Monday, February 27, 2006

ทะเลที่รักษ์ ตอน เมื่อรัตติกาลมาเยือน


หลายสัปดาห์ก่อน ผมเข้า http://www.talaythai.com/ ทราบข่าวว่า อ ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ทำรายการเกี่ยวกับทะเลซึ่งร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช(มสธ) ออกอากาศทางช่อง 11 เวลาเช้ามืด ตี 5

คงทราบดีว่า รายการในเวลานี้เรตติ้ง คงสู้ละครน้ำเน่าไม่ได้แน่นอน ตรงกันข้าม รายการนี้กลับสร้างความกระตือรือร้นให้ผม ตื่นขึ้นมาชม และเป็นโอกาสดี ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับวัยทำงาน ที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ที่สำคัญผมยังได้ประโยชน์ในการอ่านหนังสือสอบในยามเช้าด้วย

นาฬิกาบ้านผม บอกเวลา ตี 5 สี่สิบห้า(ถ้าให้ดีตื่นก่อนนั้นเล็กน้อยครับ เพราะรายการประมาณ 5 นาทีเอง)

แต้น แต๋น รายการทะเลที่รักษ์ ก็มาซะที ชื่อตอนว่า เมื่อรัตติกาลมาเยือน ก็บอกอยู่แล้วว่า ต้องเป็นชีวิตของสัตว์ทะเลในยามค่ำคืนแน่นอน

ปลาปักเป้าหนามทุเรียน ปลาปักเป้าหน้าหมา และปลานกแก้ว เป็นสามใบเถา ที่รายการนำเสนอ โดยหากไม่ใช่นักดำน้ำ มักจะคุ้นเคยปลาปักเป้าหนามทุเรียนมากกว่าปลาปักเป้าหน้าหมา ส่วนปลานกแก้ว กำลังหลับอยู่ และมีการสร้างใยเพื่อป้องกันอันตรายจากนักล่าด้วย(นักดำน้ำเรียกกันว่า ปลานกแก้วกางมุ้ง)

ต่อมาเป็นสัตว์ทะเลที่ผมคุ้นเคยอย่างมาก ดำน้ำกลางคืนทีไร ก็ต้องพบปูใบ้ก้ามดำ(Etisus Splendidus) นี่เป็นครั้งแรกที่ผมทราบชื่อไทยของเขา หลังจากทราบเฉพาะชื่อทางวิทยาศาสตร์จากหนังสือบนเรือ เมื่อมาดูรูปอีกครั้งบนคอมพิวเตอร์ เห็นลำตัวสีแดง ก้ามสีดำ และบวกกับพบได้บ่อย ผมจึงมั่นใจว่า คือพวกเขาแน่นอน (หากท่านนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลเห็นข้อผิดพลาด โปรดบอกครับ ผมแค่มือสมัครเล่น ฮ่าๆ

จากนั้นเป็นกั้งกระดานและกุ้งมังกรคิงคอง ที่มักจะตกใจกลัวทุกครั้งเมื่อโดนแสงไฟฉายจากนักดำน้ำ บางตัวก็หยุดนิ่ง สู้กล้องด้วย(อาจเตรียมตัว ต่อสู้ก็เป็นได้)

ปลาไหลมอเรย์ยักษ์ แววตาที่น่ากลัว และฟันที่คมกริบ เมื่อรัตติกาลมาเยือนเมื่อใด ก็เป็นเวลาหาอาหารของพวกเขา

ผมได้ความรู้ใหม่อีกว่า ในเวลาเที่ยงคืนถึงช่วงตี 4 จะเป็นช่วงเวลาที่สัตว์ทะเลออกหากินมากที่สุดด้วย

เป็นอันจบรายการดีๆ ยามเช้า สาระเต็มเปี่ยม ที่มีเพียง 5 นาทีเท่านั้น(ย้ำครับ ขอเวลาเพิ่มหน่อยอาจารย์) เปรียบดังคนดีที่มักต้องอยู่คนเดียวและไม่มีใครสนใจเสมอๆ(เอ้า ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยว)

แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นรายการที่ให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่ดีมาก สร้างความประทับใจให้ผมสุดๆ

Wednesday, February 22, 2006

เรื่องของหมอกับการดำน้ำ


หลากหลาย สาขา หลากหลายอาชีพ ที่เข้ามารวมตัวกันในกลุ่มนักดำน้ำ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า อาชีพแพทย์ เป็นอาชีพที่มีความสนใจกับกิจกรรมดำน้ำไม่น้อย

อาจเป็นไปได้ว่า อาชีพนี้มีสถานะทางการเงินที่ดี หากเปรียบเทียบกับอาชีพอื่นๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะที่ถูกต้องจริงๆ คือความรักในการดำน้ำต่างหาก(หากไม่รักจริง ไม่มีใครยอมเสียเงินคราวละมากๆหรอกครับ)

เท่าที่ผมรู้จัก แม้บางคนจะยังไม่เคยพบตัวจริงก็ตาม ก็มี พี่หมอจิน,พี่หมอตุ๋งและพี่ตาล, พี่หมอกับน้องออม ,เดียร์, คุณbarracuda แห่งเว็บทะเลไทย และยังมีอีกหลายคนแน่ๆ

ล่าสุดผมได้รู้จักพี่หมอนิตยา(หรือคุณNatalie แห่งเวบทะเลไทย) คุณหมอสูติ-นรีเวช ซึ่งใจดีส่งแผ่นปลาทะเลมาให้ผมถึงบ้าน ทั้งๆที่เรายังไม่รู้จักอะไรกันมาก เพียงแค่ผมทิ้งคำถามไว้ในเว็บบอรด์เท่านั้น

คุณหมอเล่าให้ฟังอีกว่า ได้เคยไปดำน้ำหลายๆที่ ไม่ว่าจะเป็นอันดามันเหนือ อย่างอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน จ พังงา และ ร้านเป็ด-ร้านไก่ จุดดำน้ำแห่งหนึ่ง ในจ ชุมพร

ส่วนต่างประเทศ คุณหมอก็ไปดำที่สิปาดัน ,มาบูล มาแล้ว(ประสบการณ์ประมาณ 100 กว่าไดฟ์)

นี่เป็นอีก 1 มิตรภาพดีๆ ที่ผมมักจะได้รับเสมอๆ

ขออนุญาตินำบทกลอน(ไม่แน่ใจว่าเรียกว่า โคลงสี่สุภาพหรือเปล่า) ของ ครูสมฤดี ยุทธนาเสวิน ครูสอนภาษาไทยของผมสมัยมัธยม ที่กรุณามอบโคลงบทนี้ ให้ผมเมื่อจบการศึกษา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเสมอๆ

ให้ให้จงหมั่นให้ ใครใคร
เสร็จอย่าจำใส่ใจ จดไว้
ให้แล้วก็ให้ไป หมดเรื่อง กันนา
แต่รับจงอย่าได้ หมดปลื้ม ลืมคุณ

ขอบพระคุณในมิตรภาพดีๆครับ

Monday, February 20, 2006

สัมภาษณ์งานครั้งแรก=ชายหนุ่มผู้โชคดี


หลายอาทิตย์ก่อน ผมเริ่มต้นที่จะหางานทางอินเตอร์เน็ตแบบจริงจัง โดยในตอนบ่ายของทุกๆวัน ผมจะใช้เว็บ google.com ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเกือบ100 เปอร์เซ็นต์ มาจากในอินเตอร์เน็ตทั้งนั้น

ผมได้รู้ว่า มีคนตกงานมากมาย(นิติศาสตร์นี่แหละ) ซึ่งมีไม่น้อยที่เลือกงาน ทำให้เสียดายโอกาสดีๆไปเยอะ

ผมยอมรับว่า เป็นคนเลือกงาน เพราะหากให้ไปทำงานในธนาคารในตำแหน่งสินเชื่อ หรือไปขายประกัน ขายแอมเวย์แบบเพื่อนๆคนอื่นที่เรียนด้าน กฎหมาย มาด้วยกัน ผมคงไม่มีความสุขมากนัก แม้จะได้เงินมากมายก็ตาม

ไม่ว่าจะเป็นงานราชการ องค์กรอิสระของรัฐ หรือแม้กระทั่งเอกชน หากเป็นงานที่ผมสนใจ ลักษณะงานต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย(ซักนิดก็ยังดี) ผมจะไม่ลังเลที่สมัครทันที โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องไม่เรียกประสบการณ์(เพราะผมยังไม่มีนั่นเอง) แม้จะรับเพียง 1 อัตรา ผมก็พร้อมที่จะลองแข่งขัน แม้จะเป็นเรื่องที่ยากก็ตาม

เมื่อมีโทรศัพท์จากสภาทนายความ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิจัยและพัฒนากฎหมายให้ผมไปสอบความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และสอบสัมภาษณ์ ผมรู้สึกตื่นเต้นเพราะตั้งแต่จบมา ผมไม่เคยไปสัมภาษณ์งานที่ไหนมาก่อน

ผมผ่านการสอบคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดาย ทักษะการพิมพ์ของผม พัฒนาจากการเขียนเรื่องในบล็อคเกอร์ และเรื่องไปเที่ยวทะเลในมัลติพลาย อีกทั้งการคุยกับเพื่อนๆทางเอ็ม เอส เอ็นเสมอๆ

ส่วนการสอบสัมภาษณ์ ในวันนั้นมี 4 คน(รวมผมด้วย)(เป็นไปได้อย่างไร? เพราะไม่ได้มีการสอบข้อเขียนด้วย อาจเป็นไปได้ว่ามีคนรู้ข่าวน้อย หรือไม่ก็ไม่ได้สนใจนัก โดยมุ่งหน้าไปในองค์กรสำคัญๆ เช่น ปปส , สตง มากกว่า)

มีการเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ตามตัวอักษร ผมได้เข้าไปคนสุดท้าย ซึ่ง อ เสงี่ยม บุญจันทร์ ทนายความเป็นผู้สัมภาษณ์ โดยพอออกมาผมรู้สึกว่า ผมอาจจะไม่ได้ หากเทียบกับคนแรกๆที่มีการสัมภาษณ์ที่นานกว่า และยิ่งหากเทียบด้านคุณวุฒิแล้ว โอกาสได้ของผมยิ่งน้อย เพราะบางคนจบเนติบัณฑิตและสอบใบอนุญาติว่าความได้แล้วด้วย

ในวันนั้น ผมได้พบพี่เอก รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยโดยบังเอิญ ซึ่งพี่เอกทำงานอยู่ในตำแหน่งที่ผมแข่งขันอยู่(หากได้เข้า ก็ได้ทำงานร่วมกัน) พี่เอกได้บอกอีกว่า การทำงานที่นี่ ไม่ได้ดูที่คุณวุฒิทางการศึกษาอย่างเดียว ทำให้ผมพอจะมีโอกาสบ้าง(หากเปรียบเทียบกับหลายๆที่ รับ 25 คน สอบ 1000 คน แล้วผมยิ่งไม่ค่อยเก่งมาก โอกาสจะได้ยากจัง แถมไม่มีเส้น ก็สู้เขาลำบาก)

แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งความหวังมากนัก ตั้งหน้าตั้งตาสมัครที่อื่นๆต่อไป(หวังมาก ก็ผิดหวังมาก ชินแล้วครับ เผื่อใจไว้ดีกว่า) (บรรยากาศในการทำงาน อยู่ใกล้ทนาย ได้ใช้ความรู้แน่นอน)

ในวันนี้(ตรงกับวันเกิดมอย เพื่อนผม และเป็นวันทนายความด้วย) สภาทนายความได้โทรมาบอกคุณแม่ที่บ้าน ว่าทางสภารับผมเข้าทำงานแล้วโดยแจ้ง วัน เวลา รายงานตัว

ผมดีใจมากรู้สึกว่าโชคดีมากด้วย คิดว่าพี่เอกคงเป็น 1 ปัจจัยที่ช่วยให้ผมได้เข้าทำงานในครั้งนี้(ตอนไปเรียนดำน้ำที่ชุมพรคาบาน่า คนที่แจ้งผลการสอบใบอนุญาติว่าความภาคทฤษฎี ว่าผมสอบผ่าน ก็คือพี่เอกนั่นเอง)

ต่อไปนี้ ผมจะไม่ต้องแบมือขอเงินพ่อแม่อีกต่อไป ช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้าน และที่สำคัญที่สุด ผมจะมีเงินไปเที่ยวทะเลที่ผมรัก ไปดำน้ำอย่างบ้าคลั่ง ไม่ต้องนั่งดูกระเป๋าตังค์แล้วถอนหายใจเวลาอยากจะไปเที่ยว(ถ้าใช้มากๆ ไม่บริหารให้ดี ก็ถอนหายใจแน่นอนครับ)

ส่วนเรื่องจะได้ทำงานราชการเพื่อเก็บอายุงาน ไปสอบอัยการ ผู้ช่วยผู้พิพากษาหรือไม่ ผมไม่ใส่ใจแล้วเพราะยังมีหนทางที่เก็บคดี ซึ่งก็ทำให้ผมมีคุณสมบัติเหมือนๆกัน(ทำราชการ สอบเนยังไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ครับ)

ส่วนการทำงานจะทำให้ผมมีเวลาอ่านหนังสือน้อยลง จะทำให้ผมมีโอกาสที่จะสอบได้น้อยลง ผมว่าก็ไม่ใช่ทั้งหมด บอกได้กับเรื่องจริง ที่คนจำนวนมากอ่านหนังสืออย่างเดียวสอบไม่ผ่าน ในขณะที่คนที่ทำงานแล้ว กลับสอบผ่าน ของแบบนี้ การทำงานอาจจะช่วยให้คนเราเก่งขึ้นได้ (ซึ่งผมจะสู้ต่อไป แน่นอน)

แม้ผมจะมีเวลาเที่ยวน้อยลง จะแบกเป้ไปเกาะสวาท หาดสวรรค์ ในวันธรรมดาเหมือนเดิมคงเป็นเรื่องยาก แต่นี่ก็เป็นหนทางที่ผมได้เลือกแล้ว

ทุกหนทางมีทางออกเสมอ(ที่ไม่ใช่ฆ่าตัวตายนา) หากอดเที่ยวทะเลผมคงลงแดงตายแน่นอน(คิดหนทางแก้ไว้เรียบร้อย ฮ่าๆๆ)

สู่ชีวิตการทำงานที่แสนจะเหน็ดเหนื่อย ในอีกไม่ช้าครับ

Sunday, February 12, 2006

เปิดโลกทะเล…สัตหีบ(3)



ปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish)

ปลาผีเสื้อเหลืองชุมพร(Weibel ' s Butterflyfish)

ทากปุ่ม(Phyllidia Ocellata)

Dive 27 ลอยตัวตามกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด

เรือเนาวรัตน์มาถึงที่เกาะอีเลา วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส แดดออก คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ผมพึ่งรู้วันนี้เองว่า Wet Suit ที่สวมมาทั้ง 2 ไดฟ์เมื่อวานนี้ ผมสวมสลับด้าน จริงๆตัวซิปอยู่ด้านหน้า ไม่ใช่ด้านหลังแบบที่ผมเคยสวมเลย(หน้าแตกดังโพล๊ะ)

วันนี้ชุดของผมใหญ่ขึ้นเพราะมีพี่ต่อมาคอยดูแลพี่ดิ้น พี่พิชมาคอยดูแลแม่ของน้องออม ส่วนผม น้องออม น้องโอ๊ต พี่ปุ๊ย พี่หนึ่ง ก็คอยตามพี่ป้อมให้ดีๆ(พี่ประพนธ์ไปกับชุดพี่โก้ครับ)

ก่อนลงพี่ป้อมให้พี่พิชลงไปเช็คกระแสน้ำว่าไปทางไหน เมื่อผมกระโดดลงด้วยท่า Giant Stride ตีขาไปเรื่อยๆ มองออกไปไกลๆ พี่นัทและคุณพ่อต้องขึ้นจากน้ำก่อนกำหนด ดิงกี้จึงต้องรีบไปรับ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พี่นัทขอพี่ป้อมดำต่อเพราะยังไม่สะใจเลย

พี่ป้อมให้สัญญาณทุกคนลงไปพร้อมๆกัน

ด้านล่างในเวลานี้ ความใสของน้ำอยู่ในระดับ 1-2 เมตร เท่านั้น ห่างไปไกลกว่านั้นจะมองไม่เห็นกันเลย จึงต้องดำใกล้ๆกันเข้าไว้ คอยชำเลืองดูตลอด(ผมรู้แล้วครับ ทำไมพี่แห้ว พี่นัท ถึงขึ้นกันเร็ว)

พบปลาผีเสื้อปากยาว(Beak Butterflyfish) และปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) 2 คู่หูผีเสื้อ ที่สามารถพบได้บ่อยมาก หากเปรียบเทียบกับปลาผีเสื้อชนิดอื่นๆ

ต่อด้วยปลาจอมตะกละอย่างปลาสลิดหินบั้ง(Damsel Fish) หากนึกภาพไม่ออก โปรดนึกภาพเวลาที่นั่งท่องเที่ยวชอบให้อาหารปลาทะเล ปลาที่เข้ามากินเยอะที่สุด เจ้านั่นแหละครับ นอกจากนี้ระหว่างทางก็ยังเห็นฟองน้ำครก (Neptune ‘ s cup sponge) อยู่พอสมควร และยังมีปลาปักเป้ายักษ์(Puffer) อีกด้วย

ซักพักกระแสน้ำเริ่มแรงขึ้น แรงขึ้น จนพี่ป้อมต้องบอกว่าไม่ต้องตีขา ให้ลอยตัวไปตามกระแสน้ำ ผมไม่เคยเจอน้ำแรงมากขนาดนี้มาก่อน หากตีขาสู้กระแสน้ำ ไม่นานก็ต้องเหนื่อยและยอมแพ้อย่างแน่นอน

ส่วน Pointer นั้น ไดฟ์นี้ได้ใช้ประโยชน์อยู่ 2 อย่างคือ เรียกคนให้รู้ตัว เช่น พี่นัทลำตัวติดทรายกำลังจะถูกเม่นทะเล(Sea Urchin) จึงต้องรีบเตือน หรือ เวลาลำตัวผมเองจะติดก็ใช้ Pointer จิ้มทรายเอา(สรุปแล้ว ก็ต้องเติมลมอยู่ดีครับ ตัวจะได้ไม่ติดมาก)

เราลอยตามน้ำแบบนั้นอยู่นานมาก แต่ผมก็ยังสังเกตเห็นปะการังอ่อน(Soft Coral) สีฟ้าสดใส แต่ไม่สามารถลงไปสังเกตดูให้ใกล้กว่านั้นได้ เพราะกระแสน้ำที่แรง ในบางครั้งที่เริ่มห่างกันเกิน 2 เมตร พี่ป้อมต้องเคาะ Pointer เพื่อให้เราไม่หลงทาง(เสียงน่ะได้ยิน แต่ไม่ค่อยเห็นตัวครับ น้ำขุ่นมาก)

เมื่อทำ Safety Stop แล้ว ขึ้นมาบนผิวน้ำก็ต้องตกใจ เพราะตอนลงอยู่ใกล้เกาะมาก แต่ตอนขึ้นเราอยู่ห่างจากเกาะมากกว่า 30 เมตร ลอยมาไกลใช้ได้ แต่ก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับผม พี่ป้อม และทุกๆคน เพราะถือเป็นประสบการณ์ดำน้ำที่แปลกใหม่(ยังจะสนุกได้นะเนี่ย)

ในไดฟ์นี้ ผมเคลียร์หูไม่ได้ แม้แต่ครั้งเดียว บางครั้งรู้สึกปวดก็ไม่ลงไปให้ต่ำกว่านี้(คิดถึงแอคติเฟดขึ้นมาทันที)

เมื่อขึ้นมาจึงทราบว่า พี่พิชและพี่หมอ(คุณแม่น้องออม) ขึ้นมาบนผิวน้ำก่อน ไม่ได้ลอยตามกระแสแบบเราเมื่อซักครู่ นี่เป็นผลดีที่ว่า เหตุใดถึงต้องให้พี่พิชประกบพี่หมอไว้(ความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญครับ)

เรือเนาวรัตน์แล่นมาถึงบริเวณน้ำตื้น ไม่มีกระแสน้ำมากนัก เพื่อให้พี่ป้อมลงไปสอบพี่ดิ้นต่อ โดยมีน้องออม คุณแม่ และพี่พิชลงไป Refresh ด้วย (พี่พิชลงไปช่วยพี่ป้อม)

หลังจากพักรับประทานอาหารกลางวัน ผมขอแอคติเฟดหมอเดียร์ทันที หากไดฟ์หน้าเคลียร์หูไม่ได้อีก คงไม่สนุกแน่นอน แต่ต้องแลกกับอาการง่วงนอนด้วย จึงหาที่สะดวกงีบหลับ(เป็นผลข้างเคียงของยาครับ) พี่หนึ่งก็บอกผมเช่นกันว่า น่าจะเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอนั่นเอง

พี่ Staff มา Brief จุดดำน้ำในไดฟ์ต่อไปให้ฟัง นั่นก็คือ เรือจมเพชรบุรีเบรเมน



Dive 28 ผีเสื้อเหลืองกับเรืมจมเพชรบุรีเบรเมน

เรือจมเพชรบุรีเบรเมน หากพูดถึงความเก่าแก่นั้น ยังเทียบชั้นเรือจมสุทธาทิพย์ไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังอาวุโสกว่าผมอยู่ดี

เราไต่ลงตามเชือกอย่างระมัดระวัง โดยมีพี่ป้อมประกบคุณแม่น้องออมอย่างใกล้ชิด ผมรู้สึกได้ว่าวัตถุแข็งๆตามเชือก คือเพรียงแน่นอน แต่หากเราจับและปล่อย ไม่รูดเชือก การจะถูกเพรียงบาดมือ จึงเป็นเรื่องยาก

การเคลียร์หู เสียงเหมือนจรวดพุ่ง ยาดีจริงๆ หากมีปัญหา ท่าทางผมจะต้องพึ่งแอคติเฟดอีกนานแน่นอน

ลักษณะของเรือ เป็นท่อนๆตามDive Site เปี๊ยบ น้ำที่นี่ใสกว่าตอนดำเรือจมสุทธาทิพย์ ไม่ต้องมุดเข้าไปในเรือด้วย เพราะบางจุดสามารถเห็นภายในเรือได้อย่างชัดเจน(เสียดายว่าไม่เห็นกระเบื้องห้องน้ำ มีเพียงน้องโอ๊ตที่เห็น)

กระนั้น อาจเป็นเพราะผมมัวแต่สังเกตสัตว์ทะเลเสียส่วนใหญ่ ก็เป็นได้ ผมเจอปลาผีเสื้อปากยาว(Beak Buttelflyfish) จากนั้นมองผ่านช่องเข้าไปภายในเรือ เจ้าปลาสินสมุทรลายบั้ง(Six-banded Angelfish) ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของผมไปได้เช่นกัน

ฟองน้ำครก(Neptune ‘ s cup sponge) ที่นี่ มีทั้งสีน้ำตาลแก่ และสีน้ำตาลอมม่วง ดูสวยงามดี และที่ว่ายผ่านไป พวกเขาคือปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish) ครับ

มองไปด้านข้าง วัตถุกลมๆ เรียงรายอยู่ พวกเขาคือเพรียง ของแท้แน่นอน(ของเทียมเป็นไงเหรอ) เป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตเห็นพวกเขาหลังจากที่ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรนัก

ปลากระรอกลายแดง(Redcoat) อยู่รวมฝูง ร่วมหลายสิบตัว สามัคคีกันมาก แม้ผมจะลองแหย่พวกเขาด้วยการกวาดมือแซวก็ตาม(แต่ห่างจากตัวพวกเขาอยู่ครับ) ก็ไม่ทำให้ฝูงแตกแต่ประการใด ทำให้ผมนึกถึงบทความในหนังสือปลาทะเลไทย เล่ม 1 ว่า “กระรอกรวมฝูง” มีเสน่ห์เช่นใด

พี่ต่อเรียกให้ผมดูทากทะเล(์Nudibranch) ชนิดหนึ่ง เขาคือ ทากปุ่ม(Phyllidia Ocellata) ลำตัวมีสีดำ มีปุ่มสีเหลือง เกาะอยู่บริเวณเสาของเรือ

ก่อนขึ้นจากน้ำ ผมสังเกตปลาผีเสื้อชนิดหนึ่งอยู่นาน เพราะมั่นใจว่า ไม่ใช่ตัวที่พบเห็นได้บ่อยแน่ ภายหลังจึงทราบว่า เขาชื่อ ปลาผีเสื้อเหลืองชุมพรหรือปลาผีเสื้อหน้าดำ(Weibel ’ s Butterflyfish) บางคนอาจเรียกปลาผีเสื้อเหลืองคอขาว(Panda Butterflyfish) แต่เพื่อไม่ให้สับสน ดูที่ชื่อวิทยาศาสตร์ครับ คือ Chaetodon weibeli ถูกตัวแน่นอน เราสามารถพบเห็นพวกเขาได้เฉพาะในทะเลอ่าวไทยเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอ่าวไทยฝั่งตะวันออกอย่าง จ ชลบุรี หรืออ่าวไทยฝั่งตะวันตกอย่างจังหวัดชุมพร นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพวกเขาที่นี่(ตอนไปชุมพรอาจเห็น แต่ไม่ได้สังเกตครับ)

ขึ้นมาด้านบน ผมช่วยพี่โก้ พี่พิช พี่ต่อ แยกอุปกรณ์ของทุกคน ลงเกียร์แบคเพื่อความสะดวก(พี่โก้บอกว่าจะให้ Staff บนเรือมาเก็บหมดก็ใช่เรื่อง ต้องช่วยเหลือกัน)

โชคดีที่ผมหยิบสมุด Log Book ติดตัวมาตลอด บนเรือมีตัวปั้ม ประทับตรา ผมจึงนำมาปั้มในสมุด เท่ไม่หยอกเลย(มีเสียงจากสาวๆร้อง ด้วยความเสียดายเพราะไม่ได้หยิบสมุดมา)

เรือมาจอดที่ท่าเทียบเรือห้องเย็นตามเดิม เราถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก ก่อนที่จะขับรถตามกันไปเพื่อขึ้นไปไหว้ศาลเสด็จเตี่ย(กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) โดยขึ้นไปบนเขา ระยะทางไกลพอสมควร ระหว่างทางเห็นลิงอยู่หลายตัวเหมือนกัน

พี่ประพนธ์เตือนว่า หลังดำน้ำ ไม่ควรขึ้นมาสูงๆ(เหมือนเวลาไปต่างประเทศ ที่เขาต้องห้ามขึ้นเครื่องบินกลับประเทศทันทีหลังดำน้ำแหละครับ) แต่ทำไงได้ขึ้นมากันแล้ว คงไม่เป็นอะไรมั้ง

บนศาลเราจุดธูปสักการะบูชาเสด็จเตี่ยเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนที่พี่ประพนธ์จะหยิบปืนพร้อมลูกซ้อม มาให้ทุกๆคนได้ลองยิงในจุดที่เตรียมไว้ให้สำหรับให้ซ้อมยิงปืน แต่ต้องเตือนกันว่าห้ามหันปากกระบอกปืนมาหากัน(ลูกซ้อมก็ตายได้จ้า ปืนแก๊ปยังตายเลย) น่าเสียดายว่าผมอดยิงเพราะตัดสินใจช้าไปนิด ลูกปืนเลยหมด

ด้านบนมีบันไดขึ้นมาชมวิวอีกจุด แต่บริเวณจุดนี้ห้ามไม่ให้ถ่ายรูปโดยเด็ดขาด เพราะว่าอาจมีผลต่อความมั่นคงของประเทศ ผมถามน้องโอ๊ตผู้เชี่ยวชาญ เรื่อง Google Earth ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า ตรงส่วนนี้ไม่มีใน Google Earth ครับ

พี่ประพนธ์จะพาพวกเราลงมาทางหาดเตยงามแล้วแยกย้ายกันกลับ ผมไม่ลืมที่จะขอเบอร์ติดต่อไว้ตามธรรมเนียม ถึงตอนนี้ผมพึ่งจะทราบเองว่า จากจุดชมวิวมีทางลงมาทางหาดเตยงามได้ และออกมาทางศูนย์บัญชาการนาวิกโยธิน มองเห็นความสวย สงบของหาดเตยงาม แม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว ที่นี่ยังคงมีเสน่ห์อยู่

กลับมาอาบน้ำ ที่โรงแรม ที่ใจดีสำหรับนักดำน้ำเสมอมา อนุญาติให้อาบน้ำในห้องได้(สามารถ Check-Out ช้าได้นี่เอง)

รับประทานอาหารเย็นที่ร้าน ป ปลา อยู่เย็น ย่านนาเกลือ ผมให้น้องออม พี่เอ พี่เก๋ พี่ดิ้น พี่ปุ๊ย เขียน Log Book เช่นเคย ถึงตอนนี้ ต้องจดที่ปกหนังสือซะแล้วซิ

ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน พรุ่งนี้เช้าหลายๆคนต้องมีภาระหน้าที่การงาน ผมกลับบ้านกับพี่โก้ เจี๊ยบ น้องโอ๊ต เช่นเคย ซึ่งพอถึงกรุงเทพผมมีความรู้สึกแน่นหน้าอก อึดอัด ไม่รู้เกี่ยวกับที่ขึ้นเขาหรือไม่(พอได้พักผ่อน1-2วันก็รู้สึกดีขึ้นครับ)

เป็นอันจบทริปดำน้ำอีกครั้งของผม ผมได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ทั้งบนบกและใต้ทะเล เพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย หากเราไม่รู้จักเปิดใจให้กว้าง พร้อมรับสิ่งต่างๆที่จะเข้ามา

ทะเลสัตหีบ ยังคงเปิดโอกาสสำหรับทุกชีวิต ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกหรือไม่

สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น

ขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านครับ


Kasab
(Phop Payapvipapong)
10/2/2006
18.16 น

Saturday, February 11, 2006

เปิดโลกทะเล…สัตหีบ(2)



ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง(Pink Anemonefish)

ปู Zeno Crab

ปลาสินสมุทรลายบั้ง(Six-banded Angelfish)

Dive 25 ดงปะการังอ่อนแสนสวย

ประมาณ 11 โมง เรือเนาวรัตน์ พานักดำน้ำมาถึงที่เกาะจวง จุดดำน้ำแรกในวันนี้ โดยมีผาหินด้านข้างเด่นเป็นสง่าอยู่

ผมแต่งตัว ซึ่งจะลงเป็นชุดสุดท้ายเช่นเคย มีพี่ป้อม พี่ดิ้น พี่ปุ้ย พี่ประพนธ์และน้องโอ๊ต

Wet Suit ของผมในคราวนี้ได้ไซด์ XXL เลยสวมสบายขึ้น ไม่แน่นเหมือนเบอร์ L ที่เคยสวมอยู่(อันนั้นจะหายใจไม่ค่อยสะดวก ชุดแน่นมาก)

ผมกำลังยุ่งอยู่กับเลือกตะกั่วกับเข็มขัด เพราะมีตะกั่วหลายขนาด จึงไม่แน่ใจว่า 4 ก้อนที่เคยใช้นั้น เป็นขนาดไหนกันแน่ เมื่อพร้อมแล้ว เปิดอากาศ เช็คอากาศ(เกจวัดอากาศคราวนี้ไม่ได้เป็น Bar แต่เป็น Psi เลยงงเล็กน้อย) เดินลงไปที่ Plat Form สวมฟิน กระโดดลงด้วยท่า Giant Stride

เมื่อรอพี่ปุ๊ย ที่ตีขามาแบบหน้าคว่ำ(ปกตินักดำน้ำส่วนใหญ่จะตีขา แบบแหงนหน้ามองฟ้า) เราจึงลงพร้อมๆกัน

ช่วงแรกเป็นการสอบของพี่ดิ้น ระหว่างนี้ผมว่ายดูทิวทัศน์รอบๆ แต่ตายังเหลือบดูพี่ป้อมตลอดเพราะห่างเกิน 3-4 เมตรก็จะมองไม่เห็นใครแล้ว(ดูเพลินมาก อาจเกิดเรื่อง Where are you team? ภาค 2 ได้)

ไดฟ์นี้ ถือว่าน้ำใสกว่ามาก หากเปรียบเทียบกับเกาะสาก เกาะล้าน พัทยา ที่ผมเคยไป แถมไม่ต้องกังวลเรื่อง Speed Boat แต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีเรือให้เห็นเลย

แก๊งค์ๆ เสียงพี่ป้อมเคาะ Pointer เป็นสัญญาณว่าให้ตามมาได้แล้ว คราวนี้ผมสังเกตเห็นดงปะการังอ่อน(Soft Coral)สีเหลืองอมส้ม ในวงกว้างมาก ตอนแรกคิดว่าเป็นพวกปะการังแข็ง แต่พอเห็นการเคลื่อนไหวตามกระแสน้ำจึงมั่นใจได้เลยว่าไม่ใช่ปะการังแข็งอย่างแน่นอน เมื่อมองขึ้นไปบนผิวน้ำ สีน้ำเงินครามของน้ำทะเล มีแสงแดดส่องลงมา เป็น Background ช่างสวยงามมากครับ จนผมอดคิดไม่ได้ว่า นี่คือจุดดำน้ำที่หลายๆคนไม่สนใจ แต่กลับสร้างความสุขให้ผมมาก การกลับมาจากทริปอันดามันเหนือ ไม่ได้ทำให้ผมเบื่อหน่ายที่นี่แม้แต่น้อย

ที่พื้นทรายปลาแพะ(Goat Fish) กำลังใช้หนวดชอนไชไปตามพื้น หนวดที่คล้ายปลาดุกทำให้สามารถสังเกตุพวกเขาได้ง่ายขึ้น จากนั้นผมเห็นปลานิรนามขนาดเล็ก ประมาณ 3-4 ซม ลำตัวสีน้ำเงิน มีลายสีดำตัดจากส่วนหัวไปถึงหาง ส่วนหางมีสีเหลือง ( ไว้ผมทราบว่าเขาชื่ออะไร จะมาแก้ไขอีกครั้งครับ)

ต่อด้วยปลาข้าวเม่าน้ำลึก(Soldierfish) ที่ออกมาแสดงตัวไม่นาน ซักพักพวกเขาก็หลบเข้าไปในซอกปะการัง ผิดจากปลากระรอกลายแดง(Redcoat) ที่ออกมาให้ยลโยมแบบไม่อายใคร(ก็มันบ้านของผม พวกคุณล่ะเป็นใคร?)

เหลือบมองหาปลาตัวต่อไป เจ้าปลาสินสมุทรลายบั้ง(Six-banded Angelfish) ว่ายผ่านไป ผมสังเกตุลักษณะของเขาอย่างแม่นยำเพราะเคยเห็นที่สิมิลันเมื่อช่วงปีใหม่ มีข้อมูลว่าสามารถพบเห็นพวกเขาได้ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพวกเขาในอ่าวไทยและยิ่งเป็นทะเลภาคตะวันออกด้วย(สะใจ)

ปลาผีเสื้อแปดขีดหรือปลาผีเสื้อลายแปดเส้น(Eight-banded Butterflyfish) ลายตามลำตัวคล้ายลายเสือ ถือว่าเป็นชนิดที่พบได้บ่อยมาก ผมเห็นพวกเขากำลังตอดกินปะการัง ช่างมีความสุขเสียจริง

แส้ทะเล(Sea Whip)ด้านหน้าผม พี่ป้อมเรียกให้ผมลงมาดู ซึ่งเดาว่าน่าจะมีสัตว์ทะเลขนาดเล็กแน่นอน เขาคือปู Zeno Crab เกาะอยู่บนแส้ทะเล หลังจากที่ผมค้นหารูปจากในเว็บไซด์เมืองนอก จึงได้รูปเขามา

สัตว์ทะเลอีกชนิดที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักดำน้ำ หากเปรียบเทียบเป็นละคร พวกเขารับบทคนใช้ครับ ทั้งๆที่พวกเขามีความสำคัญกับระบบนิเวศทางทะเลมาก พวกเขาคือ ปลิงทะเลครับ(Sea Cucumber) แต่ที่ผมเห็นนั้น คือ ปลิงขูด(Bohadschia graeffei) มีรายงานว่าพบพวกเขาได้ทั่วไป ตามเกาะห่างไกลชายฝั่ง

นังแจ๋วอีกคน ชื่อว่าฟองน้ำครก(Neptune ‘ s cup sponge) รูปร่างที่คุ้นตานักดำน้ำ คล้ายหม้อขนาดใหญ่ ที่นี่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลหลายชนิดด้วย ลองสังเกตภายในดีๆเถอะครับ อาจโชคดีก็ได้

พี่ป้อมยังเรียกให้ผมลงมาดูที่แส้ทะเล(Sea Whip)อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นปลาบู่ขนาดจิ๋ว หากไม่สังเกตดีๆ จะมองไม่เห็นเลยเพราะขนาดเล็กมาก ประมาณ1-2 ซม เท่านั้น พี่ป้อมบอกว่าจะเห็นเขาได้ตามแส้ทะเลหรือไม่ก็ตามกัลปังหา(Sea Fan) ผมไม่แน่ใจว่าหากเขาอยู่ที่อื่น อาจเป็นอาหารของนักล่าได้ง่ายๆ

กวาดมือออกไปทดสอบตามปะการังโขด มีการเคลื่อนไหวของสิ่งเล็กๆ ที่ฝังตัวอยู่ในปะการังแล้วหดเข้าไป พวกเขาคือหนอนดอกไม้พู่ฉัตร(Christmas ‘ s tree worm) ผมพึ่งรู้ไม่นานมานี้เองว่า พวกเขาชื่อนี้ หลังจากเห็นมานานมาก จากการไปดำน้ำตามสถานที่ต่างๆ(มีทุกที่ที่มีแนวปะการัง)

นอกจากนี้ยังมีทากทะเล(Nudibranch) สีออกเหลืองๆ สดใส น่าเสียดายว่าผมไม่สามารถจดจำรายละเอียดได้มากนัก ตามหนังสือก็ไม่มีรูปเสียด้วยซิ

ก่อนขึ้นสู่ผิวน้ำผมเห็นดอกไม้ทะเล(Sea Anemone) ชนิดที่คุ้นเคย เดาว่าต้องมีปลาการ์ตูนอาศัยอยู่อย่างแน่นอน มองเข้าไปด้านในก็พบ พวกเขาคือปลาการ์ตูนอินเดียนแดง(Pink Anemonefish) นี่เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้นที่ผมเห็นพวกเขาในทะเลภาคตะวันออกหลังจากผมไปดำน้ำตื้นที่เกาะยักษ์ อยู่ภายในเขตหมู่เกาะรัง แม้เวลาจะผ่านมา 2 ปีแล้ว พวกเขาก็คงความน่ารักไม่เคยเปลี่ยนเลย

ก่อนขึ้นจากน้ำ เราทำ Safety Stop น้องโอ๊ตยังคงใช้ท่าลอยตัว ท่าถนัด (แบบกลับหัว)จับพี่ป้อมไว้ ดูๆไปก็เหมือนพ่อ ลูกเหมือนกันนะเนี่ย

ผมประเมินตัวเองได้เลยว่า ผมตีขาได้ถูกวิธี ว่ายน้ำสบายขึ้น แถมใช้อากาศดีขึ้นมาก การหายใจเป็นไปอย่างธรรมชาติ ตัวไม่ติดปะการังเพราะใช้วิธีเติมลม ใน BCD(แต่ตอนเปลี่ยนระดับห้ามลืมปล่อยลมออกนะครับ) นั่นก็คือประสบการณ์การดำน้ำของผม ที่เกิดจากการได้ฝึกปฎิบัติบ่อยๆ ได้เรียนรู้ ทำให้จากไม่เป็นก็เป็น จากไม่เก่งก็เก่งขึ้น

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยังต้องปรับปรุง คือ เลือดกำเดา(ชั่วๆ) ที่ออกมาทุกครั้งเวลาขึ้นจากผิวน้ำ(ไม่มีทางจมูกก็มาทางน้ำลาย) ถึงแม้ว่าจะขึ้นช้ามากก็ตาม(ไดฟ์ไหน ขึ้นมาไม่มีเลือดจะแจ้งให้ทุกท่านทราบครับ คงเป็นเรื่องใหญ่น่าดู)

“ถ่ายอะไร ได้บ้างครับพี่เอ” ผมถาม

“ไม่ค่อยได้หรอกน้อง น้ำมันขุ่นน่ะ” พี่เอพูด

ในทริปครั้งนี้ พี่เอจะเป็นมนุษย์กล้องอย่างแท้จริง เพราะมีทั้งบนบก(กล้องแบบโปร) ส่วนใต้น้ำ(แบบโปรเช่นกัน) สังเกตได้จาก Housing ที่ใหญ่มาก

หลังจากเดินไป เดินมา รอให้ตัวแห้ง ผมรับประทานอาหารกลางวันของทางเรือที่จัดเตรียมไว้แล้ว พร้อมคุยเรื่องไดฟ์แรกที่ลงไปกับเพื่อนๆพี่ๆ(ไม่ต่างกันนักกฎหมายที่เวลาสอบเสร็จ มักจะต้องออกมาถกเถียงปัญหาว่าข้อสอบที่ทำไปว่า ได้ตอบอะไรไปบ้างแล้วเฉลยว่าอย่างไร)

ขึ้นมาพักผ่อนด้านบนพี่ต่อยังคงเป็นเพื่อนซี้กับD-tac เช่นเดิม ในขณะที่คนอื่นๆ บ้างก็หามุมถ่ายรูป บ้างก็หามุมพักผ่อน เห็นพี่ๆบอกกันว่า ออกทริปทะเลตะวันออก มักไม่ค่อยเห็นดิงกี้ แต่เรือลำนี้มี นับเป็นความสะดวกของนักดำน้ำโดยแท้

ด้านหน้าของผม ที่มีทุ่นสีขาวนั้น คือ จุดที่เรือจมสุทธาทิพย์(Hardeep)จมลง อันเป็นจุดดำน้ำไดฟ์ต่อไป เนื่องจากเรือจมสุทธาทิพย์อยู่บริเวณร่องน้ำ จึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดจึงได้ยินว่า น้ำที่นี่แรง แต่การเช็คตารางน้ำมาก่อน ไม่สุ่มสี่ สุ่มห้าลงไป ถือเป็นเรื่องสำคัญมากครับ

จากนั้นพี่ Staff บนเรือ มาอธิบายให้ฟังสำหรับจุดดำน้ำนี้ว่า เรือลำนี้มีอายุ 61 ปีแล้ว(อายุเท่าคุณพ่อผมเลย) หากจะเข้าไปด้านในให้ระมัดระวังเพราะเรือเก่ามาก แต่ผมคิดว่า ผมคงไม่ได้เข้าไปอย่างแน่นอน(ยังไม่อยากเข้าด้วย) สำนึกตัวเองดีครับว่า นี่คือ การดำเรือจมครั้งแรกของผม(เพื่อความปลอดภัย พี่ป้อมไม่พาเข้าไปอยู่แล้ว) แค่ผมได้มีโอกาสลงไป ก็รู้สึกดีมากแล้วครับ

ก่อนทิ้งท้ายว่า เวลาลงให้ตามเชือกลงไปด้านล่าง เวลาจับเชือกให้ระวังเพรียง อย่าจับแบบรูด อาจบาดมือเป็นแผลได้



Dive 26 ความยิ่งใหญ่ของเรือจมสุทธาทิพย์

ผมลงไปตามเชือก แม้จะไม่ได้จับเชือกแต่ก็ดำตามพี่ป้อมลงไป โดยดูระยะห่างให้ดีๆ เพราะน้ำที่นี่ขุ่นกว่าที่เกาะจวงมาก ห่างกันเกิน 3 เมตรก็จะมองไม่เห็นเอา

เมื่อลงมาถึงด้านล่าง ว่ายไปเรื่อยๆ ขณะที่ผมคิดในใจว่า “ไหนวะเรือ ไม่เห็นมีเลย” ก็ต้องตกใจ(เหมือนเจอผี) เพราะเรือสุทธาทิพย์อยู่ด้านข้างผมนี่เอง เห็นได้ชัดว่า ลักษณะเรือเก่ามาก จนมีสิ่งมีชีวิตต่างๆเกาะตามเรือเต็มไปหมด หากไม่สังเกตดีๆ อาจคิดว่า เป็นผาหิน ผาหนึ่ง ผมมองขึ้นไปด้านบน “ไม่ใช่เล็กๆนะเนี่ย ใหญ่โตเหมือนกัน”

มองไปเรื่อยๆ ผมเริ่มเห็นภาพเรือสุทธาทิพย์ที่เหมือนใน Dive Site มาก มีลักษณะตะแคงข้าง มีช่องให้นักดำน้ำมุดเข้าไปด้านในได้ ผมเห็นพี่นัท(จำผ้าโพกหัวได้)และนักดำน้ำจากกลุ่มอื่นๆ มุดเข้าไปด้านใน หากไม่มีไฟฉายแล้ว ยิ่งอันตรายครับเพราะภายในมืดมาก อันตรายในที่นี้ไม่ใช่กับนักดำน้ำอย่างเดียวแต่จะเป็นอันตรายกับสัตว์ทะเลภายในด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเตะไปโดนพวกเขา หรือฟองอากาศของนักดำน้ำที่จะทำให้สัตว์ทะเลที่เกาะตามเพดานเป็นอันตราย ผมมองจากด้านนอกเห็นภายในมืดๆ บอกตามตรงว่ารู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน(ไม่เข้าล่ะดีแล้ว)

ฟองน้ำครก(Neptune ‘ s cup sponge) เกาะอยู่ตามเรือ ซึ่งจะมีสีน้ำตาลอมม่วงด้วย(ไม่ค่อยพบสีนี้บ่อยนัก ปกติเราจะคุ้นกับสีน้ำตาลมากกว่า)

2 ผีเสื้อแสนสวย ที่พบได้บ่อยในทะเลตะวันออกก็ออกมาให้ยลโฉม พวกเขาคือ ปลาผีเสื้อปากยาว(Beak Butterflyfish)และปลาผีเสื้อแปดขีด (Eight-banded Butterflyfish)

ปลาแพะ(Goat Fish) ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ ใช้หนวดคุ้ยเขี่ยตามพื้นทรายตามปกติ

ลำตัวอ้วนๆป้อมๆ สีน้ำเงินอมเทา พวกเขาคือ ปลาปักเป้ายักษ์(Puffer) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Arothron stellatus อยู่ในวงศ์ Tetraodontidae เป็นปลาปักเป้ากลุ่มที่ใหญ่ที่สุด เมื่อผมเปิดดูหนังสือ ATG ตอน “ปักเป้า เร้าใจ” ทำให้ไขข้อสงสัยในเรื่องชนิดของปลาปักเป้าที่ค้างอยู่ในใจมานาน

ปลาอีกหนึ่งตัวที่ผมเคยเห็นมานานหลายปี ในไดฟ์นี้ก็เห็น พวกเขามักจะชอบว่ายไปมาอย่างซุกซน พฤติกรรมคล้ายปลาขี้ตังเบ็ด(Surgeonfish) พึ่งจะมารู้ชื่อ พวกเขา คือ ปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish)นั่นเอง

ผมตีขาออกไปจากเรือ ตามพี่ป้อม พี่ประพนธ์ น้องโอ๊ต เป็นสัญญาณว่าเตรียมตัวขึ้นได้แล้ว ด้วยน้ำที่ขุ่นเผลอแปบเดียวทำให้ผมไม่เห็นใครอีกเลยนอกจากพี่ดิ้นและพี่เอ(แกมีกล้องขนาดใหญ่ สังเกตง่ายครับ)

แม้ผมจะได้ยินเสียงพี่ป้อมเคาะ Pointer แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไม่เห็นใครอีกเลยครับ จึงต้องใจจดใจจ่อกับสมาชิกให้มากที่สุด(ดีกว่าอยู่คนเดียวละนะ) อีกอย่างผมก็จะต้องช่วยดูพี่ดิ้นด้วย เผื่อพี่เอหายไปอีกคน ผมก็จะต้องช่วยเหลือเพื่อนนักดำน้ำด้วยกัน

เมื่อทำ Safety Stop ผมพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว นึกขึ้นได้ว่าเติมลมใน BCDไว้พอเปลี่ยนระดับ ไม่ได้ปล่อยลมออก จึงต้องรีบปล่อยลมออก แต่ผมรู้สึกได้ในทันทีว่า การขึ้นเร็วนั้นไม่ดี มีความรู้สึกมึนๆหัวด้วยครับ(พี่ดิ้นแกก็ตามมาด้วย ) ตอนนั้นประมาณ 3 เมตรครับ ขึ้นไปอีกนิดก็ผิวน้ำแล้ว

แต่ผมกับพี่ดิ้นก็ยังอุตส่าห์ลงมา ทำ Safety Stop กับพี่เออีกครั้ง(ความพยายามสูงมาก) อย่างน้อยก็อุ่นใจว่า พี่เอมี Dive Com อยู่ด้วยยังไงก็ปลอดภัย อีกอย่างแกมีประสบการณ์ดำน้ำมากกว่าผมด้วย

ที่ผิวน้ำ ผมคลื้นไส้จนได้ น่าจะเกิดจากการขึ้นเร็วๆ เมื่อซักครู่ จนผมต้องบอกพี่ๆว่าให้ไปห่างๆ ผมอาจต้องให้อาหารปลาได้(สุดท้ายก็ไม่ออกครับ มีแค่กลิ่นขมๆ แล้วจะอธิบายทำไมเนี่ย)

เป็นอันสิ้นสุด 2 ไดฟ์ สำหรับการดำน้ำในวันแรก ผมเก็บ หน้ากาก(Mask) อุปกรณ์ส่วนตัวชิ้นเดียวที่มี ล้างน้ำจืด ก่อนผึ่งให้แห้ง เก็บเข้ากระเป๋า โดยมีผลไม้อย่างสัปปะรดที่ถูกปากผมมากๆ หวานฉ่ำอร่อยจริงๆ

ผมและพี่แห้วคุยกับ พี่ประพนธ์ ผมจึงพึ่งรู้ว่า พี่ประพนธ์พึ่งดำเป็นไดฟ์ที่ 2 เท่านั้น ในวันนี้(หลังจากฝึกดำเล่นๆมาแล้ว) สร้างความแปลกใจให้ผมกับพี่แห้วมาก เพราะคิดว่าพี่ประพนธ์เป็นทหารเรือและอาจเป็น Staff ของเรือลำนี้ด้วย(แกใส่เสื้อแขนยาวสีดำ เขียนว่า นาวิกโยธิน จะไม่ให้คิดได้อย่างไร)

ขึ้นมาด้านบน มองเห็นเรืออยู่ไกลๆ นั่นคือเรือรบหลวงจักรีนฤเบศน์(เขียนข้างๆว่า 911) ที่คราวก่อนผมมาเที่ยวกับครอบครัวแต่ไม่ได้ขึ้นไปด้านบนเพราะมาช้าเกินไปนั่นเอง

เรือมาจอดเทียบท่าเรือห้องเย็นอีกครั้ง เราถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกก่อนจะเดินทางกลับโรงแรม ระหว่างทางชาวประมงขนปลาขึ้นมาบนรถเข็น 2 ตัว ขนาด 1-2 เมตร พวกเขา คือ ปลากระโทงเทงหรือที่เรียกติดปากในกลุ่มนักตกปลาว่า Marine Fish แววตาของทั้งคู่ แน่นอนว่าเสียชีวิตแบบไม่มีความสุข เชื่อหรือไม่ว่า ชาวประมงตกขึ้นมาโดยใช้สายเบ็ดและมือเท่านั้น(เขาเล่าแบบนั้นครับ ) เดินต่อไปเล็กน้อยมีปลาหมึกที่ชาวประมงจับขึ้นมาตากแห้งไว้ด้วย

นั่งกระบะพี่ดิ้นกลับมาที่โรงแรมอีกครั้ง แต่ละคนแยกย้ายกันอาบน้ำ แต่ผมเลือกที่จะนั่งดูเคเบิ้ลทีวีของที่นี่ ผมชอบมากเพราะฉายหนังใหม่ๆดีๆ ไม่แพ้ยูบีซี เช่น The Mummy Return, Batman Begin เป็นต้น ก่อนที่จะมาเล่นสลาฟ กับพี่โก้ เจี๊ยบ เดียร์และน้องโอ๊ต ซึ่งบุญมีแต่กรรมบัง เพราะเป็นสลาฟมา 3 ตา พอตา ที่4 กำลังจะได้เป็น คิง กลับถึงเวลาไปทานข้าวเย็นเสียได้ (ดวงผมดี จังเลย เฮ้อ)

เดินไปทานร้านอาหารทะเล ที่คุ้นเคย “ร้านเจ๊จุก” วันนี้คนน้อย อาหารเลยไม่ช้ามากนัก โดยมีพี่แห้วตามมาทีหลัง เพราะไปดูงานมาเล็กน้อย ส่วนพี่ประพนธ์ก็มาร่วมรับประทานอาหารกับเราด้วย

จากนั้น เราเดินต่อไปกินไอศครีมที่ร้าน SWENSEN นานมาแล้วที่ผมไม่ได้ทาน ล่าสุดก็คือการมาดำน้ำ scuba ที่พัทยาครั้งแรกนั่นเอง

เราทุกคนร่ำลา พี่เอ(เจ้าของกล้องมหึมา) เพราะต้องกลับกรุงเทพในวันนี้แล้ว(มีธุระในวันรุ่งขึ้น) ตามธรรมเนียม ผมก็ไม่ลืมที่จะยื่น Log Book ให้เพื่อนใหม่ในการดำน้ำเขียนเช่นเคย

กลับมาที่ห้องของผม(ห้องนั่งเล่นนั่นแหละ) สมาชิกเล่นไพ่กันอีกครั้ง วันนี้เล่นป๊อกเด้งแบบกินตังค์ด้วย แต่ผมมีลิมิตของตนเอง ไม่หน้ามืดตามัวเล่นตลอด (ตำรวจครับ เชิญจับได้เลย ท้า)

ซักพักใหญ่น้องออมก็มาถึง เมื่อวงป๊อกเด้งเลิก ก็ต่อด้วยสลาฟแบบสนุกๆ(แพ้กินน้ำ) ผมได้เรียนรู้ไพ่ใหม่ๆ เช่น อีแก่กินน้ำ(อันนี้เจี๊ยบแนะนำ) และที่เรียกเสียงได้ฮามาก คือไพ่ Killer ที่น้องออมมาอธิบายให้พี่ๆทุกคน ที่เล่นไม่เป็นได้ฟัง

ตอนแรกคิดว่า คงไม่มีอะไรที่สนุกแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงสนุกมากครับ ต้องขอขอบคุณน้องออมมานะที่นี้ ที่เอาเกมสนุกๆมาให้พี่ๆได้เล่นกัน

เมื่อได้เวลา เราแยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะยังมีโปรแกรมดำน้ำอีกหนึ่งวัน รออยู่



5 กุมภาพันธ์ 2549

เช้าตรู่ เวลาเดิม ผมลงมารับประทานอาหารเช้า โต๊ะแรกมีน้องออมและคุณแม่ โต๊ะที่สอง มีเจี๊ยบ เดียร์ น้องโอ๊ต พี่ต่อ พี่พิช พี่ดิ้น พี่ป้อม พี่โก้ พี่แห้ว พี่นัท เมื่อไม่มีที่ว่าง(ของพอส) ผมเลยไปนั่งคุยกับพี่หนึ่งและพี่ปุ๊ย

ผมกินไม่มากนักเพราะคุยกับพี่ๆเสียส่วนใหญ่ พี่หนึ่งสาว Creative ถือเป็นสาวนักดำน้ำตัวยงคนหนึ่งเหมือนกัน เพราะไปดำถึงสิปาดันมาแล้ว แถมไปคนเดียวก็บ่อย จึงตรงกับความคิดของผมที่ว่า การท่องเที่ยวหากจะรอเพื่อนไปด้วยทุกๆครั้งอาจทำให้พลาดโอกาสสำคัญๆไป เพราะเราว่างไม่ตรงกันอยู่แล้ว

ส่วนพี่ปุ๊ยแห่งเนชั่น ทำงานเกี่ยวกับเว็บไซด์ แม้จะดำน้ำยังไม่ค่อยบ่อยนัก หลังจากพึ่งจบ Open Water มา(หนียอดรักมาดำน้ำด้วย) แต่การมาครั้งนี้ถือเป็นการพัฒนาทักษะการดำน้ำให้แกร่งขึ้น

วันนี้สองสาวอย่างเจี๊ยบ เดียร์ สมใจนึก ได้นั่งกระบะหลังจนได้(แต่ไม่รู้ว่า สภาพการเมื่อยก้น หัวฟู จะยังอยากนั่งอีกไหม) ส่วนคนขับอย่างพี่ดิ้นหันมานั่งรถตัวเองบ้างโดยมีพี่พิชเป็นคนขับ

เมื่อถึงท่าเทียบเรือห้องเย็น ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบขนมมาจากห้อง เลยถูกสมาชิกทั้งหลายสวดเอา เท่ากับว่าขนมบนเรือ(ฟรี) จะได้รับการอุดหนุนอย่างล้นหลามแน่นอน

พี่ Staff ของเรืออีกคนหนึ่ง(คนละคนกับเมื่อวานนี้) Brief ให้ฟังถึงจุดดำน้ำไดฟ์แรกวันนี้ ชื่อว่าเกาะอีเลา โดยบอกว่า อาจจะเจอปักเป้ากล่อง กระเบนจุดฟ้า ทากทะเล กระเบนนก ฝูงปลากระมง เป็นต้น ซึ่งมีสิ่งที่ต้องจำคือ หากอากาศเหลือ 50 Bar หรือ 500 Psi ให้เตรียมตัวขึ้นสู่ผิวน้ำได้

พี่ป้อมแจก Pointer(ลักษณะเป็นแท่งเหล็กสีเงิน) ให้พี่ๆน้องๆ สำหรับรางวัลการโพสเกิน 300 กระทู้ขึ้นไป นี่ถือเป็นอุปกรณ์ใหม่ถอดด้ามของผม ต่อไปนี้หากผมมีปัญหาใต้น้ำหรือพบสัตว์แปลกๆ ผมก็สามารถใช้อุปกรณ์ที่ว่านี้เคาะแท็งค์ของตัวเองให้เกิดเสียงเพื่อเรียกทุกคนได้ นอกจากนี้ Pointer ยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย

Friday, February 10, 2006

เปิดโลกทะเล…สัตหีบ(1)


วันหยุดสุดสัปดาห์ทีไร หลายๆคนมักเลือกไปพักผ่อนที่ทะเล หนึ่งในคำตอบของพวกเขาเหล่านั้น คือ จังหวัดชลบุรี ซึ่งก็คงนึกถึงพัทยาเป็นอันดับแรก เพราะเป็นจังหวัดที่ใกล้กรุงเทพ เดินทางสะดวก ด้วยเหตุนี้เองทะเลที่นี่จึงไม่เคยเงียบเหงา ถึงแม้จะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ตาม

คนส่วนใหญ่อาจจะคุ้นเคยกับ ผลิตภัณฑ์ครกที่อ่างศิลา เมืองจำลอง สถานเริงรมย์ต่างๆ หาดจอมเทียน ที่พัทยาใต้ หาดตาแหวน ที่เกาะล้าน เป็นต้น

แต่จริงๆแล้วทะเลเมืองชล มิได้มีแค่นั้น ห่างออกไปจากพัทยาหลายสิบกิโลเมตร ทะเลสัตหีบ ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกว่าที่พัทยามาก หาดเตยงาม หาดทรายขาวละเอียดภายในศูนย์บัญชาการนาวิกโยธิน ถัดออกไปไม่กี่กิโลเมตร จะเห็นความยิ่งใหญ่ของเรือรบหลวงจักรีนฤเบศน์ อีกทั้งการนมัสการหลวงพ่ออี๋ เกจิกาจารย์ชื่อดังที่เซียนพระหลายคนต้องรู้จัก เป็นต้น

2 ปีที่แล้ว ช่วงปีใหม่ ผมหลีกหนีความจำเจที่พัทยา มุ่งหน้าสู่ทะเลสัตหีบกับครอบครัว ที่หาดเตยงาม ภายในศูนย์บัญชาการนาวิกโยธินนี้เอง สร้างความประทับใจกับผมและครอบครัวมาก เพราะอยู่ในเขตทหาร แม้จะเข้มงวดบ้างแต่เป็นเรื่องที่ดีกับทัศนียภาพที่นี่ น้ำทะเลที่ใสสะอาด น่าลงเล่น หาดทรายขาวละเอียด

หากตัดเกาะที่อยู่ไกลจากฝั่ง เช่น เกาะล้าน(กรณีนั้น หาดทรายขาว น้ำทะเลใสกว่า ที่ฝั่งอยู่แล้วครับ)

หากมีคนถามผมว่า ท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรี หากไม่อยากนั่งเรือไปที่เกาะ ทะเลแห่งใดน่าลงเล่นน้ำมากที่สุด

ผมตอบได้อย่างไม่ลังเลว่า ทะเลสัตหีบครับ

…………..


“ ต้นเดือนกุมภา ไปดำน้ำสัตหีบกันไหม” เสียงเพื่อนๆในกลุ่มดำน้ำ ไม่ว่าจะเป็นพี่ต่อ พี่พิช พี่โก้ เจี๊ยบ เดียร์ น้องโอ๊ต น้องออม เป็นต้น ทั้งการโต้ตอบกันทางเว็บบอร์ดและทางโทรศัพท์ และแน่นอนว่าจะต้องมีพี่ป้อม ครูสอนดำน้ำ รวมอยู่ในนั้นด้วย

หลังจากกลับมาจากทริปอันดามันเหนือช่วงปีใหม่ ทำเอาสภาวะเงินบาทในกระเป๋าตังค์ของผม ไม่สู้จะดีนัก บางวันต้องกินข้าวคลุกน้ำตา(ไม่ใช่น้ำปลา) ถ้าอยากให้กิเลสครอบงำอีกครั้ง ผมก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุด

หากเป็นแค่ทะเลพัทยา ผมก็อยากไปแบบไม่ลังเลอยู่แล้ว(แม้จะเป็นจุดดำน้ำจุดเดิม ที่เคยไปแล้วก็เถอะ ทั้งนี้เพราะการได้ลงไปหาเพื่อนใหม่และเก่าใต้ทะเล ไม่มีคำว่าเบื่อสำหรับผม)

ยิ่งเป็นทะเลสัตหีบ มันทำให้ผมอยากไปมากขึ้น แม้ที่นี่จะมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนักสำหรับนักดำน้ำหลายๆคน กับกระแสน้ำที่แรง(ผมเคยอ่านเรื่องจากนิตยสาร อสท ที่นักดำน้ำหลุดไปจากกลุ่มเพราะกระแสน้ำที่แรงของที่นี่)

แต่ผมก็ไม่กลัวเท่าไรนัก เพราะพี่ป้อมได้เช็คตารางน้ำเรียบร้อยแล้ว ในวันที่เราจะไปนั้น กระแสน้ำจะอยู่ในช่วงเบาหากเปรียบเทียบกับทุกๆวัน

นักดำน้ำหลายคนอาจคิดว่า จุดดำน้ำที่จังหวัดชลบุรี จะไปสู้สุดยอด ทะเลอ่าวไทยแถบชุมพร ,กองหินโลซิน จังหวัดนราธิวาส หรือจะไปสู้สุดยอดทะเลอันดามันเหนือ อย่าง หมู่เกาะสุรินทร์ กองหินริเชริว, หมู่เกาะสิมิลัน เกาะบอน เกาะตาชัย หรือจะไปสู้สุดยอดทะเลอันดามันใต้ อย่าง หมู่เกาะพีพี หินแดง-หินม่วง, หมู่เกาะตะรุเตาได้อย่างไร

พูดอีกก็ถูกอีกครับ ว่าสู้ไม่ได้ แต่การเปรียบเทียบสถานที่เวลาไปดำน้ำ จะทำให้ความสนุกลดน้อยลง

หากไม่ใช่คนร่ำรวยมาก การไปทริป Liveaboard ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง เต็มที่ก็ได้แค่ปี 1-2 ครั้งเท่านั้น(และยังมีปัญหาการเพ่งเล็งจากเจ้านายอีก หากไม่ใช่งานที่อิสระมากนัก)

ที่สำคัญ จุดดำน้ำที่จังหวัดชลบุรี ยังมีจุดดำน้ำที่น่าสนใจ อีกทั้งสัตว์ทะเลแปลกๆ อีกมากมาย และยิ่งสามารถเดินทางไปได้สะดวกทุกสุดสัปดาห์ด้วยแล้ว

การปิดโอกาสของตนเองเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ สำหรับผม ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากครับ

…………



3 กุมภาพันธ์ 2549

เปลี่ยนแผนการเดินทางเล็กน้อย จากที่ผมจะต้องเดินทางโดยรถตู้เหมา ก็มาเดินทางโดยรถส่วนตัวแทน มีเพื่อนใหม่หลายคนยกเลิกการเดินทางไปเพราะมีหนึ่งในสมาชิกต้องประสบเหตุ ไฟไหม้บ้านแถบพลับพลาไชย จากที่ต้องไปพักที่สัตหีบ ก็กลับมาพักที่พัทยาแทน เพราะน้องโอ๊ตจองที่พักไม่ได้ (ในเขตทหาร เข้มงวดครับ และเป็นการจองมากกว่า 1 วันด้วย แถมจะมีการขอชื่อทุกคนอีก ยุ่งยากจริง)

และจากที่ต้องเดินทางไป รอเพื่อนๆที่เซ็นทรัล บางนา ก็เปลี่ยนมารอเจี๊ยบที่เซ็นทรัลรามอินทราแทน ซึ่งใกล้บ้านผมกว่ามาก โดยผม เจี๊ยบ พี่โก้(ปาปารัซซี่)และน้องโอ๊ต จะเดินทางไปด้วยกัน

ส่วนอีกคันจะเป็นพี่ต่อ พี่พิช เดียร์และ พี่ดิ้น(ถูกชักชวนให้มาดำน้ำ โดยพี่ต่อและพี่พิช และจะมาสอบ Open waterด้วย)

พี่ป้อมจะเดินทางไปกับพี่ปุ๊ย(ชายหนุ่ม ร่างอ้วน แห่งเนชั่น)และพี่เอ( ผมเคยเห็นภาพถ่ายของเขา เดาได้ว่าเป็นคนที่ชอบการเดินทาง การท่องเที่ยว)

พี่นัท(หรือพี่แห้ง)กับพี่แห้ว(พี่ศักดิ์ชัย) สองพ่อลูกนักดำน้ำจะมาถึง ในเช้าวันเสาร์

น้องออม(น้องสาวพี่อ๊าตหรือพี่หัวหมึก พี่เวรของผมสมัยเรียนนั่นเอง)และคุณแม่ ซึ่งเป็นสองแม่ลูกนักดำน้ำเช่นกัน จะมาถึงใน คืนวันเสาร์

และยังมีอีกหลายคน ที่ผมยังไม่ทราบว่า จะเป็นใครบ้าง

หลังจากนัดเจอเจี๊ยบที่เซ็นทรัลแล้ว ผมและเธอไปรอพี่โก้ที่ปั้มบางจาก แถวรามอินทราเช่นกัน จากนั้นก็ไปรับน้องโอ๊ตแถวรามคำแหง และมุ่งหน้าสู่ จุดพักรถ(Rest Area) ที่มอเตอร์เวย์ ซึ่งเราตกลงกันว่า จะไม่หิ้วท้องรอ เพราะกว่าจะถึงพัทยา ก็ดึกแล้ว เราต้องพักผ่อนสำหรับการดำน้ำในวันรุ่งขึ้นด้วย

ที่นี่เรานัดเจอพี่ต่อ พี่พิช พี่ดิ้นและเดียร์ โดยมีข้าวแกง ที่ร้านแห่งหนึ่ง เป็นอาหารเย็นของผมในวันนี้(แม้ยังไม่ถึงทะเลแต่คลื่น Dtac ก็ดูจะมีความหมายกับพี่ต่อมากที่สุด)

เราถึงโรงแรม กัลฟ์ สยาม(Gulf Siam Hotel) เกือบๆ 5 ทุ่ม โดยมีคุณลุงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมคนเดิม มาให้การต้อนรับ

ที่ห้อง 215 ซึ่งเป็นห้องของผม พี่โก้ น้องโอ๊ต และถือเป็นห้องนั่งเล่นของทุกๆคนด้วยในทริปนี้ เมื่อมารวมตัวกันอีกครั้ง กิจกรรมยอดฮิตของนักดำน้ำ คือ การเล่นไพ่ เรียกเสียงเฮฮาได้ พอสมควร

เมื่อพี่ป้อมมาถึง ก็เข้ามานั่งคุยด้วย ก่อนที่ประมาณตี 1 ทุกๆคนจะแยกย้ายกันกลับห้องเพื่อพักผ่อน พี่ป้อมนัดทานเข้าเวลา 7 โมง ก่อนที่จะออกเดินทางเวลา 8 โมง


4 กุมภาพันธ์ 2549

เป็นเรื่องที่ดี เมื่อพี่โก้ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกของผมแต่ไม่กดให้ ทำให้ผมต้องลุกขึ้นมากดเอง ก็เลยต้องตื่นโดยปริยาย แล้วก็ไม่ใช่เวลาที่ผมจะนอนต่อด้วย

หลังจากทำกิจวัตรยามเช้าเสร็จเรียบร้อย เราลงมาด้านล่างเพื่อรับประทานอาหารเช้าของโรงแรม เช่น ไส้กรอก แฮม ไข่ดาว เป็นต้น ซึ่งทุกๆคนลงมาพร้อมกันเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงพี่ป้อมเท่านั้น

เช้านี้ผมเจอพี่ปุ๊ย พี่หนึ่ง อีกทั้งยังได้รู้จักพี่เอ พี่เก๋ 2 คู่รักนักดำน้ำ

ก่อนออกเดินทาง เรารอพี่แห้วและพี่นัท ที่โรงแรม เมื่อมาถึงแล้วจึงออกเดินทางไปสัตหีบพร้อมๆกัน โดยผม พี่พิช พี่ต่อ พี่ปุ๊ย น้องโอ๊ต นั่งกะบะหลัง รถของพี่ดิ้น(พร้อมเกียร์แบค) ปล่อยให้ 2 สาวอย่างเจี๊ยบและเดียร์ผิดหวังเล็กๆเพราะอยากนั่งกะบะหลังมาก (จริงๆนั่งข้างหลังก็ไม่สบายนักหรอก เมื่อยก้นด้วย ให้ผู้ชายลำบากเถอะ)

ที่กะบะหลัง พี่ต่อจุดประกายเรื่องคุณสนธิและคุณทักษิณขึ้นมา ประกอบกับในวันนี้จะมีการชุมนุมกันด้วย ก็เลยคุยกันยาว ผมและน้องโอ๊ตทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี เพราะพี่ปุ๊ย พี่พิช พี่ต่อ ก็ได้ติดตามข่าวสารโดยตลอดเหมือนกัน ผมคงไม่บอกว่าใครเห็นด้วยกับใครบ้างเพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ขอให้การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบไม่เสียเลือดเสียเนื้อเป็นพอ(ก่อนมาวันนี้ ผมคุยเอ็ม เอส เอ็น กับเพื่อนคนไทยที่ไปทำงานในสิงค์โปร ยังเกือบทะเลาะกันด้วยความเห็นที่ไม่ตรงกัน พอมาเมื่อคืนนี้ มีข่าวว่าเด็กใต้แทงกันจนเสียชีวิต เพราะมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องนี้ เห็นไหมครับ ว่า เรื่องการเมือง บางครั้งก็อันตรายในวงสนทนา)

รถมาถึงท่าเทียบเรือห้องเย็น ซึ่งเรือของครูมาร์ลิน(หรือพี่เบิ้ม)จอดที่นี่ ก่อนหน้านี้ผมเคยได้อ่านบทความของครูมาร์ลินเกี่ยวกับเรื่องดำน้ำ มีประโยชน์มากครับ ไม่คิดว่าวันหนึ่งอาจจะได้มีโอกาสเจอเจ้าของบทความด้วย

นอกจากนี้ พี่ป้อมยังแนะนำให้รู้จักกับพี่เอ เจ้าของกระทู้ว่าไปเที่ยวทะเล แต่ภายในมีแต่รูปบนดอยซะมาก พึ่งมีรูปทะเลตอนกระทู้หลังๆนี่เอง(แซวนีส นึง)

เดินตามสะพานมาเรื่อยๆ สุดทางเราพบเรือประมงดัดแปลงขนาด 3 ชั้น ชื่อ เนาวรัตน์ ทาสีแดงสลับสีครีมทั้งลำ(ข้างๆมีเขียนว่า Marlin Divers ด้วย) ก่อนขึ้น ลูกเรือให้ถอดรองเท้าเก็บไว้ในถัง เพื่อความสะดวก

ขณะนี้ทุกคนกำลังหยิบอุปกรณ์จากเกียร์แบคที่เขียนชื่อของตนเอง เช่น BCD , Regulator มาประกอบกับถังอากาศเพื่อความสะดวก ก่อนลงไดฟ์แรก จะได้ไม่เสียเวลามากนัก ผมถ่ายรูปเรือไปพลางๆ รอให้คนเริ่มน้อยจึงไปประกอบอุปกรณ์บ้าง

น้ำทะเลนิ่งมาก นิ่งจนผมแปลกใจ มองออกไปไกลๆจึงได้คำตอบว่า ขณะนี้เรืออยู่ภายในกำแพงหินที่สามารถป้องกันคลื่นได้นั่นเอง

ไม่นานนักทุกคนก็ลงมาชั้นล่างของเรือ เพื่อฟังพี่คนหนึ่งแนะนำเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกในเรือลำนี้ เช่น Dry Zone คือ บริเวณนี้ หากตัวเปียกกรุณาอย่าเข้ามา น้ำดื่ม ขนม ห้องน้ำอยู่ทางไหนบ้าง เป็นต้น

ต่อด้วยการบอกคร่าวๆว่า วันนี้จะมี 2 ไดฟ์ คือ เรือจมสุทธาทิพย์ และเกาะจวง แต่ต้องดูกระแสน้ำก่อน หากที่สุทธาทิพย์กระแสน้ำแรงในช่วงเช้า(จะเบาในช่วงบ่าย) เราก็จะลงไดฟ์แรกที่เกาะจวงก่อน

ตอนนี้พี่ป้อมแนะนำสมาชิกบนเรือให้ทุกๆคนรู้จัก เริ่มจาก พี่แห้ว พี่นก พี่ปุ๊ย พี่หนึ่ง พี่เอ พี่พิช พี่ต่อ พี่ดิ้น เจี๊ยบ เดียร์ พี่เอ พี่เก๋ พี่ประพนธ์ พี่โอ๋และพี่อ้วน ต่อด้วยการแบ่งกลุ่มว่า ในชุดไหนจะมีใครลงบ้าง เพื่อความสะดวกในการดูแล ดีกว่าการลงชุดเดียวหลายๆคน

น่าเสียดายว่า ครูมาร์ลิน ติดธุระมาวันนี้ไม่ได้ ผมเลยอดพบตัวจริงของเจ้าของบทความเกี่ยวกับการดำน้ำ

ไม่นานนัก พี่ลูกเรือได้เข้ามาบอกว่า หลังจากได้เช็คกระแสน้ำแล้ว ในไดฟ์แรกเราจะลงกันที่เกาะจวง ซึ่งจุดเด่นคือ ปะการังอ่อน(Soft Coral)หลากชนิดนั่นเอง

Wednesday, February 01, 2006

รักแท้….. ดูแลได้



“ฉันเป็นคนโง่……มีรักแท้อยู่ ดูแลไม่ได้…..” ฮิตติดปากวัยรุ่นในเวลานี้ คือเพลงของโปเตโต้ ชื่อเพลง รักแท้ดูแลไม่ได้


วันนี้เราจะไม่ได้มาคุยกันเรื่องเพลงครับ แต่จะมาพูดรายการตีสิบ ของเสี่ยวิทวัส ที่ผมได้ชมเมื่อวานนี้


แขกรับเชิญ คือคุณอู๊ด ชายหนุ่มวัยกลางคน มีอาชีพขายน้ำเฉาก๊วย ย่านฝั่งธน ฟังดูก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกใช่ไหมครับ?


แต่ภริยาของคุณอู๊ดที่มาในรายการนี้ด้วย ชื่อคุณเล็ก เธอเป็นสาวแขกที่มีเนื้องอกขนาดใหญ่ใต้ตา ลูกตาถลนออกมาเล็กน้อย ใบหน้าเสียโฉมไปเยอะพอสมควร(ไม่สามารถสวมแว่นตาได้) เด็กๆที่เห็นหน้าก็ร้องไห้ด้วยความกลัว เธอไปทำงานที่ไหน ก็ไม่มีใครรับเข้าทำงาน


คุณอู๊ดเล่า ชีวิตจริง ที่ไม่ได้อยู่แต่ในละครเพียงอย่างเดียวว่า ครั้งแรก เขามาทำงานขายเฉาก๊วยในซอยเล็กๆ ย่านฝั่งธน ซึ่งเป็นย่านของคนแขกอาศัยอยู่


เขาเป็นคนที่ชอบหนังแขกมาก จึงมีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้ต้องมีภริยาเป็นสาวแขก ว่าแล้วก็บนต่อศาลแห่งหนึ่ง บอกเจ้าพ่อว่า ถ้าได้ภริยาเป็นสาวแขก จะมารำแก้บน


หลังจากนั้น 3 อาทิตย์ คุณอู๊ดเจอคุณเล็กในตู้โทรศัพท์ ครั้งแรกที่ได้เห็น แม้คุณเล็กจะมีใบหน้าที่ไม่ปกติ แต่คุณอู๊ดก็ไม่รู้สึกรังเกียจ ตรงกันข้ามกลับสงสารคุณเล็กมาก


“มองอะไรเหรอ” คุณเล็กพูด


“ปล่าวมองนะ” คุณอู๊ดยิ้มๆ


หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้พบกันบ่อยขึ้น วันหนึ่งขณะที่คุณเล็ก เพื่อนคุณเล็ก และคุณอู๊ด สนทนากัน


“เล็กทานมังสังวิรัติน่ะ” คุณเล็กบอกเพื่อน


“ผมไม่ทานมังสังวิรัติครับแต่ผมอยากกินคนที่ทานมังสังวิรัติ” คุณอู๊ดพูด


เป็น 1 ดอก ที่บ่งบอกชัดเจนว่า แม้ภายนอกคุณเล็กจะดูน่าเกลียดน่ากลัว กลับไม่ทำให้จิตใจคุณอู๊ดสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย


ซึ่งหลังจากนั้น ทั้งสองก็ได้แต่งงาน มีชีวิตอยู่ร่วมกัน โดยที่พ่อและแม่ทั้งสองฝ่ายยินดี


“ชอบคุณอู๊ดที่ไหนครับ” คุณวิทวัสถาม


“เขาเป็นคนขยัน เก็บเงินเก่ง ที่สำคัญเป็นคนดีมาก” คุณเล็กเล่า พร้อมภาพประกอบจากรายการตีสิบ


ทุกๆวัน คุณอู๊ดจะตื่นแต่เช้า นำเฉาก๊วยไปขาย โดยมีคุณเล็กช่วยเตรียมอุปกรณ์ โดยคุณอู๊ดให้คุณเล็กเป็นแม่บ้าน โดยขายเสร็จประมาณ 5 โมงเย็น


แม้คุณวิทวัสจะบอกว่า ความสงสารกับความรักเป็นคนละเรื่อง แต่สำหรับคุณอู๊ด เขายอมรับว่า เริ่มจากความสงสารก่อน เมื่ออยู่ด้วยกัน เห็นจิตใจที่ดีงามของฝ่ายหญิงจึงประทับใจและเกิดเป็นความรัก(ฝ่ายหญิงก็เห็นความดีของคุณอู๊ดเช่นกัน)


ปัจจุบัน คุณเล็กได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์ ร พ เวชธานี ทำให้หน้าตาเธอเกือบจะเป็นปกติ(คุณหมอให้ความเห็นว่า ผ่าตัดได้เพียงครั้งเดียวหากผ่าครั้งต่อไปอาจเกิดอันตรายได้ )


แม้ใบหน้าของคุณเล็กจะไม่เป็นปกติ 100 เปอรเซ็นต์(ซัก60 เปอร์เซ็นต์) แต่ในตอนนี้เธอก็สวมแว่นตาได้แล้ว แถมสวยขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก(ระดับนางเอกหนังแขกได้เลย) ซึ่งเธอดูจะพอใจมาก


ผมนั่งดูรายการ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม รู้สึกชื่นชมในความรักของทั้งสอง


นี่อาจเป็น 1 ตัวอย่างอันน้อยนิดของสังคมไทย ที่ชายหนุ่มจะมาครองรักกับสาวที่หน้าตาประหลาด


“ไม่ว่าใครจะมองเล็กอย่างไร เล็กสวยสำหรับพี่เสมอ” เป็นคำคม ของคุณอู๊ดก่อนปิดรายการ


สโลแกนที่ว่า “คนดีก็ต้องอยู่คนเดียว” คงใช้ไม่ได้สำหรับคุณอู๊ดและคุณเล็กครับ