Thursday, April 27, 2006

นิซ ในรถไฟฟ้าใต้ดิน


กระท่อก เพื่อนตัวโย่ง เคยเล่าให้ผมฟังถึงความสนใจแบบนิซ แปลว่า เป็นความสนใจเฉพาะกลุ่ม เฉพาะเรื่อง ซึ่งทำให้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน สามารถมารู้จักกันได้ แถมคุยกันถูกคอเสียด้วย บางครั้งอาจจะมากกว่าเพื่อนที่คบกันมานานด้วยซ้ำ

อาจเป็นเรื่องการดำน้ำ การไปหาต้นไม้น้ำ การสำรวจธรรมชาติ เป็นต้น กระท่อกเคยเล่าให้ฟังว่า เขาเคยไปงานแต่งงานเพื่อนที่เพิ่งรู้จักทางเน็ตได้ไม่กี่เดือน การรู้จักก็เชื่อมโยงมาจาก นิซ นั่นเอง

เมื่อวานนี้ ระหว่างกลับบ้าน ผมเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน นั่งอ่านหนังสือปลาทะเลไทย ภาค 2 ของ อ ธรณ์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์ ตรงข้ามผม มีชายคนหนึ่งสวมแว่นตา จ้องมองมาที่หนังสืออย่างสนอกสนใจ

ผมเดาว่า น่าจะเป็นคนที่ชื่นชอบทะเลเหมือนกัน บางทีอาจเป็นลูกศิษย์ของ อ ธรณ์ ก็ได้

“เลี้ยงปลาทะเลหรือเปล่าครับ” ชายคนนั้นเดินเข้ามาคุยกับผม ซึ่งผมคิดในใจว่า หากคนนี้เลี้ยงปลาทะเลคงคุยกับผมไม่สนุกแน่นอน
“เปล่าครับ ผมดำน้ำ” ผมตอบ

เมื่อคุยกัน จึงทราบว่า ชายคนนี้ชื่อว่า พี่เต้ย ทำงานบริษัทประกันภัย มีความสนใจเรื่องการดำน้ำ โดยเฉพาะปะการัง ไปดำสน็อคเกิ้ลมาหลายแห่ง แต่ไม่ใช่คนที่เลี้ยงปลาทะเลอย่างที่ผมเข้าใจ

พี่เต้ย บอกว่า เห็นคนอ่านหนังสือประเภทนี้ เดาได้ คือ 1 เลี้ยงปลาทะเล 2 ดำน้ำ

ไม่แปลกใจว่า เหตุใด ผมถึงคุยกับพี่เต้ยเป็นเวลานาน หากพี่เต้ยได้เริ่มเรียนดำน้ำจริงๆ ผมคิดว่าคงจะได้ปรึกษาเรื่องปะการังกับพี่เต้ยได้สนุก เพราะพี่เต้ยสนใจปะการังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ ที่ทำให้คนที่ชอบในสิ่งเดียวกัน ได้มารู้จักกันอย่างไม่คาดคิด

Monday, April 24, 2006

เยือนถิ่น อีสาน


นับครั้งได้ ที่ผมจะเดินทางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ใช่เพราะว่าแถบนี้ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวนะครับ หากแต่ว่าเมื่อผมมีเวลาว่างครั้งใด ก็มักจะเลือกทะเลเป็นอันดับแรกเสมอๆ

คราวนี้ ต้องไปเพราะมีการสัมมนากฎหมายปกครองท้องถิ่น โดยสภาทนายความอันเป็นต้นสังกัดของผม เป็นผู้จัด ซึ่งในวันแรกจะเป็นการเข้าอบรมของทนายความ วันต่อมาจะเป็นการเข้ารับอบรมของ อบต และเทศบาลต่างๆ

แดนอีสาน นามว่าสุรินทร์ เป็นจังหวัดที่ไม่คึกคักนัก ชาวต่างชาติที่มาที่นี่จริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสามีของหญิงชาวไทยซะมากกว่า (ตามสไตล์ผิวสีแทน ฝรั่งชอบ)

อาหารที่ผมได้ลิ้มลอง มักจะไม่พ้นส้มตำนานาชนิด ทั้งตำมั่ว ตำไข่เค็ม ตำปู ตำปลาร้า หรือแม้กระทั่งตำพริก(อันนี้ผมตั้งชื่อเอง เพราะพริกเยอะจริง) กลิ่นปลาร้าฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แต่ผมก็ต้องกินแม้จะไม่พิศมัยเท่าไร(ดีกว่าอดตายวุ้ย)

คนอีสานจะมีผิวคล้ำเสียส่วนใหญ่ เพราะตากแดด ตากฝนมาเยอะ ตรากตรำในการทำงาน หากเปรียบเทียบกับสีผิวของผม ก็พอจะโกหกคนอื่นๆได้ว่า เป็นคนอีสาน

อีกด้านมุมหนึ่ง ในยามค่ำคืน ผมมีโอกาสได้โฉบเฉี่ยวไปเช่นกัน สถานเริงรมย์ต่างๆ มีเหมือนในกรุงเทพ โดยเฉพาะคาราโอเกะ

การขอเพลงอยู่ภายใต้ระบบ manual นั่นคือ บอกน้องเชอรี่(กระเทย) ว่าจะเอาเพลงอะไรบ้าง แล้วเขา(หรือเธอ) ก็จะใส่แผ่นให้ วิธีนี้แม้จะลำบากเราแต่จะสบายเขา ในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญานั่นเอง

ผมรู้สึกว่า ตามสถานเริงรมย์เหล่านี้ เหมาะกับหนุ่มขี้เหงาที่ไม่กลัวโรค(หากใครกลัวก็มาเที่ยวเฉยๆนะครับ) สามารถ เลือกดอกไม้ได้ตามใจชอบ สามารถตกลงกันได้

การสัมมนา 2 วันเป็นไปอย่างเรียบร้อย หลายๆคน คุยภาษาถิ่นจนผมปวดหัว บางคนชื่อ นายสมแซบ นายเอียง จนผมต้องไปขอดูหน้าตาของพวกเขาให้ได้ซักครั้ง เมื่อผมกับเพื่อนแซว พวกเขาก็ยิ้มแย้มด้วยความยินดี(สงสัยจะโดนแซวบ่อย)

วันสุดท้ายผมได้มีโอกาสนั่งสามล้อ ปั่น(ขอลุงปั่น แต่ลุงไม่ให้ครับ รถมันเยอะ) แม้จะไม่ได้บรรยากาศแบบเมืองเหนือ แต่นี่คือ สามล้อปั่น แบบอีสานแท้ๆเลย

สิ่งที่ผมได้รับ มิใช่เพียงได้สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ๆเท่านั้น แต่ยังได้รู้จักเพื่อน พี่ ภายในองค์กรมากขึ้น

การมานอกสถานที่แบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีค่าตอบแทน แม้จะไม่มากนัก แต่สิ่งที่ผมต้องการมากกว่านั้น คือการได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งตรงกับคนที่ชอบเดินทางแบบผมนักแล

Wednesday, April 19, 2006

เยือนถิ่นเก่า หมู่เกาะสุรินทร์



ขณะที่ผมกำลังนั่งคิดว่า หยุดยาวในเดือนพฤษภาคม ผมจะไปไหนดี

ตอนแรก ผมวาดฝันว่าจะไปชุมพรคาบาน่า แต่ห้องพักอาจจะเต็ม

หากไปเรือliveaboard เท่าที่ผมเช็คดูก็ไม่มีเสียด้วย หากเป็นสัปดาห์อื่น ผมต้องขาดงานในวันศุกร์ ซึ่งผมพึ่งทำงานยังไม่ได้รับสิทธิ์การลา

เมื่อคิดว่า โปรแกรมดำน้ำของคาบาน่า มีถึงเดือนสิงหา กันยา

แถมใช้เวลา เสาร์ อาทิตย์ ยิ่ง สบายมาก(เก็บตังค์ด้วยนะ)

ผมนึกถึงพี่หนึ่ง สาวที่รักการดำน้ำเช่นกัน เธอเคยเล่าให้ผมฟังว่า เคยไปดำน้ำแบบ scuba ที่เกาะสุรินทร์

ทำให้ผมอยากไปบ้าง เมื่อเกาะสุรินทร์จะปิดในกลางเดือนพฤษภาคม ทำให้ความลังเลของผมหมดไป

ทริปยาวๆแบบนี้เหมาะมากจริงๆ เมื่อโทรเช็คสภาพอากาศที่กรมอุตุฯ อากาศดีด้วย

ผมอาจจะดำscuba 1วัน หรือ ดำ snockleing ก็ไม่มีปัญหา ที่สำคัญผมจะได้ไปเยือนถิ่นเก่าของผม

ถิ่นที่เคยไป เพื่อพักผ่อนกับเพื่อนๆ

ถิ่นที่เคยไปเพื่อพาสาวไปเที่ยว(แต่แห้ว)

ถิ่นที่จะไปเพื่อไปสำรวจเกาะหลังคลื่นยักษ์สึนามิและดำน้ำแบบมนุษย์กบ

แม้สิมิลัน กับตะรุเตา ผมยังไม่เคยนอนที่เกาะ(อนาคตไปแน่) แต่เหตุใด ผมถึงเลือกที่จะมาที่เดิม

สาวนามว่าสุรินทร์ เธอมีเสน่ห์มากกว่าที่คิดครับ

พ่อครับ ผมทำได้แล้ว


14 เมษายน วันหยุดสงกรานต์ และเป็นวันครอบครัวด้วย ขณะผมกำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเฮนเบะว่า พ่อของมอย เสียชีวิตแล้ว

วันครอบครัวของใครหลายๆคน กลับเป็นวันสูญเสียของครอบครัวหนึ่ง

ผมโทรหามอยในทันที เพื่อแสดงความเสียใจ มอยเก็บความรู้สึกได้เก่ง สามารถคุยกับเพื่อนได้ปกติ ทราบอีกว่า มอยได้ทำใจล่วงหน้านานแล้ว

หลายเดือนก่อน มอยเคยบอกผมว่า พ่อของเขาเป็นมะเร็งในตับ อาการเริ่มลุกลาม จนมาถึงหน้าอกแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่ทำใจ นั่นเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมมอยถึงออกจากงาน กลับมาอยู่ที่บ้าน ใน จ อ่างทอง

เพราะจากนี้ไป มอยในฐานะ พี่คนโต จะต้องหาเลี้ยงครอบครัวและช่วยเหลือกิจการที่บ้านอย่างเต็มตัว

พ่อของมอย ผมและเพื่อนๆโอวี รู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะท่านจะมารับส่งมอยเป็นประจำ โดยขับรถตู้ติดตรา ไทยรัฐ(สมัยก่อนพ่อของมอยเคยทำงานอยู่)

ท่านเป็นคนที่มีจิตใจ กว้างขวาง เห็นได้จากงานบวชของมอย ที่ จ อ่างทอง ท่านมีความเป็นกันเองกับพวกเราทุกคน

ล่าสุด มอย คนที่ทำท่าว่าจะเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย ได้พระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง

มอยได้แสดงให้คุณพ่อ เห็นว่า เขาไม่ใช่คนเก่ง แต่ความพยายามของเขาก็สามารถทำให้คุณพ่อภาคภูมิใจและท่านก็ได้เห็นแล้ว

หลับให้สบายนะครับ คุณพ่อ

Thursday, April 13, 2006

ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์


หากใครได้ยิน น้อยคนที่ไม่รู้จัก เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมอุปกรณ์การศึกษาอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นชุดนักเรียน เครื่องดนตรี หรือแม้กระทั่งภาพประกอบการศึกษา ที่เรามักจะซื้อไปทำรายงาน(บางครั้งก็ซื้อไปเพื่อเป็นการสอบซ่อมวิชานั้นก็มี) เป็นต้น

ที่นี่มีสาขาใหญ่ ที่ถนนราชดำเนิน ส่วนสาขาย่อย ผมทราบเพียงที่เซ็ลทรัล ลาดพร้าว เพราะสมัยเด็กๆ ผมกับครอบครัวมักจะเดินเข้าไปใช้บริการบ่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ เมื่อถึงเวลากลับบ้าน

ที่นี่ จึงมีกลิ่นอายแห่งความหลัง ที่ผมไม่เคยลืมเลย

อันว่า ที่ทำงานของผม อยู่ใกล้ที่นี่ซะด้วย ไม่แปลกใจว่า เมื่อผมเดินเข้าไป จึงรู้สึกปลาบปลื้ม ยินดีไม่น้อย

มีความรู้สึกว่า โชคดีมากกว่าการมีศูนย์การค้าเสียอีก

ในสัปดาห์แรกๆ ผมใช้เวลาในช่วงพักเที่ยง อุดหนุนภาพประกอบการศึกษาจากเด็กสาวน่ารักในชุดนักเรียน ได้ภาพประกอบการศึกษาปลาทะเล ภาพประกอบการศึกษาแผนที่ประเทศไทย ไปติดไว้ในที่ทำงาน

ต่อมา ผมจึงเริ่มสำรวจที่นี่อย่างจริงจังพบว่า ชั้นล่าง จะมีหนังสือมากมาย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ กระดาษสีสำหรับทำรายงาน วีซีดี(แอนนา) เอ้ย วีซีดีภาพยนต์ทั่วๆไป และวีซีดีเพื่อการศึกษา เป็นต้น

ชั้นสอง เป็นเครื่องดนตรี ชุดนักเรียน หลายอย่าง นึกถึงวัยเด็กเป็นบ้า เช่น ตราติด บ่า ของลูกเสือ เมล็ดพืชไปปลูกในวิชาเกษตร เป็นต้น

และสิ่งที่ทำให้ผมลิงโลดขึ้นมาทันที คือ รองเท้ากีฬานันยาง สีขาว ที่ผมและเพื่อนๆใช้เสมอ เวลาซ้อมกีฬา เพราะสะดวก ทน ใช้เตะบอลก็ได้ ใส่เที่ยวก็ดี (ตอนเด็ก โดนบังคับใส่ครับ ไม่งั้นรุ่นพี่จะว่าได้ ว่าเปรี้ยว)

ใกล้ๆ มีรองเท้าแตะ ยี่ห้อ puppa นี่ก็เช่นกัน ที่เป็นความหลัง เพราะใส่มาตั้งแต่เด็ก ที่รร ก็ใช้ยี่ห้อนี่ พอออกมา ผมก็ยังหายี่ห้อนี้ใส่อยู่(จะมีขายตามเซเว่นครับ)

ก่อนกลับไปทำงาน ซื้อรองเท้านันยางสีขาวมา 1 คู่ จึงทราบว่า ตอนนี้มีรุ่นใหม่ มีขอบยางที่นิ่มขึ้นด้วย แต่ผมเลือกที่จะใช้แบบเก่า เพราะเหมือนที่เคยใช้มากกว่า(ราคาเท่ากันครับ)

6-7 ปีที่แล้ว ผมใส่เบอร์ 44 ปัจจุบัน ต้องใส่เบอร์ 45 นับว่าสมเหตุสมผลดี หลังจากที่ชอบประหยัดใส่รองเท้าใหญ่ๆ เพื่อจะได้ใส่นานๆ ผลคือ เท้าจะขยายใหญ่มากกว่าคนที่ชอบใส่แบบพอดีๆ(ไม่รู้ แต่ว่าน่าจะเกี่ยวนะ)

ผมไม่ทราบว่า สาขาย่อยของที่นี่ ยังเหลือที่ไหนในกรุงเทพบ้าง

แต่ที่แน่ๆ ที่นี่จะเป็นสถานที่เดินเล่นของผม อีกนาน ตราบเท่าที่ยังทำงานแถวนี้อยู่ และผมก็เชื่อว่า หลายๆคนคงจะมีความหลังกับสถานที่นี่ ไม่มากก็น้อย

ใครไปไม่สะดวก คิดถึงลองดูไปก่อนนะครับ http://www.suksapan.or.th/

Monday, April 10, 2006

ยินดี เป็นที่สุด


หลังจากห่างหายไปจากการอัพเดท บล็อคของตัวเอง เพราะต้องอ่านหนังสือสอบ ที่แสนจะโหดเพราะสอบ 3 อาทิตย์ติดๆกัน แถมยังมีงานต้องทำด้วย ก็เลยดูแต่รูปนิ้วเท้าของตัวเองทุกครั้ง เมื่อเข้าคอมพิวเตอร์(เรื่อง ล่าสุดที่เขียนครับ)

สอบคราวนี้ แม้ผมจะไม่ตั้งความหวังว่าจะสอบผ่านทั้งหมด หวังมากก็ผิดหวังบ่อยไป แต่รู้สึกว่า การที่ทำงานไปด้วย สอบไปด้วย ไม่ได้ทำให้เวลาอ่านหนังสือของผมน้อยลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ผมมีความเครียดในการสอบน้อยลง เพราะต้องเดินทาง ต้องทำงาน ได้เห็นชีวิตใหม่ๆทุกวัน แทนที่จะต้องหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน

หากคะแนนสอบผมดีขึ้น แม้จะเพียงพอในการผ่านหรือไม่ ผมถือว่า ประสบความสำเร็จ

แม้ชีวิตทำงานของผม จะเดินทางช้ากว่าอีกหลายๆคน แต่ผมรู้สึกว่า การที่ค่อยๆไป ไม่ก้าวกระโดด จะเป็นผลดีกับผมเอง และผมจะแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

จากนี้ไป ผมก็จะทำงานได้อย่างไร้ข้อกังวลมากขึ้น ไม่ต้องพะวงการสอบ กว่าจะสอบอีกครั้งก็ตั้งหลายเดือน

ผมก็จะอ่านหนังสือท่องเที่ยว หนังสือปลาทะเลได้อย่างสบายใจ เวลาเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ ก่อนที่จะได้มาทำงานแล้ว

และที่แน่ๆ คือ การวางแผนท่องเที่ยวของผม ก็จะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ตามกิเลสมนุษย์และทรัพย์ที่ยังมีอยู่(จริงๆอยากไปหลายที่มากๆ)

ทะเล หาดทราย การดำน้ำ เท่านั้น ที่ผมต้องการ โดยทริปใหญ่ ผมมองไปที่การกลับไป ชุมพรคาบาน่า รีสอร์ท ในเดือนหน้า สถานที่ที่ทำให้ผมเปิดโลกกว้างใต้ทะเลครั้งแรก

การกลับไปในคราวนี้ ก็จะครบ 1 ปีพอดี

ผมมีนัดกับ ยักษ์ใหญ่ผู้ใจดี ด้วย แต่เธอจะมาหรือเปล่า คงขึ้นอยู่กับโชควาสนาของผมแล้ว