Thursday, June 29, 2006

คนทะเลเยือนลำปาง


เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ หน่วยงานของผมได้จัดสัมมนา “กฎหมายปกครองท้องถิ่น”โดยในคราวนี้จัดขึ้นที่ โรงแรมเวียงทอง จังหวัดลำปาง ซึ่งนักเดินทางอย่างผมก็ไม่มีพลาดอีกเช่นเคย

ในความเป็นจริงแล้ว คราวนี้เป็นคิวของเพื่อนของผมที่จะได้ไปแต่การที่เป็นผู้หญิงจึงไม่ค่อยสะดวกในบางเรื่อง ผมจึงอาสา(อย่างเต็มใจ)ที่จะไปแทนให้
เมืองลำปาง ผมยังไม่เคยไปเยือนซักครั้ง เวลาไปภาคเหนือก็เคยไปแต่เชียงใหม่ เชียงราย(ก็ไปกับที่บ้านทั้งนั้นแหละ)จะให้แบกเป้มาเที่ยวเหนือก็คงไม่มา(มีเงินก็เอาไปลงทะเลหมดครับ) แต่ก็ยอมรับว่าแม้จะไม่ใช่จังหวัดที่คาดหวังแต่การเดินทาง มักจะทำให้ผมมีประสบการณ์ดีๆเกิดขึ้นเสมอๆ

แม้ลำปางจะไม่คึกคักเท่าเชียงใหม่ แต่ที่นี่มีเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ สังเกตจากจำนวนชาวต่างชาติที่โรงแรม นอกจากนี้รถม้าของลำปาง ก็ยังเป็นสิ่งบ่งบอกถึงวิถีชีวิตที่น่าอนุรักษ์ไว้เช่นกัน(ม้าเท่มาก เลยขอถ่ายรูป อัดวีดีโอหน่อย)

ผมเจอทนายคนหนึ่งมาเข้ารับอบรม เธฮมีปัญหาที่ขาทั้ง 2 ข้าง ต้องนั่งรถเข็น แต่มีความพยายามอย่างมาก เธอขับรถเก๋งกลับบ้านด้วยนะ(ผมมีโอกาสไปส่งเธฮจึงเห็น) นี่เป้นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนที่กำลังท้อแท้ หมดหวังในชีวิตครับ

ตลาดลำปางในยามค่ำคืน มีของกินมากกว่าแดนอีสาน จ. สุรินทร์ ที่ผมพึ่งไปมาเยอะ ไม่ต้องกลัวในการกินอาหารเพราะมีสารพัดอย่าง ไม่ว่าเป็นอาหารตามสั่ง ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ยำต่างๆ ไส้อั่ว โรตี เป็นต้น ที่สำคัญสาวเหนือ ผิวขาว ทรมานจิตใจกันจริงๆเลย (ให้ตายซิ)

ผมได้มีโอกาสพูดกับสาวเหนือกลุ่มหนึ่ง ในวันที่ทนายความเข้ารับการอบรม ได้เรียนรู้ภาษาเหนือจากพวกเธอด้วย เช่น คำว่า ก๊ะ แปลว่าใช่ นอกจากคำพูดจะน่ารักแล้ว เสน่ห์ของพวกเธอก็ทำเอาผมยิ้มกริ่ม(เอ๊ะ ยังไง) ผมไม่แปลกใจแล้วว่า เหตุใดถึงกล่าวว่า สาวเหนือมีเสน่ห์มากมาย(ภาคอื่นอย่าพึ่งน้อยใจ ยังไงก็ต้องมีปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย ทุกภาคมีเสน่ห์ ไม่เหมือนกันครับ)

ขากลับผมมาไหว้พระที่วัดพระธาตุลำปางหลวง สถาปัตยกรรมที่นี่สวยมากครับ ผมได้ไปยกช้างด้วยนิ้วก้อย(เขาให้ผู้ชายยกนิ้วก้อยครับ) อธิษฐานแล้วถ้าจะเป็นจริง ครั้งแรกต้องยกได้ ครั้งที่สองต้องยกไม่ได้(อาจดูเป็นเรื่องจิตวิทยาได้เหมือนกัน)แต่ผมก็ดีใจล่ะครับ ว่าครั้งที่สอง ผมยกไม่ขึ้น(อธิษฐานอะไรน่ะเหรอ ไม่บอกหรอก ฮ่าๆๆ)

น่าเสียดายว่า ผมมาทราบภายหลังว่า วัดที่ผมเข้าไปเป็นหนึ่งใน UNSEEN THAILAND ด้วย(พระธาตุหัวกลับ ไงครับ) ต้องบอกตัวเองว่า ซื่อบื้อจริงๆ ไปทั้งที พลาดได้อย่างไร(พี่ๆที่ทำงานก็เข้าไปดูที่บ้านไม้เก่าๆข้างๆพระธาตุเพียงคนเดียวเองครับ คนอื่นๆก็อดดูเหมือนกัน)

คราวหน้า ผมจะต้องศึกษาสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดนั้นๆบ้าง ถึงจะไม่ใช่การไปท่องเที่ยวเองก็เถอะ ไม่งั้นผมจะพลาดสิ่งดีๆไป เสียชื่อนักเดินทางตัวยงหมด

Thursday, June 15, 2006

กระบี่….มนต์เสน่ห์แห่งอันดามัน (4)





13 พฤษภาคม 2549

เช้านี้กอลฟ์ออกไปถ่ายรูป(อีกแล้ว)ส่วนผมตื่นสายอีกตามเคย จึงรีบเอาของใส่กระเป๋า เตรียมตัวออกเดินทาง

เราถ่ายรูปกับพี่ๆทั้ง 5 ก่อนลาจากกัน พี่ฮาซันโทรติดต่อบริษัททัวร์ให้เราเรียบร้อย รถจะมารับในเวลา 8 โมงครึ่ง

ไม่นานนักรถ 2 แถวของบริษัทบาราคูดัส ทัวร์(Barracudas tour)ก็มารับเรา ก่อนที่จะไปรับผู้โดยสารคนอื่นๆที่ซื้อทัวร์กับบริษัท จุดหมายปลายทางอยู่ที่อ่าวนาง

ระหว่างที่เรารอผู้โดยสารมาครบ เจ้าหน้าที่แจกสติกเกอร์ให้ติดที่หน้าอก เพื่อความสะดวกในการแยกชุด จะได้ไม่สับสนเพราะโปรแกรมทัวร์ของบริษัทนั้น มีหลายโปรแกรมมาก

เรากับผู้โดยสารคนอื่นๆ เดินขึ้นเรือโดยมีพี่อีฟจะเป็นไกด์ของเราในวันนี้ เรือหางยาววันนี้มีขนาดใหญ่มากบนเรือมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นส่วนใหญ่ ชาวต่างชาติมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

เกาะแดง

เรือเพชรวารี 1 พานักท่องเที่ยวมาถึงเกาะแดง น้อยคนนักจะรู้จักที่นี่(ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักเลยจ้า) ไม่น่าแปลกใจเพราะจังหวัดกระบี่เป็นจังหวัดที่มีเกาะมากที่สุดในทะเลไทย(ไม่ใช่เมืองร้อยเกาะอย่างจังหวัดสุราษฐ์ธานีนะครับ หากใครไม่เชื่อไปถามแฟนพันธุ์แท้ทะเลไทยอย่างอาจารยธรณ์ดูแล้วกัน) เกาะแดงเป็นเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเล มีเอกลักษณ์ที่มีสีแดงตามหินปูนโดยรอบ โดยกิจกรรมที่จะทำที่นี่ คือการดำน้ำดูปะการัง

ด้านล่างในวันนี้ น้ำใสดีอาจเป็นเพราะมีแสงแดดที่แรงจัดคอยช่วย(ปัจจัยสำคัญในการดำน้ำอย่างมีความสุขครับ) ผมสังเกตเห็นปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) ปลาผีเสื้ออันดามันหรือปลาผีเสื้อเหลืองปานดำ(Andaman Butterflyfish) โดยเฉพาะตัวหลังต้องลอยตัวนิ่งสังเกตให้นานๆเพราะลำตัวเล็ก ขนาดไม่กี่เซ็นติเมตรเท่านั้น

จากนั้นเป็นปลาโนรีครีบยาว(Longfin Bannerfish) ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol) ปลานกแก้ว(Parrot Fish) และหอยมือเสือ(Giant Clams)

เสียงเป่านกหวีดเรียกให้นักท่องเที่ยวขึ้นเรือเพื่อที่จะเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป ด้วยร่างกายที่เปียกปอนทำเอาผมลำบากเวลาหาที่นั่ง อยากจะนั่งกับพื้นเรือให้รู้แล้ว รู้รอดไปเลย(แต่จะเกะกะทางเดินมาก)

2 สาว ใกล้ผมนั้น คนหนึ่งผิวขาวชื่อ หนูนา เป็นสาวที่สามารถตกหลุมได้ทันทีเมื่อแรกเห็น(แม้จะไม่ได้คุยกัน) อีกหนึ่งสาวผิวออกคล้ำ ชื่อปิ๊ก เป็นสาวที่ดูธรรมดามาก แต่มีเสน่ห์เมื่อได้คุยด้วย สองสาวนี้เก่งมากมาเที่ยวแบบ Backpacker โดยเมื่อวานนี้ ขับมอเตอร์ไซด์ไปเที่ยวสระมรกต ที่ อ. คลองท่อมมาแล้ว ใครเล่าจะรู้ว่า 2 สาวต่างสไตล์นี้กลับเป็นพี่น้องกันได้?

ส่วนด้านหน้าผม คือ พี่อ้นกับพี่มล มาจากกรุงเทพและจะกลับในคืนนี้ด้วยสายการบินแห่งชาติ ข้างๆผม มีหลายครอบครัวที่ซื้อโปรแกรมผิด(จริงๆจะซื้อโปรแกรมไปเที่ยวทะเลแหวก เกาะปอดะ อ่าวพระนาง อ่าวไร่เลย์) แม้พวกเขาจะขอร้องให้วนเรือไปทะเลแหวกแต่ในความเป็นจริงนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะอยู่คนละเส้นทาง (หากจะเป็นไปได้ต้องเรือเร็ว สถานเดียวครับ) ผมจึงพูดปลอบใจว่า ไว้คราวหน้าค่อยมาใหม่ มาเที่ยวโปรแกรมนี้ก็มีเสน่ห์อีกแบบที่ไม่เหมือนใครด้วย


เกาะห้อง

ด้านหน้าของเรา คือ เกาะห้องอันลือชื่อ(เกาะห้องมี 2 จังหวัด คือ จ. กระบี่และ จ. พังงา ครั้งหน้าผมจะลองไปเกาะห้องที่ จ. พังงา ดูบ้าง) ผมเริ่มเห็นน้ำทะเลที่นิ่ง สีเขียวมรกต กับภูเขาหินปูนที่สวยงาม มีเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับพักผ่อนที่นี่ ผมกับกอลฟ์ไม่รอช้า(เวลาทุกนาทีมีค่ามาก)รีบลงไป หาเรือคายัคเช่า(จริงๆผมก็ซื้อโปรแกรมมาผิดเหมือนกัน คราวหน้าต้องหาเฉพาะที่พายคายัคอย่างเดียวแต่ก็ถือว่าคุ้มครับ ได้ลองมาหลายๆแบบ)

ที่นี่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่ด้วย ท่าทางหนูนาอยากพายคายัคซึ่งเราพยายามชวน ดูท่าทางเธอ 2 จิต 2 ใจ แต่การที่พึ่งรู้จักกันอาจจะทำให้เป็นกำแพงขวางกั้นระหว่างเรา(น้ำเน่าสุดๆ) อันที่จริง หน้าตาผม 2 คน ก็ดูหื่นอยู่แล้ว ไม่มีใครกล้าเข้ามาหรอก ฮ่าๆๆๆๆ

ปกติผมมักจะพายคายัคคนเดียว(เหนื่อยก็ไม่มีใครช่วย) มาคราวนี้มีกอลฟ์ช่วยพายนับว่าดีมาก แต่ต้องพายให้เป็นจังหวะพร้อมๆกันนะครับ) ช่วงที่กอลฟ์พายผมก็สามารถถ่ายรูปได้ น้ำเค็มและเม็ดทรายช่างเป็นอุปสรรคกับกล้องของผมมาก ต้องระมัดระวังให้ดีๆ

เราพายลัดเลาะเขาไปเรื่อยๆ ทัศนียภาพที่นี่สวยมาก ไม่แปลกใจว่าเหตุใดเกาะห้องถึงเหมาะสมกับการพายคายัค

เผลอแป๊บเดียวผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว เราตัดสินใจหันเรือกลับ สอบถามเจ้าหน้าที่ใกล้ๆที่พายมากับนักท่องเที่ยวอีกลำ หากพายต่อไปจะอ้อมมาก พายกลับทางเดิมง่ายกว่าและประหยัดเวลากว่า

ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อย เรายังไม่นำเรือไปคืน แต่จะพายไปยังหาดทรายขาวๆ ที่อยู่ด้านหน้า เพื่อลงไปสำรวจ ซึ่งพอลงไปมีความรู้สึกคันและแสบขาทันที ผมเดาว่าน่าจะเป็นแตนทะเล(ตอนนี้ก็ดิ้นอย่างเดียวครับพี่น้อง) ทรายที่นี่ละเอียดมากจนเหลว เหยียบทีก็ลงไปถึงครึ่งข้อเท้า แต่บรรยากาศเหมาะแก่การถ่ายรูปมากครับ

เราพายเรือออกมาจากหาดคันขา(ชื่อเก๋ไหมเอ่ย) เพื่อนำเรือมาคืน เวลาที่เหลือผมใช้ในการถ่ายรูป เก็บภาพให้มากที่สุด บอกได้ครับเดียวว่า เด็ดมาก(ใครชอบถ่ายรูป ไม่น่าจะพลาดโปรแกรมเกาะห้องนะครับ)

Lagoon(ทะเลใน)

หากจะมาที่นี่ต้องเข้ามาเวลาที่น้ำขึ้นเท่านั้น น้ำลดจะนำเรือเข้าไม่ได้ ขนาดผมนั่งเรือเข้ามายังชอบมาก(ถ้าได้พายคายัคเข้ามาจะดีแค่ไหนหนอ) ทะเลใน เป็นทะเลที่อยู่ในหุบเขาสามารถป้องกันคลื่นลมได้ดี หากนึกภาพไม่ออกลองนึกถึงทะเลใน ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง(อีกหนึ่งที่หมาย ที่ผมจะไปให้ได้) หากนึกถึงทะเลในหุบเขา ผมมักจะนึกถึง “ปิเล๊ะ” ซึ่งอยู่ใกล้เกาะพีพี(โปรแกรมดำน้ำจะต้องพาเข้าไปครับ) ที่นี่เป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวที่ผมและครอบครัวจะไม่มีทางลืมเลย ตลอดชีวิต(สุดยอดมาก)



เกาะผักเบื้ย

เลิกฝอยถึง “ทะเลใน” มายังเกาะผักเบี้ยดีกว่า(นึกชื่อเกาะแล้ว ผมนึกถึงผักบุ้งที่เต่าชอบกินซะงั้น) ตรงข้ามของเกาะผักเบี้ย คือ เกาะไร่ โดยพี่อีฟบอกว่า หากใครอยากไปเที่ยวให้ว่ายน้ำไปได้(ว่ายไปก็ถ่ายรูปไม่ได้ ไม่เอาดีกว่า)

เราได้รับข้าวกล่องนั่งพักรับประทานอาหารที่นี่ บรรยากาศยอดเยี่ยมสุดๆ ผมได้รับน้ำใจจาก 4 สาว(ที่เรียกตัวเองว่า ปอมปอมเกลอ) นั่งรับประทานด้วย คุยไปคุยมาจึงทราบว่า 1 ในนั้นกำลังเรียน Open Water และกำลังจะสอบบัตรดำน้ำในเร็วๆนี้ ทำให้คุยกับผมถูกคอ(เกือบจะบีบคอ)มากขึ้นไปอีก

อิ่มแล้ว เราเดินไปถ่ายรูป โดยท่าทางถ่ายรูปของพี่อ้นนั้น ขอยกเป็นอันดับหนึ่งในทริปนี้ เพราะลำตัวไปแช่อยู่ในน้ำ แต่ถ่ายเข้ามาในหาด(ข้าพเจ้าขอเลียนแบบบ้าง ฮ่าๆๆ) รอบๆเกาะผักเบี้ยมีหินปูนที่ถูกกัดกร่อน รูปร่างคล้ายเกาะทะลุอีกด้วย(ลองนึกภาพเกาะทะลุ ที่ จ. ประจวบคีรีขันธ์และเกาะไข่ ที่หมู่เกาะตะรุเตา จ. สตูล ดูก็ได้) ที่นี่มีทะเลแหวกด้วย เดี๋ยวจะหาว่าโม้ ฮ่าๆๆๆ

ขากลับก่อนขึ้นเรือ มีเด็กน้อยนั่งเล่นริมหาด ผมจึงแอบถ่ายรูปมาเป็น Wallpaper ได้อารมณ์ที่เฮิรท์มาก(ก็น้องก้มหน้านี่นา)

ก่อนขึ้นเรือ มีเสียงฮือฮา เจ้าปักเป้าหนามทุเรียน(Porcupinefish) นั่นเอง ผมพยายามถ่ายรูปเขาแต่ไม่ทัน หลายคนไม่ทราบผมจึงอธิบายให้ฟังว่า นี่คือ รูปร่างของเขาตอนไม่พองตัว ส่วนเวลาที่พวกเราเห็นเวลาพองตัวนั้น คืออาการตกใจ และป้องกันตัว หากเขาพองตัวบ่อยๆ เขาก็จะตายไป(บอกเป็นนัยๆว่าอย่าแกล้งปักเป้านะ)

เกาะลาดิง(เหลาลาดิง)

หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า “Paradise” ที่นี่เป็นจุดสุดท้ายของโปรแกรมในวันนี้ พี่อีฟแนะนำว่าใครใคร่จะดำน้ำดูปะการังก็สามารถทำได้ ส่วนด้านหลังจะมีหาดหินเล็กๆให้เดินไปชม ผมไม่ดำน้ำที่นี่เพราะทราบดีว่า คงไม่เห็นอะไรเท่าไร แล้วน้ำน่าจะขุ่นด้วย(จะมีแต่ปลาตะกละมาให้ดูซิ) เอาเวลามาเดินชมเกาะดีกว่า

ด้านหลังเกาะเป็นหาดหินจริงๆ(ใส่เท้าเปล่ามา สมน้ำหน้า ต้องร้องจ๊าก) ระหว่างทางมีกระท่อมไม้เล็กๆน่ารักมาก เหมาะให้หนุ่มสาวเข้าไปพลอดรัก(เอ้ย งั้นแค่จีบกันก่อนแล้วกัน)

กลับมาด้านหน้าเกาะ ที่นี่เป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์นกนางแอ่นด้วยโดยสังเกตจากป้ายข้างๆ ผมแอบถ่ายรูปฝรั่งเวลาจีบกันด้วย(โรคจิตมาก ไอ้คนเขียนเนี่ย)

เป็นอันจบโปรแกรมท่องเที่ยวในวันนี้ เราขึ้นจากเรือที่หาดนพรัตน์ธารา(ไม่ไกลจากที่พักผมนัก) ส่วนคนอื่นๆจะมีรถมารับกลับไปถึงที่พัก

ผมแลกเบอร์อี-เมลกับเพื่อนร่วมเดินทางตามแบบฉบับนักท่องเที่ยวที่ดีเพื่อส่งรูปให้ เพื่อผูกมิตรภาพดีๆไว้ ก่อนจะปลีกวิเวกมาเดินชมหาดนพรัตน์ธาราเพียงคนเดียว(กอลฟ์อยากกลับที่พัก เลยให้มันล่วงหน้าไปก่อนครับ)


หาดนพรัตน์ธารา(หาดคลองแห้ง)

นี่เป็นโปรแกรมเพื่อผมเพียงคนเดียวจริงๆ ผมถวิลหาถึงที่นี่ทุกครั้งเวลามาเที่ยวกระบี่ เป็นเพราะเหตุใดหรือครับ?

ชาวบ้านจะเรียกหาดนี้ว่าหาดคลองแห้ง ที่เรียกคงเป็นเพราะว่า หาดนี้เวลาน้ำลด เราสามารถเดินออกไปได้หลายร้อยเมตร ที่สำคัญตามพื้นทราย จะมีปูลมและกองทัพปูแดง(ที่เรียกว่ากองทัพเพราะมีมากจริงๆ) ออกมาให้ยลโฉมกัน

ผมถอดรองเท้าแตะ เดินเหยียบลงบนพื้นทรายที่นุ่มนวลอย่างคุ้นเคย มีเสียงลมเอื่อยๆ และภูเขาหินปูนอยู่ด้านหน้า พร้อมหามุมเหมาะๆ บันทึกพฤติกรรมปูแดงที่น่าสนใจมาก

คราวก่อนผมเห็นพวกเขาขนบางอย่างออกมาจากรู มีลักษณะสีเทาๆ คราวนี้ผมเห็นพวกเขากำลังใช้ก้ามต่อสู้กัน หยอกล้อเหมือนเด็กๆ(คลิปวีดีโอ บันทึกภาพไว้หมดแล้วจ้า)

ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นหาดที่แสนธรรมดา แต่ลองนึกภาพเอาครับว่า จะมีซักกี่หาด ที่เป็นเช่นนี้ มีภูเขาหินปูนเป็น Background เดินไปไกลได้หลายร้อยเมตร(เท่าที่ผมเคยสอบถาม หาดที่มีภูเขาหินปูนแบบนี้ ก็มีเพียง จ. ตรังเท่านั้น)

หาดแห่งนี้ เป็นหาดในฝันของผมเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงครับ

……………………..

ค่ำนี้ผมออกมาเที่ยวอ่าวนาง แม้จะยังไม่ค่อยมีคนเดินนักเพราะยังหัวค่ำ แต่สีสันของร้านค้าทำให้อ่าวนางดู คึกคักมาก

แน่นอนว่า ข้าวเย็นของผม คือ ร้านไก่เถื่อน ของน้าแต๋วและบังดอยนั่นเอง

ที่อ่าวนางมีร้านอาหารทั้งไทย อาหารฝรั่งเต็มไปหมด มีโรตีแสนอร่อย ราคาไม่แพงอย่างที่คิด ผมลองโรตีสัปปะรด อร่อยมากครับ

ร้านขายของที่นี่จะมีหลากหลาย เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า ไม้แกะสลัก เป็นต้น สามารถต่อราคาได้(ขืนไม่ต่อ แสดงว่าไม่ใช่คนไทยครับหรือไม่ก็เงินในกระเป๋าเหลือจัด)

ผมกับกอลฟ์ได้เสื้อ polo สวยๆมาด้วย(ถูกด้วย อันนี้สำคัญ) ลองเสื้ออยู่นาน ก่อนกลับเจ้าของร้านเดินเข้ามา คิดว่าผมกับกอลฟ์เป็นคนอินโดนีเซียจึงคุยภาษาอังกฤษด้วย พอทราบว่าเป็นคนไทยก็เลยขำกันใหญ่ ผมเลยเออ ออ พูดภาษามั่วๆให้ตลก ผลคือ เฮฮา กันยกใหญ่

ขากลับมาที่พัก มีรถจอดเยอะมาก ที่แท้เขามาดูฟุตบอลเอฟเอคัพ รอบชิงระหว่าง ลิเวอร์พูลกับ เวตส์แฮม(นึกว่าแข่งพรุ่งนี้) ก็เลยนั่งดูกัน บรรยากาศเป็นกันเองดีมาก

หลังจากการตะลุย ท่องเที่ยวมาตั้งแต่วันแรก พรุ่งนี้เราจะต้องกลับกรุงเทพ กลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งน่ะเหรอ?




14 พฤษภาคม 2549

เราเก็บของอย่างเร่งรีบเพราะรถออกเวลา 8 โมงเช้า พี่ฮาซันให้น้องชายไปส่งเราที่สถานีขนส่ง จ. กระบี่ ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมจะเดินทางกลับกรุงเทพในรอบเช้า มาถึงเวลาค่ำ ส่วนใหญ่จะชอบมาตอนค่ำ ถึงตอนเช้ามากกว่า ยิ่งเป็นการเดินทางที่ยาวนานแบบนี้ด้วย (คราวนี้ จะได้มีเวลาพักผ่อนด้วยครับ)

การเดินทางในครั้งนี้เป็นการเดินทางที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของผมอีกครั้ง ผมดีใจมากที่ได้มีเพื่อนร่วมเดินทางใหม่ๆ ที่สำคัญผมได้เป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางของพวกเขาและทำให้พวกเขามีความสุขเช่นกัน

สำหรับกอลฟ์ ดูจะประทับใจมากกับการท่องเที่ยวครั้งนี้ ซึ่งผมก็รู้สึกดีใจที่สามารถทำให้เพื่อนมีความสุขได้

สิ่งที่ผมคิดเสมอและไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลง คือ การท่องเที่ยวแบบ Backpacker มีเสน่ห์ในตัวของมัน เป็นคนละแบบกับการดำน้ำบนเรือ Liveaboard ที่ผมจะไม่มีวันจะทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปได้ แม้หนทางข้างหน้าจะแสนลำบากหากผมจะเก็บเงินไปเที่ยวทั้ง 2 แบบ ซึ่งอาจทำให้ได้ท่องเที่ยว และได้เห็นสัตว์ทะเลช้ากว่าคนอื่นๆ ก็ตาม

หากใครมีโอกาสมาเที่ยว จ. กระบี่ อย่ามองข้ามมนต์เสน่ห์ของที่นี่ หากเธอเป็นหญิงสาว ก็เป็นผมที่หลงรักเธอ จนโงหัวไม่ขึ้น(หัวปัก หัวปำก็ได้)

ผมหวังว่าบทความที่แสนจะยืดยาว(ทุกครั้ง)ของผม จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน ไม่มากก็น้อย

ขอขอบคุณ ที่ช่วยกันอ่านอีกครั้งนะครับ



ใช้ไปเท่าไร?

-ค่ารถทัวร์ไป-กลับ ประมาณคนละ 1,000 บาท(หากค่าน้ำมันแพงขึ้นอีก ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้)

- ค่าที่พัก 3 วัน ประมาณ 1,000 บาท(หากเป็นช่วง High Season ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้)

-ค่าเข้าสระมรกต คนละ 20 บาท ค่าเข้าน้ำตกร้อน รวมค่าจอดรถมอเตอร์ไซด์ ไม่เกิน 40 บาท

- ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี คนละ 20 บาท

-ค่าเรือออกไปดำน้ำ 2 วัน 2 โปรแกรม คนละ450-500 บาท

- ค่าเช่ามอเตอร์ไซด์วันละ 150 บาท

-ค่าเช่าเรือคายัคที่เกาะห้อง ชั่วโมงละ 300 บาท

-ค่าอาหาร(แล้วแต่จะกินครับ กินแพงก็จ่ายแพง กินถูกจ่ายถูกครับ)



Phop Payapvipapong

12 June 200

14.10 pm

Wednesday, June 14, 2006

กระบี่….มนต์เสน่ห์แห่งอันดามัน (3)




เกาะปอดะ

ภูเขาหินปูนด้านหน้า คือสัญลักษณ์ของเกาะปอดะ เมื่อมีแสงแดดตัดกับสีน้ำทะเลแบบอันดามันใต้แล้ว(เขียวมรกต) เธอยังสวยงามไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ หากยังนึกไม่ออกลองนึกถึงโฆษณา DTAC ดูก็ได้

เราลงมาถ่ายภาพก่อนจะออกมาดำน้ำ ผมไม่มีชูชีพ(เอาเข้าไป บนเรือดันมีไม่พอ)เห็นน้ำนิ่งๆ จึงออกไปว่ายดู ผลปรากฎว่าผมยังไม่ชินกับสน็อคเกิ้ลอันใหม่กินน้ำไปหลายอึก แถมไม่มีชูชีพเหนื่อยเป็นบ้า กลับฝั่งดีกว่า

ผมเดินขึ้นไปที่Poda Island Resort เพื่อขอเช่าชูชีพ สอบถามราคาแล้ว อยากจะถามว่า “ปล้นกันดีกว่าไหมพี่” เพราะต้องเสียค่ามัดจำ 1,000 บาท แน่ะ

แมงกระพรุนเยอะมาก เยอะจนน่าตกใจ แต่ผมก็ไม่กลัวเพราะอย่าไปโดนหนวดของพวกเขาเป็นอันใช้ได้ หากเป็นแมงกระพรุนไฟ สีจะออกชมพูต้องระวังให้มากขึ้นนะครับ

ในที่สุดผมก็ได้ชูชีพ โดยพี่คนเรือยืมให้จากเรือข้างๆ เท่านี้ผมก็สามารถลงไปสำรวจใต้ท้องทะเลอย่างสบายใจมากขึ้น

ปลานกแก้ว(Parrot Fish) ฝูงใหญ่ กำลังกัดกินก้อนปะการังอย่างเอร็ดอร่อย ฟันที่คมขนาดกันก้อนปะการังแข็งๆจนกร่อนนั้น หากเป็นมือคนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก โชคดีว่ามนุษย์อย่างเราไม่ใช่อาหารของพวกเขา

จากนั้นปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish) ว่ายผ่านไป ผมจำลักษณะได้ดีเพราะเห็นที่สัตหีบมาแล้ว เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นที่อันดามันครับ(อาจเคยเห็นมานานแต่ไม่รู้จักครับ)

ต่อไปเป็นปลาสลิดทะเลโฉมงาม(Magnificient rabbitfish) รูปร่างของพวกเขาทำให้ผมนึกถึงยานอวกาศหรือไม่ก็เป็นหุ่นยนต์เป็นอันดับแรก ลองสังเกตสีสันของพวกเขาดีๆแล้วกันครับว่าจะคิดเหมือนผมไหม

ผมว่ายออกไปเรื่อยๆ จนเห็นแนวปะการังชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับว่ายหลบแมงกระพรุนเป็นระยะๆ ผมสังเกตเห็นว่าปะการังพังไปเยอะ เมื่อเปรียบเทียบจากครั้งก่อนที่ผมมา เป็นผลพวงจากคลื่นยักษ์สึนามิอย่างไม่ต้องสงสัย(เมื่อสอบถามภายหลังจึงทราบว่า ที่นี่ก็โดนเหมือนกันครับ)

ลูกปลาโนรีครีบยาว(Longfin Bannerfish) ที่วัยเด็กครีบจะสั้น ว่ายไล่กันเอง หากไม่สังเกตดีๆอาจคิดว่าเป็นโนรีครีบสั้นแต่จริงๆสีสันของพวกเขาต่างกัน สามารถแยกลักษณะได้ง่ายครับ

พระเอกนีโม คือ ปลาการ์ตูนส้มขาว(Crown Anemonefish)ของเรายังหลงเหลืออยู่ที่นี่ แม้จะไม่มากเท่าคราวก่อน แต่พฤติกรรมของพวกเขาเวลาอยู่กับดอกไม้ทะเล(Sea Anemone) ทำเอาใครต่อใครหลงรักมานักต่อนักแล้ว

ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) มาเป็นคู่ ตัวนี้ผมคุ้นเคยดี แยกชนิดได้ง่าย ส่วนอีกตัว คือ ปลาผีเสื้อลายเส้น(Lined Butterflyfish)หากไม่สังเกตดีๆจะแยกไม่ออกครับเพราะเหมือนๆกันไปหมด ผมไม่ได้เอาแผ่นปลาลงไปจึงพยายามจดจำรายละเอียดให้มาก เมื่อบวกกับข้อมูลที่พบได้ในทะเลอันดามันเท่านั้น จึงเป็นพวกเขาอย่างแน่นอนครับ

ปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์(Moon Wrasse) ชนิดนี้มีสีน้ำตาลปนอยู่ด้วย แต่ไม่ทำให้ผมหลงในสีสันจนแยกชนิดไม่ออกอย่างแน่นอน ต่อมาเป็นปลากล้วยหลังเหลืองหรือบางคนก็ชอบเรียกปลาข้างเหลือง(Fusilier)(ข้างเหลือง คนไทยมักจะใช้เรียกปลากล้วย อีกชนิดคือ ปลากระพงเหลืองลายฟ้าและปลากระพงเหลืองห้าเส้น ที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Snapper นั่นแหละครับ)

สุดท้าย คือ ปลาสลิดหิน(Damsel Fish) ซึ่งผมยอมรับว่า ผมมีความรู้แค่หางอึ่ง ยังจำพวกเขาได้ไม่เก่งนักแต่ดูจากรูปร่าง ครีบ ลักษณะลำตัว ผมมั่นใจว่าเป็นพวกเขาแน่นอน ส่วนปลาสลิดหินอีกชนิดที่เรียกว่า ปลาสลิดหินลายบั้ง(ปลาตะกละ) ผมจำได้ไม่ลืม ชอบมากินขนมปังและไล่ปลาประจำถิ่นออกไป เมื่อปลาประจำถิ่นอย่าง ปลาสิงโต ถูกไล่ออกไปจากแนวปะการัง พวกเขาก็จะตายลง

ผมพยายามที่จะบอกพี่คนเรือว่าให้ช่วยบอกเจ้าของชูชีพว่า ผมขอยืมแล้วจะนำมาคืนเมื่อใช้เสร็จ พี่คนเรือบอกเซย์ โน ท่าเดียว (ไม่รู้จะขี้งก ไปทำไม แต่อย่างว่า เขาคงกลัวชูชีพหาย)

เรามุ่งหน้าสู่จุดดำน้ำ จุดต่อไป คือ เกาะด้ามหอก ด้ามขวาน ชาวเรือจะเรียกว่า เกาะไก่ จุดดำน้ำนี้ ผมไม่ค่อยได้ดำเท่าไร ในครั้งล่าสุดที่ผ่านมา เพราะคลื่นแรงมาก มาในคราวนี้ ผมหวังว่าจะได้เห็นอะไรมากขึ้นที่นี่

เกาะด้ามหอก ด้ามขวาน

สน็อคเกิ้ลของกอลฟ์ไม่ค่อยดีเท่าไร ผมจึงให้สน็อคเกิ้ลของผมให้มันยืม(ใช้สลับกัน) จึงอยากจะบอกทุกท่านที่รักการดำน้ำ แล้วมาเที่ยวทะเลบ่อยๆว่า ควรซื้อเก็บเป็นของส่วนตัว นอกจากขนาดหน้ากากจะพอดีกับหน้าเราแล้ว สามารถตัดปัญหา น้ำเข้าได้อีกด้วย(บางคนซื้อมาแล้ว ยังเข้าอีก ถือว่าโชคไม่ดีครับ)

สาวๆอย่างพี่ดา พี่นา พี่นุช ดูจะมีความสุขกับการให้ขนมปังปลาสลิดหินมาก พี่จัดกับพี่ดนัยก็เช่นกัน ผมถ่ายรูปเสร็จก็ลงไปสำรวจด้านล่างบ้าง

ปลานกแก้ว(Parrot Fish) ขนาดใหญ่ว่ายผ่านไปช้าๆ แม้จะเป็นปลาที่ดูธรรมดามาก แต่การสังเกตพฤติกรรมของปลา คือ สิ่งที่ผมพยายามค้นหา เพื่อที่จะได้มีข้อมูลมาเล่าสู่การฟังให้มากขึ้น

ต่อมา คือปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) ที่ผมเจอบ่อยในฝั่งอ่าวใทย ในคราวนี้เขามากับปลาผีเสื้ออันดามันหรือปลาผีเสื้อเหลืองปานดำ(Andaman Butterflyfish) ซึ่งผมลอยตัวสังเกตอยู่นานเพื่อที่จะไม่ผิดพลาด หากไม่สังเกตดีๆเขามีส่วนคล้ายกับปลาผีเสื้อหยาดน้ำตา(Teardrop Butterflyfish) และคล้ายกับปลาผีเสื้อเบนเนต(Bennett’ s Butterflyfish)

ปลาผีเสื้ออีก 1 ชนิด ที่มาเยี่ยมเยียนผม คือ ปลาผีเสื้อลายเส้น(Lined Butterflyfish) จากนั้นก็เป็นปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish)

ปิดท้ายด้วยปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol) รูปร่างคล้ายปลาผีเสื้อ ซึ่งจริงๆเขาไม่ได้อยู่ในครอบครัวของปลาผีเสื้อแต่อยู่ในอีกสายพันธุ์หนึ่ง คนดูปลาแรกๆอาจสับสนกับปลาโนรี(Longfin Bannerfish)แต่หากสังเกตดีๆที่ปาก ปลาผีเสื้อเทวรูปปากจะเหมือนเป็นแผล ถ้าอยากดูง่ายๆไปดูหนังเรื่อง Finding Nemo แล้วจะเข้าใจเองครับ

สรุปแล้วมาในคราวนี้ ผมรู้สึกเห็นอะไรมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อาจเป็นเพราะว่าผมมีความรู้เรื่องสัตว์ทะเลมากขึ้น ก็เป็นได้

ต่อไป เรือจะพาเราไปจอดที่ทะเลแหวก ดำน้ำ เดินเล่น พักผ่อนและตามอัธยาศัย


ทะเลแหวก

เราจะคุ้นเคยกับภาพเกาะ 3 เกาะ(เกาะไก่ เกาะทับ เกาะหม้อ)โดยมีสันทรายเชื่อมต่อกัน จนเห็นเหมือนทะเลแหวก(Unseen Thailand) จริงๆแล้วทะเลแหวกจะมีในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ หากมา ช่วงน้ำขึ้น น้ำจะอยู่บริเวณหัวเข่า

ในวันนี้เป็นช่วงน้ำขึ้นพอดี หลายๆคนเริ่มบ่นว่าอยากเห็นทะเลแหวก ส่วนผมรู้สึกเฉยๆเพราะเคยเห็นมาแล้ว พี่คนเรือบอกว่าจะเริ่มแหวกบ่ายโมง(ขณะนั้น 11 โมงกว่า) พอลองคิดดูจึงเริ่มถึงบางอ้อ นี่เรามาในช่วงวันวิสาขบูชา(ก็15 ค่ำนี่หว่า)

ข้อดีของเรือเหมาลำ เราสามารถอยู่ในจุดไหน นานแค่ไหนก็ได้ หากเป็นเรือแบบ มากับคนอื่นๆ จะอยู่ในจุดต่างๆได้ไม่นานมากนัก จึงได้ข้อสรุปว่า เราจะอยู่กันที่นี่จนกว่าทะเลจะแหวกจนเห็นสันทรายและเดินผ่านไปได้

ทะเลแหวกในวันนี้ แม้คราคร่ำไปด้วยผู้คน กลับเงียบสงบ ผมเดินถ่ายรูป ยกกล้องขึ้นสูง มีเพียงเสียงคลื่นเอื่อยๆ เข้ามาในหูผมเท่านั้น(อ่อ ระวังแมงกระพรุนด้วยล่ะ ต้องใช้คำว่ามหาศาลเหลือเกิน)

พวกพี่ๆต่างไปนั่งพักบนเกาะ รับประทานอาหารกลางวัน บนนั้นมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่ด้วย ส่วนผมสวมหน้ากากและชูชีพ ออกไปสำรวจสัตว์ทะเลเพียงลำพัง

ขบวนการปลาผีเสื้อออกมาให้ผมยลโฉม เริ่มตั้งแต่ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) ปลาผีเสื้อลายเส้น(Lined Butterflyfish) ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) ปลาผีเสื้ออันดามันหรือปลาผีเสื้อเหลืองปานดำ(Andaman Butterflyfish) ปะการังแถบนี้ส่วนใหญ่จะราบเรียบเหมือนพื้นซีเมนต์(ไม่รู้จะเรียกว่าปะการังโต๊ะได้ไหม ผมไม่ค่อยรู้เรื่องปะการังมากเสียด้วย)

ว่ายหลบแมงกระพรุนไปเรื่อยๆ ก็ต้องพงะเพราะมีแมงกระพรุนไฟด้วย(หนีโดยด่วน) จากนั้นเป็นภาพปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish) กำลังรุมกินโต๊ะแมงกระพรุน(Jelly Fish)น้อยผู้น่าสงสารจนร่างกายเปื่อยยุ่ย แต่นี้ คือ ห่วงโซ่อาหารที่สร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศทางทะเลจนถึงทุกวันนี้ได้

ผมเห็นปลาการ์ตูนส้มขาว(Crown Anemonefish) กับดอกไม้ทะเล(Sea Anemone) อีกครั้งหนึ่ง แต่กอนี้อยู่ตื้นมาก ตื้นจนผมสามารถลงไปจับได้อย่างสบายๆ แต่ผมก็ลอยตัวเพื่อไม่ให้เตะโดน มองดูเขาใกล้ๆ เห็นได้ชัดว่า เขาเริ่มตื่นกลัวและแปลกใจกับผม พยายามเข้าๆออกกอดอกไม้ทะเลอยู่ตลอด สีหน้าเหมือนจะบอกว่า “นี่บ้านฉันนะ นายออกไปเดี๋ยวนี้” น่าเสียดายว่ากล้องไม่ได้อยู่ที่ผม กว่าจะเรียกกอลฟ์มา ผมลอยตัวอยู่บนผิวหน้า ก้มลงมาอีกที กอดอกไม้ทะเลนั้นก็หายไปแล้ว(หาไม่เจอแล้วครับ)

นอกจากนี้ผมยังเห็นหอยมือเสือ(Giant Clams) ปลิงทะเล(Sea Cucumber) รูปร่างต่างๆอีกด้วย

ผมเดินขึ้นมาหยิบข้าวบนเรือ ลงไปทานกับพี่ๆบนเกาะ อาหารอร่อยมาก(อาจเพราะหิวก็ได้) ผมโชคดีได้กินสัปปะรดแสนอร่อย เพราะพี่นาแกะให้(กินแบบไม่ต้องปอกแบบนี้ เข้าทางผมเลย ฮ่าๆๆๆ)

เรารอจนกระทั่งทะเลเริ่มแหวก จึงเดินไปฝั่งตรงข้ามซึ่งเรือจะไปรอรับอีกด้านนึง(หากไม่รีบออก พอน้ำลดจะออกไม่ได้ครับ)

แดดร้อนแบบสะใจจริงๆ สะใจคนอย่างผมที่ไม่ชอบทาSunblock(แล้วยังจะสวมเสื้อกล้าม) เพราะกลัวมือเปื้อนกล้องดิจิตอล เวลากลับมากรุงเทพ ตามร่างกายก็ลอกเป็นแผ่นๆ

เราขึ้นเรือ เพื่อไปอ่าวถ้ำพระนาง จุดสุดท้ายของโปรแกรมท่องเที่ยวในวันนี้

อ่าวถ้ำพระนาง

เราตกลงกับคนเรือว่า ให้เขาไปรอรับเราที่อ่าวไร่เลย์ทางด้านตะวันตก โดยเราจะเดินเลาะด้านหลัง ขึ้นจุดชมวิว ก่อนจะกลับมาด้านหน้า

ทรายที่นี่ ละเอียด น่าเล่นน้ำ เวลาเหยียบก็ไม่เจ็บเท้า ไม่มีเศษหิน เศษปะการังเท่าไรนัก

มองไปด้านข้าง มีพนักงานเสริฟของ รายาวดี พรีเมียร์ รีสอรท์ ที่พักหรูหราแบบ คนไม่มีเงิน มาพักไม่ได้อย่างแน่นอน กำลังควงขวดอยู่อย่างคล่องแคล่ว ผมจึงไม่พลาดที่จะถ่ายวีดีโอเก็บไว้

เดินต่อไปมองไปด้านบนผา มีชาวต่างชาติสวมทูพีช(พระเจ้าจอจร์ มันยอดมาก) ทำท่าเหมือนจะกระโดดมาจากบนนั้น ผมจึงคว้ากล้องมาถ่ายเอาไว้ ปรากฎว่าไม่นานนักเธอก็กระโดดลงมา โชคดีผมเก็บภาพนั้นเอาไว้แล้วด้วย

เราเข้าไปนมัสการศาลพระภูมิของพระนาง ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวเรือและศักดิ์สิทธิ์มาก ผมอธิษฐานอวยพรไปเรื่อยๆ เรื่องที่ไม่ลืมแน่ๆขอให้ท่านช่วยคุ้มครองผมและเพื่อนๆเวลาขึ้นจุดชมวิวด้วย(ชันมากและหฤโหดสุดๆ)

เดินอ้อมมาด้านหลัง ตรงหัวมุมจะมีฝูงลิง มารอรับอาหารจากนักท่องเที่ยว ผมถ่ายรูปลิงแม่ลูกคู่หนึ่ง น่ารักมากครับเพราะลูกลิงเกาะอยู่บริเวณท้องแม่แบบไม่ห่างกาย ที่สำคัญหน้าตาไร้เดียงสามากด้วย

ที่นี่มี Full Moon Party ด้วยสังเกตได้จากป้ายที่ติดไว้ เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็ถึงทางขึ้นจุดชมวิว ที่ผมตั้งชื่อเองว่า “ทางขึ้นปราบเซียน” ใครไม่แน่จริงขึ้นไม่ได้แน่ครับเพราะต้องปีนขึ้นไปบนเขาในลักษณะที่ลาดชัน(มาก) หากจับไม่ดีก็บ๊ายบายโลกมนุษย์ได้เลย ซึ่งทุกคนก็ตัดสินใจขึ้นหมดยกเว้นพี่ดนัยเลือกจะสำรวจด้านล่างมากกว่า

เพื่อความปลอดภัยหากใครสวมรองเท้าแตะมาให้ใช้เท้าเปล่าจะดีกว่า เพราะจะคล่องตัวขึ้น หากใครมีรองเท้าผ้าใบนั่นก็ดีมากเลยครับ(ทำใจว่ารองเท้าและตามเนื้อตัวจะเปื้อนแน่นอน)

แม้จะเป็นครั้งที่สามของผมแล้วสำหรับจุดชมวิวที่นี่แต่ผมกลับไม่รู้สึกเบื่อเลย ผมสะพายเป้ใว้ข้างหลังปีนขึ้นอย่างช้าๆ มีสมาธิและระมัดระวังมากที่สุด(ใครๆก็รักชีวิตนะ)

ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ก็มาถึงจุดชมวิว(Low view point) ด้วยสภาพที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อทุกคน ตามเสื้อผ้าเปื้อนดินสีออกน้ำตาล หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ผมมองไปยังด้านล่าง ด้านหน้าใกล้ผม คือ อ่าวไร่เลย์ตะวันออก ด้านซ้ายมือ คือ อ่าวไร่เลย์ตะวันตก ผมจำได้ว่าก่อนสึนามิ อ่าวไร่เลย์ตะวันออกสวยกว่านี้ อาจเป็นไปได้ว่าเพราะสึนามินั่นเองทำให้สภาพดูแย่ลง(มาก) ชายหาดแห้งขอดแถมสกปรก ไม่สามารถเล่นน้ำได้อีกต่อไป

ขากลับลงมาด้านล่าง ไม่เจอพี่ดนัยแล้ว เราจึงเดินต่อไป คิดในใจว่าแกน่าจะไปรอที่เรือแล้ว เมื่อมาถึงอ่าวไร่เลย์ตะวันตกปรากฎว่าพี่ดนัยไม่ได้มาที่นี่ เราจึงนั่งเรือไปรับที่อ่าวถ้ำพระนาง ถึงตอนนี้ผมหาแผ่นปลาที่วางทิ้งไว้บนเรือ ปรากฎว่าไม่มี สอบถามจึงทราบว่าตอนที่พี่คนเรือกลับเรือกระทันหัน แผ่นปลาได้ปลิวตกน้ำไป เรียบร้อยแล้ว(แผ่นละ 200 บาทนะเว้ย) (ผมคิดในใจว่า ช่างไม่มีน้ำใจเลย ไม่ยอมรักษาของลูกค้า)(ภายหลังพอคิดดีๆจึงเข้าใจว่า แผ่นปลาไม่ได้ลอยน้ำ แต่จมน้ำ ผมจำตอนทำตกที่พัทยาแล้วพี่โก้ช่วยเก็บได้ดี)

ผมลงไปตามพี่ดนัยแต่กลับไม่ได้คิดว่าผมจำหน้าตาพี่เขาได้หรือไม่(จำไม่ได้เลย) ผมไปจดๆจ้องๆอยู่กับชายคนหนึ่ง(ซึ่งไม่ใช่พี่ดนัย) ไม่นานนักพี่ดาวิ่งลงมาตามเองเพราะเห็นว่าผมจำไม่ได้แน่นอน(ฮ่าๆๆๆ) จนเจอพี่ดนัยในที่สุด

เป็นอันจบโปรแกรมดำน้ำในวันนี้ ผมเดินทางกลับหาดนพรัตน์ธาราแบบเศร้าใจเล็กน้อยที่ต้องสูญเสียของรักไป 2 แผ่น แต่ช่างมันเถอะ ซื้อใหม่เอาก็ได้ แผ่นแรกสั่งซื้อทางไปรษณีย์กับ อ. ศักดิ์อนันต์ ปลาทองได้ ส่วนอีกแผ่นขอดื้อๆในเว็บทะเลไทยดอดคอมนี่แหละ(ด้านได้ อายอดเว้ย)

หลังจากอาบน้ำจนสบายตัวแล้ว พี่ดาและเพื่อนๆนัดผมและกอลฟ์ออกมาทานข้าวด้วยกัน จากนั้นก็เดินเล่นที่หาดนพรัตน์ธารา เราคุยกันเกี่ยวกับประเด็นศาสนาอิสลามและเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ปกติเรื่องที่ห้ามคุยในวงสนทนา คือ เรื่องศาสนาและเรื่องการเมือง แต่กรณีนี้ยกเว้นครับ เพราะพี่ดนัยกับพี่ดา ถือเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์มาก การที่ผมกับกอลฟ์ได้ฟังทำให้ผมได้รู้ข้อมูลมากขึ้นเยอะเลย

พรุ่งนี้พี่ๆทั้ง 5 คนก็จะกลับแล้ว แต่ก่อนกลับพวกเขาจะไปพายคายัคที่อ่าวท่าเลนก่อน จากนั้นจะขับรถไป จ. สุราษฐ์ธานี เพื่อไปชมหิ่งห้อย จากนั้นจึงขับกลับมาส่งพี่นา พี่นุช พี่จัด ที่ จ. สงขลา ก่อนจะกลับ จ. นราธิวาส(อึดไหมละครับ)

ผมกับกอลฟ์มีโปรแกรมอยู่แล้วในวันรุ่งขึ้น เราจะไปเที่ยวเกาะห้อง พายคายัคกัน หากโปรแกรมเปลี่ยนแบบวันนี้ เราอาจจะได้ไปเที่ยวอ่าวท่าเลนก็ได้ ใครจะไปรู้

เหนื่อยมาก รีบพักผ่อนดีกว่า วันนี้เราใช้พลังงานไปมากเลยครับ

Tuesday, June 13, 2006

กระบี่….มนต์เสน่ห์แห่งอันดามัน (2)




เดินตามสะพานไม้ มาเรื่อยๆ มาถึงสระแรก(มีป้ายเขียนว่า No Swiming)สระนี้แหละ ที่ผมชอบมาก เงียบ ไม่มีคน มีปลาแปลกๆดูเยอะ มาทีไรก็ฝ่าฝืนตลอด(เป็นนักกฎหมายประสาอะไรเนี่ย ชอบแหกกฎ จริงๆ ผมอ่านไม่ออกครับ เป็นคนต่างชาติ ที่บ้านผมไม่ใช้ภาษาอังกฤษ……เอาเข้าไป) ผมคิดในใจว่า เดี๋ยวจะมาลงแน่นอน ไม่งั้นนอนไม่หลับแน่



ด้านหน้าของผม คือ สระมรกต หนึ่งในภาพประทับใจของใครหลายๆคน นี่ คือ Unseen Thailand ที่ใครหลายคนถวิลหา ภาพสระนำจืด เขียวมรกต กลางป่า หากได้ลงไปว่ายเล่น คงดีไม่น้อย



ข้างๆสระมีพลับพลาที่ประทับด้วย ในวันนี้ สระมรกตคราคร่ำไปด้วยผู้คน แต่อย่างไรก็ตามไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผมแม้แต่น้อยเพราะผมเคยเห็นสระมรกตในหลายๆแบบมาแล้ว เช่น ช่วงไม่มีคน ช่วงคนเยอะ ช่วงคนมหาศาล เป็นต้น (คงตอบได้ว่า ผมชอบช่วงไหนมากที่สุด)



ถ่ายรูปให้เจ้ากอลฟ์เสร็จ ผมคว้าสน็อคเกิ้ลลงไปบ้าง ภารกิจหลัก คือ ดูปลา การเก็บขยะ ดูสาว(อันหลังสุดนั้นเป็นผลพลอยได้) มาคราวนี้ผมได้ลองท่อหายใจใหม่ที่พึ่งซื้อมา หลังจากอันเก่าบริจาคไปแล้ว(ทำตกนั่นแหละ)ที่หินหัวกะโหลก อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน



ท่อใหม่นี้ ผมยังไม่คุ้นเคยเท่าไรเพราะมีวาวล์สำหรับพ่นน้ำออกด้วย เวลาดำน้ำจะเข้าง่ายกว่าที่ไม่มีวาวล์ จริงๆดีกว่าของเก่าแน่นอนเพียงแต่ว่าผมยังใช้ไม่ค่อยคล่องก็เท่านั้นเอง(ไม่รู้จะเป็นหัวล้านได้หวีไหมเนี่ย)



ผมเรียกเจ้ากอลฟ์มาดูที่ใต้น้ำตก หลังจากผมเห็นปลาปริศนาขนาดประมาณ 40-50 ซม นับว่าเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบที่นี่เลย



ฝนใกล้ตก เมฆดำทมึน เราจึงรีบขึ้นจากน้ำ แต่ไม่ลืมที่จะเดินย้อนกลับไปเล็กน้อยที่สระแรก(ผมมาทวงสัญญาหน้าฝน เธอสัญญากับผมว่าจะให้ผมเชยชม เอ้ย ติดเรท)



มองซ้าย มองขวา ทางสะดวก ผมให้กอลฟ์อัดวีดีโอคลิปให้ด้วย ถอยไป ถอยมา เจ้ากอลฟ์ตกไปด้านล่าง โชคดีสัญชาตญาณของกอลฟ์เยี่ยม ยกกล้องขึ้นสูง ขาเปียกช่างมัน



ผมลงไปตีขา ดำดูปลาอย่างสบายอารมณ์ บางคนว่าสระนี้ซกมกแต่ผมไม่คิดแบบนั้น(ตัวผมซกมกกว่าสระนี้อีกครับ) สระนี้จะมีสาหร่ายเยอะ บ่งบอกถึงระบบนิเวศได้อย่างหนึ่งว่า สมบูรณ์ ดูจากปลาที่พบ



เป็นอันว่าคนเห็นแก่ตัวอย่างผมได้ทำตามใจที่ต้องการอีกครั้ง ระหว่างเดินออกมาฝนเริ่มตกจึงต้องเดินแบบย่องๆเดี๋ยวจะลื่นก้นจ้ำเบ้า



ผมมองหาร้านข้าวร้านเดิมที่เคยพบพี่สาวและพี่แมวแต่ร้านนั้นไม่มีแล้ว จึงมากินอีกร้านหนึ่งแล้วสอบถามน้า(หนวดงาม) อัธยาศัยดีมาก แกบอกว่า พี่สาวและพี่แมว อยู่ในครัวใกล้ๆผมนี่เอง แต่พี่สาวร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนก่อนแล้ว



อาหารตามสั่งอร่อยๆราคาเท่ากรุงเทพฯ(ถูกกว่าด้วยซ้ำ) ช่วยให้ผมและกอลฟ์อิ่มหนำสำราญ ก่อนกลับผมเข้าไปในห้องครัว พบพี่สาว



“พี่จำผมได้หรือเปล่าครับ”



“จำได้ซิน้อง”



พี่สาวในวันนี้ หน้าตาดูซีดเซียวลงไป แกบอกว่ามีปัญหาเกี่ยวกับคอ เลยมาช่วยงานในครัวแทน อยู่ด้านนอกงานจะหนักกว่า ผมขอถ่ายรูป ก่อนออกเดินทาง และไม่ลืมที่ขอที่อยู่เพื่อส่งรูปมาให้พี่สาว



ฝนตกแบบนี้ การสตารท์รถมอเตอร์ไซด์อาจมีปัญหาบ้าง(น่าจะเกี่ยวกับความชื้น) เหมือนเช่นในตอนนี้ที่กอลฟ์พยายามเหลือเกินที่จะสตารท์เครื่องให้ได้(สงสัยหัวเทียนบอด) ต้องใช้ความพยายามหลายสิบครั้ง กว่าเครื่องจะติด(ค่อยยังชั่ว ได้ไปต่อแล้ว)



จากสระมรกตออกมา เรามุ่งหน้าสู่น้ำตกร้อน ตอนนี้เราเหมือนคนต่างด้าวมาก(ธรรมดาก็เหมือนอยู่แล้ว)เพราะต้องใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมหัวกันฝน ฝ่าเม็ดฝนที่กระเด็นเข้าตา(แบบเจ็บๆ) โชคดีว่ายังไม่ตกหนักมาก จึงยังพอขับไปได้



ชำระค่าธรรมเนียมให้เรียบร้อยพร้อมค่าจอดรถ ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านใน ภายในจะมีน้ำตกร้อนที่ทำขึ้นและน้ำตกร้อนโดยธรรมชาติ ผมไม่เคยสนใจของเทียมอยู่แล้ว แม้ในช่วงเวลาที่คนมากก็ตาม(อดลง ก็ไม่เสียหาย มาดื่มด่ำกับบรรยากาศเอา)



ความร้อนระดับ 30-40 องศาเซลเซียส จะรู้สึกว่าร้อนมากในช่วงแรก แต่พอได้ลงไปทั้งตัว ร่างกายจะเริ่มปรับสภาพและทำให้รู้สึกสบายจริงๆ เจ้ากอลฟ์ยังดูกลัวๆกับความร้อนของน้ำตก ก่อนที่จะถอดลวดลายทิ้ง ลงมาแช่ทั้งตัว (คุณพ่อของผมยังชอบที่นี่เลย)



พอขึ้นมา เมื่อลูบผิวดูจะรู้สึกว่าผิวเนียนขึ้น ผมเคยได้ยินว่าสามารถรักษาโรคได้ด้วย(ไม่รู้จริงหรือเปล่านา)



ระหว่างเดินทางกลับ เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนเลิกพอดี แลดูมีเสน่ห์ในการเดินทางไปอีกแบบ ข้างทางก็มีควายกำลังกินหญ้าอยู่(จะคิดว่ามีเสน่ห์อีกซิ….. ถูกต้องนะคร๊าบๆๆๆๆ)



ฝนเริ่มตกหนักมากขึ้น ขับต่อไปมีแต่จะอันตราย เราแวะเข้าศาลาข้างทางเพื่อหลบฝน มีคนมาหลบฝนอยู่หลายคนด้วย พอฝนเริ่มซาจึงค่อยเดินทางต่อ



เส้นทางที่ขับนั้นจะมีช่องสำหรับให้รถมอเตอร์ไซด์วิ่งโดยเฉพาะ(ก็เหมือนถนนทั่วๆไป) การขับจึงต้องทำตามกฎ ระเบียบอย่างเคร่งครัด เช่นการเปิดไฟหน้ารถ(เวลารถสวนมาจะได้เห็น เป็นต้น) ถึงตอนนี้ในปากของผมและกอลฟ์มีทรายเข้ามาด้วย(อยากคุยกันเวลาขับรถ สมน้ำหน้า)



เราตกลงกันว่าจะแวะเข้าไปในตัวเมืองกระบี่ก่อน ผมอยากดูเขาขนาบน้ำอันลือชื่อใกล้ๆ ส่วนกอลฟ์อยากเห็นบรรยากาศในตัวเมืองกระบี่



เราขับเลยเขาขนาบน้ำมา(เลยมาได้ยังไง ตาถั่วทั้งคู่) จึงกลับรถ หาอะไรกินก่อน ช่วง 5 โมงก็เริ่มมีอาหารมาขายแล้ว ทั้งร้านอาหารตามสั่ง เช่น ร้านนัสรี่ มุสลิม และร้านอื่นๆ แต่ร้านที่ผมสะดุดตา อยากเข้าไปหม่ำทั้งร้าน คงเป็นร้านบังยูโสบ(บัง ภาษาใต้แปลว่าพี่ ก็คือ ร้านพี่ยูโสบนั่นแหละ)



ร้านบังยูโสบ เป็นรถเข็นขายลูกชิ้น มีทั้งไส้กรอกไก่ ปูอัด กุ้งทอด ลูกชิ้นเนื้อ ไข่นก แหนมไก่ เอ็นเนื้อ เอ็นไก่ เต้าหู้ปลา แค่ได้ยินรายการก็อยากกินแล้วใช่ไหมครับ ผมจึงไม่พลาดที่จะอุดหนุน อร่อยมากด้วยแหละ



ข้างๆจะมีร้านโรตี สะเต๊ะไก่ สะเต๊ะเนื้อ น่ากินเช่นกัน ส่วนร้านที่เจ้ากอลฟ์กำลังซื้ออยู่ คือ ร้านขนมเบื้องไทย ขนมโตเกียว รสชาดอร่อยมากเช่นกัน



เราเดินออกมาถ่ายรูป นั่งกินของที่ซื้อมาบริเวณท่าเรือ มองเห็นป่าชายเลนอยู่ไม่ไกล มีสาวๆมาออกกำลังกายด้วย เจ้าเด็กน้อย 3 คน ก็อัธยาศัยไม่เลว พูดคุยกับผมและกอลฟ์อย่างไม่กลัวเสียด้วย(ปกติ แม่ไม่ให้พูด-ไม่ให้พูดกับคนแปลกหน้า)



แวะซื้อกล้วย ส้ม เพื่อเอาไปกินบนเรือ เวลาดำน้ำพรุ่งนี้ ก่อนมุ่งหน้าไปยังเขาขนาบน้ำ มีคำกล่าวที่มักจะใช้กับผมได้ดีเสมอว่า “ก่อนจะฉลาดต้องเคยโง่มาก่อน” ในการเดินทางผมมักจะผิดพลาด ไม่ก็ถูกหลอกมาก่อนจึงจะฉลาด หลังจากนั้นก็จะไม่มีการผิดพลาดอีกเพราะเรารู้ดีแล้ว คราวนี้ก็เช่นกันผมบอกกอลฟ์ให้เลี้ยวเข้าไปในซอยๆหนึ่ง ปรากฎว่าเป็นซอยตัน………………



จึงอยากจะบอกทุกท่านว่า จุดชมวิวที่เขาขนาบน้ำอยู่บริเวณทางโค้งที่เขียนว่า “ชมทิวทัศน์” ใกล้ๆป้ายที่เขียนว่า “สะพานท่องเที่ยวป่าชายเลน” (แถวนั้นมองไม่เห็นที่จอดรถนะครับแต่ถ้ามอเตอร์ไซด์ น่าจะสะดวกกว่า)



จากนั้นระหว่างเดินทางกลับอ่าวนาง เราวนเข้าไปด้านใน พบสี่แยกที่เห็นแล้วต้องจอดรถลงมาถ่ายรูป เพราะสัญญาณไฟจราจรเก๋มากๆ เป็นเป็นเสาขนาดใหญ่มีรูปมนุษย์โบราณรูปร่างกำยำถือสัญญาณไฟจราจรอย่างละข้าง (ดูเท่ แปลกตามาก)



ก่อนเข้าที่พัก เมฆประหลาดริมหาดนพรัตน์ธาราดึงดูดให้ผมลงมาถ่ายรูป มองไปคล้ายสุนัขกำลังอ้าปากเหมือนกัน



เราออกมาหาของกินแถวอ่าวนาง อาหารแบบง่ายๆราคาไม่แพง แล้วก็สะดุดตากับร้าน “ไก่เถื่อน” ขายผัดไทและอาหารตามสั่ง รสชาดอร่อยแถบถูกอีกด้วย(ราคาเท่ากรุงเทพฯ) คุยกันจึงทราบว่าเป็นของน้าแต๋วและบังดอย(พี่ดอย) ซึ่งพี่ดอยเคยเป็นเชฟอยู่แถวซอยนานา แต่ออกมาอยู่กับครอบครัวที่บ้านเกิด นอกจากนี้บังดอยยังมีอาชีพขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างด้วย



กลับที่พักผมเดินออกมาซื้อยาสระผมที่มินิมารท์(ตะกี้เข้าเซเว่นก็ลืมซื้อซะได้) มีบาร์อยู่ด้านหน้าแต่ไร้ซึ่งผู้คนอาจเป็นไปได้ว่ายังเป็นแค่ช่วงหัวค่ำ เจ้าของร้านมินิมารท์บอกผมหากเปรียบเทียบกับอ่าวนาง หาดนี้ยังถือว่าใหม่สำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งผมก็ยังนึกถึงชาวต่างชาติที่มักจะรู้และเข้าถึงการท่องเที่ยวดีๆแบบนี้ ก่อนคนไทยเสมอ



หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยจึงเดินออกมาดูทีวี ผมจึงทราบว่าคุณพี่ผมยาว กระเซิงที่ตัดหญ้าเมื่อเช้าเป็นเจ้าของบังกะโลแห่งนี้(ผ้าขี้ริ้วห่อทองจริงๆ) ชื่อของแก คือ บังฮาซัน



บังฮาซันเป็นชาวมุสลิมแท้ๆ มาเปิดCashew Nut มา 6 ปีแล้ว โดยชื่อของ Cashew Nut แปลว่ากาหยูหรือกาหยี ซึ่งก็คือเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง ส่วนใหญ่ที่มาพักมักจะเป็นชาวต่างชาติเพราะราคาไม่แพงมากนัก มีความเป็นส่วนตัวสูง แถมยังมียูบีซีดูที่หน้าเคานเตอร์ด้วย(1500 บาทต่อเดือน บังฮาซันรำพึง รำพันว่า ไม่รู้ว่าจะคุ้มไหม......) ท้ายสุดนี้ผมได้ความรู้ใหม่จากบังฮาซันว่า ชาวใต้จะเรียกภูเขาหินปูนว่า ภูเขา ส่วนภูเขาที่มีดินอยู่ด้วย ชาวใต้เรียกว่า ควน ฟังดูก็แปลกดี เป็นความรู้ใหม่ครับ



หาวหลายที เหนื่อยสะสมจากการเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ ก่อนนอน ผมกับกอลฟ์ตกลงกันว่าในวันรุ่งขึ้นจะมาติดต่อเรื่องไปดำน้ำ โปรแกรม เกาะปอดะ ทะเลแหวก อ่าวถ้ำพระนาง หาดไร่เลย์





12 พฤษภาคม 2549



มาเที่ยวกับเพื่อนทีไร ผมมักจะตื่นเป็นคนแรกๆเพื่อออกมาถ่ายรูปยามเช้าเสมอๆ แต่มาในคราวนี้เจ้ากอลฟ์ตื่นก่อนผม ทำเอาผมต้องรีบออกไปด้านนอกบ้างแต่ก็ไม่เจอ จนกระทั่งกอลฟ์กลับมา เขาเล่าให้ฟังว่าเดินออกไปดูหาดนพรัตน์ธารา ถ่ายรูปนิดหน่อยเท่านั้น



ใกล้ 8 โมง ผมกับกอลฟ์ต้องรีบจัดของลงกระเป๋าสำหรับไปดำน้ำในวันนี้(ยังไม่ได้ติดต่อเลย) จะมัวชักช้าอยู่เห็นจะไม่ทันการ



เช้านี้ภริยาพี่ฮาซันให้อาหารนาก ผมจึงไม่พลาดที่จะเก็บภาพในช่วงนี้ไว้ หาดูไม่ได้ง่ายๆนะเนี่ย



และแล้ว ข่าวไม่ดียามเช้าก็เกิดขึ้น ผมไม่สามารถไปกับบริษัททัวร์ที่ภริยาพี่ฮาซันติดต่อได้เพราะแจ้งช้าเกินไป(เต็มแล้ว) ผมจึงขอเปลี่ยนเป็นอีก 1 โปรแกรม คือ เกาะห้อง แต่ก็ได้รับคำตอบที่ไม่ดีเช่นกัน คือ เต็ม



ผมกับกอลฟ์เริ่มเซ็งๆ สงสัยคงต้องไปหาตามอ่าวนางซึ่งอาจจะต้องเหมาก็ได้(รายนั้นจะแพงกว่า) ไม่นานนักพี่ฮาซันแนะนำให้ผมไปร่วมทริปไปกับพี่ๆคนไทย 5 คน ที่มาพักที่นี่ซึ่งพวกเขาเหมาเรือไปเที่ยวที่เกาะปอดะ ทะเลแหวก อ่าวถ้ำพระนาง อ่าวไร่เลย์ เช่นกัน



เมื่อคุยกันจึงได้รับความปรารถนาดีจากพี่ๆให้เราไปด้วย(ช่วยแชร์ค่าเรือกัน) เท่านี้ผมกับกอลฟ์ก็รอดตาย เช้านี้ได้เที่ยวแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ



ต้นไม้บริเวณที่พัก พี่ฮาซันเล่าให้ฟังว่า มีต้นบ่ออะ ต้นจันทร์ผาและต้นปาลม์ ซึ่งผมดูจะคุ้นเคยกับต้นสุดท้ายมากที่สุด เรารีบออกไปหาซื้อข้าวกลางวันมาทานบนเรือ ในตอนนี้น้ำมันก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย



เรามาเติมน้ำมันบริเวณมัสยิดใกล้อ่าวนาง น้ำมันสีออกแดงๆ เติมไม่ถึง 100 เพิ่มมาตั้งเยอะ(มิน่า ทำไมขับมอเตอร์ไซด์ เงินมันเหลือ ขับรถเก๋งต้องเติมหลายร้อย)



ร้านข้าวแกงเช้านี้ ลูกสาวเจ้าของร้านน่ารักมาก(อาจธรรมดาสำหรับบางคนแต่สำหรับผมถือว่าสอบผ่านครับ) เรียกว่าพอเห็นหน้าปุ๊บหลงรักทันที(อย่าลืมร้องเพลง She แบบเรื่อง Nothing Hill ด้วยนะครับ) แต่เรามาว่าถึงเรื่องข้าวแกงดีกว่า รสชาดอร่อยมากครับ ผมกับกอลฟ์รีบกินจนเจ้าของร้านและคนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่กินอยู่โต๊ะข้างๆงง จนถามว่า



“จะรีบไปไหนกันเหรอ พ่อหนุ่ม”



“รีบออกไปดำน้ำครับ เรือจะออกแล้ว”



ผมลาคุณแม่ร้านข้าวแกง(เป็นแม่ตั้งแต่เมื่อไรล่ะ ฮ่าๆๆๆ) ภูเขาหินปูนยามเช้า ตัดกับแสงแดดที่เจิดจ้า มองดูสวยงาม ผมรีบกลับไปยังที่พัก ในตอนนี้ทุกคนพร้อมจะออกไปนั่งเรือบริเวณหาดนพรัตน์ธาราแล้ว



เรือของเราชื่อว่า T 27 Sunset นอกจากผมและกอลฟ์ก็มี 3 สาว กับ 2 หนุ่ม ประกอบด้วย พี่ดา ทำงานอยู่สำนักงานเขต อ. สุไหงโกลก จ. นราธิวาส พี่นาและพี่นุช ทำงานอยู่สำนักงานเขต จ. สงขลา พี่ดนัย อาจารย์ใหญ่ในโรงเรียน อ. เจาะไอร้อง จ. นราธิวาส และพี่จัด ทำงานอยู่สำนักงานเขต จ. สงขลาเช่นกัน



พวกเขาทรหดไม่แพ้พวกผมเพราะหากดูแผนที่จาก จ. นราธิวาส มา จ กระบี่ ไม่ได้ใกล้ๆกันเลย หลายร้อยกิโลอยู่เหมือนกัน



ที่สำคัญ คือ พวกเขา มีใจรักในการเที่ยวทะเลด้วยกัน ไม่แปลกใจว่าเหตุใด พวกเขาจึงท่องเที่ยวทะเลมาแล้วในหลายๆที่ สายใยบางๆจึงทำให้ผมได้รับมิตรภาพดีๆอีกครั้งหนึ่ง(ไม่ได้พวกพี่ๆ เราก็อดเที่ยววันนี้น่ะซิ)



ผมคุ้นเคยกับเส้นทางนี้ดีมาก(มาโปรแกรมนี้ รอบที่ 3 แล้ว) จึงสามารถอธิบายให้พี่ๆฟังว่า ในจุดแรก เรือจะจอดให้เราดำน้ำกันที่เกาะปอดะ

Monday, June 12, 2006

กระบี่….มนต์เสน่ห์แห่งอันดามัน (1)



หลายๆครั้ง ผมมักจะใช้เวลาว่างหลังสอบเสร็จ ไปดำน้ำเพื่อสำรวจสัตว์ทะเล หาความสุขใส่ตัวเสมอ จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมไปทะเลมาแล้วหลายจังหวัดจนสามารถให้คำปรึกษากับเพื่อนๆและคนที่สนใจได้(ไม่มากก็น้อย)

คราวนี้ ต่างออกไปตรงที่ว่า ทริปแสนสุขของผมจะไปในวันธรรมดาไม่ได้อีกแล้ว(ลายังไม่ได้ด้วยครับ) ทั้งนี้เพราะชีวิตผมก้าวเข้ามาสู่วัยทำงาน วันหยุดยาวจึงเป็นคำตอบสำหรับการท่องเที่ยวของผม

ข้อดี คือ ผมมีเงินใช้ในการท่องเที่ยวเพราะได้ทำงาน ส่วนข้อเสียคงเป็น ความสงบเงียบในการท่องเที่ยว ที่อาจจะเสียไปบ้าง

ผมมองวันหยุดในช่วงวันพืชมงคลและวันวิสาขบูชา ซึ่งจะหยุดต่อในวันเสาร์และวันอาทิตย์ด้วย โดยมองไปที่ชุมพรคาบาน่า โรงเรียนสอนดำน้ำของผม การกลับไปในคราวนี้ก็จะเป็นการรื้อฟื้นความหลังด้วย

แต่แล้ว ผมก็เปลี่ยนใจเพราะฤดูการท่องเที่ยวชุมพรพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นในชณะที่การไปท่องเที่ยวหมู่เกาะไกลฝั่งอย่างอันดามันกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

ผมจึงตัดสินไปรื้อฟื้นความหลังอีกครั้งที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกเพราะในปีนี้เกาะปิดเร็วกว่ากำหนด (ทำไงดีล่ะ ซื้อตั๋วไปลง คุระบุรีแล้วด้วยซิ)

เมื่อปรึกษาเจ้ากอลฟ์เพื่อนร่วมเดินทาง กระบี่จึงเป็นคำตอบของทุกสิ่ง หากวันใดฝนตก เราก็สามารถไปเที่ยวบนฝั่งได้ สถานที่ท่องเที่ยวในกระบี่มีจิปาถะ ไม่ว่าจะเป็นสระมรกต น้ำตกร้อน ท่าปอม-คลองสองน้ำ พายคายัคที่อ่าวท่าเลน เป็นต้น

แม้หลายๆที่ ผมเคยไปมาแล้ว แต่ก็ไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่น้อย การกลับไปอีกครั้งเสมือนกับการได้กลับบ้านนั่นเอง

หากพร้อมจะเดินทางไปกับผมแล้ว ก็ตามมาเลยครับ!!!


10 พฤษภาคม 2549

ผมแบกเป้ใบใหญ่มาที่ทำงานแต่เช้า เมื่อเลิกงานจะได้ไม่ต้องกลับบ้าน เสื้อเชิ๊ตผูกเนคไทโดยมีของเต็มหลัง เมื่อขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินและรถเมล์ ช่างไม่เข้ากันเสียเลย

อุปกรณ์พื้นฐาน เสื้อผ้า หน้ากากดำน้ำ(Mask)และท่อหายใจ(Snockle) นอกจากนี้ก็ยังมีหนังสือท่องเที่ยว สมุดจด ที่ขาดไม่ได้เช่นกัน

หลังเลิกงาน ผมเปลี่ยนชุดไปรเวท หลายๆคนในที่ทำงานเริ่มแปลกใจว่าผมจะไปไหน ด้วยสีผิวที่คล้ำ บางคนคิดว่าผมจะกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อ แม่ที่กระบี่เสียอีก

ผมนั่งรถเมล์มาถึงสายใต้ใหม่ซึ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คน อาจเป็นเพราะวันหยุดยาวแบบนี้ ใครๆก็อยากใช้เวลาให้คุ้มค่าไม่ว่าจะกลับบ้านหรือไปเที่ยวก็ตาม

ไม่นานนัก กอลฟ์หนุ่มเมืองหมูชะมวง(ฮิ) เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผู้ชื่นชอบในการเที่ยวทะเลเช่นกัน ก็ตามมา จะว่าไปแล้วการเดินทางคราวนี้ หากผมไม่ชวนกอลฟ์แต่แบกเป้ไปเที่ยวคนเดียวอีก มันคงจะบ่นผมอีกตามเคย

ผมคุ้นเคยกับบริษัท ลิกไนท์ ทัวร์ เป็นอย่างดี เพราะเดินทางไป หมู่เกาะสุรินทร์ จ. พังงา เสมอๆ ประทับใจในการบริการ การขับรถที่นุ่มนวล อาหารที่แสนอร่อย

“เปลี่ยนตั๋ว เรียบร้อยหรือยัง ไอ้หนุ่ม” คุณป้าหน้าเคาน์เตอร์ถามผม

“เรียบร้อยแล้วครับป้า” ผมตอบพร้อมมองรอบๆ หากผมไม่รีบเปลี่ยนตั้งแต่เนิ่นๆ ป่านนี้ผมไม่มีตั๋วลงไปเที่ยวแน่นอน(ขนาดเปลี่ยนแล้ว ยังไม่ได้ที่นั่งคู่กันเลยครับ แต่ก็ดีกว่าไม่มีนะ)

ก่อนออกเดินทาง ผมกับกอลฟ์เติมพลัง ร้านข้าวแกงปักษ์ใต้ใกล้ๆบริษัทลิกไนท์ ทัวร์ เพราะกว่าจะพักกินข้าวเย็นก็ 4 ทุ่ม ที่ อ. ทับสะแก

รถทัวร์มุ่งหน้าลงใต้ สู่ถนนเพชรเกษม ก่อนที่ความตื่นเต้นของผมและกอลฟ์จะเปลี่ยนเป็นความเหนื่อยอ่อน

…………….

แวะทานข้าวที่ อ ทับสะแก ผมเดินลงอย่างเชี่ยวชาญแต่ไม่ลืมที่จะจดจำหมายเลขของรถไว้ จะได้ไม่เกิดเหตุสนุกสนาน(ตรงไหนวะ)ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด

ข้าวต้มกุ๊ย ไข่เค็ม ผักกาดดอง กุนเชียง หมูกระเทียม หมูหยอง คืออาหารที่แสนจะธรรมดา แต่แสนจะถูกปากคนง่ายๆอย่างผมและกอลฟ์ ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงต้องเป็นน้องพลับ(พลับขอ 2 แต่วันนี้ขอ 3 แล้วกันนะ)

เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน รีบพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าจะได้เที่ยวอย่างสดชื่น


11 พฤษภาคม 2549

7 โมงเช้า รถทัวร์จอดที่สถานีขนส่ง จ กระบี่ ผมได้พบรอยยิ้มของชาวใต้อีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้ลงมา 1 ปีกว่าแล้ว ยังเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความตื้นตันและอบอุ่นเช่นเดิม

หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน อันดับต่อไป ผมติดต่อหาซื้อตั๋วกลับในวันอาทิตย์เช้า ให้เรียบร้อย จะได้มีเวลาพักผ่อนก่อนทำงานในเช้าวันจันทร์(มีที่ว่าง เพียง 2 ที่พอดิบพอดี โชคดีจังวุ้ย)

จากนั้นผมวางโปรแกรมไว้ว่า จะไปหาที่พัก เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน(กระเป๋าหนักมาก) จากนั้นค่อยหาเช่ามอเตอร์ไซด์(แมงกะไซ) ไป อ. คลองท่อม เพื่อไปเที่ยวสระมรกตและน้ำตกร้อน

บริเวณนั้น ผมได้รู้จักพี่วีระ หนุ่มวัย 30 มาให้ความรู้เกี่ยวกับที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว ตลอดจนราคาที่พักให้ผมทราบอย่างคร่าวๆ ที่สำคัญที่สุด ที่พักที่พี่วีระจะแนะนำให้ผมและเพื่อนไปพัก อยู่ที่หาดนพรัตน์ธารา หาดที่ผมมักจะฝันถึงทุกครั้งและหวังจะมาพักในครั้งนี้ให้ได้ หลังจากที่ลองพักที่อ่าวนางมาแล้วหลายครั้ง

เวลายังเหลือ เราจึงไม่ต้องรีบร้อน และยังไม่รีบตัดสินใจด้วย มีบ่อยไปที่รีบตัดสินใจ พอไปดูห้องจริงๆกลับไม่ใช่อยากที่เห็นในภาพ ไม่ใช่อย่างที่คุยไว้ จึงขอนามบัตรพี่วีระไว้ก่อน(หากตัดสินใจพัก จะมีรถไปส่งบริเวณที่พักฟรี)

ระยะทางจากที่นี่ไปที่พัก(หาดนพรัตน์ธารา) ค่อนข้างจะไกล หากนั่งรถสองแถวซึ่งจะมีออกตามเวลาแม้ราคาจะถูกกว่า แต่ก็อีก 1 ชั่วโมงกว่ารถจะออก แถมยังต้องเข้าตัวเมืองกระบี่ เพื่อรับ-ส่งผู้โดยสารอีก ผมจึงหารถเหมา(ซึ่งเรียกว่า Taxi ของที่นี่) มีพี่สมพงษ์ หนุ่มเมืองกระบี่ เป็นคนขับ ราคาที่ตกลงกัน 300 บาท ซึ่งก็นับว่าคุ้มหากแลกกับเวลาที่จะเสียไปเป็นชั่วโมง (Taxi ในแต่ละสถานที่ รูปร่างจะไม่เหมือนกัน เช่น เกาะเต่า เกาะหมาก ก็จะเป็นรถกระบะ ส่วนของพี่สมพงษ์ เป็นรถตู้ นั่งสบายครับ)

พี่สมพงษ์เล่าให้ฟังว่า เคยรับราชการเป็นทหารมาก่อนที่จะมาประกอบอาชีพขับรถ มาอยู่ที่นี่แม้เงินทองจะไม่มากแต่ก็มีความสุขตรงที่ได้อยู่กับครอบครัว พี่สมพงษ์เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการแนะนำที่พักนักท่องเที่ยว จะเสนอทางเลือกในทุกๆ ราคา ไม่ว่าจะราคาถูกหรือแพง(ผมคิดในใจว่าแกใจกว้างมาก เพราะหลายๆที่ มักจะแนะนำแต่ของตัวเอง พอถามราคาถูกๆก็บอกว่า ไม่มี)

กระบี่ในยามเช้าดูเงียบสงบแต่ไม่เงียบเหงา ถนนที่ตัดกับภูเขาหินปูนบวกกับป่าไม้ที่เขียวขจี ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์มากๆ

ถึงหาดนพรัตน์ธารา เราขอบคุณพี่สมพงษ์กับน้ำใจที่มีให้ ก่อนที่จะแบกเป้เดินย้อนไปเพื่อหาที่พัก เพราะเห็นอุทยานแห่งชาติอยู่ด้วย สอบถามราคาก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร

หาดนี้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามีเหมือนกันแต่ไม่ถึงกับมีคนบาดเจ็บหรือล้มตาย มาในครั้งนี้ผมได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเพราะถนนได้ทำใหม่ ดูสวยงาม และยังปลอดภัยขึ้น ตัวถนนยกขึ้นสูงจากชายหาดด้วย(ไม่มีเก้าอี้ชายหาด หรือเพิงขายของมาตั้งให้บดบังทัศนียภาพ)

เมื่อถึงอุทยานแห่งชาติ เราเดินเข้าไปด้านในเพื่อสอบถามราคาไม่ว่าจะเป็นเตนส์หรือห้องพักแต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยอยู่ประจำการ อาจเป็นเพราะยังเช้าอยู่ แต่มองเห็นบ้านพักขนาดใหญ่ ติดเครื่องปรับอากาศ พักได้เป็น10ๆคน

ท้องเริ่มร้อง ตาลาย ไปหาข้าวกินก่อนดีกว่า ใกล้ๆร้านครัวธารา มีร้านอาหารมากมายแต่ส่วนใหญ่จะยังไม่เปิด ร้านที่มีลูกชิ้นวางหน้าร้านนั่นแหละ คือ คำตอบสุดท้าย(น่ากิน วุ้ย)

ข้าวผัดกุ้ง กับลูกชิ้น 3 ไม้ ทำให้เรี่ยวแรงกลับคืนมาอีกครั้ง สอบถามถึงพี่สาวคนหนึ่งเกี่ยวกับที่พัก เธอโทรหาเจ้าหน้าที่อุทยานคนหนึ่งที่เธอรู้จักและให้ผมได้คุยด้วย

เมื่อสอบถามราคา ผมตัดสินใจ(คิดในใจ)ได้ง่ายๆว่าไม่พัก เพราะราคาแพงเกินไปสำหรับในอุทยานแห่งชาติ บ้านพักติดเครื่องปรับอากาศราคา 1,000บาท เตนส์ราคา 500 บาท (ผมไปหาห้องพักถูกๆกว่านี้ น่าจะดีกว่าครับ สบายกว่าด้วย) แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณน้ำใจของพี่เขามากๆครับ

เดินย้อนกลับไปทางเดิม พี่สาวแนะนำว่าแถวๆทางเข้า Mind Bangalow จะมีซอยอยู่ เดินเข้าไปน่าจะมีที่พักที่ผมและกอลฟ์ต้องการ

เมื่อเดินเข้าไปในซอย พบที่พักชื่อ Cashew Nut Bangalow จึงลองเข้าไปสอบถามราคา หากได้ที่พักที่นี่คงจะดีมากเพราะอยู่ไม่ไกลมากจากชายหาด

พี่สาววัยกลางคน กับน้องนาก สาวร่างเล็กอายุน่าจะอ่อนกว่าผมออกมาต้อนรับ(ที่เรียกว่า นาก เพราะที่นี่เลี้ยงนากไว้ 1 ตัว พอถามชื่อเธอๆก็ไม่ยอมบอก ผมเลยยิงมุขไปว่า ผมคือ พี่มาก ก็ต้องคู่กับน้องนาก จริงไหมครับ) ใกล้ๆกันมี ชายผมยาว ผิวคล้ำสไตล์ชาวเกาะ สวมเสื้อลิเวอร์พูล กำลังตัดหญ้าอยู่(บนแคร่ มีแมวน้อยที่พิการจนตาลืมไม่ขึ้น นอนอย่างสบายใจ)

หลังจากได้คุยกัน ผมจึงขอไปดูสภาพห้องพัก ซึ่งอยู่ในสภาพดี สามารถซุกหัวนอนได้(ใครไฮโซ คงมาพักห้องธรรมดาแบบนี้ไม่ได้แน่ครับ) เพราะฉะนั้นจึงต้องประหยัดเงินไว้บ้าง จะได้ไปเที่ยวอย่างสบายใจ

เป็นอันว่าผมและกอลฟ์ตัดสินใจพักที่นี่ อันดับต่อไป ผมเปลี่ยนชุดที่ใส่สบายขึ้น เอาสน็อคเกิ๊ล หนังสือท่องเที่ยว แผนที่ทางหลวงยัดใส่เป้ ติดต่อขอเช่ามอเตอร์ไซด์เพื่อไป อ. คลองท่อม ซึ่งราคาไม่แพง คิดวันละ 150 บาท สำหรับเกียร์ธรรมดา และ 200 บาท สำหรับเกียร์ออโตเมติค โชคดีว่ากอลฟ์ขับมอเตอร์ไซด์เป็น การเดินทางจึงสะดวกมาก ผมจึงรับหน้าที่ Navigator(ที่หน้าตาไม่ได้ครึ่งของพี่ติ๊ก เจษฎาพร) ดูเส้นทาง พาเพื่อนเที่ยว

เราแวะที่อ่าวนางซึ่งเป็นทางผ่านอยู่แล้วเพื่อกด ATM กอลฟ์ยืมกล้องถ่ายใต้น้ำพี่ชายมา เลยมาซื้อฟิลม์ใส่ด้วยเลย แดดแรงๆแบบนี้ ยิ่งทำให้อ่าวนางดูมีเสน่ห์มากจริงๆครับ

ระหว่างทางแวะปั้มน้ำมัน เพื่อหาซื้อของเติมพลัง ในช่วงที่แดดร้อนแบบนี้ พลังงานมักจะหมดไปอย่างรวดเร็วมากๆ

เส้นทางไปสระมรกต-น้ำตกร้อน ผมจะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เพราะมาครั้งที่ 4 เข้าไปแล้ว(คงสงสัยว่าเหตุใด ผมถึงบ้ามาสถานที่ซ้ำๆกันตั้งหลายครั้ง ที่นี่มีเสน่ห์มาก จนผมมิอาจหักห้ามใจอยู่ครับ) แต่ขนาดเชี่ยวชาญเป็นพิเศษก็ยังต้องถามชาวกระบี่ระหว่างทางเหมือนกัน(แล้วมันเชี่ยวชาญตรงไหนเนี่ย)

การเดินทางไม่ยากเกินไปนัก ดูป้ายที่ลงมาทางเกาะลันตา หรือป้ายที่ลงมา จ. ตรัง ก็ได้(ถ้าไปพังงา แสดงว่า ผิดทางแล้วจ้า) ระหว่างเดินทางจะผ่านอ. เหนือคลอง ก่อนที่จะเข้าสู่ อ. คลองท่อม(เจอลม ตีหน้าจนหน้าชาไปหมดแล้วจ้า)

จะมีป้ายชอบเขียนให้กำลังใจ เช่น สระมรกต เป็นต้น(จริงๆอยู่อีกไกลเลยล่ะ จะเขียนให้คนมีความหวังทำไมก็ไม่รู้) กอลฟ์บอกว่า เคยขับมอเตอร์ไซด์ไกลสุดก็ 30 กิโลเมตร วันนี้ผมจะพามันทำลายสถิติเดิมที่เคยทำไว้ ขาไป 40 ขากลับ 40 รวมเป็น 80 กิโลเมตร

เมื่อใกล้ถึง จะมีป้ายบอกทางอีกครั้ง มีถนนให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป พอเข้ามาแล้วให้รีบเลี้ยวขวาทันที ตรงไปเรื่อยๆซึ่งค่อนข้างจะไกลมาก(ขอให้อดทน ของดีๆก็ต้องอยู่ไกลเป็นธรรมดา) ผมสังเกตเห็นว่า เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นที่นี่ ถนนลาดยางอย่างเรียบร้อยแล้ว จากที่เคยเป็นทางขรุขระเต็มไปด้วยดินสีแดง(ถึงตรงนี้ ผมนึกถึงน้ำตกป่าละอู จ. เพชรบุรีที่ไปมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ท่านมีพระราชดำริว่าไม่อยากให้ลาดยางเพราะต้องการคงความเป็นธรรมชาติเอาไว้ ผมนึกในใจว่า หากทำให้การเดินทางสบายขึ้น ผู้คนจะมาสะดวกขึ้น สร้างรายได้ให้กับจังหวัด แต่อาจต้องแลกกับสิ่งเสื่อมโทรม ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย)

เรามาถึงสระมรกตในช่วงสายๆโดยมาพร้อมกับความชุ่มชื้น ที่ออกมาต้อนรับทุกครั้งในช่วง Low Season แบบนี้ รอบๆมีรถมาจอดมากมาย ผมได้เตรียมใจไว้แล้วเพราะเดินทางมาในวันหยุด ผมมองหาพี่สาว ซึ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดี มาทีไรก็อำนวยความสะดวกสบายให้ประจำ(แต่ยังไม่พบ)

จะมีทางเดิน 2 ทาง(หลอกทุกคนที่เคยพามา ให้เดินไกลๆ)ผมแนะนำให้เดินเข้าไปในเส้นทางศึกษาธรรมชาติก่อน ส่วนขากลับค่อยเดินในอีกเส้นทาง จะได้เข้าถึงธรรมชาติอย่างแท้จริง ถึงตอนนี้น้ำใสสะอาดน่าเล่นกับกลิ่นอายของธรรมชาติทำเอา 2 หนุ่มลิงโลดแบบสุดๆ

สระมรกตอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม ซึ่งอาจเคยได้อ่านในหนังสือว่า “สระมรกตแห่งเขานอจู้จี้” เรื่องชื่อก็ดูตลกดี(เหมือนตาแก่-ยายแก่ ขี้บ่น) แต่เขานอจู้จี้แห่งนี้ถือเป็นป่าที่ราบต่ำแห่งเดียวในประเทศไทย มีนกแต้วแร้วท้องดำซึ่งเป็นนกหายาก(มาก) เคยสาบสูญไปหลายปี ก่อนที่นักสำรวจจะมาพบอีกครั้งที่นี่ และเป็นที่เดียวในเมืองไทยเสียด้วย

ผมถ่ายรูปกะปอม(กิ้งก่าของคนอีสาน)และวิวที่สวยงาม เอาไปทำ wallpaper และเล่าเรื่องประกอบภาพ ตลอดจนอัดวีดีโอคลิปแบบขำๆ ตามสไตล์คนบ้ากล้อง แค่เห็นภาพเหล่านี้ ก็หายเหนื่อยแล้วครับ