เยือนถิ่น อีสาน
นับครั้งได้ ที่ผมจะเดินทางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ใช่เพราะว่าแถบนี้ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวนะครับ หากแต่ว่าเมื่อผมมีเวลาว่างครั้งใด ก็มักจะเลือกทะเลเป็นอันดับแรกเสมอๆ
คราวนี้ ต้องไปเพราะมีการสัมมนากฎหมายปกครองท้องถิ่น โดยสภาทนายความอันเป็นต้นสังกัดของผม เป็นผู้จัด ซึ่งในวันแรกจะเป็นการเข้าอบรมของทนายความ วันต่อมาจะเป็นการเข้ารับอบรมของ อบต และเทศบาลต่างๆ
แดนอีสาน นามว่าสุรินทร์ เป็นจังหวัดที่ไม่คึกคักนัก ชาวต่างชาติที่มาที่นี่จริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสามีของหญิงชาวไทยซะมากกว่า (ตามสไตล์ผิวสีแทน ฝรั่งชอบ)
อาหารที่ผมได้ลิ้มลอง มักจะไม่พ้นส้มตำนานาชนิด ทั้งตำมั่ว ตำไข่เค็ม ตำปู ตำปลาร้า หรือแม้กระทั่งตำพริก(อันนี้ผมตั้งชื่อเอง เพราะพริกเยอะจริง) กลิ่นปลาร้าฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แต่ผมก็ต้องกินแม้จะไม่พิศมัยเท่าไร(ดีกว่าอดตายวุ้ย)
คนอีสานจะมีผิวคล้ำเสียส่วนใหญ่ เพราะตากแดด ตากฝนมาเยอะ ตรากตรำในการทำงาน หากเปรียบเทียบกับสีผิวของผม ก็พอจะโกหกคนอื่นๆได้ว่า เป็นคนอีสาน
อีกด้านมุมหนึ่ง ในยามค่ำคืน ผมมีโอกาสได้โฉบเฉี่ยวไปเช่นกัน สถานเริงรมย์ต่างๆ มีเหมือนในกรุงเทพ โดยเฉพาะคาราโอเกะ
การขอเพลงอยู่ภายใต้ระบบ manual นั่นคือ บอกน้องเชอรี่(กระเทย) ว่าจะเอาเพลงอะไรบ้าง แล้วเขา(หรือเธอ) ก็จะใส่แผ่นให้ วิธีนี้แม้จะลำบากเราแต่จะสบายเขา ในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญานั่นเอง
ผมรู้สึกว่า ตามสถานเริงรมย์เหล่านี้ เหมาะกับหนุ่มขี้เหงาที่ไม่กลัวโรค(หากใครกลัวก็มาเที่ยวเฉยๆนะครับ) สามารถ เลือกดอกไม้ได้ตามใจชอบ สามารถตกลงกันได้
การสัมมนา 2 วันเป็นไปอย่างเรียบร้อย หลายๆคน คุยภาษาถิ่นจนผมปวดหัว บางคนชื่อ นายสมแซบ นายเอียง จนผมต้องไปขอดูหน้าตาของพวกเขาให้ได้ซักครั้ง เมื่อผมกับเพื่อนแซว พวกเขาก็ยิ้มแย้มด้วยความยินดี(สงสัยจะโดนแซวบ่อย)
วันสุดท้ายผมได้มีโอกาสนั่งสามล้อ ปั่น(ขอลุงปั่น แต่ลุงไม่ให้ครับ รถมันเยอะ) แม้จะไม่ได้บรรยากาศแบบเมืองเหนือ แต่นี่คือ สามล้อปั่น แบบอีสานแท้ๆเลย
สิ่งที่ผมได้รับ มิใช่เพียงได้สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ๆเท่านั้น แต่ยังได้รู้จักเพื่อน พี่ ภายในองค์กรมากขึ้น
การมานอกสถานที่แบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีค่าตอบแทน แม้จะไม่มากนัก แต่สิ่งที่ผมต้องการมากกว่านั้น คือการได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งตรงกับคนที่ชอบเดินทางแบบผมนักแล
0 Comments:
Post a Comment
<< Home