Thursday, June 30, 2005

ข่าวดีจากคุณครู


เมื่อคืนวาน พี่ป้อม Instructor ของผม(อ ผู้สอนดําน้ำ ผู้ออกบัตร Open Water ให้) โทรศัพท์มาถามเกี่ยวกับสารทุกข์ สุกดิบ แล้วยังถามอีกว่า ยังโพสเรื่องเล่า ลงในwww.talaythai.com อยู่อีกไหม ผมก็ว่ายังโพสอยู่เรื่อยๆ ถ้ามีเรื่องท่องเที่ยวทะเล

พอแกพูดคําว่าอยากมีเรื่องเขียนอีกไหม? เท่านั่นแหละ ผมก็รู้ตามสัญชาติญาณทันทีว่า แกจะชวนผมไปดําน้ำ ที่สําคัญเป็นพัทยาแหล่งดําน้ำใกล้ๆ กรุงเทพที่หลายๆคนมักจะมองไม่เห็นค่า แต่สําหรับผมแล้วที่นี่มีสิ่งต่างๆที่น่าค้นหาอีกมาก สําหรับเด็กหนุ่มผู้บ้าคลั่งในการดําน้ำอย่างผม

เวลาเราดําน้ำ เราไม่จําเป็นที่จะต้องดํากับ Instructor ของเราเสมอไป เพราะคงยากที่จะมีเวลาว่างตรงกัน ที่สําคัญขืนรอไปทุกๆครั้ง อาจพลาดทริปสําคัญไปก็ได้ แต่ถ้ามีโอกาสแล้ว การได้ดํากับ Instructor ของเรา ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะครูผู้สอนย่อมรู้ดีว่าเราคล่องขนาดไหน มีข้อเสียอย่างไร ที่สําคัญความปลอดภัยย่อมสูงตามไปด้วย

คราวนี้ถือเป็นโอกาสดี ที่ผมปฎิเสธไม่ลงเพราะพี่ป้อมปกติจะออกทริปพัทยาน้อยถึงน้อยมาก(ส่วนใหญ่จะอยู่แถวชุมพรเสียมากกว่า) ครั้นผมจะตามไปถึงชุมพรบ่อยๆ ก็คงลําบากเพราะเป็นโรคทรัพย์จาง(ยิ่งไกลก็ยิ่งแพง)

ช่วงสัปดาห์หน้า ผมอาจจะหาเวลาว่างซัก 1 วัน ไปสระกับพี่ป้อม เพื่อฝึกตีขาให้ดีขึ้นกว่าเดิม(จะได้ไม่ใช่อากาศเปลือง)

ตอนนี้รู้เพียงคร่าวๆว่า ไม่พัทยาก็สัตหีบ แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน มันก็น่าตื่นเต้นทั้งนั้นครับ

Monday, June 27, 2005

ดุเดือด เผ็ดมัน สนุกจัง


ได้ดูการอภิปรายไม่ใว้วางใจ รมต สุริยะ ในวันนี้เกี่ยวกับเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX คุ้มค่าจริงๆ เพราะสนุกมาก เรียกว่าต่างฝ่ายก็เตรียมตัวหาข้อมูลมาดีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล
คุณอภิสิทธิ์ พูดได้ดีมาก สะกดคนดูซะอยู่หมัด ซึ่งผมก็เชื่อว่า เขาไม่โกหกแน่ ส่วนคุณสุริยะ ก็แก้ต่างได้ แต่ผมเชื่อว่า มติต้องลงไว้วางใจ อยู่แน่นอน(เพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมาก)

คุณชูวิทย์(ที่ผมรอคอย) แฉออกมาเป็นฉากๆ ดูแล้วเหมือนละครอย่างที่พูดไว้จริงๆ แม้จะเป็นครั้งแรกของเขาก็ตามแต่ น้ำเสียงหนักแน่นดีมาก(เสียงดังมาก) แม้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของเขาในสภาเพราะอาจจะถูกตัดสิทธิ์ก็ได้ (กรณีถูกฟ้องที่ศาลรัฐธรรมนูญ)

มีการประท้วงในสภาตามที่ผมคิดไว้จริงๆ ที่สนุกที่สุดผมชอบ คุณชูวิทย์กับ นพ วิชัย เป็นมวยที่ถูกคู่จริงๆ

ถึงตอนนี้ รมต สุริยะก็ยังอภิปรายอยู่ คงถึงเที่ยงคืนแน่ๆกว่าจะจบ แต่สําหรับผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะมีการอภิปรายอีกซักกี่ครั้ง ก็คงไม่สามารถจับคนตัวใหญ่ๆมาลงโทษได้ เพราะมีการช่วยเหลือกันอยู่ตลอดตามที่ฝ่ายค้านว่าไว้ (และเตรียมตัวแก้ต่างได้ตลอด)

ผมเชื่ออีกว่าฝ่ายค้านก็รู้ว่าไม่มีทางชนะ แต่ต้องการแสดงให้ประชาชนได้เห็นมากที่สุด ความเห็นผมโอนเอียงทางฝ่ายค้านเยอะเพราะผมไม่ชอบการทุจริต และผมก็เชื่ออย่างหลายๆคนว่ามีแน่นอน แต่นี่ก็เป็นเพียงวิจารณญาณของประชาชน คนธรรมดาแบบผม

คงเป็น “นรก” อย่างเดียว เท่านั้นกระมัง ที่จะลงโทษ คนชั่วโกงบ้านเมืองได้







Sunday, June 26, 2005

กําลังใจ เป็นสิ่งสําคัญ


วันนี้ผมได้ไปเยี่ยมคุณยายที่โรงพยาบาล จ อยุธยา เป็นโรคปวดหลังซึ่งถือเป็นโรคที่ผู้สูงอายุส่วนมากเป็นกัน หากไม่นับเรื่องความดันและเบาหวาน

เรื่องของเรื่อง คือ ผู้สูงอายุมักจะไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบหาอะไรทํา แม้ลูกหลานจะเตือน แต่ท่านคงคิดว่าท่านยังมีแรง น่าจะทําได้ ผลก็คือทําให้หลังท่านซึ่งค่อมอยู่แล้ว เกิดอาการกําเริบขึ้น

คุณยายผม อายุ82 ปีแล้ว ถือว่าโชคดีมากที่ไม่มีปัญหาเรื่องความดัน หัวใจหรือเบาหวานเลย ตอนเด็กๆ คุณยายมักจะทําขนมให้ผมทานบ่อยๆ เช่น ข้าวเม่า และผมก็ชอบอ้อนยายเสียด้วย บางทีก็หนุนตักคุณยาย ผมมีความสุขมาก

สัปดาห์นี้ก็เหมือนกับสัปดาห์ที่แล้ว คือ คุณยายปวดหลังมากและไม่สามารถใช้ไม้เท้าค้ำยันได้ และความที่มีอายุมากแล้ว เรื่องผ่าตัดจึงไม่ต้องพูดถึงเพราะจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลเสีย แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม คือ คุณยายลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ นอนราบเฉยๆแม้เวลากินข้าวก็ต้องนอนราบโดยยกหัวให้สูงขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ก่อนนั้นผมช่วยพยุงคุณยายให้ลุกขึ้นเพราะการนั่งกินย่อมดีกว่าการนอนราบกินแน่นอน การย่อยอาหารก็จะดีกว่า แต่คุณยายปวดหลังและแสดงสีหน้าไม่ค่อยดี ผมสงสารคุณยายจนเกือบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ไม่นานก็ต้องกลับสู่ท่าเดิม คือการนอนราบ

คุณยายจับมือผมและบอกว่า คงจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน ในบางครั้งก็บ่นว่าอยากตายบ้างเพราะปลงเกี่ยวกับสังขารที่ไม่เที่ยงไม่ได้ ผมก็บอกท่านว่า อย่าคิดแบบนั้น ให้มีกําลังใจต่อสู้ เพราะหลายๆคนเป็นโรคร้ายต่างๆ อาการหนักกว่าคุณยายผมด้วยซ้ำ แต่ก็มีกําลังใจที่จะต่อสู้ บางคนก็มีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี

เพราะฉะนั้นแม้ตัวเราจะรู้อยู่แก่ใจ ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน แต่กําลังใจก็เป็นพลังที่สูงส่งช่วยทําให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้หลายครั้งแล้ว

คุณแม่ผมก็พยายามที่จะคุยกับคุณยายด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆธรรมดา ให้กําลังใจโดยตลอด แต่ผมรู้ว่า ท่านก็มีความรู้สึกที่ไม่ต่างจากผมซักเท่าไร อยากให้คุณยายมีกําลังใจที่จะต่อสู้ อย่ายอมแพ้

ก่อนกลับ ผมยังให้กําลังคุณยายอยู่ตลอด ส่วนคุณยายก็ย้ำกับผมแบบเดิมทุกๆครั้งว่า อย่าพึ่งรีบมีแฟน กลัวผมถูกผู้หญิงหลอกเอา ผมก็ได้แต่หัวเราะ แต่ก็ดีใจที่ว่าคุณยาย จะพยายามต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการพยายามกินอาหารและผลไม้ซ้ำๆ แม้จะเบื่อแค่ไหนก็ตามเพื่อที่จะได้มีกากอาหาร สามารถขับถ่ายได้ดี

เพราะฉะนั้น กําลังใจจึงเป็นสิ่งสําคัญจริงๆครับ

สาระแน(จัง)


วันนี้นัดกับเพื่อนๆไปที่งานถ่ายรูปรับปริญญารุ่นน้องของมัน ส่วนผมถือโอกาสมาหาเพื่อนด้วยเพราะนานๆทีจะได้เจอกัน(การมาของผม เป็นการสาระแนคงไม่ผิดนัก ) ส่วนการดูสาวถือเป็นผลพลอยได้ พูดไม่ทันขาดคํา ตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยก็เริ่มมีบาดแผลเต็มตัวซะแล้ว(ตกหลุมรัก)

สาวๆแต่ละคนก็แต่งหน้าแข่งกันสวย ก็แน่ล่ะครับนี่เป็นงานที่สําคัญของพวกเธอ อยากได้รูปออกมาสวยก็ต้องแต่งตัวกันหน่อย ตามภาษิตว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ส่วนผู้ชายผมว่าคงไม่ต้องแต่งตัวมากแค่เซ็ทผมก็น่าจะเพียงพอ

ถูกร้านขายน้ำยอมแมวขายแก้วละ10 บาท ทราบจากสาวน้อยที่ขายน้ำ(น่ารัก)ในร้านถัดมาว่า ทางมหาวิทยาลัยให้ขายแก้วละ 5 บาท(ใครไประวังโดนหลอกล่ะ)

เพื่อนอีกคนตามมาสมทบ พามากินข้าวที่ใต้หอจุฬา ถูกใจพวกผมทุกคนแน่นอนเพราะอร่อย เยอะแถมถูกอีกต่างหาก สะใจชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานอย่างพวกผมโดยแท้เลย

หลังจากเสร็จธุระก็เลยชวนไปดูหนังกันในช่วงค่ำ ผมเองก็ไม่ได้ดูหนังมานานแล้วเหมือนกัน จึงเป็นโอกาสที่จะทันยุคทันสมัยกับเขาบ้างว่า เรื่องนี้ข้า(กู)ดูแล้วเว้ย!!!

ดูเรื่อง Batman Begin ส่วนรายละเอียดคงไม่ขอเล่า กลัวเสียอรรถรสแต่ขอรับประกันว่า คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปทุกบาททุกสตางค์ มี 4 ดาวให้เต็ม 4 ดาวครับ

ที่ดีที่สุด คงเป็นการที่ได้มาเจอเพื่อนซี้ที่คุยอย่างไรก็ถูกคอ(บีบคอกันทุกที) เอ้ย ไม่ใช่!!! หมายถึง การที่คุยกันได้ทุกเรื่องโดยที่สามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา ทั้งการแสดงออกโดยคําพูดและทางความคิดโดยไม่มีการเสแสร้ง อยู่ด้วยแล้ว คุณ คือ ตัวคุณมากที่สุด เรียกว่าอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่คงไม่ผิดนัก

ปฎิเสธไม่ได้การแบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งฝูง ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก แม้เราจะพยายามให้เพื่อนๆทุกๆคนทั้งใหม่และเก่า เสมอภาคเท่าเทียมกัน แต่ย่อมที่จะมีเรื่องบางเรื่องหรือพฤติกรรมบางอย่างที่คุณ ไม่อยากเล่าหรือแสดงออกให้หลายๆคนเห็น บางทีคําตอบอาจเป็นระยะเวลา แต่ผมว่าที่ตรงที่สุดคงเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ความพึงพอใจ และอีกหลายๆปัจจัย

สําหรับผมเป็นแบบนี้แหละ แล้วคนอื่นๆมีข้อคิดอย่างไรบ้าง อยากรู้?????


Friday, June 24, 2005

แชมป์ NBA ปี 2005 San Antonio Spurs



ปิดฤดูกาลปี 2005 ไปเรียบร้อยแล้ว สําหรับเกมสุดท้ายของบาสเกตบอล NBA ซึ่งแชมป์ 2 ปี ก่อน อย่าง San Antonio Spurs สามารถทวงแชมป์มาจาก Detroit Piston ได้อย่างสวยงามในเกม 7 ที่ SBC Center

นานมาแล้วที่ NBA ไม่เคยปิดซีรีย์ถึงเกม 7 นับว่าคนที่ได้ประโยชน์อย่างใครเพื่อนคงหนีไม่พ้นคนดูอย่างพวกเราที่ได้นั่งชมเกมสุดมันส์ถึงเกมสุดท้าย

เกมนี้ผลัดกันนําเหมือนกันเกมที่แล้ว จุดเปลี่ยนของเกมนี้คงอยู่ที่การฟาลว์อย่างรวดเร็วตั้งแต่ครึ่งแรกของ Racheed Wallech ทําให้ Larry Brown ยอดโค้ช ต้องให้นั่งพักข้างสนาม ถึงแม้กระนั้นการทําหน้าที่ตัวสํารองของ Antonio Mcdyess ก็ไม่ได้ขี้เหร่แต่อย่างใด(เขาเป็นตัวอย่างของผู้เล่นที่มีความพยายามมากในการรักษาอาการบาดเจ็บเพราะต้องผ่าตัดเข่า 3 ครั้ง แต่สามารถกลับมาเล่นได้ดีเหมือนเดิม)

แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้น คือ การฟาลว์เร็วของ Mcdyess ทําให้ต้องไปนั่งพักข้างสนามเช่นกัน คราวนี้ไม่มีผู้เล่นตัวใหญ่คอยช่วย Ben Wallech ทําให้เกมเริ่มเสียเปรียบแม้เขาจะเล่นได้ดีมากในเกมนี้แต่ภาระที่ต้องปิด Tim Duncan นั้นก็สาหัสเอาการอยู่แล้ว

ทางฝั่ง Spurs โค้ช Grech Popovic แก้เกมได้ดี เพราะลูกทีมเล่นได้ตามแผน คือ กันไม่ให้ Chauncy Billup ชูต 3 แต้ม ได้ง่ายๆ แถมในวันนี้ Spurs เสีย Turnover น้อยมาก บวกกับการเล่นที่กลับมายอดเยี่ยมอีกครั้งของ Tim Duncan และ Manu Ginobili พระเจ้าของวงการบาสอาร์เจนติน่า(ถ้าวงการฟุตบอล คือ มาราโดน่า) ทําให้ เกมของ Spurs ไหลลื่น แถมยังมี 3 แต้ม จาก Robert Horry(Big Shot Bob) และ Bruce Bowen(เกมรับที่ยอดเยี่ยมมาก ในการปิด Chauncy Billup จนเล่นไม่ออก) ทําให้ Spurs เป็นฝ่ายคว้าแชมป์ในที่สุด

แม้ Spurs เป็นฝ่ายกําชัยชนะแต่ก็ยังมีน้ำใจนักกีฬาที่ดี Grech Popovic เข้าไปกอด Larry Brown หลังจบเกม และยังพูดให้เครดิตกับ Brown อีกด้วย พร้อมกับเสียงปรบมือให้จากแฟนบาส Spurs ช่างเป็นชัยชนะที่ใส สะอาด น่าประทับใจยิ่งนัก

ส่วนแฟน Detroit แม้จะผิดหวังในฐานะผู้แพ้ แต่สําหรับพวกเขาก็ภาคภูมิใจมากที่ได้เห็นทีมรัก ต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรีแชมป์เก่า จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย

MVP ของรอบชิงปีนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Tim Duncan นั่นเอง

แฟนบาสคนใดไม่ได้ดู ขอบอกได้คําเดียวครับ ว่าน่าเสียดาย!!!!


Wednesday, June 22, 2005

ใคร???จะเป็นแชมป์ NBA ปี 2005



ใคร???จะเป็นแชมป์ NBA ปี 2005

พึ่งนั่งดู NBA รอบชิง ระหว่าง Detroit Piston กับ San antonio Spurs เกมที่ 6 จบ ยอมรับว่าสุดมันส์จริงๆ ใครที่เป็นแฟนบาสตัวจริงก็คงตื่นเต้นกับการถ่ายทอดทางทีวี ซึ่งยอมรับว่าก่อนแข่งเกมนี้ Detroit Piston เป็นทีมที่กดดันมากเพราะหากแพ้เกมนี้ หมายถึง แชมป์NBA จะตกเป็นของ Spurs ทันที(ก่อนแข่งเกมนี้ Spurs นํา 3 ต่อ 2 เกม) ยิ่งเกม 6 และ เกม 7(ถ้ามี) แข่งที่บ้าน Spurs ด้วย โดย Spurs มีสถิติการเล่นในบ้านดีมาก ไม่เคยแพ้ Detroit ที่ SBC Center บ้านของตัวเองมาหลายปีแล้ว

NBA รอบชิงแข่งในระบบ 4 ใน 7 เกม หมายความว่า หากทีมใดได้ 4 เกมก่อน ก็จะได้คว้าแชมป์ไปครอง 2 เกมแรกแข่งที่บ้าน Spursๆ ชนะ 2 เกม

3 เกม ต่อมาแข่งบ้าน Detroitๆ ชนะได้เพียง 2 เกม จากสถิติที่ข่มกัน ผู้สันทัดกรณีจึงให้ Spurs คว้าแชมป์แน่นอน

แต่มันก็ไม่แน่เสมอไปในเกมกีฬา จะไปดูถูก แชมป์ ใน ปีที่แล้ว อย่าง Detroit ได้อย่างไร ผมซึ่งชอบเชียร์ทีมรอง จึงรู้สึกอินไปกับเกมโดยตลอด ถึงขนาดลุกไปไหนแทบไม่ได้

เกมนี้ เล่นกันสูสีมาก แม้ Spurs จะใช้ความแม่นของ Big Shot Bob (Robert Horry) ที่ได้ฉายานี้เพราะชอบมี Big play เสมอๆ ตั้งแต่สมัยอยู่ L A laker แล้ว โดยเป็นกุญแจสําคัญของชัยชนะของ Spurs เมื่อเกมที่แล้ว บวกกับ Big Tree อย่าง Tim Duncan(Center) ,Manu Ginobili(Forward จาก Agentina) , Tony Parker(Guard จาก France) และยังมีผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยมอย่าง Bruce Bowen ที่เป็นตัวเก็บดารา จนเป็นที่หน้าหมั่นไส้ของใคร หลายๆคนด้วย

ทางฝั่งผู้มาเยือนอย่าง Detroit ก็ไม่ลดความพยายาม โดย Chuncy Billup MVP ปีที่แล้ว เล่นอย่างโดดเด่นมากในเกมนี้ Shoot 3 แต้มในหลายๆจังหวะ ทําให้แต้มเกาะติดอยู่ตลอด บวกกับ Rip Hamiiton ที่เล่นได้ดีขึ้นในเกมนี้ ส่วนเกมรับ 2 Wallach อย่าง Racheed และ Ben (ไม่ได้เป็นพี่น้องกันหรอก นามสกุล ของคนอเมริกาซ้ำกันออกบ่อย) ที่เล่นได้ดี จน ทําให้ Spurs เสีย Turnover(คือ การป้องกันและแย่งลูกมาจากฝ่ายตรงข้ามได้ ทําให้เปลี่ยนจากรับเป็นรุก)

เกมสูสีจนกระทั่งมาถึง 2 นาทีสุดท้าย ของควอเตอร์ 4 ที่ แต้มฉีกออกไปถึง 9 แต้ม ทําให้ Spurs ต้องเร่งเกมและตีฟาลว์ เพื่อให้เวลาหยุด แต่ Detroit ก็ Shoot ลูกโทษไม่พลาดเสียด้วย ทําให้หมดเวลา Detroit กําชัยในถิ่น Spurs แบบหักปากกาเซียน

โดยเกมหน้าซึ่งเป็นเกมสุดท้าย จะเป็นการพิสูจน์ว่า ยอดทีม จากฝั่งตะวันตกอย่าง Spurs กับยอดทีมจากฝั่งตะวันออกอย่าง Detroit ที่มีเกมรับยอดเยี่ยมทั้งคู่ ทีมใดจะเป็นผู้ชูถ้วยNBA และได้แหวนแชมป์ไปครอง วันศุกร์เช้าของบ้านเรา(ตรงกับคืนวันพฤหัส ของสหรัฐอเมริกา) แฟนบาสห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง!!!!!!



Tuesday, June 21, 2005

เรื่องของบล็อคเกอร์




“กระสาบสมัครบล็อคเกอร์ดิ กูว่ามันดีสําหรับมึงจะทําให้มึงเขียนได้บ่อยๆทุกวัน ไม่ต้องคิดมากเวลาเขียนด้วย” กระท่อกเพื่อนซี้ร่างโย่งเป็นผู้นําผมมาสู่โลกของบล็อกเกอร์ครั้งแรก ในเวลานั้นผมคิดแต่ว่ายังไม่อยากเขียน จึงตอบไปแบบให้ความหวังว่าจะเขียนแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นได้เมื่อไร ซึ่งกระท่อกแนะนําว่าน่าจะลองเขียนเรื่องกฏหมายดู แต่ใจผมก็ร้องยี้ทันทีเพราะผมไม่อยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับวิชาการที่เรียนมา เรื่องที่ผมเขียนส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ชอบจริงๆ รักจริงๆ เช่นการท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทะเลที่หลงรักและการดําน้ำ ซึ่งปัจจุบันผมก็เขียนอยู่แล้วในwww.multiply.comเพียงแต่มันไม่สามารถเขียนได้บ่อยมากนักเพราะไม่ได้ไปเที่ยวทุกวันนั่นเอง(เที่ยวบ่อยๆโดยที่ไม่รู้จักอดออมบ้างก็จนซิครับ) ในตอนนั้นผมเห็นว่าบล็อคเกอร์เป็นอีกเว็บหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยซึ่งการที่เราได้เขียน เล่าเรื่องราว นอกจากจะได้ย้อนกลับมาฟังความเห็นในมุมมองของหลายๆคนแล้ว ที่สําคัญ มันทําให้เราหายเหงาไปได้เหมือนกัน

หลังจากที่เห็นบล็อคเกอร์ของฝ่าตีน(กระต่ายน้อย),Thitra(กระท่อก)และล่าสุดเพื่อนซี้อีกคน Joe Black(ชูฮวย) ซึ่งถ่อมตัวว่าไม่อยากเอาเรื่องไปเปรียบกับ 2 คนแรกเพราะคิดว่าตัวมันเองเขียนไม่เก่งเท่า แต่ผมได้อ่านเรื่องของชูฮวยที่ถ่ายทอดเกี่ยวกับดนตรีแล้ว แม้คําบางคํา ศัพท์บางตัวจะไม่ค่อยเข้าใจเพราะผมไม่ค่อยได้ติดตามเรื่องนี้มากนักแต่บรรยากาศของการฟัง ความสุขและการเล่าเรื่องราว สิ่งนั้นต่างหากทําให้ผมเข้าใจและเห็นภาพเป็นอย่างดี

เมื่อต่อมอยากเขียนเริ่มหลั่ง คําถามต่อไป คือ ผมจะเขียนเรื่องอะไรดี ก็ตอบง่ายๆว่า เรื่องอะไรก็ได้ที่อยากเขียนแต่คงไม่ซ้ำกับที่เขียนในmultiply.com คงเป็นเรื่องในชีวิตประจําวันแต่คงไม่ถึงขนาด กินข้าว ดูทีวี นอน เหมือนที่ผมเคยเขียนในไดอารี่ติดด่อกันหลายๆปี จนกระทั่งเลิกเขียนไป แม้รายนั้นจะดูจําเจทุกๆวันแต่ผมกลับได้ประโยชน์จากมันมาก เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้งผมมักจะยิ้มและหัวเราะกับเรื่องราวต่างๆอยู่คนเดียว

ผมจะใช้บล็อคเกอร์เป็นไดอารี่ของผม คงไม่ถึงกับเขียนทุกวัน เพียงแต่ว่าความถี่จะมีมากกว่าแน่นอน หวังว่ากระท่อกคงไม่ผิดหวังนะ ถ้าไม่ได้เขียนในเรื่องที่อยากให้เขียน
แต่……….อนาคตก็ไม่แน่หรอกนะ เบื่อๆอาจจะเขียนก็ได้แต่อย่างน้อยผมก็กลายเป็นน้องใหม่ในบล็อคเกอร์เรียบร้อยแล้ว ขอฝากเนื้อ(ไว้กับเสือ) เอ้ย! ฝากเนื้อฝากตัวทุกๆคนด้วยแล้วกันครับ

อย่ารับน้องโหดแล้วกัน!!!!!!!!!!!