Monday, December 04, 2006

ชุมพรคาบาน่า...สวัสดีครับ(3)
















ที่สระว่ายน้ำพี่ป้อมกำลังสอนลูกศิษย์ประกอบอุปกรณ์ แม้แดดจะร้อน ผมก็ไม่รอช้าลงไปสำรวจด้านล่างสระน้ำทันที

สระน้ำของคาบาน่า จะไล่ระดับลงไปตามความลึก เริ่มจากตื้น มีแนวสโลบ(แบบแนวปะการัง) ก่อนจะลงไปในจุดที่ลึกขึ้น ผมตีขาไปมาทั้งแบบธรรมดา(ท่า Basic) และตีขาแบบท่ากบ(เลียดพื้น) ฝึกการหายใจ กางขาออก กอดอก ผมสามารถควบคุมการลอยตัวได้โดยการหายใจ(เรียกบทเรียนนี้ว่า Fin –prevert ฟิน-พรีเหวิด ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ) จากนั้นผมทำหน้าที่เป็นพนักงานของชุมพรคาบาน่า บริการเก็บขยะเพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่า พบว่าในนี้มีปูโชคร้ายที่หลงคิดว่าน้ำคลอรีนเป็นน้ำทะเล ลงมาโดนคลอรีนกัดตาย เรียบร้อยโรงเรียนปู(ตอนแรกไม่กล้าจับครับ กลัวหนีบ ที่ไหนได้ตายแล้ว) นอกจากนั้นก็ยังมีเม็ดกลมๆมีลักษณะสีน้ำตาล(เหมือนอาหารปลา) ผมว่าน่าจะเป็นเมล็ดของต้นไม้อะไรซักอย่างที่ถูกลมพัดมา มีเยอะพอสมควรเลยครับ

ชักปวดฉี่ ผมขึ้นมาเข้าห้องน้ำ พร้อมถอด Wet suit สวมเสื้อลงไปแทน สบายกว่ากันเยอะเลยครับ

ถึงตอนนี้ฝ่ามือและฝ่าเท้าของผม เริ่มเหมือนไส้กรอกเวลาถูกทอดนานๆ(เหี่ยวๆ) ผมขึ้นสู่ด้านบน เก็บอุปกรณ์ใส่รถเข็น ล้างตัว สวมบทพนักงานจำเป็นอีกครั้ง บริการขนอุปกรณ์ของตัวเองและนักเรียนของพี่ป้อมไป Dive Shop ช่วยกันเข็นกับน้องเดียว สนุกดีครับ ระหว่างทางผมเจอพี่วริสรเดินมากับลูกๆด้วย

ผมหิวข้าวมาก(ข้าวกลางวันยังไม่ได้กินเลยครับ ท้องแฟบเหมือนสุนัขอดข้าวไม่มีผิดเลย) หลังจากอาบน้ำแล้ว ผมพี่ป้อมและน้องเดียว เดินมาที่ร้านอาหาร เจอพี่วริสรและครอบครัวนั่งทานข้าวกับพี่เอก

ผมสั่งปูผัดผงกระหรี่ราดข้าว และใบเหลียงผัดไข่ราดข้าว(2 อย่างนี้ไม่มีในเมนูว่าเป็นอาหารจานเดียวแต่ผมคิดว่าแม่ครัวต้องทำได้แน่นอน) รสชาดขอบอกว่าอร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมาเลยครับ(ไม่ได้โม้) จากนั้นตบท้ายด้วยไอศครีมบวกกล้วยหอมทอด ซึ่งก็เป็นเมนูเด็ดของที่นี่เหมือนกัน ใครมาห้ามพลาดครับ แล้วจะเสียใจ

จากนั้นก็นั่งคุยกับเจ้าเดียวเรื่องสัตว์ทะเล ดูเจ้าเดียวจะสนใจมากทีเดียว ผมก็ได้รับรู้ประสบการณ์การดำน้ำของเจ้าเดียวเป็นความรู้อีกด้วย

โต๊ะใกล้ๆมีครูจวนกับพี่อู๊ดมานั่งกินข้าว ซึ่งพรุ่งนี้พวกเขาก็จะกลับกรุงเทพกันแล้ว ผมเข้าไปขอให้พวกเขาจด Log Book ตามธรรมเนียม พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้กันเล็กน้อย

ครูจวนจะเล่าให้ฟังว่า เขาดำน้ำมานานมาก ปัจจุบันใช้การดำน้ำเป็นการดำเพื่อพักผ่อนมากกว่าหลังจากที่เหนื่อยล้ามาจากการทำงานในอาชีพหลัก ผมเล่าให้ครูจวนฟังเกี่ยวกับประสบการณ์อาเจียนคา Regulator ที่โลซิน ครูจวนชมผมว่ามีสติดีมาก เลยเล่าเรื่องลูกศิษย์คนหนึ่งของแก เป็นสาวที่มีสติดีมากเช่นกัน วันนั้นไปสอบที่พัทยา เมาท์ พีช ของเธอหลุด แต่เธอไม่แสดงท่าทีตกใจเลย เธอแค่ทำท่าทางว่ามีปัญหา พอเข้าไปก็เลยยื่น Octopus ให้เธอ(ไม่ใช่ยื่นหมึกยักษ์ให้นะครับ เป็นการยื่นอุปกรณ์สำรองให้) ครูจวนเล่าให้ฟังอีกว่า ตอนเจอแมนต้าครั้งแรก หากเพื่อนไม่เรียก ครูจวนก็ไม่เห็น เพราะกำลังถ่ายรูปอยู่คนเดียว นอกจากนี้ครูจวนให้ผมไปเรียนเข็มทิศด้วย เพราะจะมีประโยชน์อย่างมากในอนาคต

ส่วนพี่อู๊ด แกบอกผมว่า ซื้อ Dive Computer ผ่านทาง Internet ใช้มาไม่นานนักแต่มีประสิทธิภาพมาก สามารถรู้ว่าควรอยู่ได้นานอีกเท่าไร อยู่ลึกไปไหม ขึ้นเร็วเกินไปหรือไม่ ผมฟังแล้วก็อยากซื้อ Dive Computer มาใช้บ้างจริงๆ คงจะช่วยผมเวลาอยู่ใต้น้ำได้มากเลย

ผมลาครูจวนและพี่อู๊ด หวังว่าคงจะได้ดำน้ำด้วยกันอีก วันนี้ผมง่วงนอนมาก ใช้พลังงานไปเยอะ พรุ่งนี้ผมจะออกไปดำน้ำให้ได้ ต้องรีบนอน เมื่อหัวถึงหมอนผมก็หลับโดยอัตโนมัติ


22 ตุลาคม 2549

เมื่อคืนนอนหลับสบายมาก เช้านี้ พี่ป้อมบอกผมว่าถ้าอยากออกไปดำน้ำ ให้รีบไปติดต่อครูชาลีอย่างเร่งด่วน(ครูชาลีเป็น staff ของชุมพรคาบาน่า อีกคนครับ) และให้ผมถามเจ้าเดียวด้วยว่าจะออกไปดำน้ำไหม ส่วนพี่ป้อมคงไม่ออกไปสอบนักเรียนในวันนี้เพราะเรือคาบาน่า 3 นั้นเป็นเรือเล็ก มีที่วางแท๊งค์ไม่มาก เมื่อบวกกับนักดำน้ำแบบ Fun Dive ในวันนี้อาจจะทำให้ไม่สะดวกนัก ผมเดาไว้ว่าเจ้าเดียวคงไม่ไปในวันนี้แน่ เพราะเคยพูดกับผมไว้ว่าไม่ชอบเรือลำนี้เท่าไรนัก(แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆครับ เจ้าเดียวไม่ไปกับผมในวันนี้)

เมื่อผมไปติดต่อครูชาลี ภาวนาเต็มที่ขอให้ตัวเองได้ไป เมื่อดูจากอุปกรณ์ที่มี นับว่าเฉียดฉิวพอสมควร(ผมเลือกอุปกรณ์ใส่ในเกียร์แบค) ผมเห็นสองสาวที่เจอบริเวณสถานีขนส่งเมื่อวานนี้ พวกเธอคงจะไปดำน้ำในวันนี้ด้วยแน่นอน ก่อนรถจะออก ผมรีบกลับไปทานข้าวเช้าก่อนที่จะมาขึ้นรถ(เรือหลบคลื่นลมอยู่ที่ท่าเรือท่ายางครับ ต้องนั่งรถไปลงที่นั่น เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ดี)

เมื่อทุกอย่างพร้อม ผมแบกกระเป๋าที่ใส่หนังสือปลาทะเลมากมาย(ขนมาทุกครั้ง เวลามาดำน้ำ บ้าหอบฟางมาก) ขึ้นรถโค๊ด(เหมือนรถทัวร์น่ะครับ) คันสีฟ้าของชุมพรคาบาน่า ภายในรถเท่าที่สังเกตมีนักดำน้ำไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นนักดำน้ำแบบ Snorkeling มากกว่า ที่ผมรู้จักก็จะมีคุณ Werner(เวียนนา) ที่พาชาวต่างชาติคนหนึ่งมาสอบ Open Water ด้วย

ผมได้รู้จักกับพี่โหน่งที่มา Fun Dive เช่นกัน(ส่วนพี่ปิ๋มแฟนสาวมาให้กำลังใจครับ) พี่โหน่งเป็นศิษย์ของครูพู่ แห่ง
http://www.dumnam.com/ พี่โหน่งบอกว่าไม่ได้มาดำน้ำมานานมาก คราวนี้เป็นวันหยุดเลยถือโอกาสมาเคาะสนิมเสียที

รถของชุมพรคาบาน่ามาถึงที่ท่าเรือท่ายาง(บ้านท่ายาง) ผมเห็นเรือคาบาน่า 3 อยู่ด้านหน้า(เห็นด้วยกับพี่ป้อม ถ้าแกมากับลูกศิษย์อีก 3 น้องเดียวอีก คงแน่นเรือมากๆแน่)

2 สาว ก็มาขึ้นเรือลำเดียวกับเราด้วย เวลาขึ้นเรือคาบาน่า 3 ค่อนข้างลำบากนิดหน่อยเพราะไม่มีบันไดขึ้น ต้องใช้แผ่นไม้พาดเรือแล้วเดินขึ้นไป(ต้องจับดีๆไม่งั้นหงายท้องได้ง่ายๆครับ)

เรือค่อยๆออกจากท่า Staff ของคาบาน่า มาจัดอุปกรณ์ที่ท้ายเรือ ออกมาไม่นานฝนก็เริ่มตก ลมแรง ผมภาวนาในใจว่าขอให้ฝนหยุดเถอะ ผมอุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล ขอให้ผมดำน้ำสมใจอยากหน่อย ไม่น่าเชื่อครับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ฟ้าที่เคยมืดกลับสว่างอีกครั้ง ฝนหยุดตก(แดดออกด้วยครับ)

บนเรือ ผมยังได้รู้จักพี่เจี๊ยบ ที่พาลูกๆมาดำน้ำ(ครอบครัวค่อนข้างใหญ่เหมือนกันครับ) พี่เจี๊ยบบอกว่าเป็นคนชุมพร เปิดร้านอาหารอยู่ที่ริมหาดทุ่งวัวแล่นนี่เอง(สุดหาดเลย) เห็นเด็กๆอยากมาดำน้ำ เลยพามาด้วย

ครูชาลีเดินมาขอร้องผมว่า 2 ไดฟ์ในวันนี้ ขอร้องให้ผมลงในไดฟ์ 2 ได้ไหม เพราะไดฟ์แรก แท๊งค์ไม่พอ(ทุกท่านที่อ่านคงจะงงว่า มันจะไม่พอได้อย่างไร) ครูชาลีบอกว่า ภริยาของคุณเวียนนา จะลงในไดฟ์แรกนี่(เธอไม่ยอมที่จะดูแลเด็กที่ Snorkeling ครับ) ครูชาลีพยายามพูดแต่เธอก็ไม่ยอมท่าเดียว ผมบอกครูชาลีว่า โอเคครับ ไม่เป็นไร ผมลงในไดฟ์ที่สองก็ได้(จริงๆลืมไปครับ น่าจะบอกเธอไปว่า เธอมาดำได้ทุกวัน แต่ผมขึ้นจากกรุงเทพมาเพื่อดำในวันนี้เพียงวันเดียว จะให้ผมไม่ได้หรืออย่างไร) ในไดฟ์สอง จะมีแท๊งค์มาเพิ่มครับ จากเรือคาบาน่า MV-5

มาถึงเกาะง่ามใหญ่ เด็กๆดูจะตื่นเต้นกันมากทีเดียว ผมเลือกที่จะรออยู่บนเรือดีกว่า นักดำน้ำแบบ Scuba ก็แต่งตัวลงไป ชุดแรกคุณเวียนนา อีกชุดเป็นของครูชาลี ผมถ่ายรูปของพี่โหน่ง (บริการเต็มที่ครับ)

ผมนั่งคุยกับพี่ปิ๋ม ดูสีหน้าไม่ค่อยดีนักเพราะเธอเมาเรือ(เข้าห้องน้ำไปอาเจียนก็หลายครั้งอยู่) ผมชวนเธอมาดำน้ำ บอกข้อดีต่างๆนาๆ(ที่สำคัญจะได้ดำกับพี่โหน่งด้วยนะ) เธอบอกว่ากลัวทะเลมาก ไม่กล้าลง(พยายามเปิดหนังสือปลาโน้มน้าวเธอ แต่ไม่เป็นผลครับ) ระหว่างนี้ผมก็ดูเด็กๆลงไป Snorkeling มีพี่ว่อง(กัปตันเรือ) คอยดูความปลอดภัยให้ พร้อมตะโกนระวังไม่ให้เข้าใกล้หินเพราะมีเพรียงและสัตว์เกาะติดเยอะ ที่สำคัญคมมากด้วยครับ

ได้รู้ความจริงที่แสนยินดี ผมทราบจากพี่ปิ๋มว่า พี่โหน่งรู้จักกับพี่วริสรด้วย(พี่โหน่งเป็นนักเรียนเก่าวชิราวุธรุ่นที่ 56 มีฉายาว่า พี่เหนียวน้อยครับ) ผมหัวเราะในใจ คุยตั้งนานรุ่นพี่เรานี่เอง ฮ่าๆๆๆๆ

พอพี่โหน่งขึ้นมา ผมรีบแสดงตัว(ยังกับตำรวจแน่ะ) ต้องบอกว่าแนะนำตัวครับว่าผมเป็นรุ่นน้อง แกก็ขำๆเหมือนกัน พร้อมเล่าให้ฟังว่า ยังมีนักเรียนเก่าอีกหลายคนที่ดำน้ำด้วย

ส่วน 2 สาว บนเรือ หนึ่งในนั้น ก็คือ พี่กุ้ง(เพื่อนพี่จิน) นั่นเอง โลกกลมจริงๆ

ข้าวกลางวันมีไข่เจียว แกงส้มและผัดผักครับ) ผมไม่กล้าทานเยอะเพราะจะต้องลงในไดฟ์ต่อไป

พี่โหน่งบอกอีกว่า ไดฟ์ต่อไปอาจจะไม่ลงเพราะจะอยู่ดูแลพี่ปิ๋มที่เมาเรือ(คู่รักกันต้องอย่างนี้ครับ)

ไม่นานนักเรือคาบาน่า MV-5 ก็มาถึง พร้อมกับนักท่องเที่ยวบนเรือ ที่ผมเห็นแล้วต้องร้องจ๊าก เพราะเยอะมากๆครับ เยอะจนน่ากลัว ไม่ต้องพูดถึงเวลาพวกเขาลง Snorkeling นะ(นึกภาพเอาเองครับ) มีพี่เอกคอยถือโทรโข่ง ดูแลนักท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับพวกเขา(ถึงตอนนี้แท๊งค์ดำน้ำก็มาแล้วจ้า)

จุดต่อไปในการดำน้ำ คือ เกาะง่ามน้อย วันนี้น้ำไหลมาก ผมเปลี่ยน Wetsuit ตัวเก่งเตรียมพร้อมที่จะลง พี่โหน่งให้พี่ปิ๋มลงไป Snorkeling ด้านท้ายเรือ ตีขาไปมา(เป็นวิธีแก้เมาเรือครับ) ซึ่งผลที่ได้ ดีมาก พอพี่ปิ๋มขึ้นมาอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ

0 Comments:

Post a Comment

<< Home