Tuesday, November 07, 2006

โลซิน……มหัศจรรย์ใต้สมุทร(4)




Dive 6 ครั้งแรกกับปลานกแก้วหัวโหนก!!!

ลงไปด้านล่างไม่นานนัก เจ้าปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) ก็ออกมาทักทาย ทันใดนั้นพี่เอกับกล้องตัวใหญ่ก็ตีฟินอ้อมตัวผมไปอย่างรวดเร็ว หลังกองหินมีอะไรจึงดึงดูดพี่เอนัก ตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเสียด้วย ผมเลยลองตีขาขึ้นไปให้เห็นบริเวณหลังกองหิน

ปลาชนิดหนึ่งว่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ปลาที่จะพบกันได้ง่ายๆ เสียด้วย เฮ้ย! ปลานกแก้วหัวโหนก!!!(Hump-Headed Parrotfish) ผมรีบเคาะแท๊งค์อย่างดังสนั่นพร้อมชี้ไปด้านข้างเพื่อเรียกให้ทุกๆคนได้เห็นกัน(ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นปลานกขุนทองหัวโหนก Napoleonfish , Hump-Headed Maori Wrasse แต่พอได้กลับมาดูรูปที่พี่เอถ่ายไว้ จึงเห็นความแตกต่าง โหนกหัวของปลานกแก้วหัวโหนกจะยื่นออกมา มีลักษณะใหญ่กว่าของปลานกขุนทองหัวโหนก ในขณะที่ครีบหางของปลานกขุนทองหัวโหนกจะมีลักษณะกลมมน (Rounded) ลำตัวมีขีดสีเข้มแนวตั้งตลอดทั้งตัว ซึ่งแตกต่างจากปลานกแก้วหัวโหนกอย่างชัดเจน )

เพียงไม่กี่วินาที นกแก้วหัวโหนกก็หายไป สาเหตุที่ทำให้เข้าใจผิดคงเป็นเพราะโดยปกตินกแก้วหัวโหนกจะอยู่เป็นฝูง ส่วนนกขุนทองหัวโหนกจะชอบอยู่โดดเดี่ยว ด้วยความที่มีหัวโหนกเหมือนกันในระยะเวลาที่มีน้อยก็ทำให้ผมดูผิดไปได้(ให้อภัยเถอะครับ สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้งนะ) ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีครับในการพบเห็นพวกเขาครั้งแรก แม้จะไม่ใช่แมนต้าหรือฉลามวาฬแต่สำหรับผมถือว่าเป็นปลาระดับบิ๊กที่ยอดเยี่ยมครับ

ทากปุ่มยักษ์ที่ชื่อว่า(Phyllidia Varicosa) (อาจมีมากกว่านี้แต่ไม่ได้สังเกตครับหรือไม่ก็จำไม่ได้ครับ)

นอกจากนี้ก็ยังมีปลาสินสมุทรวงฟ้า(Blue-Ringed Angelfish) ปลานกขุนทองปากยื่น(SlingJaw Wrasse) ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-Banded Buttelflyfish) ปลาวัวไตตันหรือปลาวัวอำมหิต(Titan Triggerfish) ปลาโนรีครีบยาว(Longfin Bannerfish) ) ปลาสลิดหินกลมสีทอง(Golden Damsel) ปลาสลิดหินสามจุด(Three-Spot Dascyllus) ปลาสลิดหินดำหางส้ม(Philippine Damsel) ปลากล้วยแถบเขียว(Blue and Gold Fusilier)และปลากล้วยหลังเหลือง(Yellow-Back Fusilier)

ขึ้นมาผมปวดหัวมากอาจเป็นเพราะขึ้นเร็วเกินไปหรือเปล่าแต่ที่แน่ๆ คลื่นไส้ อาเจียนอีกแล้วครับ

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันสุดอร่อยอย่าง ไข่เจียว กระเพราะหมูสับ ทอดมัน พี่นัทได้บอกผมว่า สาเหตุของการอาเจียนของผมน่าจะมาจากการตาม Leader ที่ไม่สม่ำเสมอกล่าวคือ ผมตามพี่ป้อมอยู่ พอพี่ป้อมหายไปก็มาตามพี่นัทต่อ(ซึ่งระยะเวลาการอยู่ในระดับความลึก เช่น 30 เมตรของแต่ละคนแม้จะเท่ากัน ตัวอย่างเช่น 10 นาที ผมตามพี่ป้อมอยู่ 10 นาที พอพี่ป้อมหายไป ผมมาตามพี่นัท ซึ่งแกพึ่งลงมาในระดับความลึกนี้หลังพี่ป้อม 5 นาที นั่นก็หมายความว่าผมอยู่ในระดับความลึก 30 เมตร 15 นาที นานกว่าคนอื่นๆ คงจะติดดีคอมแน่นอนครับ แต่ไม่ได้เช็ค พอจะเข้าใจกันไหมครับเอ่ย อย่าทำแบบนี้นะครับ มันไม่ดี) ถึงตอนนี้ขอผมไปนอนพักก่อนแล้วกัน


Dive 7 ประสบการณ์ อาเจียนคา Regulator!!!

ความรู้สึกในไดฟ์นี้เหนื่อยเหมือนกับไดฟ์ที่ตีขา 4 คูณ 100 เมตร ตามหาแมนต้าที่กองหินริเชลิวเพราะต่างคนต่างอยู่ไกลกัน(มากกว่า 2 ช่วงตัว แต่มองเห็นชัดเจน) ผมสังเกตเห็นปะการังเขากวางพังมากมายโดยไม่ทรายสาเหตุ มีดาวมงกุฎหนาม(Crown-of-Thorns) มากไม่แพ้กัน ก่อนที่ผมจะเริ่มรู้สึกแย่ไปกว่านี้ ผมพยายามจดจำรายละเอียดให้มากที่สุด เห็นปลาสลิดทะเลที่ชื่อว่า Fox-Face Rabbitfish(Lo Vulpinus) ปลานกขุนทองปากยื่น(SlingJaw Wrasse) ปลานกขุนทองหลังขีด(Vrolik’s Wrasse) ปลากล้วยแถบเขียว(Blue and Gold Fusilier)และปลากล้วยหลังเหลือง(Yellow-Back Fusilier)

พอตามทุกๆคนมาได้ เมื่อผมเห็นพี่ป้อมใกล้จะขึ้นโดยพาพี่หนิงและพี่โอ๊บขึ้นไปด้วย ทางสว่างของผมก็มาทันที ผมเริ่มไม่ไหวจึงขึ้นดีกว่า ทันใดนั้นความรู้สึกคลื้นไส้ก็มาทันที ผมรีบหันหน้าออกไปจากพวกเขาเพื่อไม่ให้เห็นภาพที่น่าสยดสยอง!!!

และแล้ว ไข่เจียวเมื่อกลางวัน เศษข้าว เป็นต้น ก็ออกมาโดยมีฝูงปลาน้อยใหญ่ช่วยกันเก็บกวาดอย่างอิ่มหนำสำราญ(จากคำบอกเล่าของพี่โอ๊บที่เห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน) ผมรู้สึกทรมานมาก ลองนึกถึงเวลาอาเจียนข้างบนนะครับจะรู้สึกร้อนท้อง(ไม่ได้กินปูนนะ) ร้อนคอ คงเป็นเพราะน้ำย่อยที่ออกมาจากกระเพาะ(ก็เพราะว่ารักเธอ)แน่นอน

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การไม่ Panic ครับ ขอให้มีสติ ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเลย(ฟังดูง่ายนะครับ แต่ผมยืนยันว่าไม่ยาก) ผมจำได้ว่าเคยถามพี่ป้อมตอนไปเรียนดำน้ำที่ชุมพรคาบาน่าว่า “พี่ครับ ถ้าผมอ๊วกใต้น้ำจะทำยังไงครับพี่” “ก็อ๊วกทั้งที่คาบ Regulator นั่นแหละน้อง แล้วค่อยทำความสะอาดเอา

ผมทำความสะอาด Regulator ใต้น้ำด้วยการ ดึงออกจากปาก ทำ Bubble ล้าง Regulator(เคาะๆ) แล้วนำกลับเข้าปาก กดปุ่มไล่น้ำออก แค่นี้ก็ทำให้สะอาดขึ้นแล้วครับ

บนผิวน้ำ ก็ต้องทำความสะอาดอีกทีเพราะความขม ความเปรี้ยวในปาก ในลำคอ มันก็ยังมีอยู่(เฮ้ย แล้วจะบรรยายทำไม ฮ่าๆๆ ขอโทษครับ จะได้นึกภาพกันออกไง)

ภารกิจของเรือฐาปนาในการพาเรามาดำน้ำใกล้สิ้นสุดลง(คลื่นเริ่มแรงขึ้น โชคดีว่ามาเกิดตอนผมกลับ ฟ้าช่างเป็นใจจริงๆ) พี่ๆเอาบันไดเรือบริเวณ Plat Form ขึ้นจากน้ำ เรือค่อยๆแล่นออกจากกองหินโลซิน ผมกับพี่ดิ้น น้องโอ๊ต พี่เท็น มานั่งบริเวณท้ายเรือ เอาขาราทะเล(งงซิ มือไม่พายเอาเท้าราน้ำไง ฮ่าๆๆๆ) ความรู้สึกเหมือนอาบน้ำในอ่างจากุซชี่เลย แต่เป็นจากุซชี่ที่อยู่ไกลมาก ไม่ได้มากันง่ายๆแน่นอน(เป็นกิจกรรมที่สนุกสนานระหว่างรอห้องน้ำว่างครับ)

หลายๆคนพักผ่อน เปิดหนังสือปลา จด Log Book บ้างก็ดูหนัง ในคราวนี้ผมไม่ได้เห็นปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) สินสมุทรสุดเท่ในความคิดของผมซึ่งพี่เท็นก็เป็นคนหนึ่งที่ยืนยันว่าได้เห็นพวกเขาที่นี่

ผม พี่เต้ พี พี่หมี พี่ปุ๊ย พี่มิ้ง พี่อ้อและพี่จ๋า ขึ้นมาถ่ายรูปบนดาดฟ้า(ตอนนี้ หมอดูอย่างพี่เท็นเริ่มเปิดร้านแล้ว) มองลงไปด้านหน้าเรือ มีเจ้าโอ๊ตและพี่ดิ้นมาถ่ายรูปอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพี่โอ๊บก็ดูจะมีความสุขกับที่นอนบริเวณด้านหน้าเรือมาก(เห็นมานั่งประจำเลย)

จากนั้นที่ลืมไม่ได้ก็คือ เบื้องหลังความสำเร็จของพวกเรา หากไม่มีพวกพี่ๆ Staff ของเรือฐาปนาก็คงไม่ทำให้การเดินทางสนุกสนาน ราบรื่นเช่นนี้ ผมเดินไปหาพวกเขาเพื่อถ่ายรูป ไม่ว่าจะเป็นพี่ตั้มที่คอยบริการน้ำดื่มให้ตลอดทุกไดฟ์ ทุกมื้อ กัปตันเรือ พี่Staff ทุกคน ที่ช่วยดูแลและประกอบอุปกรณ์ พี่ๆ พ่อครัว และพี่หมี เจ้าของเรือมาดนิ่งแต่แฝงความเป็นกันเอง หากใครไม่มาสัมผัสก็คงไม่ทราบ

พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าตอนนี้กำลังสวยมาก พวกเราเดินลงไปด้านหน้าเรือเพื่อถ่ายรูป แสงอาทิตย์เหลืองทองอยู่ไกลๆ ไม่นานนักด้านหน้าเรือก็เต็มไปด้วยผู้คน แต่ละคนต่างมีความสุขกันทั้งนั้น จากนั้นพี่หมีเรียกให้พวกเราไปรับประทานอาหารเย็น มีแกงเขียวหวานเนื้อ ผัดผักถั่วลันเตากับดอกกระหล่ำ ไก่ทอด

หลายๆคนมีความรู้สึกเจ็บบริเวณเหงือกแบบผม เช่น พี่เต้ เป็นต้น อาจเป็นเพราะการขาดน้ำเวลาอยู่ใต้น้ำก็ได้ ทำให้เกิดอาการร้อนในขึ้นมา

จากนั้นร้านหมอดูก็เริ่มคึกคักยิ่งขึ้นไม่แพ้กับคาราโอเกะที่ดังสนั่นเช่นกัน ขนาดพี่เอและพี่ป้อมก็ยังใช้บริการพี่หมอเท็นด้วย(คราวก่อนที่พัทยา 2 คนนี้ก็ไม่ได้ดูครับ)

ต่างคน ต่างแยกย้ายกันไปนอน มีเพียงผม พี่มิ้ง พี่ปุ๊ย พี่เต้ น้องโอ๊ตและพี ที่ยังนั่งคุยกันอยู่ มองเห็นฝั่งสงขลาอยู่ไม่ไกล โทรศัพท์เริ่มใช้การได้แล้ว จนในที่สุดก็เหลือเพียง ผม พีและน้องโอ๊ตเท่านั้น(เปิดทีวีรับสัญญาณได้แล้วด้วย ตามข่าวไม่ทันไปหลายวันเลย)

เมื่อได้เวลาอันสมควร(เรือถึงฝั่งประมาณ เที่ยงคืน) ผมลงไปจัดของเข้ากระเป๋าและแยกย้ายกันพักผ่อน เราต้องตื่นตี 5 ในรุ่งเช้าเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ



4 กันยายน 2549

ตี 5 แล้ว หลังจากจัดอุปกรณ์ของตัวเองลงเกียรแบคเรียบร้อย ระหว่างรอห้องน้ำว่าง ผมช่วยพี่ป้อมจัดอุปกรณ์ของคนอื่นๆลงด้วย จะได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

หลังจากรับประทานอาหารเช้าตามอัธยาศัย(ขนมปัง ซีเรี่ยว นม กาแฟ) เราขึ้นมาถ่ายรูปบนดาดฟ้าเป็นที่ระลึก (พี่จ๋ากับพี่โอ๊บยังต้องกลับไปทำงานช่วงบ่ายด้วย สุดยอดจริง)

รถมาถึงแล้ว ก่อนกลับเราไม่ลืมที่จะหยอดทิป ก่อนขึ้นดิงกี้เพื่อขึ้นฝั่งโดยผมกับโอ๊ตต้องไปก่อนเพราะเที่ยวบินเช้ากว่าใครเพื่อน ถึงตอนนี้เวลาก็ใกล้เข้ามาแล้ว เสี่ยงต่อการตกเครื่องบินมาก

ช่วงเช้า อำเภอเมืองสงขลา ค่อนข้างคึกคัก รถติดเล็กน้อย พี่คนขับเหยียบกระจายเลยเพื่อจะได้ไม่ตกเครื่อง ซึ่งเขาก็ทำได้ครับ

ผมกับโอ๊ตรีบวิ่งเข้ามา โดยโอ๊ตให้ผมไปเช็คอินเพื่อถ่วงเวลาก่อน(ใช้เพียงแค่บัตรประชาชน) พนักงานสาวของนกแอร์คนนี้ ช่างน่ารักจริงๆ(ปิ๊ง ปิ๊ง เหมือนหนังไทย)

ไม่นานนักคนอื่นๆก็ตามมา ผมร่ำลาทุกคนเพราะคงไม่ได้เจอกันที่สนามบินเนื่องจากผมมีธุระต้องรีบไปทำต่อ

10 นาทีหลังจากนั้น ผมกับโอ๊ตก็ไปอยู่บนเครื่องเรียบร้อย แต่ไม่ได้นั่งด้วยกันครับ เจ้าโอ๊ตมันตัวใหญ่ไปนั่ง Business Class ครับ

เมื่อพนักงานสาว(สวย) อธิบายการใช้อุปกรณ์ ผมสังเกตว่าเขาอธิบายดีมาก ทำตามขั้นตอนแบบช้าๆไม่รีบเหมือนแอร์ เอเชีย แม้ค่าบริการนกแอร์จะแพงกว่าแต่เครื่องดื่มจะถูกกว่าแอร์ เอเชียนะ(ด้านหน้ามีคนกินมาม่า อยากบีบคอ แย่งมาม่ามากิน ยั่วน้ำลายซะ)

ที่นั่งเป็นของการบินไทย เห็นโลโก้การบินไทยชัดเจน(ทราบจากน้องโอ๊ตว่า นกแอร์เช่าเครื่องของการบินไทยมาจ้า)

เมื่อเข้าห้ามการใช้วิทยุ อุปกรณ์ สื่อสาร (ไม่ได้พูดถึงอุปกรณ์อิเลคทรอนิค) ผมเลยตีความแบบนักกฎหมายว่า กล้องถ่ายรูปก็ใช้ได้ซิ(ไม่ใช่อุปกรณ์สื่อสาร) ขอถ่ายรูปหน่อยเถอะ เมื่อเครื่องบินอยู่ในระดับความสูง 32,000 ฟิต มองเห็นทะเลอ่าวไทยอยู่ด้านล่าง สวยงามมากครับ เหมือนได้เล่นโปรแกรม Google Earth เลย

น่าแปลกที่ขึ้นเครื่องคราวนี้ หูผมไม่อื้อแล้ว คงเป็นเพราะการดำน้ำ ทำให้ผมหูบานแล้วก็ได้(ไม่อันตรายหรอกครับ) ไม่นานนักผมก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน และถึงกรุงเทพในเวลาไม่นานนัก(น้ำลายยืดด้วย ฮ่าๆ)

เสร็จสิ้น ทริปโลซินครั้งแรกในชีวิต การเดินทางครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดการชักชวนของพี่ป้อม ความปรารถนาดีของพี่ไหม หัวหน้าที่อนุญาตให้ผมมาเที่ยว

ขอบคุณพี่หมีและ Staff เรือฐาปนาทุกคน ผมไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดเหล่าดาราถึงชอบที่มาใช้บริการเรือลำนี้

ขอบคุณอากาศดี ทะเลเรียบ ที่ต้อนรับผมที่โลซิน

ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆทุกคน ที่ทำให้บรรยากาศบนเรือมีแต่ความสุข

ขอบคุณทุกท่านที่อุตสาห์ อ่านเรื่องเล่าของผมอีกครั้งครับ( กว่าจะเสร็จกินเวลา 2 เดือนพอดี)

ผมสัญญาว่าปีหน้า หากโอกาสทุกอย่างเอื้ออำนวย ผมจะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน

โลซินจ๋า แล้วเจอกันนะ


Phop Payapvipapong

4 Nov 2006

12.16 pm

1 Comments:

At 11:27 PM, November 27, 2006, Anonymous Anonymous said...

ขอแสดงความยินดีด้วยนะน้องภพ

ตาป้อม

 

Post a Comment

<< Home