยมๆ ไปที่ลิกไนท์ทัวร์ครับ แต่ตั๋วเต็ม ก็ไม่แปลกใจอะไรครับ ที่นี่มักจะเต็มก่อนเสมอล่ะ
“ปรับอากาศชั้นหนึ่ง 508 บาท ค่ะ รถออกสองทุ่มนะคะ” เสียงพนักงานบอกผม บริษัทขนส่ง มักจะเต็มเป็นรายหลังๆครับ ผมมักจะได้ไปบริษัทนี้ แม้จะไม่ได้เตรียมตัวมา แต่นี่เป็นครั้งแรกๆในรอบหลายๆปี ที่ผมจะไม่ต้องนั่งรถเสริม แต่ได้นั่งรถของบริษัทนั้นๆจริงๆครับ(อธิบายว่า หากเป็นช่วงเทศกาล แม้ซื้อตั๋วได้ แต่อาจเป็นรถเสริม ซึ่งจะเป็นรถเฉพาะกิจประเภทรับจ้าง ไม่ประจำทาง แน่นอนว่า ไม่มีบริการแจกขนมและเครื่องดื่มครับ)
ยิ้มไป ดูตั๋วไป(ท่าจะบ้า) กลับบ้านดีกว่าครับ ยังมีเวลาเหลือสำหรับจัดของ ผมไม่เอา Wet Suit ไป เพราะคิดว่า เวลาน้อยแบบนี้คงไม่ได้ดำ Scuba แน่ๆครับ และพยายามหยิบของให้น้อยที่สุด สิ่งที่ลืมไปไม่ได้ นั่น คือ Housing ซื้อมาก็ต้องใช้ให้คุ้ม แต่เวลาถ่ายรูป คงไม่ดีเท่ากับตอนดำ Scuba น่ะ
ไฟฉาย เกือบลืมแน่ะ ไม่งั้นเวลาเข้าเต๊นส์จะลำบากครับ ผมหยิบไฟฉายใต้น้ำมาใช้บนบก เพราะน้ำเข้าตั้งแต่ตอนไปสิมิลันครั้งแรก(ประมาณไดฟ์ที่สิบน่ะครับ) อันละตั้ง 700 ไม่น่าเชื่อว่ายังใช้ได้อยู่ เอามาใช้บนบกก็สว่างดีครับ เพียงแต่เปลืองหน่อยเพราะใช้ถ่านสี่ก้อนแน่ะ
ใช้บริการเรียกแท๊กซี่มารับที่บ้านครับ(1666 กับ 1668) ค่าบริการ 20 บาท ปกติผมจะเดินออกไปเรียกเอง แต่วันนี้ ถ้าออกไปก็เปียกแน่ครับ คนสาดน้ำเพียบ ถ้าอยู่บ้านไม่มีปัญหา อยากจะสาด อยากจะปะแป้ง(ขอสาวๆ) ผมยินดีครับ 555
ถ้าไม่เคยใช้บริการ เขาจะสอบถามข้อมูลก่อนครับ เช่นอยู่ตรงไหน หากเคยใช้แล้ว จะมีข้อมูลอยู่ เขาก็จะบอกเลขทะเบียนรถมา จากนั้นก็รอ Taxi มารับ
เรามาที่สายใต้ใหม่กันดีกว่าครับ ผมสะพายเป้ใว้ที่ด้านหลัง ส่วนด้านข้างสะพายตัว Housing ไว้ บรรยากาศเวลาจะไปท่องเที่ยวมันช่างหอมหวานอะไรแบบนี้ แม้จะเป็นสถานที่ที่เคยไปอยู่เป็นประจำ แต่ความตื่นเต้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงครับ
ผู้คนมีจำนวนมากพอสมควรครับ คนกลับบ้านหลังสงกรานต์ก็มีนะ แต่เท่าสังเกตดูด้วยสายตา คนสะพายเป้ไปเที่ยวน้อยมากครับ เจอแต่ชาวต่างชาติ คนไทยดูแล้ว กลับบ้านกันทั้งนั้น
ขึ้นมาที่ Food Center ครับ หาข้าวเย็นทานดีกว่า ข้าวมันไก่ทอด กับ เส้นใหญ่ราดหน้าหมู ทำให้ท้องเริ่มมีอาหารขึ้นมาบ้าง(ยังกินได้อีกครับ โปรดอย่าตกใจ ราดหน้ามันนิดเดียวเอง ดูเหมือนจะกินเยอะ 555)
เข้าห้องน้ำแปรงฟันให้เรียบร้อยเลยครับ กะว่า ขึ้นรถ จะตีตั๋วนอนยาว(เฮ้ย เดี๋ยวเลยคุระบุรีนะ ถ้าเลยก็เรียบร้อยครับ คงเปลี่ยนแผนไปเที่ยวเขาหลักดีกว่ามั้ง 555 จะตกเรือเอาด้วยล่ะ)
เดินเข้าเซเว่นครับ ผมยังขาดของใช้จำเป็นอยู่บ้าง ยาสระผมนี่ใช่เลย ถ่านไฟฉายก็ด้วยครับ(เอาไปสำรองดีกว่า ใช้ทีสี่ก้อน หมดไปก็ยุ่งแน่)
ใกล้จะได้เวลาไปที่ชานชะลาแล้วครับ เขาให้เข้าไปได้ก่อนรถออกครึ่งชั่วโมง นี่ก็ทุ่มครึ่งแล้ว ไปดีกว่า
มาถึงที่ชานชะลา รถของผมยังเป็นไปสมุยอยู่เลยครับ แสดงว่ารถยังไม่มา ก็ต้องนั่งรอไปก่อน มองเห็นพนักงานสาวที่บริการในรถ แต่งชุดคล้ายแอร์โฮสเตส สายการบินนกแอร์ ดูแล้วน่าจะเป็นของบริษัท ขนส่ง ครับ แปลกตาไปอีกแบบนะ
รถมาแล้วครับ ขึ้นดีกว่า
“ลงที่ไหนคะ” พนักงานสาวพูดจาสุภาพ
“ลงคุระบุรีครับ” ผมตอบ
ส่วนใหญ่ผู้โดยสารจะกลับบ้านทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะลง เขาหลัก ลงทับละมุ ลงสุขสำราญ ลงตะกั่วป่า เป็นต้น มีผู้หญิงคนนึงครับ เธอซื้อตั๋วมาลงโคกกลอย(เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดพังงา อยู่ก่อนถึงภูเก็ตครับ ใครเคยไปภูเก็ตจะทราบดี) แต่ราคาตั๋วไม่ถึงครับ อาจเป็นความผิดพลาดในการสื่อสารตอนซื้อตั๋ว โชคดีว่า คนขับก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่งั้นผู้หญิงคนนี้คงไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ
มีน้ำหนึ่งขวด มีน้ำผลไม้หนึ่งกล่อง มีขนมหนึ่งกล่องและมีขนมขบเคี๊ยวอีกหนึ่งถุง เรียกว่าแจกเยอะมามาก ดีกว่ารถเสริมจริงๆ
รถว่างถึงขนาดข้างๆผมก็ไม่มีคนนั่ง ดีครับ วางของสบายเลย ไม่นานก็หลับ ง่วงจริงๆ ตื่นมาน่าจะเป็นหัวหินครับ เพราะมีชาวต่างชาติขึ้นมาคู่หนึ่ง คนไทยหนุ่มสาวอีกสองคน 4คนนี้แหละครับ ที่ผมมองแล้วลักษณะ ท่าทาง ป็นนักท่องเที่ยวอย่างแน่นอน
ช่วงแวะทานข้าว มีข้าวต้มรอบดึกด้วยครับ แต่ผมไม่ได้ทาน หากใครไม่ได้ทาน สามารถนำคูปองอาหารไปแลกขนมแทนได้(ก็ไม่ได้แลกอยู่ดีครับ) ว่าแล้วเอาโก๋แก่ มากินดีกว่า เริ่มหิว
นอนดีกว่าครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงที่หมายแล้ว
16 เมษายน 2552
“คุระบุรี คุระบุรี ค่ะ” เสียงเร่งร้อน ทำเอาผมรีบหยิบของลงครับ เพราะรถยังต้องไปต่ออีก
ถูกเผงครับ สัญชาติญานของผมถูกต้อง สี่คนจากหัวหินเมื่อตอนค่ำ มาลงที่นี่ทั้งคู่ครับ ไม่ต้องถามเลยว่า มาเกาะสุรินทร์อย่างแน่นอน
พึ่งจะหกโมงเช้าเองครับ ผมเดินเข้าไปในที่ทำการของซาบีน่า เพื่อติดต่อตั๋วรถกลับกรุงเทพ(อาจจะงง) ผมมาซื้อตั๋วเรือของบริษัทนี้ครับ เพราะผมไปเรือช้า(จริงๆก็ไม่ช้านะ สองชั่วโมงแป๊บเดียว) และราคาถูกกว่าเจ้าอื่น เขามีรถไปส่งที่ท่าเรือ และรับติดต่อเรื่องตั๋วกลับให้ด้วย (เดี๋ยวนี้ทุกๆเจ้าก็เป็นแบบนี้ครับ ถือเป็นการ service ลูกค้าด้วย)
เรื่องนี้ก็นานาจิตตังครับ บริษัทมีอีกหลายเจ้า เป็นแพคเกจทัวร์ก็มี เราก็เลือกตามที่เราชอบน่ะ ผมเคยมาแล้วและคิดว่าไม่ลำบากสำหรับผมมากนัก การบริการก็โอเค ผมก็ไปกับที่นี่แหละ
เดินข้ามฝั่งไปที่ตลาดคุระบุรีครับ มีคนเยอะเชียว คนทานข้าวต้ม ดื่มกาแฟยามเช้าก็เยอะ ผมเลยไม่เอาดีกว่า เดินตรงเข้าไปหลังตลาด มีวิวทุ่งหญ้าเขียวขจี ตัดกับขุนเขาและมีหมอก สวยดีครับ
มีพระสงฆ์มาบิณฑบาตรด้วยล่ะ
เตรียมหาซื้อน้ำดื่ม กล้วยซักหวี มาม่า เอาไปกินบนเกาะครับ ท้องเริ่มร้องแล้ว ผมเดินออกไปหาร้านข้าวกินดีกว่า เช้าๆแบบนี้ มีเปิดไม่กี่ร้านหรอกครับ
จากตลาด เดินออกมาทางขวามือ ชาวบ้านคุระบุรีบอกผมว่า มีร้านอาหารอีกหนึ่งร้าน เป็นร้านข้าวขาหมู ข้าวหมูแดงครับ ผมน่าจะสั่งอาหารตามสั่งมากกว่า แต่ดันกินข้าวหมูแดงครับ ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร แต่ไม่เหลือข้าวซักเม็ด อารมณ์ว่าหิวครับ มีอะไรก็ต้องกิน เหมือนตอนไปเรียนรักษาดินแดนครับ อาหารก็ไม่อร่อย แต่หมดเกลี้ยงทุกที
เดินกลับมาถึง ก็ขึ้นรถไปท่าเรือคุระบุรีครับ ลมเย็นดีจัง นอกจากชาวต่างชาติสองคนแล้ว สองหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน ชื่อว่า พี่วสันต์ กับ พี่เล็ก ส่วนอีกสองคน เป็นคู่หูต่างวัยครับ ชื่อพี่เหมียว กับพี่บิ๊ก
พี่บิ๊กถูกพี่เหมียวหลอกมาเที่ยวครับ หลอกมาว่าเกาะสุรินทร์มีรีสอร์ทหรูๆ มีเซเว่นให้ซื้อของ พอผมอธิบายให้ฟังว่า นอนเต๊นส์ครับพี่ เซเว่นก็ไม่มี แกอึ้งไปพักนึงเลยครับ
“แล้วพี่จะขอบคุณพี่เหมียวครับ ที่พามา เมื่อพี่ได้เห็นความสวยงามของเกาะสุรินทร์ ” ผมกล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจ
มาซื้อตั๋วเรือของซาบีน่าครับ บอกวันกลับให้เรียบร้อยแต่ถ้าจะผิดไปจากนี้ จะกลับก่อนหรือหลังที่แจ้งก็ไม่เป็นไรครับ
นอนอ่าวไหน ไม้งามหรือช่องขาดก็ควรจะบอกไว้ เพราะเวลาขนของลงไปที่เรือ เขาจะแยกครับ จะได้ไม่ปนกัน เขาก็จะมาส่งสัมภาระให้ เราก็คอยเลือก คล้ายๆสนามบินแบบนั้นน่ะครับ เพียงแต่เปลี่ยนจากสายพานเป็นเรือหางยาว 555
“ตาม ภพ แล้วกัน พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องน่ะ” พี่เหมียวบอก
ผมเดินมาที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งอยู่ที่เดียวกับท่าเรือคุระบุรี เพื่อมาติดต่อเรื่องเต๊นส์ ปกติควรจะโทรมาแจ้งล่วงหน้าครับ อย่าทำแบบผมเลย ผมคิดไว้ว่าหลังสงกรานต์มันมีที่แน่ๆครับ อีกอย่างการเดินทางครั้งนี้ก็ค่อนข้างจะปัจจุบัน ทันด่วนอยู่ด้วย
เต๊นส์เล็กราคา คืนละ 300ครับ ในขณะที่เต๊นส์ใหญ่ราคาคืนละ 450 บอกไว้ก่อนว่าเต๊นส์ลายทหารของทางอุทยานค่อนข้างใหญ่ครับ ไม่เหมือนกับเต๊นส์เล็กของทางแพคเกจทัวร์ที่สองคนก็แน่นแล้ว แต่เต๊นส์เล็กของทางอุทยาน ผมว่าสามคนก็ยังเหลือที่เลยครับ ผมเลยแนะนำให้พี่เหมียวกับพี่บิ๊กใช้เต๊นส์เล็กก็พอ
ส่วนของพี่เล็กกับพี่วสันต์มาแบบแพคเกจครับ ก็ไม่ต้องมาติดต่อตรงนี้เพราะที่เกาะ ของแพคเกจทัวร์จะมีโซนกางอยู่ครับ เป็นเต๊นส์หลากสีสันเลยล่ะ
เรื่องเต๊นส์เสร็จเรียบร้อยก็รอเรือออกครับ ผมนั่งคุยกับพี่ๆ ในหลายๆเรื่อง ซึ่งคราวนี้เหมือนไม่ได้มาคนเดียวเลยครับ ยังไม่ทันถึงเกาะก็มีเพื่อนร่วมเดินทางซะแล้ว
กระเป๋าที่จะฝากทางเรือขน(กรณีไม่ได้ขนติดตัวไป) ควรจะไปบอกและไปชี้ที่กระเป๋าด้วยครับ ว่าไปหาดไหน เจ้าหน้าที่จะเอาผ้าสีแดงๆมาติด ว่าไปหาดไม้งามนะ
มานั่งรอที่ศาลาครับ อย่างที่รู้ๆกันว่า อากาศร้อนมาก มองเห็นนักท่องเที่ยวหลายสัญชาติครับ หนึ่งในนั้นก็มีสาวเกาหลี(ขาวมาก) แต่ดูยากครับ ว่าเป็นโสด แม่ม่าย หรือแต่งงานแล้ว อายุมากกว่า อายุน้อยกว่า สมัยนี้ดูที่หน้าตาอย่างเดียว อาจจะคลาดเคลื่อนได้ครับ บางคนหน้าใสมากๆ แต่อายุมากกว่าผมก็มี
0 Comments:
Post a Comment
<< Home