Thursday, December 28, 2006

มิตรภาพจากการเดินทาง


ผมคิดอยู่เสมอว่า เสน่ห์ของการเดินทาง คือ การได้เห็นสถานที่ใหม่ๆ การได้รู้จักเพื่อนใหม่ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเดินทางทุกครั้งของผม เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนเด็กที่ได้ของขวัญก็ไม่ปาน

ต้นปี 2547 ผมเดินทางไปอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์อีกครั้ง หลังจากปี 2546 ผมได้เดินทางไปแล้วเป็นครั้งแรก

ไม่ต้องแปลกใจครับว่าทำไมถึงไปอีกครั้ง เพราะที่นี่ คือ สุดยอดจุดดำน้ำตื้นของประเทศไทย ที่นี่ทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตสัตว์ทะเลในมุมมองที่กว้างขึ้น(อ่อ ได้มาจากหนังสือ ATG เล่มมหากาพย์หมู่เกาะสุรินทร์ด้วยครับ) และที่นี่เป็นสถานที่ที่ ดร.ธรณ์ ธำรงค์ณาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลชื่อดัง และคนรักทะเลอีกหลายๆคน หลงรักเข้าตั้งแต่แรกเห็น

แม้ผมจะดำน้ำแบบ Scuba เป็นแล้ว แต่นั่น ก็ไม่ได้ทำให้ผมเบื่อหน่ายที่นี่เลย แม้แต่น้อย

ผมได้รู้จักกับ Yann นักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่นี่ Yann มากับ Justine แฟนสาวของเขา(ซึ่งปัจจุบัน เขาบอกกับผมว่า เขากับ Justine มันเป็นอดีตไปแล้วล่ะ)

จากนั้น ผมก็ยังติดต่อกับ Yann อยู่เรื่อยๆ แต่ไม่บ่อยครั้งนัก จนกระทั้งไม่นานมานี้ Yann ส่งอีเมล์มาหาผมว่า เขาได้เป็นนักร้องแล้ว โดยตั้งวงกับเพื่อนๆ หน้าตาของ Yann เปลี่ยนไปมากจนผมจำไม่ได้ ต้องเอารูปเก่ามาเทียบดู ถึงร้องอ๋อ

ผมยินดี และอวยพรให้เขาเป็น Super star ให้ได้(ตอนนี้เพลงอาจจะดังก็ได้นะครับ ผมก็ไม่ทราบ) แต่อย่างน้อย Yann ได้ทำตามความฝันของเขา จนเป็นจริงขึ้นมา

ใครสนใจ ลองเข้าไปที่ http://www.fly-music.com/ Download เพลงมาฟังด้วยก็ได้นะครับ

ปีใหม่นี้ ผมจะกลับไปยังเกาะที่ผม ทั้งรัก ทั้งหลงอีกครั้ง

ถึงแม้ว่า คลื่นยักษ์สึนามิ จะทำให้สัตว์ทะเลและระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ที่นี่ยังคงรอคอยการกลับมาของนักท่องเที่ยวทุกคน

และยังคงมีมิตรภาพดีๆ เกิดขึ้นเสมอมา ดังเช่นเรื่องที่ผมเล่าให้ทุกท่านฟังครับ

Sunday, December 24, 2006

2 ชั่วโมง กับงานพืชสวนโลก


เป็นที่รู้ๆกันครับ ว่าคนแบบผมถ้ามีโอกาส มีเวลา มีทรัพย์ในกระเป๋า ทะเล คือ อันดับแรกที่ผมจะไปท่องเที่ยวเสมอ ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนก็ตาม

อย่างงาน พืชสวนโลกที่กำลังฮิตอยู่ในเวลานี้ ผมยอมรับว่าถ้าจะให้ผมเก็บเงินไปเอง คงไม่มีทางไปอย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่างานเขาไม่ดีหรือผมไม่อยากตามกระแสสังคมนะครับแต่ผมได้กลายเป็นคนที่บ้าทะเลไปเรียบร้อย(กู่ไม่กลับด้วยครับ)

คราวนี้ผมได้มีโอกาสไปทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อจัดสัมมนา “กฎหมายใหม่กับทนายความ” ที่โรงแรมเซ็ลทรัล ดวงตะวัน ติดกับไนท์ บาซ่า เลยครับ(แม้ผมจะไม่ชอบเดิน shopping แต่ที่นี่บรรยากาศดี น่าเดินจริงๆครับ) การมาในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีมากๆสำหรับผม

บรรยากาศแถวนี้ ยามค่ำคืน ทำให้ผมรู้สึกว่าอยู่แถบชินชูกุหรือไม่ก็แถบกินซ่า ที่ประเทศญี่ปุ่นเลยครับ เพราะมีต้นสนประดับประดาสำหรับงาน Chrismas และงานปีใหม่ที่ใกล้จะถึงในไม่ช้านี้

หลังจากเสร็จการสัมมนาในวันเสาร์เย็น ผมและพี่ๆ โดยสารรถตู้ไปงานพืชสวนโลก แม้จะมีเวลาไม่มากนัก(งานจะปิดเวลา 2 ทุ่มครับ) แต่ทุกคนก็ใจจดใจจ่ออยากดู หอคำหลวง เป็นบุญตา อีกทั้งสวนของประเทศต่างๆ ว่าจะสวยงามอย่างที่ใครๆร่ำลือ หรือไม่
ชาวต่างชาติ 2 คนโชคดีได้ตั๋วจากกลุ่มของผม ทำให้สามารถเข้าไปดูงานพืชสวนโลกได้(ตั๋วหมดครับ ถึงพวกเขาอยากจะเข้างาน ก็เข้าไม่ได้) ตอกย้ำเป็นอย่างดีว่า งานนี้บูมแค่ไหน

เนื่องจากใกล้มืดแล้ว ผมจึงรีบถ่ายรูปให้มากที่สุด เพราะทราบดีว่า คุณสมบัติของกล้องดิจิตอลธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง ที่ออกแบบมาสำหรับถ่ายกลางแจ้งนั้น จะด้อยลงทันที เมื่อถึงเวลาค่ำคืน(เกิดปัญหาแฟลชไม่ถึงด้วยครับ)

ภายในงานตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด 2 ข้างทางจะมีแต่ซุ้มของหน่วยงานต่างๆที่พร้อมใจกันมาจัดงาน พยายามนำจุดเด่นของตนเองและความสามารถออกมาใช้ได้อย่างดีเยี่ยม

ในวันที่ผมไปถึง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสม สวลีพระวรราชาทินัดดามาตุได้เสด็จมาที่งานนี้ด้วยครับ ผมจึงได้มีโอกาสรับเสด็จท่านด้วยครับ

และแล้วก็มาถึง หอคำหลวงจนได้ ผมไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับที่นี่มากนัก แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ก็ตกแต่งด้วยแสงไฟ สวยงามมากครับ หากมาในเวลากลางวันจะถ่ายรูปออกมาสวยแค่ไหนเชียว

จากนั้นก็เป็นสวนนานาชาติ ที่มีหลากหลายประเทศมาก เช่น จีน มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ตุรกี บังคลาเทศ กาตาร์ ลาว ซูดาน โมร็อคโค เป็นต้น

โดยเฉพาะซูดาน ผมจะตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะที่นี่ติดโปสเตอร์เกี่ยวกับการดำน้ำ ทำให้ผมร้องอ๋อว่า ทะเลแดง(Red sea) แหล่งดำน้ำที่มีชื่อ อยู่ที่นี่ นี่เองครับ

ปิดท้ายด้วยสวนถวายพระพร ที่มีต้นโพธิ์ทอง ขนาดใหญ่ อยู่ตรงกลาง ด้านข้างมีระฆัง เมื่อใช้ไม้ตี จะมีน้ำพ่นออกมา ทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลมากครับ เมื่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสม สวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จกลับ ผู้คนจำนวนมากก็แห่กันเข้าไป โชคดีว่าผมอยู่ข้างหน้า เลยได้มีโอกาสเข้าไปก่อน

แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามากครับ หากใครจะไม่ได้มีโอกาสไป อยากให้ลองไปดูซักครั้งครับ งานจะมีถึงปลายเดือนมกราคม ปี 2007

รู้สึกภูมิใจแทนคนเชียงใหม่ และดีใจที่ประเทศไทยมีงานดีๆ ระดับนานาชาติแบบนี้ครับ

Tuesday, December 05, 2006

ชุมพรคาบาน่า....สวัสดีครับ(4)




Dive 2 ความโศกเศร้าที่เกาะง่ามน้อย

อาจจะเป็นโชคดีของผมที่ไม่สามารถลงไปกับกลุ่มในไดฟ์นี้ได้ เพราะตะกั่ว 5 ก้อนที่เคยใช้ได้ดีกับ Wet Suit ยาว กลับไม่สามารถทำให้ตัวผมจมลงไปได้ ทั้งนี้เพราะกระแสน้ำที่เกาะง่ามน้อยในวันนี้เป็นกระแสน้ำไหล(มาก)

แม้ผมจะเคาะ Pointer เรียกให้กลุ่มทราบว่าลงไม่ได้ แต่ก็เปล่าประโยชน์ ครูชาลี(แห่งชุมพรคาบาน่า) พี่กุ้ง(นักดำน้ำเพื่อนพี่จิน)และพี่โหน่ง(นักเรียนวชิราวุธรุ่น 56) หายไปกับน้ำที่ขุ่นในระดับที่ 2-3 เมตร ไม่สามารถมองเห็นได้(ความจริงพวกเขารออยู่ซักพักบริเวณใต้เรือ แล้วจึงไปต่อ)

ผมเริ่มลอยไปตามกระแสน้ำเรื่อยๆเพราะตีขากลับเข้าเรือไม่ไหว จากนั้นไม่นานนักนั้นพี่ว่อง(กัปตันเรือ คาบาน่า 3 )ตีขาเข้ามาหาพร้อมห่วงยาง นอกจากนี้พี่ว่องยังใส่ตะกั่วใน BCD ให้ผมอีก 1 ก้อนด้วย

พี่ว่องยังถามอีกว่าจะขึ้นเรือหรือไปต่อ ผมขอพี่ว่องลงดำบริเวณแนวปะการังแถวนี้ เพื่อสำรวจทัศนียภาพ ที่สำคัญแม้ผมจะไม่มี Dive Computer แต่ผมรู้ขอบเขตของตัวเองดี จึงตัดสินใจที่จะดำบริเวณขอบแนวปะการัง(ติดเขาหินปูน)และดำกลับไป-มาหลายๆรอบ เพื่อสำรวจพฤติกรรมสัตว์ทะเล

ในระดับความลึกไม่เกิน 6 เมตร ผมสามารถใช้เวลาที่นี่ได้ยาวนาน ผมพบปลาอมไข่ห้าเส้น(Five-lined cardinalfish) ปลาผีเสื้อเหลืองชุมพร(Weibel’s Butterflyfish) ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) ปลาพยาบาล(Bluestreak Cleaner Wrasse) ปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish) ปลาสลิดทะเลที่ชื่อ Fox-Face Rabbitfish ปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์ (Moon Wrasse) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีดงดอกไม้ทะเลขนาดใหญ่และปลาการ์ตูนอินเดียนแดง(Pink Anemonefish)จำนวนมาก ที่ทำปากน่ารัก ขมุบขมิบ เหมือนจะบอกว่า “นายเจ๋งนักเหรอ มาสู้กับเราหน่อยเป็นไง”

ทันใดนั้นผมพบแหของชาวประมงขนาดใหญ่ ยาวหลายเมตร ความรู้สึกที่ปลาบปลื้มกับการได้มาฉายเดี่ยว แหวกว่ายท่ามกลางสรรพสัตว์เปลี่ยนไปเป็นความโศกเศร้า ในนั้นมีปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) ติดอยู่ 3 ตัว ทุกตัวไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีแม้กระทั่งสายตาร้องขอวิงวอน มีเพียงสายตาที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ไม่สามารถกลับบ้านไปหาครอบครัวได้อีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีปลาสลิดหินอีก 2-3 ตัว ที่พบชะตากรรมเช่นเดียวกัน ลำตัวเปื่อยยุ่ยจากการถูกแทะของปลาต่างๆที่หิวโหย

ทำไมล่ะ? เกาะง่ามน้อยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ซึ่งถือเป็นทรัพยากรทางทะเลที่สำคัญของเราทุกคน มีเจ้าหน้าที่คอยสอดส่องดูแล กลับมีคนบางส่วนที่เห็นแก่ตัวลักลอบเข้ามา จนเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

ผมพยายามใช้ Pointer สั้นๆที่มีอยู่ 1 อัน ดึงแหขึ้น แต่ดูเหมือนจะเป็นการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง อีกอย่าง หากผมลงคลุกไปเต็มๆ อาจจะถูกแหพันรอบตัว และผมอาจจะไม่ได้ขึ้นมาบอกเล่าความรู้สึกนี้ให้ทุกท่านฟัง

ผมทำได้เพียงขอร้องคุณเวียนนา(Werner)และ Staff ของชุมพรคาบาน่าคนอื่นๆให้ช่วยตัดแหนี้ออกด้วย ในการมาดำน้ำในวันรุ่งขึ้น(เพราะเราต้องกลับกันแล้ว) โดยมีความหวังว่า หากมาคราวหน้า คงไม่เห็นภาพอันหน้าสลดใจเช่นนี้อีก

บางคนอาจคิดว่า ผมโอเวอร์ แค่ปลาเพียงไม่กี่ตัว ทำมาพูด แถมปลาที่ติดแหก็มีมากอยู่แล้วในธรรมชาติ ลองคิดดีๆซิครับ หากคราวหน้า แหของผู้ไม่หวังดีลงมาที่ดงดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูนอินเดียนแดง หรือเจ้าเต่ากระ(Hawksbill Turtle)แสนเชื่อง หรือเจ้ายักษ์ใหญ่ผู้ใจดีอย่างฉลามวาฬ(Whale Shark) คุณคิดว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง คุณจะได้เห็นภาพน่ารักๆของพวกเขาอีกไหม?

ผมคงไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร เพราะทรัพยากรเป็นของเราทุกคน เราทุกคนต้องสอดส่องดูแลเพื่อรักษาทรัพยากรของลูกหลานเราไว้

ผมไม่มีส่วนได้เสียกับองค์กรใดๆทั้งสิ้น ไม่ได้ร่ำเรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ไม่ได้มีใครสั่ง ไม่ได้มีใครสอน ให้เขียนบทความนี้ขึ้นมา ความรู้ที่ได้เกิดจากการอ่านหนังสือปลา เกิดจากการเข้าเว็บเกี่ยวกับทะเลเกิดจากการดูโทรทัศน์และเกิดจากการสอบถามผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านทะเลทั้งนั้น ผมเป็นเพียงนักดำน้ำคนหนึ่ง ที่มีจิตใจอนุรักษ์ อยากดำน้ำชมสัตว์ทะเลเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง เพื่อผ่อนคลายความเครียดหลังจากที่เสร็จสิ้นการสอบหรือการทำงาน ไม่อยากเห็นภาพเช่นนี้เกิดขึ้น เวลาไปดำน้ำอีก

หากเราไม่ใส่ใจตั้งแต่วันนี้ อาจจะถึงวันที่ “คนไทยทุกคนเป็นผู้แพ้”อย่างที่ ด.ร ธรณ์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์ เคยกล่าวไว้ในหนังสือทะเลไทยก็ได้)

ผมเชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้ถึงวันนั้นครับ(จากบทความ ใน Blog ของผม ที่เขียนตอนกลับมาใหม่ๆ เอามาลงอีกครั้งครับ)

ภริยาของคุณเวียนนาเมื่อทราบว่า ผมมาดำน้ำแค่วันนี้เท่านั้นและจะกลับในคืนนี้(คงคิดว่าผมมาหลายวันแน่ๆ ผมดูหน้าของเธอบ่งบอกได้ชัดว่ายิ้มแบบเจื่อนๆ พอสมควร)

ลงจากเรือ ผมขอบคุณพี่ว่อง ครูชาลี และ Staff ชุมพรคาบาน่าทุกคน(คราวหน้าจะมาเยี่ยมอีกแน่นอนครับ)

เมื่อถึงที่พัก ผมเดินออกไปทางสระว่ายน้ำ(หาทางไปสวนครับ) เพราะจำได้ว่า พี่วริสรพูดไว้เมื่อวานนี้ว่า 4 โมงเย็น จะพาแขกมาดูสวน ผมเจอพี่ป้อมกับลูกศิษย์ที่สระว่ายน้ำด้วย(พี่ป้อมบอก ลูกศิษย์พร้อมสำหรับการออกทะเล พรุ่งนี้แล้ว)

ผมสำรวจด้านหลังนี้ มี Hall ขนาดใหญ่ และดอกไม้ ต้นไม้สวยๆ แปลกๆ เต็มไปหมด มีพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย เช่น “ที่จริงที่ดินลูกรังมีอาหารที่ดีสำหรับพืชพอสมควร แต่ไม่ขึ้นเพราะไม่มีจุลินทรีย์มาช่วยให้พืชสามารถดูดเอาอาหารที่อยู่ในดิน” เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีเจ้าแมวแสนเชื่อง มาเล่นกับผม เลยเก็บภาพมาอยู่ในอัลบั้มซะเลย

ผมกลับห้องไปอาบน้ำ แต่งตัว จัดของ พี่ป้อมบอกว่า เจ้าเดียวจะกลับกรุงเทพพร้อมผมในคืนนี้(ซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้วด้วย)

ผม พี่ป้อม น้องเดียว ไปทานข้าวที่ร้านอาหารภายในชุมพรคาบาน่าเช่นเดิม ผมเจอพี่วริสรและครอบครัว พี่เอก และหญิงสาวผมขาวคนหนึ่ง ตอนแรกผมจำเธอไม่ได้ เพราะเคยเห็นแต่ในรูปจากนิตยสารเท่านั้น(ตอนนั้นผมเธอ สีดำครับ) พอทราบว่าเป็นคุณอัจฉรา รักษ์พันธ์ คุณแม่ของพี่วริสร ผมรีบยกมือขึ้นไหว้ทันที(พอดูดีๆก็มีเค้าแล้วครับ) นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอเธอครับ

ผมถามแม่ครัวที่กำลังทำส้มตำว่า กุ้งแม่น้ำกับกุ้งทะเลมีความแตกต่างกันอย่างไร เธอบอกว่ากุ้งแม่น้ำเนื้อจะตันกว่ากุ้งทะเล(ใครมีรายละเอียดก็บอกด้วยนะครับ ผมยังมีความรู้น้อย กินอย่างเดียวจ้า)

ข้างๆก็มีพี่โหน่งและพี่ปิ๋ม มาทานข้าว ผมเข้าไปนั่งคุยและแนะนำให้อย่าลืมสั่งไอศครีมบวกกล้วยหอมทอดด้วย(อร่อยมากครับ)

ก่อนกลับ ผมไปซื้อเสื้อยืดชุมพรคาบาน่า เป็นที่ระลึก(ผมมักจะชอบซื้อเสื้อของทุกๆที่ เวลาไปเที่ยว ยิ่งเป็นเสื้อสัญลักษณ์หรือมีแผนที่ ชอบมากครับ) ผมอำลาพี่เอก พี่วริสร คุณแม่อัจฉรา พี่ป้อม พี่โหน่ง พี่ปิ๋ม ขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆ ทั้งใหม่และเก่าที่มีให้ผมเสมอมา

เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางของผม ที่รอคอยมา 1 ปีกว่า การกลับมาในครั้งนี้ แม้จะแตกต่างกับคราวแรกที่ผมมาแบบยังไม่รู้จักใครเลย กลับมาคราวนี้ผมมาในฐานะศิษย์เก่าของชุมพรคาบาน่าก็จริง แต่สิ่งที่ไม่แตกต่างกัน คือ ความประทับใจที่ผมได้รับ ซึ่งผมจะไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน

ผมสัญญาว่า เมื่อฤดูกาลใหม่ของชุมพรมาถึง เมื่อเวลาและเงินในกระเป๋ามีพร้อม ผมจะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน

สำหรับนักเขียนสมัครเล่นอย่างผม คงไม่มีอะไรที่น่ายินดี เท่ากับความเห็นของทุกๆคน ที่เข้ามาอ่านแล้วครับ ผมยอมรับว่า ผมมีความสุขมากที่ได้เห็นคนมาติชม คนมาอ่านเรื่องราว

และนี่เป็นอีกครั้งสำหรับเรื่องราวของนักเดินทางอย่างผม ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ



Phop Payapvipapong

2/12/2006

17.46 pm

Monday, December 04, 2006

ชุมพรคาบาน่า...สวัสดีครับ(3)
















ที่สระว่ายน้ำพี่ป้อมกำลังสอนลูกศิษย์ประกอบอุปกรณ์ แม้แดดจะร้อน ผมก็ไม่รอช้าลงไปสำรวจด้านล่างสระน้ำทันที

สระน้ำของคาบาน่า จะไล่ระดับลงไปตามความลึก เริ่มจากตื้น มีแนวสโลบ(แบบแนวปะการัง) ก่อนจะลงไปในจุดที่ลึกขึ้น ผมตีขาไปมาทั้งแบบธรรมดา(ท่า Basic) และตีขาแบบท่ากบ(เลียดพื้น) ฝึกการหายใจ กางขาออก กอดอก ผมสามารถควบคุมการลอยตัวได้โดยการหายใจ(เรียกบทเรียนนี้ว่า Fin –prevert ฟิน-พรีเหวิด ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ) จากนั้นผมทำหน้าที่เป็นพนักงานของชุมพรคาบาน่า บริการเก็บขยะเพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่า พบว่าในนี้มีปูโชคร้ายที่หลงคิดว่าน้ำคลอรีนเป็นน้ำทะเล ลงมาโดนคลอรีนกัดตาย เรียบร้อยโรงเรียนปู(ตอนแรกไม่กล้าจับครับ กลัวหนีบ ที่ไหนได้ตายแล้ว) นอกจากนั้นก็ยังมีเม็ดกลมๆมีลักษณะสีน้ำตาล(เหมือนอาหารปลา) ผมว่าน่าจะเป็นเมล็ดของต้นไม้อะไรซักอย่างที่ถูกลมพัดมา มีเยอะพอสมควรเลยครับ

ชักปวดฉี่ ผมขึ้นมาเข้าห้องน้ำ พร้อมถอด Wet suit สวมเสื้อลงไปแทน สบายกว่ากันเยอะเลยครับ

ถึงตอนนี้ฝ่ามือและฝ่าเท้าของผม เริ่มเหมือนไส้กรอกเวลาถูกทอดนานๆ(เหี่ยวๆ) ผมขึ้นสู่ด้านบน เก็บอุปกรณ์ใส่รถเข็น ล้างตัว สวมบทพนักงานจำเป็นอีกครั้ง บริการขนอุปกรณ์ของตัวเองและนักเรียนของพี่ป้อมไป Dive Shop ช่วยกันเข็นกับน้องเดียว สนุกดีครับ ระหว่างทางผมเจอพี่วริสรเดินมากับลูกๆด้วย

ผมหิวข้าวมาก(ข้าวกลางวันยังไม่ได้กินเลยครับ ท้องแฟบเหมือนสุนัขอดข้าวไม่มีผิดเลย) หลังจากอาบน้ำแล้ว ผมพี่ป้อมและน้องเดียว เดินมาที่ร้านอาหาร เจอพี่วริสรและครอบครัวนั่งทานข้าวกับพี่เอก

ผมสั่งปูผัดผงกระหรี่ราดข้าว และใบเหลียงผัดไข่ราดข้าว(2 อย่างนี้ไม่มีในเมนูว่าเป็นอาหารจานเดียวแต่ผมคิดว่าแม่ครัวต้องทำได้แน่นอน) รสชาดขอบอกว่าอร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมาเลยครับ(ไม่ได้โม้) จากนั้นตบท้ายด้วยไอศครีมบวกกล้วยหอมทอด ซึ่งก็เป็นเมนูเด็ดของที่นี่เหมือนกัน ใครมาห้ามพลาดครับ แล้วจะเสียใจ

จากนั้นก็นั่งคุยกับเจ้าเดียวเรื่องสัตว์ทะเล ดูเจ้าเดียวจะสนใจมากทีเดียว ผมก็ได้รับรู้ประสบการณ์การดำน้ำของเจ้าเดียวเป็นความรู้อีกด้วย

โต๊ะใกล้ๆมีครูจวนกับพี่อู๊ดมานั่งกินข้าว ซึ่งพรุ่งนี้พวกเขาก็จะกลับกรุงเทพกันแล้ว ผมเข้าไปขอให้พวกเขาจด Log Book ตามธรรมเนียม พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้กันเล็กน้อย

ครูจวนจะเล่าให้ฟังว่า เขาดำน้ำมานานมาก ปัจจุบันใช้การดำน้ำเป็นการดำเพื่อพักผ่อนมากกว่าหลังจากที่เหนื่อยล้ามาจากการทำงานในอาชีพหลัก ผมเล่าให้ครูจวนฟังเกี่ยวกับประสบการณ์อาเจียนคา Regulator ที่โลซิน ครูจวนชมผมว่ามีสติดีมาก เลยเล่าเรื่องลูกศิษย์คนหนึ่งของแก เป็นสาวที่มีสติดีมากเช่นกัน วันนั้นไปสอบที่พัทยา เมาท์ พีช ของเธอหลุด แต่เธอไม่แสดงท่าทีตกใจเลย เธอแค่ทำท่าทางว่ามีปัญหา พอเข้าไปก็เลยยื่น Octopus ให้เธอ(ไม่ใช่ยื่นหมึกยักษ์ให้นะครับ เป็นการยื่นอุปกรณ์สำรองให้) ครูจวนเล่าให้ฟังอีกว่า ตอนเจอแมนต้าครั้งแรก หากเพื่อนไม่เรียก ครูจวนก็ไม่เห็น เพราะกำลังถ่ายรูปอยู่คนเดียว นอกจากนี้ครูจวนให้ผมไปเรียนเข็มทิศด้วย เพราะจะมีประโยชน์อย่างมากในอนาคต

ส่วนพี่อู๊ด แกบอกผมว่า ซื้อ Dive Computer ผ่านทาง Internet ใช้มาไม่นานนักแต่มีประสิทธิภาพมาก สามารถรู้ว่าควรอยู่ได้นานอีกเท่าไร อยู่ลึกไปไหม ขึ้นเร็วเกินไปหรือไม่ ผมฟังแล้วก็อยากซื้อ Dive Computer มาใช้บ้างจริงๆ คงจะช่วยผมเวลาอยู่ใต้น้ำได้มากเลย

ผมลาครูจวนและพี่อู๊ด หวังว่าคงจะได้ดำน้ำด้วยกันอีก วันนี้ผมง่วงนอนมาก ใช้พลังงานไปเยอะ พรุ่งนี้ผมจะออกไปดำน้ำให้ได้ ต้องรีบนอน เมื่อหัวถึงหมอนผมก็หลับโดยอัตโนมัติ


22 ตุลาคม 2549

เมื่อคืนนอนหลับสบายมาก เช้านี้ พี่ป้อมบอกผมว่าถ้าอยากออกไปดำน้ำ ให้รีบไปติดต่อครูชาลีอย่างเร่งด่วน(ครูชาลีเป็น staff ของชุมพรคาบาน่า อีกคนครับ) และให้ผมถามเจ้าเดียวด้วยว่าจะออกไปดำน้ำไหม ส่วนพี่ป้อมคงไม่ออกไปสอบนักเรียนในวันนี้เพราะเรือคาบาน่า 3 นั้นเป็นเรือเล็ก มีที่วางแท๊งค์ไม่มาก เมื่อบวกกับนักดำน้ำแบบ Fun Dive ในวันนี้อาจจะทำให้ไม่สะดวกนัก ผมเดาไว้ว่าเจ้าเดียวคงไม่ไปในวันนี้แน่ เพราะเคยพูดกับผมไว้ว่าไม่ชอบเรือลำนี้เท่าไรนัก(แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆครับ เจ้าเดียวไม่ไปกับผมในวันนี้)

เมื่อผมไปติดต่อครูชาลี ภาวนาเต็มที่ขอให้ตัวเองได้ไป เมื่อดูจากอุปกรณ์ที่มี นับว่าเฉียดฉิวพอสมควร(ผมเลือกอุปกรณ์ใส่ในเกียร์แบค) ผมเห็นสองสาวที่เจอบริเวณสถานีขนส่งเมื่อวานนี้ พวกเธอคงจะไปดำน้ำในวันนี้ด้วยแน่นอน ก่อนรถจะออก ผมรีบกลับไปทานข้าวเช้าก่อนที่จะมาขึ้นรถ(เรือหลบคลื่นลมอยู่ที่ท่าเรือท่ายางครับ ต้องนั่งรถไปลงที่นั่น เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ดี)

เมื่อทุกอย่างพร้อม ผมแบกกระเป๋าที่ใส่หนังสือปลาทะเลมากมาย(ขนมาทุกครั้ง เวลามาดำน้ำ บ้าหอบฟางมาก) ขึ้นรถโค๊ด(เหมือนรถทัวร์น่ะครับ) คันสีฟ้าของชุมพรคาบาน่า ภายในรถเท่าที่สังเกตมีนักดำน้ำไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นนักดำน้ำแบบ Snorkeling มากกว่า ที่ผมรู้จักก็จะมีคุณ Werner(เวียนนา) ที่พาชาวต่างชาติคนหนึ่งมาสอบ Open Water ด้วย

ผมได้รู้จักกับพี่โหน่งที่มา Fun Dive เช่นกัน(ส่วนพี่ปิ๋มแฟนสาวมาให้กำลังใจครับ) พี่โหน่งเป็นศิษย์ของครูพู่ แห่ง
http://www.dumnam.com/ พี่โหน่งบอกว่าไม่ได้มาดำน้ำมานานมาก คราวนี้เป็นวันหยุดเลยถือโอกาสมาเคาะสนิมเสียที

รถของชุมพรคาบาน่ามาถึงที่ท่าเรือท่ายาง(บ้านท่ายาง) ผมเห็นเรือคาบาน่า 3 อยู่ด้านหน้า(เห็นด้วยกับพี่ป้อม ถ้าแกมากับลูกศิษย์อีก 3 น้องเดียวอีก คงแน่นเรือมากๆแน่)

2 สาว ก็มาขึ้นเรือลำเดียวกับเราด้วย เวลาขึ้นเรือคาบาน่า 3 ค่อนข้างลำบากนิดหน่อยเพราะไม่มีบันไดขึ้น ต้องใช้แผ่นไม้พาดเรือแล้วเดินขึ้นไป(ต้องจับดีๆไม่งั้นหงายท้องได้ง่ายๆครับ)

เรือค่อยๆออกจากท่า Staff ของคาบาน่า มาจัดอุปกรณ์ที่ท้ายเรือ ออกมาไม่นานฝนก็เริ่มตก ลมแรง ผมภาวนาในใจว่าขอให้ฝนหยุดเถอะ ผมอุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล ขอให้ผมดำน้ำสมใจอยากหน่อย ไม่น่าเชื่อครับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ฟ้าที่เคยมืดกลับสว่างอีกครั้ง ฝนหยุดตก(แดดออกด้วยครับ)

บนเรือ ผมยังได้รู้จักพี่เจี๊ยบ ที่พาลูกๆมาดำน้ำ(ครอบครัวค่อนข้างใหญ่เหมือนกันครับ) พี่เจี๊ยบบอกว่าเป็นคนชุมพร เปิดร้านอาหารอยู่ที่ริมหาดทุ่งวัวแล่นนี่เอง(สุดหาดเลย) เห็นเด็กๆอยากมาดำน้ำ เลยพามาด้วย

ครูชาลีเดินมาขอร้องผมว่า 2 ไดฟ์ในวันนี้ ขอร้องให้ผมลงในไดฟ์ 2 ได้ไหม เพราะไดฟ์แรก แท๊งค์ไม่พอ(ทุกท่านที่อ่านคงจะงงว่า มันจะไม่พอได้อย่างไร) ครูชาลีบอกว่า ภริยาของคุณเวียนนา จะลงในไดฟ์แรกนี่(เธอไม่ยอมที่จะดูแลเด็กที่ Snorkeling ครับ) ครูชาลีพยายามพูดแต่เธอก็ไม่ยอมท่าเดียว ผมบอกครูชาลีว่า โอเคครับ ไม่เป็นไร ผมลงในไดฟ์ที่สองก็ได้(จริงๆลืมไปครับ น่าจะบอกเธอไปว่า เธอมาดำได้ทุกวัน แต่ผมขึ้นจากกรุงเทพมาเพื่อดำในวันนี้เพียงวันเดียว จะให้ผมไม่ได้หรืออย่างไร) ในไดฟ์สอง จะมีแท๊งค์มาเพิ่มครับ จากเรือคาบาน่า MV-5

มาถึงเกาะง่ามใหญ่ เด็กๆดูจะตื่นเต้นกันมากทีเดียว ผมเลือกที่จะรออยู่บนเรือดีกว่า นักดำน้ำแบบ Scuba ก็แต่งตัวลงไป ชุดแรกคุณเวียนนา อีกชุดเป็นของครูชาลี ผมถ่ายรูปของพี่โหน่ง (บริการเต็มที่ครับ)

ผมนั่งคุยกับพี่ปิ๋ม ดูสีหน้าไม่ค่อยดีนักเพราะเธอเมาเรือ(เข้าห้องน้ำไปอาเจียนก็หลายครั้งอยู่) ผมชวนเธอมาดำน้ำ บอกข้อดีต่างๆนาๆ(ที่สำคัญจะได้ดำกับพี่โหน่งด้วยนะ) เธอบอกว่ากลัวทะเลมาก ไม่กล้าลง(พยายามเปิดหนังสือปลาโน้มน้าวเธอ แต่ไม่เป็นผลครับ) ระหว่างนี้ผมก็ดูเด็กๆลงไป Snorkeling มีพี่ว่อง(กัปตันเรือ) คอยดูความปลอดภัยให้ พร้อมตะโกนระวังไม่ให้เข้าใกล้หินเพราะมีเพรียงและสัตว์เกาะติดเยอะ ที่สำคัญคมมากด้วยครับ

ได้รู้ความจริงที่แสนยินดี ผมทราบจากพี่ปิ๋มว่า พี่โหน่งรู้จักกับพี่วริสรด้วย(พี่โหน่งเป็นนักเรียนเก่าวชิราวุธรุ่นที่ 56 มีฉายาว่า พี่เหนียวน้อยครับ) ผมหัวเราะในใจ คุยตั้งนานรุ่นพี่เรานี่เอง ฮ่าๆๆๆๆ

พอพี่โหน่งขึ้นมา ผมรีบแสดงตัว(ยังกับตำรวจแน่ะ) ต้องบอกว่าแนะนำตัวครับว่าผมเป็นรุ่นน้อง แกก็ขำๆเหมือนกัน พร้อมเล่าให้ฟังว่า ยังมีนักเรียนเก่าอีกหลายคนที่ดำน้ำด้วย

ส่วน 2 สาว บนเรือ หนึ่งในนั้น ก็คือ พี่กุ้ง(เพื่อนพี่จิน) นั่นเอง โลกกลมจริงๆ

ข้าวกลางวันมีไข่เจียว แกงส้มและผัดผักครับ) ผมไม่กล้าทานเยอะเพราะจะต้องลงในไดฟ์ต่อไป

พี่โหน่งบอกอีกว่า ไดฟ์ต่อไปอาจจะไม่ลงเพราะจะอยู่ดูแลพี่ปิ๋มที่เมาเรือ(คู่รักกันต้องอย่างนี้ครับ)

ไม่นานนักเรือคาบาน่า MV-5 ก็มาถึง พร้อมกับนักท่องเที่ยวบนเรือ ที่ผมเห็นแล้วต้องร้องจ๊าก เพราะเยอะมากๆครับ เยอะจนน่ากลัว ไม่ต้องพูดถึงเวลาพวกเขาลง Snorkeling นะ(นึกภาพเอาเองครับ) มีพี่เอกคอยถือโทรโข่ง ดูแลนักท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับพวกเขา(ถึงตอนนี้แท๊งค์ดำน้ำก็มาแล้วจ้า)

จุดต่อไปในการดำน้ำ คือ เกาะง่ามน้อย วันนี้น้ำไหลมาก ผมเปลี่ยน Wetsuit ตัวเก่งเตรียมพร้อมที่จะลง พี่โหน่งให้พี่ปิ๋มลงไป Snorkeling ด้านท้ายเรือ ตีขาไปมา(เป็นวิธีแก้เมาเรือครับ) ซึ่งผลที่ได้ ดีมาก พอพี่ปิ๋มขึ้นมาอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ

Sunday, December 03, 2006

ชุมพรคาบาน่า...สวัสดีครับ(2)




ผมเดินออกมาบริเวณใกล้ร้านอาหาร พบพี่วริสร รักษ์พันธ์(พี่อีที) นักเรียนวชิราวุธรุ่น 61 รุ่นพี่ของผมที่เป็นเจ้าของที่นี่ รับช่วงต่อมาจากคุณพ่อ กำลังคุยกับแขกที่มาพักอยู่ ผมสวัสดีทักทายตามประสารุ่นน้อง จากนั้นพี่วริสรก็ชวนผมมาทานข้าวเช้า

“ลูกชายสูงจังนะครับ” แขกที่มาพักคนหนึ่ง พูดกับพี่วริสร คิดว่าผมเป็นลูกชายของแก(ไม่รู้ว่าผมหน้าแก่หรือพี่เขาหน้าหนุ่ม) สร้างเสียงหัวเราะแต่เช้าเลย

ผมไม่ลังเลที่จะตักข้าวยำ ใส่เครื่องและราดน้ำบูดู(Rice salad in Southern style) เพราะติดใจตั้งแต่ครั้งแรกที่มากิน ใครมาที่นี่ อย่าลืมที่จะมาทานเชียวล่ะครับ

พี่วริสรเล่าให้ฟังว่าช่วงนี้มีแขกเยอะ ต้องคอยต้อนรับ คนเมื่อซักครู่ก็มาจากองค์การบริหารส่วนตำบล และยังมีนักเรียนเก่าวชิราวุธมาเที่ยวที่นี่หลายคน แกยังเล่าให้ฟังอีกว่าเดี๋ยวนี้เหมือนร่างกายเคยชิน ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุก ตื่นเช้าได้ทุกวัน กลางคืนก็เข้านอนเร็ว

จากนั้น พี่วริสรแนะนำให้ผมรู้จักกับพี่อ้าย นักเรียนเก่าวชิราวุธรุ่น 51 คณะจิตรดา พี่อ้ายทำงานอยู่ที่ AIA พาลูกน้องที่บริษัทมาดูงาน แกเล่าให้ฟังว่าลูกชายก็สนใจเรียนดำน้ำเช่นกัน ถึงตอนนี้พี่วริสรได้สั่งน้ำส้มคั้นมาให้พร้อมบอกว่า คั้นมาสดๆจากไร่ของที่นี่ตามโครงการเศรษฐกิจพอเพียงสนองแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งชุมพรคาบาน่าได้ทำมานานแล้ว นักเรียนเก่าวชิราวุธอีกหนึ่งคนที่ผมได้รู้จัก คือ พี่สุวิทย์ ล่ำซำ ซึ่งพี่สุวิทย์ได้พาครอบครัวมาเที่ยวด้วย

ไม่นานนักพี่ป้อมก็มาทานข้าวด้วย จากนั้นคนที่มาตบหลังผม คือ พี่เอก(พี่สารสิน) เป็นรองผู้จัดการของที่นี่ ผมสวัสดีทักทายหลังจากเจอพี่เอกครั้งล่าสุดที่งานมหกรรมดำน้ำ TDEX ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ครั้งชุมพรคาบาน่าไปเปิดบูท

ผมได้รู้จักกับพี่บี ศรีภริยาของพี่วริสร พร้อมลูกชายที่น่ารักทั้ง 2 คน คือ น้องภีมและน้องภูมิ(น้องภีมใส่ริสแบนของโรงเรียนเหมือนผมด้วย เลยต้องโชว์เล็กน้อยว่า พี่ก็ใส่เหมือนกันน้อง)

หลังจากนั้นพี่วริสรจึงขอตัวออกไปข้างน้องกับแขก พี่เอกกับพี่ป้อมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เมื่อคืนลมพัดแรงมากแต่เช้านี้กลับเงียบสงบ ทะเลเรียบ นอกจากเรือคาบาน่า MV-1 ที่พานักดำน้ำออกไปตั้งแต่วันศุกร์ ก็ยังมีเรือคาบาน่า MV-5 และเรือคาบาน่า 3 (เรือไม้)อีก 1 ลำ ที่หลบคลื่นลมอยู่ที่ท่าเรือท่ายางพร้อมจะออกให้บริการ ซึ่งพี่เอกบอกให้รอดูคลื่นลมซักพักก่อนโดยพี่ป้อมก็บอกว่าจะมีคุณจวนและน้องเดียวไปดำน้ำกับผมในวันนี้ด้วย(หากไม่ได้นั่งเรือออกไป ก็จะให้เจ้าเดียวพาผมและคุณจวนมาดูม้าน้ำที่หน้าหาดกัน เชื่อหรือไม่ล่ะว่ามี ผมยังตื่นเต้นแทนเลย)

ผมทราบข่าวว่า ในวันนี้จะไม่มีเรือออกให้บริการนักดำน้ำแบบ Snorkeling(ไม่มีนักท่องเที่ยวมาติดต่อเลย) สำหรับ Scuba ก็เช่นกัน(ตามกัปตันไม่เจอด้วยครับ) อย่างที่บอก คือ ไม่มีใครคาดคิดว่าวันนี้สภาพอากาศจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้แบบนี้

แม้ผมจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างแต่ก็คิดในแง่ดีว่าได้ดำยังดีกว่าไม่ได้ดำล่ะน่า ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม

ผมเจอพี่ไชตูด(ศรัณ ยุพาพินทุ์)และพี่แก่ นักเรียนเก่าวชิราวุธคณะผู้บังคับการ มาดูงานกับ AIA เช่นกัน ผมจะคุ้นเคยกับพี่ไชตูดเป็นพิเศษเพราะพี่ไชตูดอยู่รุ่นเดียวกับพี่ชายของผม(พี่กระจับ) และผมก็เข้าทันแกซะด้วย

เมื่อถึงเวลา ผมเดินไปส่งพี่อ้าย พี่แก่และพี่ไชตูดขึ้นรถบัส(พวกพี่ต้องไปสัมมนากันต่อ) ก่อนที่จะตามพี่ป้อมไปที่ Dive Shop วันนี้จะมีนักเรียนใหม่มาเรียนดำน้ำ 3 คน เป็นโอกาสดีที่ผมจะเข้าไปนั่งฟัง ทบทวนความจำ หวนคืนความหลัง

ระหว่างทาง ผมเห็นเรือ คาบาน่า 2 เรือไม้อีกลำที่เกษียณอายุราชการแล้ว(พังน่ะครับ ไม่มีอายุราชการอะไรหรอก)

ที่ Dive Shop นักเรียนกำลังลองสวมอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็น Fin ,Mask, BCD ,Wetsuit เป็นต้น ก่อนจะตามพี่ป้อมไปที่สระ ผมออกมาถ่ายรูปริมหาดทุ่งวัวแล่นอีกครั้ง สังเกตเห็นว่าหาดทรายมีสภาพเปลี่ยนไปเกิดแอ่งน้ำขนาดใหญ่ขึ้นอันเนื่องมาจากการเกิดคลื่นลมอย่างรุนแรง เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ ของสัตว์ทะเล(ผมจำภาษาอังกฤษไม่ได้ครับแต่อาจารย์ธรณ์เคยพูดถึงในหนังสือ Sea Thai Sea)

ทางไปสระว่ายน้ำยังคงความร่มรื่นเหมือนเดิม มีต้นไม้เขียวขจี ดูแล้วสดชื่น สบายตา ผมมองเห็นสระว่ายน้ำ สระนี้เองที่ทำให้ผมเริ่มมีวิชาติดตัว แม้ตอนนั้นจะตีขาไม่ได้เรื่องก็ตาม(ตอนนี้ก็ดีขึ้นครับแต่คงไม่ถึงขนาดช่ำชอง)

พี่โจ้ ชายหนุ่ม ชาวใต้ ผู้ดูแลสระว่ายน้ำ นั่งอยู่ด้านหน้าตู้เย็นที่เก็บเครื่องดื่มกระป๋องไว้บริการนักท่องเที่ยว) ผมยังจำหน้าแกได้ แกก็บอกว่าที่มาเมื่อเดือนเมษาปีก่อนใช่ไหม พี่จำได้(แสดงว่าหน้าเราไม่โหล)

ผมนั่งฟังพี่ป้อมสอนลูกศิษย์ใหม่ 3 คน (คราวก่อนก็เป็นผม น้องโบ๊ตและพี่ยุทธ) หลายคำถามที่ผมเริ่มลืมไปแล้วก็ได้ฟื้นคืนมาอีกครั้ง เช่น 1 Atm เท่ากับ 14.7 ปอนด์(ครึ่งหนึ่งของการสูบยางรถยนต์ , น้ำ หนักกว่าอากาศ , 10เมตร เท่ากับ 2 Atm ,ยิ่งลงไปต่ำยิ่งมีอากาศมากดทับ ,เวลาขึ้นเขาถุงขนมจะมีอากาศเพิ่มขึ้นจนทำให้ถุงแตกได้ , อยากรู้ว่ามีหน่วยของฟุต มีกี่เมตร ก็เอา 3 หาร เป็นต้น

ไม่นานนักเจ้าเดียว ลูกชายของพี่ป้อมก็ตื่น(จนได้) เจ้าเดียวมาในชุดกางเกงจักรยาน ไม่นานนักก็ประกอบแท๊งค์อย่างช่ำชอง(ผมมั่นใจว่าประกอบคล่องกว่าผู้ใหญ่บางคน รวมทั้งผมด้วย) แล้วกระโดดตูม ลงไปในสระว่ายน้ำ

ต่อมาชายคนหนึ่งหน้าตาแบบคนต่างชาติแต่พูดไทยชัดแจ๋ว พี่ป้อมแนะนำให้ผมรู้จักกับครูฮวน(หรือครูจวน) เป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาดำน้ำให้พี่ป้อม(อาจารย์ของอาจารย์เลยนะเนี่ย) หากลองนึกดีๆ เมื่อครั้งมาเรียนดำน้ำที่นี่ พี่ป้อมเคยกล่าวถึงครูจวนไว้ว่า เป็นพี่ชายของคุณหาญ หิมะทองคำ(หน้าเหมือนแฮะ) และมักจะถูกคนอื่นๆล้อเสมอว่า ไม่ค่อยได้เจอสัตว์ใหญ่ ซึ่งกว่าจะเจอแมนต้าตัวแรก ครูจวนก็พึ่งจะเจอไปเมื่อเมษายน ปีที่แล้วนี่เองครับ พอถามเจ้าตัว เจ้าตัวบอกว่าผมชินซะแล้วล่ะครับ พูดจบก็หัวเราะ)

เอาเป็นว่า ผม น้องเดียวและครูจวน ไป Dive Shop เพื่อเตรียมอุปกรณ์ เราจะลงไปทักทายม้าน้ำที่หน้าหาดกัน

ที่ Dive Shop สมาชิกอีกคนที่จะลงไปกับเราด้วย คือ พี่อู๊ด ชายหนุ่มผอมบาง(ผอมจริงๆครับ) นึกถึงผมสมัยเด็กๆ ผอมแบบพี่อู๊ดนี่เลยครับ

เรามีปัญหาเล็กน้อยเพราะอย่างที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า เรือคาบาน่า MV-1 พานักดำน้ำออกไปตั้งแต่วันศุกร์ ขนอุปกรณ์ไปเพียบ ทำให้ตะกั่ว , BCD,Regulator อาจไม่พอ โชคดีว่าครูจวนมีอุปกรณ์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว(Wet Suit แกสุดยอดมาก ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ มีมีดติดตัวด้วย สมกับเป็นปรมาจารย์จริงๆ)

เมื่ออุปกรณ์พร้อม เราแบกแท๊งค์ไปแต่งตัวกันริมหาด การดำแบบนี้เรียกว่า Shore Dive(ชอร์ ไดฟ์) คือการเริ่มต้นจากริมหาด แล้วว่ายออกไปจากฝั่ง เป็นประสบการณ์ดำน้ำชั้นสูงอีกขั้น ที่หลายๆคนอาจไม่ได้สัมผัสแต่ผมว่า ผมโชคดีมากครับที่วันนี้ไม่มีเรือออก ไม่งั้นคงไม่ได้เจออะไรสนุกๆแบบนี้(บ้าหรือเปล่า แท๊งค์ก็หนัก แดดก็ร้อน เท้าก็พอง ยังมีหน้าว่าสนุกอีกนะ)

เมื่อพร้อมแล้ว เราทั้ง 4 (ไม่ใช่ 4 กุมารนะ) เดินถือฟิน ย่ำออกไปบนหาดทุ่งวัวแล่นอย่างช้าๆ(ก็อยากจะวิ่งเหมือนกันครับแต่กลัวหัวปักทรายแล้วจะลุกไม่ขึ้นจ้า) ผมคิดในใจแบบขำๆว่า เหมือนในรายการสารคดีของเมืองนอกมาก นี่เรามาดำน้ำที่หมู่เกาะในเมืองนอกหรือเปล่าเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ


Dive 1 ทักทายม้าน้ำหน้าหาดทุ่งวัวแล่น!!!!

เราเดินลงน้ำและสวมฟิน เมื่อระดับน้ำเริ่มลึกขึ้น ครูจวนบอกให้เราหันหน้าเข้าริมหาด ตีฟินออกไปจากหาดเรื่อยๆ น้องเดียวจะเป็นผู้พาผม พี่อู๊ดและครูจวนไปดู แต่เจ้าตัวก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน จึงต้องกลับมาดูแนวท่อเล็กน้อย ก่อนที่จะไปต่อ(แนวท่อจะยาวไปเรื่อยๆจนถึงบริเวณทุ่นครับ)

ผมเริ่มเมื่อยขา(ไม่ฟิตนี่หว่า)แต่ก็ต้องตีขาต่อไป เมื่อถึงจุด ครูจวนบอกว่าให้อยู่ใกล้ๆกันไว้ หากหากันไม่เจอให้ขึ้นมา พร้อมให้สัญญาณปล่อยลมออกจาก BCD

ระดับน้ำอยู่ในความลึก 3-4 เมตร ค่อนข้างจะขุ่นแต่ยังพอมองเห็นในระดับใกล้ๆ น้ำมีกระแส(คลื่นตีไปตีมา) ทำให้แม้จะมีตะกั่วถ่วงไว้แต่ตัวของผมก็จะลอยขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ(พี่อู๊ดก็เป็นเหมือนกัน) ต้องเอาหัวปักแล้วดำลงไป

ไม่นานนัก เจ้าเดียวชี้ให้ผมดูม้าน้ำ(Sea Horse) บริเวณสายเชือก หน้าตาของเขาดูอ่อนโยนเหมือนเด็กแบเบาะก็ไม่ปาน เชื่องเหมือนแมว(แต่ไม่ขี้ประจบ) ผมดูเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ บริเวณนี้ผมพบม้าน้ำทั้งหมด 3 ตัว(ตรงกับที่น้องเดียวบอก เช่นกัน) ม้าน้ำเป็นสัตว์ประจำถิ่น ไม่ว่ายน้ำมั่วซั่ว จะอยู่เฉพาะที่ ลงไปคราวใดก็จะเจอทุกครั้ง เว้นแต่ว่าจะมีใครไปรบกวนพวกเขา เพราะฉะนั้นดูเฉยๆนะครับ

ผมเห็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง มีลักษณะลำตัวยาวไม่เกิน 10 เซนติเมตร ลำตัวใส มีลักษณะเหมือนพยาธิ ภายในมีจุดดำสีดำ ลอยไปมาตามน้ำ เหนือพื้นทรายเล็กน้อย พวกเขา คือ แพลงตอนสัตว์(จากคำแนะนำของพี่โคตรเมาแห่ง
http://www.talaythai.com/ บอกว่าเป็นหวีวุ้นครับ) เจ้านี้เป็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่มักจะเป็นอาหารของปะการัง ดอกไม้ทะเล กระเบนราหู ปลาไหลสวน ฉลามวาฬ เป็นต้น ผมดีใจมากเพราะได้เห็นแพลงตอนสัตว์ชัดๆเป็นครั้งแรก

ในกระป๋องสี่เหลี่ยม เจ้าปูตัวหนึ่ง จ้องหน้าผมเขม็ง เหมือนกับอยากจะบอกว่า อย่ามายุ่งกับฉันนา แกเข้ามาฉันหนีบนะเฟ้ย ผมมองเขาอย่างยิ้มๆ พร้อมปล่อยให้เขาอยู่ตามสบาย

ผมกลับมาบริเวณเชือก ผมดีใจมากที่เห็นเจ้าปลาวัวหนาม Fan-bellied leatherjacket(Filefish) ที่ผมมักจะพบเห็นได้บ่อยๆบริเวณเกาะล้าน(ใต้สะพาน) ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาพบกันที่ทะเลชุมพร เจ้าตัวนี้มีลำตัวสีอ่อนกว่า คาดว่าอาจเป็นวัยเด็กเพราะตัวยังเล็กๆอยู่เลย หน้าตา น่ารักไม่แพ้ม้าน้ำเลยครับ

ผมมองหาพี่อู๊ดและครูจวนไม่เจอ พยายามใช้ Pointer เคาะแท๊งค์เพื่อเรียก แต่คนที่อยู่ใกล้ๆก็มีแต่น้องเดียวเท่านั้น ไม่นานนัก น้องเดียวก็ชวนผมขึ้นด้านบน ก่อนขึ้นผมยังเห็นปลาประหลาดผ่านไป 1 ฝูง ลำตัวมีลายแบบเสือด้วย

เมื่อขึ้นมาริมหาด พี่อู๊ดได้ขึ้นมารอก่อนแล้ว แกมีปัญหาเรื่องการลอยตัวเพราะคลื่นที่พัดไปมา น้ำก็ขุ่น เลยขึ้นดีกว่า

เรารอครูจวน จนขึ้นมา ครูจวนเล่าให้ผมฟังว่า มัวแต่ถ่ายเจ้าปลาหมึกยักษ์(Octopus)เลยทำให้ขึ้นมาช้า ผมตื่นเต้นเพราะไม่คิดว่าหน้าหาดทุ่งวัวแล่น จะมีสัตว์ทะเลแปลกๆเยอะเชียว

อากาศในแท๊งค์ยังเหลืออีกมาก ผมกับน้องเดียวจึงตกลงว่าจะไปดำเล่นในสระว่ายน้ำกันต่อ ว่าแล้วก็ขนแท๊งค์ขึ้นรถเข็น ขนอุปกรณ์ไปที่สระว่ายน้ำ

Saturday, December 02, 2006

ชุมพรคาบาน่า...สวัสดีครับ(1)




เมษายน 2548 ชายหนุ่มคนหนึ่งผู้หลงรักทะเลและการดำน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ได้เดินตามความฝันของตนเอง จนสามารถจบหลักสูตร Open Water Courses เป็นใบเบิกทางแรกซึ่งทำให้เขาได้เห็นชีวิตสัตว์ทะเลในมุมมองที่กว้างขึ้น หลากหลายขึ้น

หลังจากนั้น เขาได้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาไปดำน้ำในสถานที่ที่ต่างๆที่มีระบบนิเวศแตกต่างกันออกไปแม้สถานที่เหล่านั้นจะดึงดูดใจให้เขากลับไปอีกก็ตามแต่เขาไม่เคยที่จะหยุดคิดในการกลับมายัง “โรงเรียน” ซึ่งสอนให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น จนถึงทุกวันนี้

เมื่อปัจจัยทุกอย่างพร้อมไม่ว่าจะเป็นเวลา กำลังทรัพย์ตลอดจนภาระหน้าที่ เขาควรจะได้กลับไปในหลายๆครั้งแต่เขาก็พลาดโอกาสทองไปด้วยเหตุผลต่างๆนานา เช่น ต้นเดือนพฤษภาคมพลาดจากเกาะสุรินทร์ไปเที่ยวกระบี่แทน(ฤดูกาลชุมพรพึ่งจะเปิดเอง) เดือนกันยายนไปโลซินแทนเพราะ(เดินทางไกล เปิดเพียงไม่กี่เดือนนอกนั้นจะมีคลื่นลม เป็นสิ่งใหม่ที่น่าท้าทาย) ดังนั้นเมื่อฤดูกาลชุมพรจะปิดลงในต้นเดือนตุลาคม(จากการสอบถามเรือ) เมื่อเขาติดสอบในช่วงนั้นพอดี คำว่าสมน้ำหน้าคงใช้ได้ดีกับคนที่โลเล ใจเย็นมาก(เย็นแบบทะเล) ไม่มั่นคงกับสิ่งล่อใจและโอกาสดีๆที่เข้ามา

จนกระทั่งเมื่อเขาสอบเสร็จก็ได้รับข่าวดีว่า ปีนี้ลมว่าวมาช้ากว่าทุกครั้ง (ปรากฎการทางธรรมชาติทำให้ทัศนวิสัยในการท่องเที่ยวไม่ค่อยดีนัก เรือก็มักจะหยุดการให้บริการออกไปดำน้ำ) ฤดูกาลจะเปิดจนกระทั้งเกือบถึงปลายเดือนตุลาคม(แต่สภาพอากาศก็ไม่แน่นอนต้องรอดูเป็นวันๆไป)

เขาไม่สนใจอีกแล้ว เมื่อโอกาสมาถึง เขาไม่ลังเลที่จะคว้ามันไว้ก่อนที่จะหลุดลอยไปอีกครั้ง เขาเตรียมตัวดูวันที่ที่เหมาะสมแม้จะเป็นช่วงวันหยุดยาวที่เขาไม่ชอบก็ตาม แต่เมื่อโทรศัพท์สอบถามว่ารุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ที่นั่นว่าจะอยู่ในช่วงนั้นพอดี การกลับไปพบรุ่นพี่นั้นสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น(แม้ท้ายสุด ลมว่าวจะมาแล้วเรือพาออกไปดำน้ำไม่ได้ก็ตาม)

อันว่าทะเลชุมพร หากถามถึงคนทั่วๆไปก็คงเป็นจังหวัดหนึ่งซึ่งเป็นทางผ่านลงไปยังภาคใต้ตอนล่าง น้ำทะเลสีสวยดีแต่ฉันไปเที่ยวกระบี่ ภูเก็ต พังงา ตรัง สตูลดีกว่า แต่หากเป็นนักดำน้ำ ไม่คิดเช่นนั้นแน่ครับ ทะเลชุมพรมีโลกใต้ทะเลที่สวยงาม มีปะการังดำและปะการังถ้วยส้ม มียักษ์ใหญ่อย่างฉลามวาฬที่มักออกมาให้ยลโฉมเป็นประจำทุกๆปี มีเต่ากระที่อาจเห็นได้มากกว่าที่สิมิลัน(ความคิดผมนะ) มีกุ้งตัวยาวที่ไม่พบในอันดามันแต่พบได้บ่อยในทะเลชุมพร เป็นต้น

การเดินทางก็แสนสะดวกเดินทางวันศุกร์ ถึงเช้าวันเสาร์ ดำน้ำได้ทันที วันอาทิตย์เย็นเดินทางกลับถึงเช้าวันจันทร์ทำงานต่อได้

หากพวกคุณพร้อมแล้ว เขาก็พร้อมจะพาพวกคุณไปเช่นกันครับ


20 ตุลาคม 2549

วันนี้ผมแบกเป้ใบใหญ่มาทำงานเพื่อจะไม่ต้องเสียเวลานั่งรถกลับไปที่บ้านอีก แม้จะตื่นสายไปบ้างแต่ก็นั่งมอเตอร์ไซด์(แมงกะไซ)จากสถานีรถไฟฟ้าราชเทวีมาถึงที่ทำงานอย่างทันเวลา

แม้ครั้งนี้จะเป็นการเดินทางเพียงคนเดียวอีกครั้งหนึ่งแต่ผมก็ไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใดเพราะเป็นเส้นทางการเดินทางที่คุ้นเคยอย่างดีอยู่แล้ว อีกอย่าง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคยแต่จากประสบการณ์การเดินทางก็ทำให้ผมมีความเก่งกล้าและระมัดระวังตัวเพิ่มมากขึ้นอยู่แล้วในทุกๆครั้ง

เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนเพื่อนๆของผมมาดำน้ำกันที่ชุมพร แล้วเจอฉลามวาฬกัน(สน๊อคเกิ้ลบนเรือก็เห็น) แม้ผมจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้ไปทริปนั้นแต่พอมาคิดๆดู ผมว่าดีแล้วครับที่ไม่ได้ไปเพราะหากไปผมจะพลาดการสอบใบอนุญาตว่าความภาคปฎิบัติ ที่สำคัญ หลังจากนั้นเมื่อผลสอบประกาศ ผมสอบผ่านซะด้วยนะ)

เพื่อไม่ให้เสียเวลากับการที่ไปนั่งหง่าว(แบบแมว)ที่สถานีขนส่งสายใต้ ผมใช้เวลาช่วงหลังเลิกงานตกแต่งเวปเพจของตัวเองใน
http://www.multiply.com/. โดยนำสไลด์โชว์จาก http://www.slide.com/. มาใส่ด้วย เจ๋งไม่เบา ยิ่งเน็ทแรงๆแล้ว สบายมากครับ

ประมาณ 2 ทุ่ม ผมแต่งตัวและออกจากที่ทำงาน โชคดีที่เผื่อเวลาไว้(รถออก 3 ทุ่ม 40 ครับ)เพราะด้านนอกรถติดมาก ผมเฝ้าดูนาฬิกาโดยกลัวว่าจะตกรถ หากตกรถจริงๆคงเป็นเรื่องที่แย่มากแน่นอน(น่าสมน้ำหน้าด้วย)

สถานีขนส่งสายใต้ในเวลานี้จ๊อกแจ๊กจอแจ ผู้คนจำนวนมาก มารอรถเพื่อจะโดยสารกลับบ้านเกิด มีจำนวนไม่น้อยอีกเหมือนกันที่เตรียมตัวจะไปเที่ยวเหมือนผม

ยังพอมีเวลาผมหาอะไรทาน ผมเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งใกล้บริษัทลิกไนท์ทัวร์ ร้านนี้พนักงานจำนวนมากเป็นผู้ชาย(ที่ใจเป็นหญิง) สังเกตได้จากรูปร่างหน้าตา หน้าอกหน้าใจ น้ำเสียง หนวดเครา ขนหน้าแข้ง(ยังอุตส่าห์ไปดูอีก คนเขียนโรคจิตมาก ฮ่าๆ) พอดีใกล้ๆเวลานั้น ละครช่อง 7 สี เรื่อง “ปิ่นมุข” ที่สาวอั้มแสดงมาพอดี คุณเธอคนหนึ่งก็ร้องอย่างตื่นเต้นว่า “ต้าย ปิ่นมุขมาแล้ว” จึงเป็นสิ่งตอกย้ำได้ดีว่าคุณเธอเป็น “แน่นอน” แต่ถึงกระนั้นอะไรๆก็ไม่สำคัญครับ เขาทำกับข้าวอร่อยดี ผมกินจนไม่เหลือข้าวซักเม็ดเลยนะครับ คิดดูแล้วกัน

ได้เวลาที่รถใกล้ออกแล้ว ผมนำตั๋วรถทัวร์เข้าไปที่บริษัทเพื่อยืนยันและทราบถึงเบอร์รถก่อนที่จะไปเข้าห้องน้ำ คนเยอะมากต่อคิวก็ยาว ผมจึงต้องกลับไปเข้าห้องน้ำที่ร้านอาหารไร้ชื่อ(เรียกว่า ปิ่นมุขแล้วกัน) อีกครั้งหนึ่ง

ไม่นานนักผมก็ขึ้นไปอยู่บนรถโดยสารของบริษัทโชคอนันต์ทัวร์เรียบร้อย ข้างๆมีรถของบริษัทเดียวกันแต่เป็นปรับอากาศพิเศษ มีสาวๆหน้าตาดีหลายคนจนผมอดคิดไม่ได้ว่า ท่าทางผมจะขึ้นรถผิดคันซะแล้ว(ฮ่าๆ)

ข้อดีของการเดินทางในเวลากลางคืน เราสามารถที่จะตัดช่วงเวลาที่น่าเบื่อในการเดินทาง(สำหรับผมนะครับ)เพราะภายนอก มืด มองอะไรก็ไม่เห็น การนอนหลับจึงเป็นวิธีที่ดีมาก วิธีหนึ่ง ตื่นมาตอนเช้าก็ถึงที่หมายพอดี แม้ระยะเวลาจะไกลและใช้เวลาเดินทางยาวนานก็ตาม(สำหรับผม นอนหลับครับ แม้กระเทือนบ้างก็ไม่มีปัญหา ไม่นานนักผมพยายามนอนให้หลับพรุ่งนี้เช้าจะได้ตื่นมาอย่างสดชื่น ดำน้ำแบบไม่อ่อนเพลียด้วย


21 ตุลาคม 2549

รถโดยสารของบริษัทโชคอนันต์ทัวร์พาผมมาถึงจังหวัดชุมพร ไม่น่าเชื่อว่าในเวลาเช้ามืดแบบนี้แต่ตลาดสดกลับคึกคักมาก มีของมาขายมากมาย(โรตีมะตะบะก็มี) ทำให้ผมนึกถึงภาพตลาดที่จังหวัดตราด เมื่อครั้งที่ไปเที่ยวเกาะหมาก ที่นั่นมีขนาดเล็กและคึกคักน้อยกว่าที่นี่มาก (รายละเอียดในเรื่อง “แต้มฝันของเด็กหนุ่ม......ที่เกาะหมากนะครับ”)

ระหว่างรอรถของชุมพรคาบาน่ามารับ ผมแปรงฟันรอไปพลางๆ กับซื้อตั๋วรถโดยสารเที่ยวกลับให้เรียบร้อย จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องรถเพราะไหนๆก็ต้องเดินทางกลับในวันอาทิตย์อยู่แล้ว(ผมคิดว่า การกลับวันจันทร์กับวันอาทิตย์ไม่แตกต่างกันมากนัก กลับวันอาทิตย์ซิดีกว่า จะได้มีเวลาล้าง Wet Suit และได้ไปเดินงานสัปดาห์หนังสืออีกด้วย)

ที่นี่ผมเห็นสองสาวถือตีนกบ(Fin) ด้วย คาดว่าน่าจะมาดำน้ำแน่นอนแต่ไม่รู้ว่าไปดำที่ไหน อาจเป็นเกาะเต่าก็ได้ ใครจะไปรู้ (ไม่นานนักสองสาวก็เดินจากไป)

6 โมงเช้าแล้ว ยังไม่มีรถมารับ ผมโทรศัพท์หาพี่ป้อมเพื่อถามว่าแกติดต่อให้จริงๆหรือเปล่า หากมีเหตุผิดพลาด ผมจะได้หารถไปชุมพรคาบาน่าด้วยตัวเอง(นำเสียงแก งัวเงียมาก พี่โทรให้เรียบร้อยแล้วน้อง)

และแล้ว รถตู้ก็มาถึงจนได้ พี่คนขับบอกว่าพึ่งไปส่งฝรั่งที่ท่าเรือท่ายางเพื่อไปเกาะเต่า จากนั้นก็มาที่นี่เลย คนขับคนนี้บอกผมว่าเป็นคนขับรถกะเช้า(ไม่ขับกะกลางคืน) ผมรู้สึกคุ้นๆหน้าจึงลองสอบถามเพราะอาจจะเป็นคนๆเดียวกับที่มาส่งผมที่ท่ารถเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วก็ได้ เมื่อลองสอบถามว่า ยังจำได้ไหมว่าเมื่อเดือนเมษายนปีก่อน ได้มาส่งนักท่องเที่ยวคนหนึ่งมาท่ารถตอนสายๆแล้วพามาไหว้เสด็จเตี่ย ในตัวเมืองด้วยซึ่งตอนแรก คนๆนั้นอยากไปหาดทรายรีแต่ด้วยระยะทางที่ไกล จึงพามาไหว้ในตัวเมืองแทน ปรากฎว่าเป็นคนเดียวกันครับ(เขาจำได้ด้วย) เขาคนนี้ชื่อว่า พี่เชียร์ครับ

พี่เชียร์อธิบายว่า ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดีนัก เมื่อคืนก็มีฝนตก ลมแรง ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีลมว่าว(3 เดือนจากนี้ไป) ทำให้ผมเริ่มคิดว่า เช้านี้เราจะได้ดำน้ำไหมหนอ พี่เชียร์ยังบอกอีกว่า นักท่องเที่ยวที่มาลงที่สถานีขนส่งชุมพร พี่เชียร์มารับได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า เส้นทางดีกว่า(แม้ระยะทางจะไกลกว่าก็ตาม) ผิดจากที่ผมเข้าใจว่า ที่รีสอรท์อาจจะสะดวกมารับที่สถานีรถไฟมากกว่าเพราะระยะทางที่ใกล้กว่านั่นเอง

เมื่อรถเลี้ยวเข้ามาริมหาดทุ่งวัวแล่น ภาพเก่าๆได้กลับมาหัวสมองอีกครั้ง รูปปั้นวัวตัวใหญ่อยู่ด้านหน้าทางเข้า เมื่อตรงเข้าไปผมเห็นหาดทุ่งวัวแล่น ผมรู้สึกลิงโลดใจดุจปลาได้น้ำ นึกถึงคืนวันที่มีความสุขครั้งมาเรียนดำน้ำที่นี่(หาดทุ่งวัวแล่น เป็นชายหาดขนาดใหญ่ มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่าในอดีตเคยเป็นทุ่งกว้างเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า มีนายพรานมาล่าสัตว์บริเวณนี้มาก แต่เป็นเรื่องอาถรรพณ์ สัตว์ที่ถูกนายพรานยิงบาดเจ็บนั้นยังสามารถหลบหนีและมีชีวิตอยู่ได้ทุกครั้งไป จนกระทั้งวันหนึ่ง นายพรานยิงวัวป่าบาดเจ็บล้มลงแต่วัวก็ลุกขึ้นวิ่งหนีไป นายพรานจึงตามรอยเลือดและล้อมยิงจนวัวป่าตาย ช่วยกันถลกหนังไปได้ครึ่งตัว แต่ก็เป็นที่อัศจรรย์ที่วัวตัวนั้นยังลุกขึ้นวิ่งหนีไปอีกตามเคย จึงเรียกบริเวณนี้ว่า “ทุ่งวัวแล่น”- ข้อมูลจากป้ายริมหาดทุ่ววัวแล่น)

ผมเดินเข้าไปถามพนักงานหน้า Front ว่าห้อง A8 ไปทางไหน ก่อนพนักงานจะชี้ทางไป ผมเคาะประตูห้องจนพี่ป้อมเปิดประตูให้ก่อนกระโจนเข้าสู่ที่นอนต่อ ผมนำกระเป๋ามาเก็บในห้อง สังเกตเห็นว่า คนที่นอนอยู่อีกคนหนึ่ง คือ น้องเดียว(ลูกชายพี่ป้อมนั่นเอง) แม้ผมไม่เคยเจอน้องเดียวมาก่อนแต่ผมก็เคยเห็นรูปจากในเว็บบอรด์ ยิ่งหน้าตาเหมือนกันแบบนี้ ไม่รู้ก็ไม่ได้แล้ว

ผมเดินออกไปริมหาดเพื่อถ่ายรูป พระอาทิตย์กำลังขึ้น สวยงาม ได้อารมณ์มาก ริมหาดยามเช้านี้ เงียบสงบ ไร้คลื่นลม(เมื่อวานพี่ป้อมบอกคลื่นแรงมาก) หรือว่าทะเลชุมพรเงียบสงบในเช้านี้เพื่อต้อนรับการเดินทางกลับมาของผมโดยเฉพาะ(เข้าข้างตัวเองหน่อยก็แล้วกัน) รูปปั้นชนเผ่าขนาดใหญ่ยังตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิม ด้านข้างมีบ้านพักใหม่ได้ถูกสร้างขึ้น(จำได้ว่าปีก่อนกำลังสร้างอยู่) ต่อไปสถานที่สำหรับนวดสปาที่เคยอยู่ใกล้หาด ตอนนี้มาอยู่ในที่ร่มแล้ว อาจเป็นเพราะว่าอากาศที่ไม่ดีนักในช่วงนี้ การย้ายมาตรงจุดนี้น่าจะดีกว่า