Tuesday, April 27, 2010

ดำน้ำสิมิลัน....วันคริสต์มาส(1)







“แม่ครับ ปีใหม่นี้ขอไปดำน้ำเหมือนเดิมนะ ไว้ใกล้ๆค่อยดูอีกที”

“แม่รู้ตัว ว่าแม่คงอยู่ไม่ถึงหรอก”

“ไม่เอาแม่ อย่าพูดแบบนี้ สู้ครับ วุ่นเป็นกำลังใจให้เสมอ คุณอยากเห็นผมจบเนติหรือเปล่า ? คุณอยากเห็นหลานคนแรกหรือเปล่า?

“อยากซิ”

นั่นเป็นคำพูดสั้นๆ แต่แฝงไปด้วยความหวังของแม่ ความหวังที่จะได้เห็นความสำเร็จของผมและความหวังที่จะได้เห็นหลานคนแรก

ที่ว่าใกล้ๆ ผมรอดูคุณแม่ครับ ถ้าท่านอาการดี ผมก็ไปเที่ยวอย่างสนุก แต่ถ้าท่านอาการไม่ดี ผมก็มีห่วงและเลือกที่จะไม่ไปดีกว่า นี่ละมั้งที่เรียกว่า “ความรัก” ที่ยอมเสียสละความสุขเพื่อคนที่รักได้เสมอ

ปีใหม่นี้ คงเป็นปีใหม่ที่เงียบเหงา เพราะผมสูญเสียผู้หญิงคนที่ผมรักและเคารพที่สุดไป และไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหน กว่าผมจะกลายเป็นคนสนุกสนานเหมือนเดิม

………………………………………


สำหรับการดำน้ำแบบ Liveaboard ที่อันดามันนี้ผมไม่เคยไปเรือซ้ำมาก่อนครับ(เรือก็เหมือนโรงแรมที่ลอยน้ำได้) ด้วยเหตุผลที่ว่า เวลาของผมกับคนอื่นไม่ตรงกัน ยังไงก็ต้องไปคนเดียวอยู่แล้ว จึงเลือกเรือที่แปลกๆไม่ซ้ำกัน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อีกอย่างผมต้องดูแลแม่ ไปได้เฉพาะวันหยุดยาว เช่นปีใหม่หรือสงกรานต์ที่มีคนอยู่เป็นเพื่อนแม่ บางครั้งไปที ทั้งลำไม่รู้จักใครเลยก็มี แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีเอามากๆ

พี่โก้แห่ง http://www.fundive.biz/ (จาก Divemaster ในตอนนั้นตอนนี้เป็น Instructor แล้ว) มีทริปดำน้ำช่วงวันคริสต์มาสครับ ประชาสัมพันธ์กันมาหลายเดือน จากที่ไปไม่ได้แน่นอนก็ไปได้แล้ว ต่อไปนี้ผมก็มีทางเลือกมากขึ้นครับ และมีคนรู้จักหลายคนที่ไป ไม่ว่าจะเป็นพี่เอ พี่ดา นิ้วนาง ฝ้ายและหลายๆคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาใน Web แม้จะไปเรือลำเดิม คือ โชคทวี(Zcubatech) ที่ผมเคยไปมาครั้งหนึ่งเมื่อครั้งไปดำน้ำที่เกาะเต่าก็ตาม แต่จุดสำคัญจริงๆ อยู่ที่พี่โก้และพี่เอครับ มางานแม่ตั้งแต่วันแรก พี่เอก็ช่วยทำรูปของแม่ให้อย่างรวดเร็ว

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามสำหรับการดำน้ำทริปอันดามันเหนืออย่างสิมิลัน

ครั้งแรกที่จะเอากล้องลงไปถ่ายโลกใต้น้ำที่สิมิลัน หลังจากปีก่อนได้ไปลองถ่ายมาแล้วที่อันดามันใต้
และเป็นครั้งแรกที่ผมได้พาแม่ไปด้วยครับ

ทุกครั้งผมรู้สึกผ่อนคลายเวลาไปดำน้ำ มีคนที่คอยห่วงใยและผมก็ห่วงใยเธอ เรามักจะโทรหากันตลอด แม้จะมีผืนน้ำที่ขวางกั้นเอาไว้

ต่อจากนี้ไปก็คงไม่มีอีกแล้ว ทั้งแววตา ความห่วงใย น้ำเสียง ทุกอย่างคงเหลือแต่ความทรงจำ
แม่ครับ ไปเที่ยวกัน ให้ผมดูแลแม่ต่อไปอีกนะ


23 ธันวาคม 2552


รดน้ำต้นไม้ ล้างไส้กรองในตู้ปลา ซักผ้า แบ่งเบาภาระของที่บ้านให้มากที่สุด จากนี้ไปผมจะไม่อยู่หลายวัน และไม่ลืมที่จะซื้อสลัดผักให้พ่อเป็นอาหารเย็นด้วย ช่วยในการควบคุมอาหาร ตอนนี้พ่อเข่าเสื่อม กำลังจะผ่าเข่าในเร็วๆนี้

ว่าจะใช้บริการ Taxi Service ครับ แต่พ่ออาสาจะไปส่งให้ ผมยังคงไม่เคยขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิเหมือนเดิม เพราะดอนเมืองใกล้บ้านกว่าครับ ตั๋วก็พึ่งมาซื้อไม่นาน ถูกที่สุดจึงเป็นของ วัน-ทู-โก ถามว่าหลายคนกลัวเครื่องตก ไม่กล้าเดินทางสายการบินนี้ ถามผม แต่ก่อนยอมรับว่าผมกลัวตายครับ กลัวว่าชีวิตนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเท่าไร แต่พอเสียคุณแม่ไป ผมเลยรู้ว่า มันเกิดขึ้นได้ทุกวัน แค่ใช้ชีวิตไม่ประมาทก็พอ ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิดนะ

โหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง วันนี้มีคนมาต่อแถวรอเยอะพอสมควรแม้จะไม่ใช่วันปีใหม่ แต่หลายคนอาจจะลางาน หยุดยาวตั้งแต่วันนี้ จะหยุดได้หลายวันเลยล่ะ ด้านหน้าผมเหมือนแอ๊ด คาราบาว มากๆ พี่แอ๊ด คงไปเที่ยวภูเก็ตเหมือนกัน

รอ Gate เปิด ก็เดินขึ้นเครื่องได้ เหลือเชื่อครับ ผมนั่งติดพี่แอ๊ด คาราบาว ห่างกันเพียงหนึ่งที่นั่ง เอาละวะ ขอคุยกับดาราหน่อย เผื่อจะตีซี้ได้ เขาว่าลูกสาวพี่แอ๊ด น่ารักนี่นา

“ขอโทษครับ ใช่พี่แอ๊ด ไหมครับ”

“……………” ชายคนนั้นสั่นหน้าแล้วยิ้ม

หน้าแตกครับ แต่ไม่เป็นไรน่ะ 555

ด้านหลังเยื้องไปทางซ้าย เหมือนจะเคยเห็นมาก่อนครับ สาวหน้าใสคนนี้เป็นนักดำน้ำแน่ๆ เพียงแต่ผมไม่กล้าทักเพราะอาจจะไม่ใช่ขึ้นมา(ดูแล้วคล้ายน้องปุ๊ Divemaster ลูกศิษย์ครูปรีชา ที่เจอกันทริปปีใหม่ที่สิมิลันเมื่อ 2 ปีก่อนมากที่สุด)

กัปตันมาดูโร่(เป็นคนอินโดนีเซียชัวร์) จะพาทุกท่านสู่สนามบินนานาชาติภูเก็ต ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง

เมฆสวยมาก เป็นก้อนใหญ่ สุดลูกหูลูกตา ผมมองดูเล่นๆว่า นางฟ้า เทวดาอยู่ที่ไหนกัน เผื่อผมจะได้เจอแม่บ้าง แดดแรงมากมองเห็นผืนน้ำทะเลด้านล่าง จากฝั่งอ่าวไทยข้ามไปยังฝั่งอันดามัน มองเห็นอ่าวพังงาด้วยล่ะ(ดูจากเข็มทิศที่เอามาติด Dive computer เครื่องบินมาทางตะวันตกเฉียงใต้ครับ


Bienvenue a Phuket

ระหว่างรอกระเป๋า ผมคิดว่าอยากจะไปวัดฉลอง ไปไหว้พระ ทำสังฆทาน กรวดน้ำให้แม่ ถามว่าทำที่กรุงเทพฯก็ทำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ใช่ครับ แต่สมัยก่อนผมและครอบครัวมาภูเก็ตบ่อยมาก ช่วงที่พี่ชายทำงานที่นี่ วัดฉลองก็มาบ่อย จึงถือว่าเป็นการพาแม่มาเที่ยวอีกครั้ง

คุยกับพี่โก้ แกขอให้ผมช่วย Shopping ของกินบนเรือให้หน่อย ส่วนกรุ๊ปที่จะมาถึง เร็วสุด คือ พี่เจตน์(ตอน 1 ทุ่ม ขณะนี้แค่บ่ายสามโมงเอง) เห็นว่าจะไป Central Phuket ต่อด้วย จดรายการ รับกระเป๋า ได้เบอร์พี่หนอม(Leader บนเรือโชคทวี) กันเหนียวไว้ก่อน

กะว่าผมจะไปเที่ยวในภูเก็ตก่อน ซักหนึ่งทุ่มค่อยไป Central ดีกว่า(จริงๆมีเพื่อนโอวีอยู่ที่นี่ครับ ว่าจะให้มันพาเที่ยว แต่วันที่ไป มันดันมีงานที่กระบี่พอดี ก็ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้า)


รถโดยสาร สุดสาย 85 บาท

ที่สนามบินมีบริการรถเข้าเมืองครับ ราคาตามระยะทาง สุดสายก็ 85 บาท ถือว่าถูกมาก เพราะถ้าเหมารถไปก็แพงกว่านี้(จากนี้เคยไปท่าเรือรัษฎา ก็ 500 บาท)

ลองขึ้นดีกว่าครับ ไม่ได้รีบอะไรอยู่แล้ว

คนแน่นรถเลยครับ คันนี้ออกก่อนเวลา 20 นาที เพราะคนเต็มเร็ว ผมยืนด้านหน้า(คนหน้าเหมือนพี่แอ๊ดก็อยู่ที่นี่ด้วย) ไม่มีที่วางกระเป๋า มีแต่ตรงบริเวณเท้าของผู้โดยสาร แต่เจ้าเด็กวัยรุ่นสองคนก็มีน้ำใจครับ รับกระเป๋าผมไปวางตรงที่ว่าง แม้หน้าตาจะดูไม่เป็นมิตรเท่าไรก็เถอะ(ผมบอกแล้วครับ สมัยนี้ดูที่หน้าตาไม่ได้หรอก คนใจดีหน้าโหด แต่คนหน้าตาดีกลับใจคด ก็เยอะไป)

แดดร้อนไม่ต่างจากกรุงเทพฯ ครับ เป็นสัญญาณดีเหมือนกันว่าอากาศจะดี ไม่มีฝน(มั้ง) จ่ายเงินไปลงที่ บ.ข.ส ในตัวเมืองครับ(สุดสาย)

ลองถามคนอื่นดูดีกว่า เผื่อได้ข้อมูล ด้านหน้า คือ พี่เกวลีครับ เป็นครูสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ อาชีวะที่ภูเก็ต จะไปลงป้ายก่อนผม คือ สนามกีฬาสุระกุล

“ถ้าไปวัดฉลอง ลงสนามกีฬาสุระกุล ใกล้กว่านะจ๊ะ ไม่ต้องไปสุดสาย มันจะมีวิน มอเตอร์ไซด์ น้องก็ไปต่อเอาอีกที แต่น้องมาทำสังฆทานไกลขนาดนี้เลยเหรอ”

“ครับ พาแม่มาเที่ยวด้วยน่ะ” ผมเล่าเหตุการณ์ร้ายๆที่เพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน


วินมอเตอร์ไซด์ชื่อ พี่เอ๋

ลงที่สนามกีฬาสุระกุล พร้อมพี่เกวลินครับ ผมยกมือขอบคุณในน้ำใจของเธอ ตอนนี้กระเป๋าใหญ่และของเยอะมาก ยังคิดไม่ออกว่าจะซ้อนมอเตอร์ไซด์ไปได้ยังไง(Housing กล้อง 1 กระเป๋า , เป้สะพายหลัง 1 กระเป๋า , กระเป๋าขึ้นเครื่องใส่ wetsuit หนังสือสัตว์ทะเลและเสื้อผ้า อีก 1 กระเป๋า)

เดินหาวินมอเตอร์ไซด์ครับ เจอแล้ว

“ไปวัดฉลองครับพี่ ป่านนี้แล้ว พระท่านยังจะทำสังฆทานให้อยู่ไหม”

“ทำซิน้อง น้องทุ่มเทขนาดนี้ ท่านต้องลงมาทำให้แล้วล่ะ” พี่เอ๋ วินมอเตอร์ไซด์ บอก

เอาเป็นว่า กระเป๋าสองใบของผม สะพายหลังกับไหล่ ไม่มีปัญหาครับ แต่กระเป๋าขึ้นเครื่องนี่ซิ ตอนแรกไว้ด้านหน้า มันเคลื่อนไหวครับ จึงมาไว้บนตักผมนี่แหละ สุดท้ายก็ไปจนได้น่ะ 555

ผมปิ๊งไอเดียว่า ในเวลาที่จำกัดแบบนี้ จากวัดฉลองผมจะพาแม่ไปดูพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพต่อ จึงกลับมา Central แต่ระยะทางที่ว่ามา ไม่ใช่ใกล้ๆครับ(ขากลับถ้าไม่มีรถ คงลำบากมากๆ) ผมลองสอบถามว่าพี่เอ๋ว่างไหม เมื่อราคาอยู่ในขั้นรับได้ ก็โอเคตามนี้(พี่เอ๋ ไว้หนวด หน้าตาโหดมาก แต่ใจดีครับ)


นมัสการหลวงพ่อแช่ม ณ วัดฉลอง

ถึงแล้วครับ วัดฉลอง ภาพเก่าๆ เริ่มกลับมาในหัวอีกครั้ง พี่เอ๋ บริการดีมาก แกช่วยถือกระเป๋าให้ผมด้วย แกช่วยเดินถามว่า ทำสังฆทานตรงไหน

เครื่องสังฆทาน ต้องออกมาซื้อด้านนอกวัดครับ ซ้อนมอเตอร์ไซด์ออกมาอีกรอบ ส่วนราคา แน่นอนว่าต้องแพงกว่าในกรุงเทพฯอยู่แล้ว

เดินเข้าไปในศาลา เจอพระหลายรูปครับ ดูท่านจะยุ่งๆกับกิจสงฆ์(เห็นพี่เอ๋บอกว่า เร็วๆนี้จะมีงานที่วัดฉลอง) แต่พอมาทำสังฆทาน ท่านก็สละเวลามาทำให้ครับ

โดยรวมแล้วคำพูดคล้ายๆกัน เวลาทำสังฆทาน กรวดน้ำและให้พร อาจจะมีแตกต่างกันอยู่บ้าง ผมอธิษฐานขอให้แม่ได้รับรู้ว่า วันนี้ผมได้พาท่านกลับมาเที่ยวที่นี่และขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้

เอาน้ำเทใส่ต้นไม้ใหญ่ ยังพอมีเวลาครับ ผมขอพี่เอ๋ถ่ายรูปบรรยากาศในวัดก่อน

เดินไปที่พระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ วันนี้ฟ้าสวยครับ จำได้ว่าเคยเดินขึ้นไปกับแม่ มีหลายชั้น มองลงมาวิวก็สวย

น่าเสียดายว่าวันนี้ถึงเวลาปิดแล้ว เลยไม่ได้ขึ้นไป เช่นเดียวกับกุฎิจำลองพ่อท่านสมเด็จเจ้า(หลวงพ่อวัดฉลอง) ที่ถึงเวลาปิดแล้วเช่นกัน ไม่เป็นไรครับ โอกาสหน้ายังมีน่ะ

เดินออกมานมัสการหลวงพ่อแช่มบริเวณพระอุโบสถ ขอบารมีท่านคุ้มครองแม่และครอบครัวของเรา
“พร้อมแล้วครับพี่เอ๋ ไปแหลมพรหมเทพกันเลย”

“ขึ้นมาเลยน้อง”


ระหว่างทางผ่าน Big Buddha ลักษณะเป็นพระองค์ใหญ่สีขาวอยู่บนเขา โอกาสหน้าจะลองขึ้นไปนมัสการบ้าง ผ่านอ่าวฉลอง อยากเข้าไปเดินเล่นจัง จำได้ว่ามาทานข้าวเย็นที่ร้าน “ทัศนีย์ ซีฟู๊ด” เป็นประจำ(ชื่อเดียวกับแม่ด้วย) สั่งกุ้งผัดซอสมะขามทุกครั้ง มาบ่อยจนเจ้าของจำได้ ตอนกลางคืนสะพานเทียบเรืออ่าวฉลอง ลมเย็นมาก บรรยากาศดีสุดๆ

ผ่านหาดราไวย์ ที่นี่มีชุมชนชาวมอแกนที่หาดราไวย์ด้วย จำได้ว่าคราวก่อนที่มา มีร้านขายส้มตำเยอะ ยื่นเข้าไปในหาด ไม่น่าดูเท่าไร ตอนนี้จัดระเบียบใหม่ หาดดูโล่ง สวยขึ้นเยอะเลย

วิ่งมาซักพัก ผมและแม่ก็ได้กลับมายังแหลมพรหมเทพแล้ว


ชมพระอาทิตย์อัสดง แหลมพรหมเทพ

อีกไม่กี่นาทีก็จะหกโมงเย็น คงใกล้เวลาพระอาทิตย์ตก ก่อนเดินขึ้นไป ผมไปร้านขายของ ซื้อน้ำดื่มมาฝากพี่เอ๋หนึ่งขวด มองเห็นร้านขายเสื้อผ้าก็นึกถึงครั้งที่เคยมาที่นี่นะ

เลือกเดินมาฝั่งขวาก่อนครับ จะเป็นทางลาดลง มองเห็นภูเขาสีน้ำตาลลูกเตี๊ยๆ ที่ผืนน้ำมีเรือยอร์ท เรือใบ และเรื่ออื่นๆ ตัดกับแสงอาทิตย์ ดูสวยงาม

เดินกลับขึ้นมาที่ประภาคารกาญจนาภิเษก แหลมพรหมเทพ วันนี้ดวงอาทิตย์ตกเวลา 18.16 น. ยังมีเวลาอีกนิดครับ เดินขึ้นไปดูวิวด้านบนดีกว่า

แม้จะเป็นวันธรรมดา แต่ก็ถือว่าเป็นฤดูท่องเที่ยว High Season ของที่นี่แล้ว คนมากันเพียบเลย จุดมุ่งหมายก็คือ การมาชมพระอาทิตย์ตก ที่สวยงามมากๆจุดหนึ่งของ จังหวัดภูเก็ต นั่นเอง

5 นาทีก่อนพระอาทิตย์ตก ผมโทรหาพี่หนอม(พี่โก้บอกว่า พี่หนอมอยู่ในตัวเมือง) ตอนนี้พี่หนอมกลับไปที่ทับละมุและอยู่บนเรือเรียบร้อย ก็เลยบอกว่าเจอกันบนเรือแล้วกันพี่(น่าจะอยู่กับอีกคนที่ชื่อว่า ตุ้ย นะครับ เห็นว่านั่งรถทัวร์มาถึงเมื่อเช้านี้ คงเป็น Diver คนแรกที่มาถึงล่ะ)

แสงยังจ้าอยู่ ยังไม่เป็นดวงส้มๆ ผมถ่ายรูปต้นไม้ ลำต้นบดบังดวงอาทิตย์ไว้ มีแสงกระจายออกมา ดูสวยเหมือนกัน กว่าจะรู้ตัวว่า ไฮไลท์ แหลมพรหมเทพที่ยื่นออกไป นั้น อยู่ด้านล่างนี่เอง ผมยังไม่ได้ถ่ายรูปเลย!

ด้านล่างมีคนมาถ่ายรูปเยอะเหมือนกัน เวลาเดินระวังสะดุดก้อนหินให้ดี ไม่นานนัก ก็ได้เวลาพระอาทิตย์ตก ทุกคนต่างใจจดใจจ่อ ช่างกล้องก็ปิดตาผ่านเลนส์

“แม่ครับ แม่มองเห็นไหม พระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ ดวงสีส้ม ไร้อาภรณ์มาบดบัง ที่แม่เคยมาดูด้วยกันไง ช่วงนั้นเรามาที่นี่ตั้งหลายครั้งแน่ะ”

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป แม้จะไม่มีเสียงตอบจากผู้หญิงคนที่ผมรักที่สุดอีกแล้ว ก็ตาม

……………………………



0 Comments:

Post a Comment

<< Home