Friday, April 30, 2010

ดำน้ำสิมิลัน....วันคริสต์มาส(3)







Dive 2 ฝรั่งอนุรักษ์ธรรมชาติ / เออ ผมเข้าใจ ไม่ว่ากัน

ยาหม่องก็ไม่ได้ผลครับ ทาข้างหูก็แล้ว ได้แต่เรื่องความเย็นน่ะ จำได้ว่าผมเคยใช้ได้ผลนะ ไม่รู้คราวนี้เป็นอะไร ก็คงต้องค่อยๆเคลียร์ ช้าๆเหมือนเดิม

เริ่มต้นน้ำใสมากๆครับ แล้วก็ค่อยๆขุ่นไปบ้าง แต่ยังมองเห็นได้ไกล หลายเมตรอยู่
เห็นตุ๊ยจับมือฝ้ายไปตลอด นี่ซิ Buddy ตัวจริง

ผมเจอปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray) หาที่ Landing ก่อนครับ เป็นพื้นทรายแบบนี้สบายมาก


มีความรู้สึกเหมือนมีคนมาจับข้อเท้าครับ หันไปปรากฏว่าเป็นนักดำน้ำชาวต่างชาติ ทำสัญญานบอกให้ผมระวังบางอย่างตรงเท้า

อ่อ ผมโดนเจ้าปลิงขูด(Bohaddschia graffei) ครับ ก็ขยับขาไปหน่อย จะได้ไม่โดน ก็คงต้องขอบคุณเขาแหละ แต่บางทีก็ไม่ใช่แบบนั้น คงเคยได้ยินเรื่องคุณวินิจ รังผึ้ง ถ่ายรูปสัตว์ทะเลอยู่ ก็มีปัญหากับชาวต่างชาติ ดังเลยนะตอนนั้น(คุ้นๆว่ามีชักมีดขู่ใต้น้ำด้วย) ทั้งๆที่ประสบการณ์การถ่ายภาพของคุณวินิจ รังผึ้ง ก่อนถ่าย ก่อน Landing แกดูจนละเอียดแล้วครับ ว่าตรงนั้นไม่มีอะไร

บ้างก็ว่า ฝรั่งบางคนต้องการ Show –Off ไดฟ์เวอร์ของตัวเองครับ ก็ว่ากันไป แต่ผมว่าของแบบนี้คุยกันได้ ทำอะไรก็ได้อย่ามาละเมิดสิทธิกัน(ถ้าเราทำถูกต้อง) ผมไม่ค่อยชอบเรื่องการล้ำเส้นเท่าไรนะ

มาต่อกัน ไม่เปิดแฟลชแต่อยู่ไกล ปลาไหลมืดเชียว เข้ามาใกล้ๆหน่อย พอเปิดแฟลชดันติดNoise ซะงั้น 555 เอาน่ะ เข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่อยากนิ้วขาดครับ

เจอนีโมหรือปลาการ์ตูนส้มขาว(False Crown Anemonefish)อีกแล้วครับ คราวนี้มีเวลา แต่กอดอกไม้ทะเลแถวนี้ ไม่ได้อยู่ติดพื้นทรายก็เลยถ่ายยากกว่าที่อันดามันใต้ ที่ผมลงไปใช้ศอกตั้งบนพื้นทราย แล้วค่อยๆค้างชัดเตอร์ จนได้นีโมในหลายๆอิริยาบถน่ะ

พี่หนอมพาไปดูทากปิกาจู อยู่บริเวณซอกในก้อนหินขนาดยักษ์ แต่ผมไม่ลงไป มองอยู่ด้านบน หนึ่งคือ คนเยอะมากไม่อยากลงไปเบียดเสียด(แค่เห็นคนมุงก็ยอมแพ้แล้วครับ สองคือ ผมเคยเห็นแล้ว หลายตัวที่อันดามันใต้อยู่บนพื้นทราย ถ่ายรูปก็ง่ายกว่า สามคือ ผมจะติดดีคอมแล้วครับ ยังคงยึดมั่นว่าไม่อยากติดน่ะ แม้ติดแล้วบางคนจะว่าไม่มีอะไรก็แค่แก้ดีคอม พักน้ำนานๆ ก็ดำต่อได้(จริงๆก็มีนะครับ เสี่ยงต่อการเป็นเบน เบนคือ ฟองอากาศที่เข้ามาอุดตันในเส้นเลือด จะปวดตามไขข้อ เช่นที่แขนก็อาจจะงอแขนแล้วปวด เป็นต้น)

พักทานข้าวกลางวัน พักน้ำสองชั่วโมงสี่สิบนาที จุดดำน้ำต่อไป คือเกาะเจ็ดครับ


Dive 3 ครั้งแรกกับปลาไหลริบบิ้น!!!



ลงมาไม่นานก็เจอปลากบยักษ์(Giant Frogfish) ครับ ตัวนี้มีสีชมพู พรางตัวได้ไม่เนียนเท่าไร เลยทำให้มองเห็นได้ง่าย

ปลากบชนิดนี้สมชื่อครับ เพราะเป็นปลากบที่มีขนาดใหญ่กว่าปลากบชนิดอื่น จำแนกชนิดง่าย

ชีวิตของปลากบจะไม่ค่อยว่ายน้ำครับ มักจะอยู่นิ่งๆ มีคันเบ็ดล่อให้ปลาเล็กเข้าใกล้ แล้วฮุบเหยื่อ สบายดีแท้ อยู่เฉยๆก็มีอาหารมาถึงที่

หากเห็นปลากบว่ายน้ำ ว่ากันว่า เป็นเพราะย้ายถิ่นที่อยู่ หรือหนีภัย อาจเป็นเพราะนักดำน้ำอย่างเราๆไปรบกวนมันก็ได้

ถ่ายรูปปลากบเสร็จ ดีไม่ดีไม่ทราบครับ แต่ต้องรีบถอยฉาก คนถ่าย คนรอดูก็เยอะเหลือเกิน

ไปต่อครับ พบปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) ปลากะรังแดงจุดน้ำเงิน(Coral Rockcod) ที่พบได้ทั่วไปในแนวปะการัง

และปลาที่เริ่มจะเห็นได้น้อยลง หลายๆปีหลังนี้ คือ ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า(Powder-blue Surgeonfish) สมัยก่อนเจอทีเป็นฝูง เยอะแยะไปหมด เดี๋ยวนี้เจอทีละไม่กี่ตัวเท่านั้น อีกตัว คือ ปลาขี้ตังเบ็ดลายน้ำเงิน(Palette Surgeonfish) ถ้าบอกดอรี่ใน Finding Nemo น่าจะนึกภาพออก ผมเคยเห็นครั้งเดียวครับ หายากกว่า ไม่รู้ปัจจุบันหายไปไหนหมด

ถ่ายรูปปะการังอ่อน(Soft Coral)กับดาวขนนก(Feather Star) ไปเรื่อยๆ ยังไม่มีอะไรเท่าไร

พี่หนอมพาลงไปดูบนพื้นทรายครับ มีอะไรผลุบๆโผล่ๆ มองไม่ชัดเลย ตัดสินใจลงไปดูครับ อาจจะคุ้มค่าน่ะ

คุ้มจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นปลาไหลริบบิ้น(Ribbon Eel) ดำมาไดฟ์ที่ 105 พึ่งจะเจอปลาไหลริบบิ้น แต่ผมก็ไม่อายหรอกครับ ขนาดฉลามวาฬกว่าจะเจอก็ปาเข้าไปไดฟ์ที่ 80 เข้าไปแล้ว ชีวิตการดำน้ำของผมยังมีสิ่งที่น่าค้นหาอีกเยอะครับ

ปลาไหลริบบิ้นตัวนี้ เป็นวัยเด็ก สีดำสลับเหลือง จัดว่าไม่มีเพศ(ใกล้ๆมีอีกตัวครับ แต่ผมเอาตัวนี้แหละ ตั้งกล้องถ่ายได้

อาจจะสงสัยว่าทำไม ปลาไหลริบบิ้นเป็นประเทือง เช่นเดียวกับปลาการ์ตูน และปลาอื่นอีกหลายชนิด เพราะมีทั้งเพศชายและเพศหญิงในตัวเดียวกัน

เมื่อโตขึ้น สีที่ผมเห็นจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสลับเหลือง เป็นเพศผู้ เมื่อโตเต็มวัยจะเป็นสีเหลืองทั้งตัว เป็นเพศเมีย อัศจรรย์ไหมล่ะครับ ชีวิตสัตว์ทะเล

สำหรับอาหารของพวกเขาหรือพวกเธอ ก็คือปลาขนาดเล็กครับ

สัตว์ทะเลอื่นๆที่จำได้ ก็มี ปลาหมูตาโต(Big-Eye Emperor) ปลามงครีบฟ้า(Bluefin Trevally) ปลาสลิดทะเล(Rabbitfish) หนอนพู่ฉัตร(Christmas tree worm) และปลาเล็กปลาน้อยที่ละลานตาซะเหลือเกิน

บนผิวน้ำ ถ่ายรูปฝ้าย ถ่ายรูปพี่ซิมและวิวของเกาะ สวยดีครับ

ถึงเรือ พักไม่นานก็มีเสียง


“ใครจะขึ้นเกาะสี่ เตรียมตัวเลยนะครับ”

มาดำน้ำครั้งใด หากมีขึ้นเกาะ ผมไม่เคยพลาดครับ ถือเป็นสิ่งที่ผมต้องการเสมอๆ



กลับมาเยือนเกาะสี่(เกาะเมียง)


ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนขึ้นเกาะครับ มีแค่ผม พี่เอ น้องเหม่เม๋ พี่โป้งเหน่งและพี่เจตน์

เกาะสี่หรือเกาะเมียงเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน (ดันไม่ได้หยิบสมุดปั้มตราอุทยานแห่งชาติ จากบนเรือมาด้วยนี่นะ)

นักท่องเที่ยวสามารถกางเต็นท์ค้างแรมที่นี่ได้ครับ ผมมาเหยียบเป็นครั้งที่สองแต่ก็ยังไม่เคยมานอนบนเกาะนี่นะ มาทีไรก็มากับเรือดำน้ำ Liveaboard

น้ำทะเลสีสวยมาก สวยกว่าทะเลใกล้กรุงเทพแบบไม่ติดฝุ่น(แน่ละครับ มาไกลๆฝั่งมันก็ต้องสวยอยู่แล้ว)

สบายใจครับ สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด แม่คงจะเห็นว่าทะเลที่นี่สวยมากเพียงใด แล้วทำไมผมถึงมาแล้วก็มาอีก

เดินตรงเข้ามา บนต้นไม้มีค้างคาวแม่ไก่ครับ ห้อยหัวกันเป็นทิวแถว ไม่ต่ำกว่าร้อยตัว ไม่ซิมากกว่านั้นแน่นอน

โปรแกรมดำน้ำของที่นี่ จะน้อยกว่าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ครับ เพราะจุดดำน้ำแบบSnorkeling จะน้อยกว่า ผมยังไม่เคยลองซะที แต่เข้าใจว่าน้ำใสกว่า แต่จุดดำน้ำจะค่อนข้างลึกกว่านะ(ถ่ายรูปโปรแกรมเก็บไว้เป็นวิทยาทานครับ)

อ้าว สุดท้ายบนเรือลงกันมาเพียบเลยครับ พี่ดา นิ้วนาง ฝ้าย น้องแป้ง พี่พัท ตาล นางแบบเพียบ ช่างกล้องเพียบ

มาถ่ายรูปกันดีกว่าครับ

คราวนี้ถุงกันน้ำ Ocean pack ที่ซื้อมาจากงานดำน้ำที่ศูนย์สิริกิติ์ ได้ใช้ประโยชน์มากเลย ใส่หนังสือ กล้อง ได้หมด กันน้ำได้สบายๆ

ขากลับค่อนข้างสนุกเพราะมีคลื่น น้ำกระเด็นเข้าเรือ กระเด็นเข้าหน้า เฮฮากันใหญ่ ต้องกอดกล้องไว้ดีๆครับ หลายตังค์นา ถ้าตกน้ำก็คงต้องรีบโยนกล้องบนไว้บนเรือก่อนครับ 555

หาของกินครับ ชักหิว หยิบไฟฉายที่พี่โก้ซื้อมาให้ มาทาซิลิโคนและใส่ถ่าน ผมดำไม่บ่อยนัก กับ Liveaboard ปีละหนสองหน(ส่วนใหญ่การดำน้ำในเวลากลางคืน ก็จะมีในเรือ Liveaboard ด้วย) จึงไม่ต้องใช้ของแพงนัก แบบอันละสองพันเสียดายครับ นานๆใช้ที เอาแค่ไม่กี่ร้อยก่อน อนาคตอยากจะซื้อเมื่อไรก็ได้ ไม่สายหรอก

Night Dive วันนี้ จะลงดำกันที่ Honeymoon Bay ครับ


Dive 4 กุ้งยอดนักมวย!!!


ค่อยลงๆเหมือนเดิมครับ ช้าๆ ช้าๆ และช้าๆ

ทิวาจากไป ราตรีมาเยือน สัตว์ทะเลที่เราเห็นอยู่ในโพรงในเวลากลางวัน อาจจะเริงร่าในยามค่ำคืนก็ได้ การดำน้ำในเวลานี้ จึงตื่นเต้นไม่แพ้กลางวันครับ

บนก้อนปะการัง ไฟฉายส่องดู นี่คือปลาสิงโตครีบจุด(Spotfin Lionfish) กลางวันมักนอนนิ่ง กลางคืนเป็นเวลาออกหากิน

ต่อด้วยเจ้าหมึกกระดอง(Pharaoh Cuttlefish) หน้าตาชวนฉงนสงสัย ยังกับว่ามีคนไปถามปัญหาโลกแตก แล้วมันตอบไม่ได้อย่างงั้นแหละ บางครั้งจะว่ายน้ำไม่เร็วครับ อาจรอดูเชิง ดูระยะปลอดภัย ก่อนที่จะว่ายหนีแบบ 4คูณ 100(ใครเคยเห็นหมึกกระดองตอนดำน้ำ ลองนึกภาพตามที่ผมบอกนะ)

บนก้อนปะการัง รอบๆมีฟองน้ำสีแดง เจ้านี่ คือ กุ้งนักมวย (Boxer Shrimp) เป็นหนึ่งในกุ้งพยาบาลครับ
กุ้งชนิดนี้สีสวย มักชูหนวดสีขาว พอปลามาใกล้ๆก็เริ่มพยาบาลโดยการกำจัดปรสิตตามผิวหนังปลา บางครั้งเข้าไปในปากทำความสะอาดฟันและเหงือกให้ด้วย

ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงชื่อนี้ครับ อาจเป็นลีลาการชูหนวดเหมือนการตั้งการ์ดของนักมวยหรือเปล่า หรือจะเป็นการขยับตัว ที่เหมือนฟุดเวิร์คของนักมวย

จากกุ้งก็มาต่อด้วยกั้งตั๊กแตนเจ็ดสี(Peacock mantis shrimp)ครับ เสียดายถ่ายรูปมาไม่ได้ ดูจากสีสันสดใสน่าจะเป็นตัวผู้ครับ เพราะตัวเมียจะมีสีเขียวมะกอกน่ะ

เขาว่ากั้งมีแรงดีดพอสมควร ผมไม่เคยลองนะ ใครลองแล้วบอกผมด้วย ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว 555

นอนพริ้มเชียวครับ ปลานกแก้ว(Parrotfish)หลับซะแล้ว ลงมาดูนิดนึงน่ะ

ปิดท้ายด้วยปลาปักเป้าสองชนิดครับ ชนิดแรกคือปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) เหมือนมาก สมชื่อ แต่น่ารัก

อีกชนิด คือปลาปักเป้ายักษ์(Star Puffer) ตัวใหญ่สมชื่อ

ปวดหูเหมือนกันครับ อาบน้ำแล้ว หยิบกล้องขึ้นมา เช็ดให้แห้ง ถอดHousing เปลี่ยนแบตเตอรี่แล้วชารจ์ พรุ่งนี้เช้าค่อยประกอบใหม่

อาหารเย็นมีต้มยำทะเล ปูผัดผงกระหรี่(จำได้แค่นี่แหละ) ถ้าตอนโชคศุลี อาหารแต่ละมื้อ ผมจะแม่นมากเพราะถ่ายรูปเมนูข้างฝาไว้เลยครับ 555

นับจากครั้งแรกที่ดำน้ำตอนเดือนเมษายน 2548 นี่เป็นครั้งแรกในการดำน้ำบนเรือ Liveaboard ที่รู้สึกว่ามีคนรุ่นเดียวกันมากที่สุด(หมายถึงอายุห่างกัน มากกว่าน้อยกว่าไม่เกินสองสามปีครับ)

คุยกันหลายๆเรื่อง เฮฮา มีพี่วาม(พี่ดารา) เป็นตัวชูโรง หาเรื่องสนุกๆมาเล่าให้น้องๆฟังเสมอๆ พี่เอ พี่ดา พี่พัท ตาล นิ้วนาง โต้ง ปู น้องแคร์ ก็ดูสนุกกันทุกคนครับ

ที่เรียกแบบนั้น เพราะแกแสดงหนัง ละคร มาแล้วหลายเรื่อง เยอะจริงๆ เอาเป็นว่า เอาเรื่องล่าสุด เผื่อมีคนจะไปติดตามผลงาน บางระจัน 2 ครับ แสดงเป็นพม่า เป็นคนฆ่าภราดร เชียวนะ 555

คืนนี้ ค่อนข้างง่วง รู้สึกเลยว่าเพลีย อาจสะสมมาจากเมื่อวานก็ได้

หลายคนก็เพลียครับ ต่างคนก็แยกย้ายกัน แอลกอฮอล์ยังไม่ดื่มกันเลยน่ะ



25 ธันวาคม 2552


ประกอบHousing หาอาหารเบาๆทานก่อน ขนมปัง 1 แผ่นก็พอ

ไดฟ์แรกจะลงดำกันที่หินหัวช้าง(Elephant Head Rock)ครับ

Wednesday, April 28, 2010

ดำน้ำสิมิลัน....วันคริสต์มาส(2)







ผู้คนเริ่มทยอยกลับครับ ซ้อนมอเตอร์ไซด์พี่เอ๋ มุ่งหน้าสู่ Central Phuket กันเลย

ระหว่างทาง ผมมองดูเส้นทางกลับ ผ่านหาดราไวย์ มีร้านอาหารทะเลที่ตั้งเรียงราย บางร้านมีโต๊ะเล็กๆ ปูเสื่อ จุดเทียน ดูแล้วคลาสสิคเป็นอย่างยิ่ง

ผ่านห้าแยกฉลอง ที่รถติดพอดู แต่ไม่กระทบกับรถเล็กๆ ที่ลัดเลาะไปได้เท่าไรนัก

อยู่ๆผมก็คิดถึงครั้งที่เคยพาแม่มาเที่ยวภูเก็ต และคิดถึงครั้งนี้ที่พาท่านมาได้แต่เพียงจิตใจ แต่ไม่สามารถพาร่างกายมาได้ ที่แล้วมาไม่ใช่ว่าเราไม่อยากพามา แต่ท่านเลือกที่จะไม่มาเอง ไปได้ใกล้ที่สุดก็แค่พัทยา เพราะท่านเหนื่อยมาก แม้ในใจท่านจะอยากมาใจจะขาดก็ตาม(ญี่ปุ่น แม่ก็เคยบอกว่าอยากกลับไปเที่ยวด้วยกันอีก)

จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาจากสองแก้ม ผมเสียใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับผม ทำไมต้องพาแม่มาในสภาพแบบนี้ ผมไปทำกรรมอะไรไว้ถึงไม่มีแม่ให้กอด ให้ดูแล ให้กำลังใจ เหมือนคนอื่นๆ

เสียงมอเตอร์ไซด์ดังกลบเสียงทุกอย่าง มีเพียงสายลมเย็นๆคอยปัดเป่าน้ำตาจากสองแก้มของผมให้เหือดแห้งไปในไม่กี่วินาที


Central Phuket นึกว่าอยู่กรุงเทพฯ


เห็นแล้วครับ Central อยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง

“จอดตรงนี้เลยก็ได้พี่ ขอบคุณมากครับ”

จดเบอร์พี่เอ๋ไว้ก่อนครับ เผื่อขากลับจากดำน้ำ อาจจะต้องมาใช้บริการแกอีกน่ะ

นัดเจอพี่เจตน์ หนึ่งใน Diver ที่นี่ครับ เอาไว้เครื่องลงแล้ว ค่อยโทรไปดีกว่า ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่

“ตุ๊บ” ชายชราชาวต่างชาติด้านหน้าผม ตกบันไดแบบเต็มๆครับ รีบเข้าไปช่วยพยุงดีกว่า

“You ‘ re all right?” ผมถาม

“………………..” แปลไม่ออกครับ อาจจะเป็นภาษาอิตาลี เยอรมัน หรือสแกนดิเนเวีย แต่ชายคนนั้นจับมือผม เหมือนจะบอกว่าขอบคุณน่ะ

เดินต่อครับ สอบถามพนักงานรักษาความปลอดภัยว่า Food Court ไปทางไหน(ชั้น 3) และ Super Market ไปทางไหน(ชั้น 1 )

โฉบไปดู Super Market ก่อนแล้วครับ เดินขึ้นไปชั้นสามดีกว่า

ก่อนถึง Food Court ร้านอาหารเยอะครับ ดูๆแล้วเป็นร้านอาหารชั้นนำในกรุงเทพฯ ทั้งนั้น สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวจริงๆ

มาที่ Food Court อาหารราคาไม่แพงครับ น่ากินทุกอย่าง เลือกแกงกระหรี่หมูทอดนี่แหละ พอรับอาหารมา มีชาวต่างชาติเหมือนจะสนใจครับ ว่าผมสั่งอะไร

“What is it?”

“Katsu Curry” เหลือบไปเจอชื่อเมนูพอดีครับ ไม่งั้นก็คงคิดไม่ทันเหมือนกัน ว่าจะบอกว่าอะไร

“Oh, It ‘ s sound good”

จะซาวกู๊ดหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจครับ แต่ที่กินรู้สึกว่าไม่ค่อยกู๊ดเท่าไร ทอดนานเกินไปละมั้ง แข็งมาก แกงกระหรี่ก็ดูไม่มีรสชาดเท่าไร แต่ก็หมดจานล่ะ

มีแรงต่อแล้วครับ ไปที่ Super Market เอากระเป๋าวางบนรถเข็นก่อนเลย เลือกซื้อของตามรายการ ต้องจัดสรรดีๆครับ ว่าอะไรจะวางไว้ตรงไหน

ซักพักพี่เจตน์ก็มาครับ พร้อมเพื่อนชาวต่างชาติอีกสามคน คือ ซูซี่ มาร์คและ(จำไม่ได้ครับ)

โชคดีติดบัตร Top มาครับ ก็เลยได้ลดราคาพอสมควร มีพี่เจตน์ช่วยใช้บัตรเครดิตจ่ายด้วย

“คนขับ ไว้ผมทรงรากไทรนะ” พี่เจตน์บอกรูปพรรณสัณฐานคนขับรถ

หาไม่เจอครับ หาที่นั่งก่อนดีกว่า พี่เจตน์ช่วยโทรให้อีกที สรุป คือ เคยเดินสวนกันมาแล้ว

ก่อนไปรับอีกชุดที่สนามบินต่อ แวะเซเว่น พี่เจตน์ทานข้าว มาร์คจะกดเงินแต่อ่านภาษาอังกฤษที่เครื่องไม่ออก(เห็นว่าเป็นชาวเยอรมันนะ) เลยช่วยมาร์คกดเงินที่ตู้ครับ

ที่สนามบิน มารับฝ้าย และเพื่อนใหม่สำหรับผม คือ เหม่เม๋ เด็กน้อย(อายุ 14 ปี) พี่โป๊งเหน่ง(อาของเหม่เหม) พี่นัท(Instructor ของฝ้าย) และพี่ซิม(เห็นว่าทำงานที่ออสเตรเลียครับ)

มุ่งหน้าไปทับละมุ จ. พังงา เป็นครั้งแรกที่ผมมาขึ้นเรือที่นี่ ทุกครั้งเคยขึ้นที่ท่าเรือรัษฎา จ.ภูเก็ต เป็นเพราะว่าที่นี่ใกล้สิมิลันมากกว่า ประหยัดค่าน้ำมันในการเดินทางมากกว่า หลังๆเรือ Liveaboard ทริปอันดามันเหนือ ก็มักจะมาจอดรอ Diver ที่นี่ครับ

อีกครั้งกับเรือโชคทวี



มาถึงแล้วครับ เรือโชคทวีหรือZcubatec ระหว่างที่เรือกำลังว่างๆ อาบน้ำก่อนก็ดีนะ ซักพักสมาชิกก็มากันจนครบ มีที่รู้จักแล้ว อย่างพี่ดา นิ้วนาง พี่โก้ พี่เอ พี่แจ้ ที่เป็นเพื่อนใหม่และคงต้องเจออีกหลายวันก็มี โต้ง แป้ง พี่พัท ตาล ปู นุ่น แคร์ ปิ๊ก พี่วาม เทมและเทน เท่าที่สังเกต มาคราวนี้มีรุ่นๆเดียวกันกับผมเยอะมากที่สุด เป็นนักเรียนพี่โก้ก็หลายคน ทุกครั้งที่ไปหลายๆลำจะเจอแต่คนที่อายุมากกว่าทั้งนั้น รุ่นเดียวกันมีไม่กี่คนเอง
มีข้าวต้มรอบดึกให้กินครับ มีทั้งหมูและไก่ อร่อยทั้งคู่ จากนี้ไปอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงสิมิลันแล้ว พอเรือเริ่มออก รู้สึกว่าปูกับแคร์จะหน้าซีด ออกอาการเมาเรือกันตั้งแต่แรก ก็ต้องหายากันยกใหญ่

แม้บางครั้งคลื่นจะไม่แรงแต่สำหรับคนที่ไม่เคยได้ขึ้นเรือ กินนอนบนเรือนานๆหลายวันแบบนี้และเป็น Liveaboard ครั้งแรก อาการเมาเรือจึงเกิดขึ้นได้ เป็นวันนี้ ยังดีกว่าเป็นพรุ่งนี้ล่ะครับ วันนี้ยังไม่ได้ดำน้ำนี่นา
พี่หนอม Divemaster บนเรือ มา Brief ให้ฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับเครื่องอำนวยความสะดวกบนเรือและวิธีปฎิบัติ ต่อด้วยพี่โก้ มา Brief ให้ฟังอีกเล็กน้อย

รูมเมทห้องผม ชื่อ ปิ๊กครับ ก่อนนอนวันนี้ ผมไม่ลืมที่จะหยิบกรอบรูป ที่ใส่รูปของแม่และครอบครัว มาตั้งไว้ และหยิบเสื้อแจ๊คเก็จสีเหลือง เขียนคำว่า “Pround to be Thai” ที่แม่เคยสวมเป็นประจำ เวลาท่านออกนอกบ้าน ไปโรงพยาบาลเอาไว้กันลมและเวลาท่านรู้สึกหนาว มีผมคอยเข็นรถเข็นให้ พาท่านไปในทุกๆสถานที่ที่ท่านอยากจะไป

ตอนนี้อากาศไม่หนาว แต่ผมหนาวเหลือเกิน

และตั้งแต่วันที่แม่จากไป ผมสวมเสื้อตัวนี้ก่อนนอนทุกวันครับ


24 ธันวาคม 2552


เช้านี้ รีบตื่นมาประกอบอุปกรณ์กล้องใส่ Housing ครับ อย่าลืมทาซิลิโคนที่ยางโอริงให้ดี อย่าให้มีเม็ดทรายหรือเส้นผมอยู่ด้านใน สำคัญมาก ไม่งั้นน้ำอาจจะเข้ากล้องได้

พี่แจ้ ตื่นแต่เช้าเลย(ก็แน่ละเป็น Staff นี่นา )

เดินออกไปด้านหน้าเรือ ยกมือไหว้แม่ย่านาง อธิษฐานให้คุ้มครองคุณแม่และผม และอธิษฐานถึงคุณแม่ให้ช่วยดูแลผมด้วย

ครั้งที่สามสำหรับสิมิลัน และคราวนี้ก็มาด้วยจิตใจที่ไม่เบิกบานนัก เลยไม่ได้ถ่ายรูปกระดาน White Board เหมือนเคย(แม้แต่ Dive Site)

จำได้ว่า มีสี่ชุด ชุดแรก พี่แจ้เป็น Leader มีนิ้วนาง โต้ง พี่ดา เหม่เม๋ พี่โป้งเหน่ง พี่เจตน์และ Mr. Mark(ส่วนเพื่อนพี่เจตน์และซูซี่ มาแบบ Non-Dive ครับ) ชุดผม มีพี่หนอมเป็น Leader มีผม ฝ้าย ตุ๊ย ปิ๊ก เทมและ เทน ชุดที่เหลือก็มีพี่วาม พี่โก้ พี่เอและ แป้ง(ฝึก Divemaster) เป็นอีกสองกลุ่ม ที่คอยดูแลนักเรียนใหม่อย่าง พี่พัท ตาล ปู นุ่น แคร์

พี่พัทพึ่งจะมีปัญหาเรื่องตาพอดี ห้ามโดนน้ำน่ะ ก็ Skip Dive ไป

ซักพักสมาชิกขึ้นมากันครบ พี่หนอมก็ Brief ถึงไดฟ์แรก(Check Dive) เราจะลงกันที่หินม้วนเดียวครับ



Dive 1 Bird Manและสมาชิกของเรือลำอื่น

ก่อนมาพี่อิ๋วแนะนำให้เอายาหม่องทาบริเวณหลังหูทั้งสองข้าง จะช่วยในเรื่องการเคลียร์หู ไดฟ์แรกนี่ลืมครับ จะลองไดฟ์ต่อไป

ค่อยๆเคลียร์หู ปวดก็ลงช้าๆเหมือนเคย ไม่ไหวก็ตีขาขึ้นมานิดนึง แล้วจะรู้สึกสบายขึ้น

พี่หนอมLeader ของผม สวมหัวไก่เป็น Hood ครับ เป็นอะไรที่จำได้ง่ายมาก มองไกลๆก็รู้ว่าเป็นใคร คำว่าหัวไก่เลยคิดไปถึงนักบาส NBA ทีม Denver Nuggest ชื่อ Cris Anderson ชอบทำผมหัวตั้ง แฟนๆเรียกว่า Bird Man ที่สำคัญเป็นตัวสำรองที่ขยันมาก

ด้านล่างมีปลาการ์ตูนสองชนิดครับ เริ่มจากปลาการ์ตูนส้มขาว(False Crown Anemonefish) และปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark ‘ s Anemonefish)

ฝูงปลาข้างเหลืองอย่างปลากะพง(ทั้งสี่แถบและห้าแถบ) อีกทั้งปลาแพะแถบเหลือง(Yellowfin Goatfish) ก็เยอะครับ ตีเป็นวงเลย เวลาถ่ายรูปค่อนข้างเพลิน เหมือนปลาจะเล่นกับเราตลอดเวลา

ตาโตๆแบบนี้คือพี่หมู เอ้ย ปลาหมูตาโต(Big-Eye Emperor) พวกนี้มักจะอยู่กลางน้ำเหนือพื้นทรายนอกแนวปะการังครับ

นอกจากปลาหมู ฝูงปลากลางน้ำอย่างปลามงครีบฟ้า(Bluefin Trevally) จุดเด่น คือ ครีบฟ้าบริเวณกลางลำตัว ฝูงหนึ่งไม่เยอะครับ 2- 4 ตัวเท่านั้น

ปะการังอ่อน(Soft Coral)และกัลปังหา(Sea Fan)ของหินม้วนเดียวก็ยังมีความสมบูรณ์ครับ แม้จะไม่หนาแน่นมากเท่าที่อันดามันใต้ก็เถอะ ดาวขนนก(Feather Star) ก็สวยไม่เลวนะ รอบๆก็มีปลาเล็กปลาน้อยเยอะจริงๆ

ดาวทะเล(Star Fish)เซ็กซี่มาก แบบนี้มันเป้ย ปานวาด โชว์บนมอเตอร์ไซด์นี่นา 555 ใกล้ๆก็ยังมีปลิงขูด(Bohaddschia graffei)ที่เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของน้ำได้ดี(มีก็คือ ดีครับ)

นอกจากหัวไก่ก็ยังมีหัวซานต้า เป็นนักดำน้ำจากกลุ่มอื่น เดาได้ว่าเป็นชาวต่างชาติ(จะมาแจกของขวัญใต้น้ำนี้เลยหรือไง 555)

ถ่ายรูปสมาชิกในกลุ่มไปเรื่อยๆ เทสฝ้าย เทสพี่เอ(ช่วงแรกพี่เอมากลุ่มผมนะ) เทสพี่หนอม เทสปิ๊ก เทสตุ๊ย เทสเทม เอ้ย เกือบไป เข็มขัดตะกั่วเกือบร่วงครับ โชคดีคว้าทัน ขออนุญาตใส่ใหม่ก่อน หายไปล่ะก็คงปิดไม่มิดล่ะคราวนี้(แสดงว่าเคยทำหล่นซิ 555)

นักดำน้ำคนสุดท้ายนี่แปลกๆ ใครหว่า มาใกล้ๆก็ถ่ายรูปให้หน่อยละกัน มีแอ๊คท่า พอถ่ายเสร็จก็ทำสัญญานขอบคุณด้วย

สิ้นสุดไดฟ์ พอขึ้นมาบนผิวน้ำ ถึงได้เห็นหน้าตาชัดๆครับว่า

นักดำน้ำชาวต่างชาติคนนี้หลงมาจากเรือลำอื่นครับ ไม่ใช่เรือของเราน่ะ

ถ่ายมั่วเลยนี่นะ 5555

พักรับประทานอาหารเช้า(ที่ความจำครั้งนี้ ผมไม่ค่อยดีนัก) ก็มาถ่ายรูปกันครับ ผมใช้กล้องคอมแพคโซนี่อีกตัว ถ่ายนิ้วนาง โต้ง พี่ดา พี่พัท ตาล แป้ง และพี่วาม(ใช้ตั้งแต่ไปสิมิลันครั้งแรกครับ เกือบพังไปทีหนึ่ง อยู่ๆก็ฟื้นคืนชีพได้)

น้ำทะเลด้านบนนี่สวยมาก(ใครจะอดใจไหว) สวยเหมือนครั้งที่ผมมาสิมิลันครั้งแรก น้ำทะเลสีฟ้าสด ตัดกับแดดจัดๆ ไม่แปลกใจว่า ใครๆก็ถือกล้องออกไปถ่ายวิวทะเลและถ่ายรูป Portrait

พักน้ำประมาณสองชั่วโมง(เกือบสาม) ก็ได้เวลาลงไดฟ์ที่สอง คือ เรือนกล้วยไม้ครับ ไดฟ์นี้ปูไม่ได้ลง คงยังมึนๆจากเมื่อวาน ตาลก็ไม่ได้ลงเห็นบอกว่ามาดำแบบชิวจะได้ไม่เหนื่อยมาก จริงๆก็คงอยู่กับเพื่อนซี้ของเธอ พี่พัทด้วยแหละ

Tuesday, April 27, 2010

ดำน้ำสิมิลัน....วันคริสต์มาส(1)







“แม่ครับ ปีใหม่นี้ขอไปดำน้ำเหมือนเดิมนะ ไว้ใกล้ๆค่อยดูอีกที”

“แม่รู้ตัว ว่าแม่คงอยู่ไม่ถึงหรอก”

“ไม่เอาแม่ อย่าพูดแบบนี้ สู้ครับ วุ่นเป็นกำลังใจให้เสมอ คุณอยากเห็นผมจบเนติหรือเปล่า ? คุณอยากเห็นหลานคนแรกหรือเปล่า?

“อยากซิ”

นั่นเป็นคำพูดสั้นๆ แต่แฝงไปด้วยความหวังของแม่ ความหวังที่จะได้เห็นความสำเร็จของผมและความหวังที่จะได้เห็นหลานคนแรก

ที่ว่าใกล้ๆ ผมรอดูคุณแม่ครับ ถ้าท่านอาการดี ผมก็ไปเที่ยวอย่างสนุก แต่ถ้าท่านอาการไม่ดี ผมก็มีห่วงและเลือกที่จะไม่ไปดีกว่า นี่ละมั้งที่เรียกว่า “ความรัก” ที่ยอมเสียสละความสุขเพื่อคนที่รักได้เสมอ

ปีใหม่นี้ คงเป็นปีใหม่ที่เงียบเหงา เพราะผมสูญเสียผู้หญิงคนที่ผมรักและเคารพที่สุดไป และไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหน กว่าผมจะกลายเป็นคนสนุกสนานเหมือนเดิม

………………………………………


สำหรับการดำน้ำแบบ Liveaboard ที่อันดามันนี้ผมไม่เคยไปเรือซ้ำมาก่อนครับ(เรือก็เหมือนโรงแรมที่ลอยน้ำได้) ด้วยเหตุผลที่ว่า เวลาของผมกับคนอื่นไม่ตรงกัน ยังไงก็ต้องไปคนเดียวอยู่แล้ว จึงเลือกเรือที่แปลกๆไม่ซ้ำกัน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อีกอย่างผมต้องดูแลแม่ ไปได้เฉพาะวันหยุดยาว เช่นปีใหม่หรือสงกรานต์ที่มีคนอยู่เป็นเพื่อนแม่ บางครั้งไปที ทั้งลำไม่รู้จักใครเลยก็มี แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีเอามากๆ

พี่โก้แห่ง http://www.fundive.biz/ (จาก Divemaster ในตอนนั้นตอนนี้เป็น Instructor แล้ว) มีทริปดำน้ำช่วงวันคริสต์มาสครับ ประชาสัมพันธ์กันมาหลายเดือน จากที่ไปไม่ได้แน่นอนก็ไปได้แล้ว ต่อไปนี้ผมก็มีทางเลือกมากขึ้นครับ และมีคนรู้จักหลายคนที่ไป ไม่ว่าจะเป็นพี่เอ พี่ดา นิ้วนาง ฝ้ายและหลายๆคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาใน Web แม้จะไปเรือลำเดิม คือ โชคทวี(Zcubatech) ที่ผมเคยไปมาครั้งหนึ่งเมื่อครั้งไปดำน้ำที่เกาะเต่าก็ตาม แต่จุดสำคัญจริงๆ อยู่ที่พี่โก้และพี่เอครับ มางานแม่ตั้งแต่วันแรก พี่เอก็ช่วยทำรูปของแม่ให้อย่างรวดเร็ว

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามสำหรับการดำน้ำทริปอันดามันเหนืออย่างสิมิลัน

ครั้งแรกที่จะเอากล้องลงไปถ่ายโลกใต้น้ำที่สิมิลัน หลังจากปีก่อนได้ไปลองถ่ายมาแล้วที่อันดามันใต้
และเป็นครั้งแรกที่ผมได้พาแม่ไปด้วยครับ

ทุกครั้งผมรู้สึกผ่อนคลายเวลาไปดำน้ำ มีคนที่คอยห่วงใยและผมก็ห่วงใยเธอ เรามักจะโทรหากันตลอด แม้จะมีผืนน้ำที่ขวางกั้นเอาไว้

ต่อจากนี้ไปก็คงไม่มีอีกแล้ว ทั้งแววตา ความห่วงใย น้ำเสียง ทุกอย่างคงเหลือแต่ความทรงจำ
แม่ครับ ไปเที่ยวกัน ให้ผมดูแลแม่ต่อไปอีกนะ


23 ธันวาคม 2552


รดน้ำต้นไม้ ล้างไส้กรองในตู้ปลา ซักผ้า แบ่งเบาภาระของที่บ้านให้มากที่สุด จากนี้ไปผมจะไม่อยู่หลายวัน และไม่ลืมที่จะซื้อสลัดผักให้พ่อเป็นอาหารเย็นด้วย ช่วยในการควบคุมอาหาร ตอนนี้พ่อเข่าเสื่อม กำลังจะผ่าเข่าในเร็วๆนี้

ว่าจะใช้บริการ Taxi Service ครับ แต่พ่ออาสาจะไปส่งให้ ผมยังคงไม่เคยขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิเหมือนเดิม เพราะดอนเมืองใกล้บ้านกว่าครับ ตั๋วก็พึ่งมาซื้อไม่นาน ถูกที่สุดจึงเป็นของ วัน-ทู-โก ถามว่าหลายคนกลัวเครื่องตก ไม่กล้าเดินทางสายการบินนี้ ถามผม แต่ก่อนยอมรับว่าผมกลัวตายครับ กลัวว่าชีวิตนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเท่าไร แต่พอเสียคุณแม่ไป ผมเลยรู้ว่า มันเกิดขึ้นได้ทุกวัน แค่ใช้ชีวิตไม่ประมาทก็พอ ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิดนะ

โหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง วันนี้มีคนมาต่อแถวรอเยอะพอสมควรแม้จะไม่ใช่วันปีใหม่ แต่หลายคนอาจจะลางาน หยุดยาวตั้งแต่วันนี้ จะหยุดได้หลายวันเลยล่ะ ด้านหน้าผมเหมือนแอ๊ด คาราบาว มากๆ พี่แอ๊ด คงไปเที่ยวภูเก็ตเหมือนกัน

รอ Gate เปิด ก็เดินขึ้นเครื่องได้ เหลือเชื่อครับ ผมนั่งติดพี่แอ๊ด คาราบาว ห่างกันเพียงหนึ่งที่นั่ง เอาละวะ ขอคุยกับดาราหน่อย เผื่อจะตีซี้ได้ เขาว่าลูกสาวพี่แอ๊ด น่ารักนี่นา

“ขอโทษครับ ใช่พี่แอ๊ด ไหมครับ”

“……………” ชายคนนั้นสั่นหน้าแล้วยิ้ม

หน้าแตกครับ แต่ไม่เป็นไรน่ะ 555

ด้านหลังเยื้องไปทางซ้าย เหมือนจะเคยเห็นมาก่อนครับ สาวหน้าใสคนนี้เป็นนักดำน้ำแน่ๆ เพียงแต่ผมไม่กล้าทักเพราะอาจจะไม่ใช่ขึ้นมา(ดูแล้วคล้ายน้องปุ๊ Divemaster ลูกศิษย์ครูปรีชา ที่เจอกันทริปปีใหม่ที่สิมิลันเมื่อ 2 ปีก่อนมากที่สุด)

กัปตันมาดูโร่(เป็นคนอินโดนีเซียชัวร์) จะพาทุกท่านสู่สนามบินนานาชาติภูเก็ต ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง

เมฆสวยมาก เป็นก้อนใหญ่ สุดลูกหูลูกตา ผมมองดูเล่นๆว่า นางฟ้า เทวดาอยู่ที่ไหนกัน เผื่อผมจะได้เจอแม่บ้าง แดดแรงมากมองเห็นผืนน้ำทะเลด้านล่าง จากฝั่งอ่าวไทยข้ามไปยังฝั่งอันดามัน มองเห็นอ่าวพังงาด้วยล่ะ(ดูจากเข็มทิศที่เอามาติด Dive computer เครื่องบินมาทางตะวันตกเฉียงใต้ครับ


Bienvenue a Phuket

ระหว่างรอกระเป๋า ผมคิดว่าอยากจะไปวัดฉลอง ไปไหว้พระ ทำสังฆทาน กรวดน้ำให้แม่ ถามว่าทำที่กรุงเทพฯก็ทำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ใช่ครับ แต่สมัยก่อนผมและครอบครัวมาภูเก็ตบ่อยมาก ช่วงที่พี่ชายทำงานที่นี่ วัดฉลองก็มาบ่อย จึงถือว่าเป็นการพาแม่มาเที่ยวอีกครั้ง

คุยกับพี่โก้ แกขอให้ผมช่วย Shopping ของกินบนเรือให้หน่อย ส่วนกรุ๊ปที่จะมาถึง เร็วสุด คือ พี่เจตน์(ตอน 1 ทุ่ม ขณะนี้แค่บ่ายสามโมงเอง) เห็นว่าจะไป Central Phuket ต่อด้วย จดรายการ รับกระเป๋า ได้เบอร์พี่หนอม(Leader บนเรือโชคทวี) กันเหนียวไว้ก่อน

กะว่าผมจะไปเที่ยวในภูเก็ตก่อน ซักหนึ่งทุ่มค่อยไป Central ดีกว่า(จริงๆมีเพื่อนโอวีอยู่ที่นี่ครับ ว่าจะให้มันพาเที่ยว แต่วันที่ไป มันดันมีงานที่กระบี่พอดี ก็ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้า)


รถโดยสาร สุดสาย 85 บาท

ที่สนามบินมีบริการรถเข้าเมืองครับ ราคาตามระยะทาง สุดสายก็ 85 บาท ถือว่าถูกมาก เพราะถ้าเหมารถไปก็แพงกว่านี้(จากนี้เคยไปท่าเรือรัษฎา ก็ 500 บาท)

ลองขึ้นดีกว่าครับ ไม่ได้รีบอะไรอยู่แล้ว

คนแน่นรถเลยครับ คันนี้ออกก่อนเวลา 20 นาที เพราะคนเต็มเร็ว ผมยืนด้านหน้า(คนหน้าเหมือนพี่แอ๊ดก็อยู่ที่นี่ด้วย) ไม่มีที่วางกระเป๋า มีแต่ตรงบริเวณเท้าของผู้โดยสาร แต่เจ้าเด็กวัยรุ่นสองคนก็มีน้ำใจครับ รับกระเป๋าผมไปวางตรงที่ว่าง แม้หน้าตาจะดูไม่เป็นมิตรเท่าไรก็เถอะ(ผมบอกแล้วครับ สมัยนี้ดูที่หน้าตาไม่ได้หรอก คนใจดีหน้าโหด แต่คนหน้าตาดีกลับใจคด ก็เยอะไป)

แดดร้อนไม่ต่างจากกรุงเทพฯ ครับ เป็นสัญญาณดีเหมือนกันว่าอากาศจะดี ไม่มีฝน(มั้ง) จ่ายเงินไปลงที่ บ.ข.ส ในตัวเมืองครับ(สุดสาย)

ลองถามคนอื่นดูดีกว่า เผื่อได้ข้อมูล ด้านหน้า คือ พี่เกวลีครับ เป็นครูสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ อาชีวะที่ภูเก็ต จะไปลงป้ายก่อนผม คือ สนามกีฬาสุระกุล

“ถ้าไปวัดฉลอง ลงสนามกีฬาสุระกุล ใกล้กว่านะจ๊ะ ไม่ต้องไปสุดสาย มันจะมีวิน มอเตอร์ไซด์ น้องก็ไปต่อเอาอีกที แต่น้องมาทำสังฆทานไกลขนาดนี้เลยเหรอ”

“ครับ พาแม่มาเที่ยวด้วยน่ะ” ผมเล่าเหตุการณ์ร้ายๆที่เพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน


วินมอเตอร์ไซด์ชื่อ พี่เอ๋

ลงที่สนามกีฬาสุระกุล พร้อมพี่เกวลินครับ ผมยกมือขอบคุณในน้ำใจของเธอ ตอนนี้กระเป๋าใหญ่และของเยอะมาก ยังคิดไม่ออกว่าจะซ้อนมอเตอร์ไซด์ไปได้ยังไง(Housing กล้อง 1 กระเป๋า , เป้สะพายหลัง 1 กระเป๋า , กระเป๋าขึ้นเครื่องใส่ wetsuit หนังสือสัตว์ทะเลและเสื้อผ้า อีก 1 กระเป๋า)

เดินหาวินมอเตอร์ไซด์ครับ เจอแล้ว

“ไปวัดฉลองครับพี่ ป่านนี้แล้ว พระท่านยังจะทำสังฆทานให้อยู่ไหม”

“ทำซิน้อง น้องทุ่มเทขนาดนี้ ท่านต้องลงมาทำให้แล้วล่ะ” พี่เอ๋ วินมอเตอร์ไซด์ บอก

เอาเป็นว่า กระเป๋าสองใบของผม สะพายหลังกับไหล่ ไม่มีปัญหาครับ แต่กระเป๋าขึ้นเครื่องนี่ซิ ตอนแรกไว้ด้านหน้า มันเคลื่อนไหวครับ จึงมาไว้บนตักผมนี่แหละ สุดท้ายก็ไปจนได้น่ะ 555

ผมปิ๊งไอเดียว่า ในเวลาที่จำกัดแบบนี้ จากวัดฉลองผมจะพาแม่ไปดูพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพต่อ จึงกลับมา Central แต่ระยะทางที่ว่ามา ไม่ใช่ใกล้ๆครับ(ขากลับถ้าไม่มีรถ คงลำบากมากๆ) ผมลองสอบถามว่าพี่เอ๋ว่างไหม เมื่อราคาอยู่ในขั้นรับได้ ก็โอเคตามนี้(พี่เอ๋ ไว้หนวด หน้าตาโหดมาก แต่ใจดีครับ)


นมัสการหลวงพ่อแช่ม ณ วัดฉลอง

ถึงแล้วครับ วัดฉลอง ภาพเก่าๆ เริ่มกลับมาในหัวอีกครั้ง พี่เอ๋ บริการดีมาก แกช่วยถือกระเป๋าให้ผมด้วย แกช่วยเดินถามว่า ทำสังฆทานตรงไหน

เครื่องสังฆทาน ต้องออกมาซื้อด้านนอกวัดครับ ซ้อนมอเตอร์ไซด์ออกมาอีกรอบ ส่วนราคา แน่นอนว่าต้องแพงกว่าในกรุงเทพฯอยู่แล้ว

เดินเข้าไปในศาลา เจอพระหลายรูปครับ ดูท่านจะยุ่งๆกับกิจสงฆ์(เห็นพี่เอ๋บอกว่า เร็วๆนี้จะมีงานที่วัดฉลอง) แต่พอมาทำสังฆทาน ท่านก็สละเวลามาทำให้ครับ

โดยรวมแล้วคำพูดคล้ายๆกัน เวลาทำสังฆทาน กรวดน้ำและให้พร อาจจะมีแตกต่างกันอยู่บ้าง ผมอธิษฐานขอให้แม่ได้รับรู้ว่า วันนี้ผมได้พาท่านกลับมาเที่ยวที่นี่และขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้

เอาน้ำเทใส่ต้นไม้ใหญ่ ยังพอมีเวลาครับ ผมขอพี่เอ๋ถ่ายรูปบรรยากาศในวัดก่อน

เดินไปที่พระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ วันนี้ฟ้าสวยครับ จำได้ว่าเคยเดินขึ้นไปกับแม่ มีหลายชั้น มองลงมาวิวก็สวย

น่าเสียดายว่าวันนี้ถึงเวลาปิดแล้ว เลยไม่ได้ขึ้นไป เช่นเดียวกับกุฎิจำลองพ่อท่านสมเด็จเจ้า(หลวงพ่อวัดฉลอง) ที่ถึงเวลาปิดแล้วเช่นกัน ไม่เป็นไรครับ โอกาสหน้ายังมีน่ะ

เดินออกมานมัสการหลวงพ่อแช่มบริเวณพระอุโบสถ ขอบารมีท่านคุ้มครองแม่และครอบครัวของเรา
“พร้อมแล้วครับพี่เอ๋ ไปแหลมพรหมเทพกันเลย”

“ขึ้นมาเลยน้อง”


ระหว่างทางผ่าน Big Buddha ลักษณะเป็นพระองค์ใหญ่สีขาวอยู่บนเขา โอกาสหน้าจะลองขึ้นไปนมัสการบ้าง ผ่านอ่าวฉลอง อยากเข้าไปเดินเล่นจัง จำได้ว่ามาทานข้าวเย็นที่ร้าน “ทัศนีย์ ซีฟู๊ด” เป็นประจำ(ชื่อเดียวกับแม่ด้วย) สั่งกุ้งผัดซอสมะขามทุกครั้ง มาบ่อยจนเจ้าของจำได้ ตอนกลางคืนสะพานเทียบเรืออ่าวฉลอง ลมเย็นมาก บรรยากาศดีสุดๆ

ผ่านหาดราไวย์ ที่นี่มีชุมชนชาวมอแกนที่หาดราไวย์ด้วย จำได้ว่าคราวก่อนที่มา มีร้านขายส้มตำเยอะ ยื่นเข้าไปในหาด ไม่น่าดูเท่าไร ตอนนี้จัดระเบียบใหม่ หาดดูโล่ง สวยขึ้นเยอะเลย

วิ่งมาซักพัก ผมและแม่ก็ได้กลับมายังแหลมพรหมเทพแล้ว


ชมพระอาทิตย์อัสดง แหลมพรหมเทพ

อีกไม่กี่นาทีก็จะหกโมงเย็น คงใกล้เวลาพระอาทิตย์ตก ก่อนเดินขึ้นไป ผมไปร้านขายของ ซื้อน้ำดื่มมาฝากพี่เอ๋หนึ่งขวด มองเห็นร้านขายเสื้อผ้าก็นึกถึงครั้งที่เคยมาที่นี่นะ

เลือกเดินมาฝั่งขวาก่อนครับ จะเป็นทางลาดลง มองเห็นภูเขาสีน้ำตาลลูกเตี๊ยๆ ที่ผืนน้ำมีเรือยอร์ท เรือใบ และเรื่ออื่นๆ ตัดกับแสงอาทิตย์ ดูสวยงาม

เดินกลับขึ้นมาที่ประภาคารกาญจนาภิเษก แหลมพรหมเทพ วันนี้ดวงอาทิตย์ตกเวลา 18.16 น. ยังมีเวลาอีกนิดครับ เดินขึ้นไปดูวิวด้านบนดีกว่า

แม้จะเป็นวันธรรมดา แต่ก็ถือว่าเป็นฤดูท่องเที่ยว High Season ของที่นี่แล้ว คนมากันเพียบเลย จุดมุ่งหมายก็คือ การมาชมพระอาทิตย์ตก ที่สวยงามมากๆจุดหนึ่งของ จังหวัดภูเก็ต นั่นเอง

5 นาทีก่อนพระอาทิตย์ตก ผมโทรหาพี่หนอม(พี่โก้บอกว่า พี่หนอมอยู่ในตัวเมือง) ตอนนี้พี่หนอมกลับไปที่ทับละมุและอยู่บนเรือเรียบร้อย ก็เลยบอกว่าเจอกันบนเรือแล้วกันพี่(น่าจะอยู่กับอีกคนที่ชื่อว่า ตุ้ย นะครับ เห็นว่านั่งรถทัวร์มาถึงเมื่อเช้านี้ คงเป็น Diver คนแรกที่มาถึงล่ะ)

แสงยังจ้าอยู่ ยังไม่เป็นดวงส้มๆ ผมถ่ายรูปต้นไม้ ลำต้นบดบังดวงอาทิตย์ไว้ มีแสงกระจายออกมา ดูสวยเหมือนกัน กว่าจะรู้ตัวว่า ไฮไลท์ แหลมพรหมเทพที่ยื่นออกไป นั้น อยู่ด้านล่างนี่เอง ผมยังไม่ได้ถ่ายรูปเลย!

ด้านล่างมีคนมาถ่ายรูปเยอะเหมือนกัน เวลาเดินระวังสะดุดก้อนหินให้ดี ไม่นานนัก ก็ได้เวลาพระอาทิตย์ตก ทุกคนต่างใจจดใจจ่อ ช่างกล้องก็ปิดตาผ่านเลนส์

“แม่ครับ แม่มองเห็นไหม พระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ ดวงสีส้ม ไร้อาภรณ์มาบดบัง ที่แม่เคยมาดูด้วยกันไง ช่วงนั้นเรามาที่นี่ตั้งหลายครั้งแน่ะ”

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป แม้จะไม่มีเสียงตอบจากผู้หญิงคนที่ผมรักที่สุดอีกแล้ว ก็ตาม

……………………………



Monday, April 12, 2010

หลับให้สบายว่ะ “เพื่อนเบ่ง”


หากนึกถึงในวัยเด็ก บันไดหลังของคณะผู้บังคับการ เช้าวันอาทิตย์ ตี 4 จะมีการทำความสะอาดของเด็กเก่าและเด็กใหม่


หัวหน้าเวร คือ บุคคลที่พอจะมี Power มีเสียงดัง ตัวใหญ่ๆ พอจะสั่งเด็กให้ทำตามได้ หากคณะไม่สะอาด หัวหน้าเวรก็จะซวยด้วย


นอกจากแมงซิ่ง หน่าว ข่อย ระดู แล้ว “เบ่ง” ก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น


เบ่งเป็น โอวี รุ่น 70 มีเพื่อนๆรักมาก เพราะเบ่งให้เพื่อนเต็มร้อย แม้เบ่งจะออกไปก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังพบเบ่งได้เสมอๆ แม้ในวันราตรีสีฟ้า หรือล่าสุด


เบ่งส่ง sms มาในงานแม่ผม แสดงความเสียใจ เพราะไม่สามารถมาได้ ซึ่งผมซึ้งใจเป็นอย่างมาก คนเราจะเห็นว่าเป็นอย่างไร ก็ในยามยาก ในยามไม่มีใครนี่แหละ


ผมทราบข่าว จากการเข้าไปเซฟ รูปใน facebook ของเบ่ง จึงทราบว่า เพื่อนคนนี้ได้จากไปอย่างกระทันหันโดยไม่มีวันกลับ


การมาจังหวัดพะเยาครั้งนี้ ของผมและเพื่อน จึงเป็นการมาหาเบ่ง เป็นครั้งสุดท้าย


เราช่วยยกโลงของเบ่ง ดูหน้าเพื่อนคนนี้อีกครั้ง เบ่งดูเหมือนหลับไปเท่านั้นเอง


ถ้างั้นก็หลับให้สบายว่ะเบ่ง


เพื่อนๆ มาส่งได้เท่านี้แหละ


ที่เหลือ มึงไปต่อนะ


แล้วเจอกันใหม่

Sunday, April 11, 2010

สุขสันต์วันเกิดครับแม่


หากไม่มีมรสุมชีวิตเกิดกับผมและครอบครัวในวันนั้น ในวันนี้(วันที่ 9 เมษายน)แม่ก็มีอายุครบ 65 ปีแล้ว


เป็น 65 ปี ที่ยังอ่อนกว่าวัย หากไม่มีโรคร้ายมารุมเร้า


ช่วงเช้านำอัฐิของแม่ไปทำบุญที่วัดใกล้บ้าน จากนั้นผมเดินสายไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 4 สถานที่ ศาลหลักเมือง วัดระฆัง วัดอรุณและวัดโพธิ


สำหรับ Card ผมเตรียมให้แม่ตั้งแต่วันก่อนแล้วครับ ไปสอบที่จุฬา เจอที่จามจุรีสแควร์ เนื้อหาเรียบๆ แต่โดนใจซะเหลือเกิน


เป่า Cake แทนแม่ อวยพรให้เหมือนเดิม ทำเหมือนทุกปี แม้ในปีนี้ ไม่มี “เธอ” อยู่ใกล้ๆ บรรยากาศจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงก็ตาม


ทำใจ ไม่ได้ครับ หากให้วันนี้ผ่านไปเฉยๆ แม้การทำแบบนี้ อาจจะทำให้ยิ่งคิดถึงมากกว่าเดิมก็ตาม ไม่ซิ มันก็ไม่เคยลดน้อยลงอยู่แล้วนี่


ผมนำรูปหลานคนแรก วางใกล้ๆรูปแม่ หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ก็หวังว่าแม่จะได้เห็น หลานน่ารักมากนะครับแม่


ตั้งใจไว้ว่า หากผมไม่ตายไปเสียก่อน ก็จะทำเช่นนี้เรื่อยไปครับ อาจเป็นวิธีเยียวยาจิตใจอย่างหนึ่งก็เป็นได้


ในการดำเนินชีวิต ก่อนผมจะทำอะไร ผมจะนึกถึงท่านก่อนเสมอๆ


ขอเอาคำของ แบงค์ วงแคลช นักร้องดัง ที่สูญเสียแม่เหมือนกันมาใช้ และอยากให้ทุกคนระลึกถึงพระคุณแม่ตลอดเวลานะครับ


“No Mather No You”


หากโชคชะตา กำหนดให้เรามาใช้ชีวิตร่วมกันจนถึงวันที่ต้องลาจาก ผมก็มีความหวังว่า จะมีโอกาสนั้นอีกครั้ง อาจจะเป็นชาติหน้าหรือชาติไหนๆ


ความหวังลมๆแล้งๆจนอาจจะกลายเป็นความฝันนี้ เป็นของขวัญที่ล้ำค่า


ของขวัญอะไร ราคามากซักแค่ไหนก็ไม่มีความหมายเท่า “เธอ”


สุขสันต์วันเกิดครับแม่