Monday, June 12, 2006

กระบี่….มนต์เสน่ห์แห่งอันดามัน (1)



หลายๆครั้ง ผมมักจะใช้เวลาว่างหลังสอบเสร็จ ไปดำน้ำเพื่อสำรวจสัตว์ทะเล หาความสุขใส่ตัวเสมอ จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมไปทะเลมาแล้วหลายจังหวัดจนสามารถให้คำปรึกษากับเพื่อนๆและคนที่สนใจได้(ไม่มากก็น้อย)

คราวนี้ ต่างออกไปตรงที่ว่า ทริปแสนสุขของผมจะไปในวันธรรมดาไม่ได้อีกแล้ว(ลายังไม่ได้ด้วยครับ) ทั้งนี้เพราะชีวิตผมก้าวเข้ามาสู่วัยทำงาน วันหยุดยาวจึงเป็นคำตอบสำหรับการท่องเที่ยวของผม

ข้อดี คือ ผมมีเงินใช้ในการท่องเที่ยวเพราะได้ทำงาน ส่วนข้อเสียคงเป็น ความสงบเงียบในการท่องเที่ยว ที่อาจจะเสียไปบ้าง

ผมมองวันหยุดในช่วงวันพืชมงคลและวันวิสาขบูชา ซึ่งจะหยุดต่อในวันเสาร์และวันอาทิตย์ด้วย โดยมองไปที่ชุมพรคาบาน่า โรงเรียนสอนดำน้ำของผม การกลับไปในคราวนี้ก็จะเป็นการรื้อฟื้นความหลังด้วย

แต่แล้ว ผมก็เปลี่ยนใจเพราะฤดูการท่องเที่ยวชุมพรพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นในชณะที่การไปท่องเที่ยวหมู่เกาะไกลฝั่งอย่างอันดามันกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

ผมจึงตัดสินไปรื้อฟื้นความหลังอีกครั้งที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกเพราะในปีนี้เกาะปิดเร็วกว่ากำหนด (ทำไงดีล่ะ ซื้อตั๋วไปลง คุระบุรีแล้วด้วยซิ)

เมื่อปรึกษาเจ้ากอลฟ์เพื่อนร่วมเดินทาง กระบี่จึงเป็นคำตอบของทุกสิ่ง หากวันใดฝนตก เราก็สามารถไปเที่ยวบนฝั่งได้ สถานที่ท่องเที่ยวในกระบี่มีจิปาถะ ไม่ว่าจะเป็นสระมรกต น้ำตกร้อน ท่าปอม-คลองสองน้ำ พายคายัคที่อ่าวท่าเลน เป็นต้น

แม้หลายๆที่ ผมเคยไปมาแล้ว แต่ก็ไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่น้อย การกลับไปอีกครั้งเสมือนกับการได้กลับบ้านนั่นเอง

หากพร้อมจะเดินทางไปกับผมแล้ว ก็ตามมาเลยครับ!!!


10 พฤษภาคม 2549

ผมแบกเป้ใบใหญ่มาที่ทำงานแต่เช้า เมื่อเลิกงานจะได้ไม่ต้องกลับบ้าน เสื้อเชิ๊ตผูกเนคไทโดยมีของเต็มหลัง เมื่อขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินและรถเมล์ ช่างไม่เข้ากันเสียเลย

อุปกรณ์พื้นฐาน เสื้อผ้า หน้ากากดำน้ำ(Mask)และท่อหายใจ(Snockle) นอกจากนี้ก็ยังมีหนังสือท่องเที่ยว สมุดจด ที่ขาดไม่ได้เช่นกัน

หลังเลิกงาน ผมเปลี่ยนชุดไปรเวท หลายๆคนในที่ทำงานเริ่มแปลกใจว่าผมจะไปไหน ด้วยสีผิวที่คล้ำ บางคนคิดว่าผมจะกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อ แม่ที่กระบี่เสียอีก

ผมนั่งรถเมล์มาถึงสายใต้ใหม่ซึ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คน อาจเป็นเพราะวันหยุดยาวแบบนี้ ใครๆก็อยากใช้เวลาให้คุ้มค่าไม่ว่าจะกลับบ้านหรือไปเที่ยวก็ตาม

ไม่นานนัก กอลฟ์หนุ่มเมืองหมูชะมวง(ฮิ) เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผู้ชื่นชอบในการเที่ยวทะเลเช่นกัน ก็ตามมา จะว่าไปแล้วการเดินทางคราวนี้ หากผมไม่ชวนกอลฟ์แต่แบกเป้ไปเที่ยวคนเดียวอีก มันคงจะบ่นผมอีกตามเคย

ผมคุ้นเคยกับบริษัท ลิกไนท์ ทัวร์ เป็นอย่างดี เพราะเดินทางไป หมู่เกาะสุรินทร์ จ. พังงา เสมอๆ ประทับใจในการบริการ การขับรถที่นุ่มนวล อาหารที่แสนอร่อย

“เปลี่ยนตั๋ว เรียบร้อยหรือยัง ไอ้หนุ่ม” คุณป้าหน้าเคาน์เตอร์ถามผม

“เรียบร้อยแล้วครับป้า” ผมตอบพร้อมมองรอบๆ หากผมไม่รีบเปลี่ยนตั้งแต่เนิ่นๆ ป่านนี้ผมไม่มีตั๋วลงไปเที่ยวแน่นอน(ขนาดเปลี่ยนแล้ว ยังไม่ได้ที่นั่งคู่กันเลยครับ แต่ก็ดีกว่าไม่มีนะ)

ก่อนออกเดินทาง ผมกับกอลฟ์เติมพลัง ร้านข้าวแกงปักษ์ใต้ใกล้ๆบริษัทลิกไนท์ ทัวร์ เพราะกว่าจะพักกินข้าวเย็นก็ 4 ทุ่ม ที่ อ. ทับสะแก

รถทัวร์มุ่งหน้าลงใต้ สู่ถนนเพชรเกษม ก่อนที่ความตื่นเต้นของผมและกอลฟ์จะเปลี่ยนเป็นความเหนื่อยอ่อน

…………….

แวะทานข้าวที่ อ ทับสะแก ผมเดินลงอย่างเชี่ยวชาญแต่ไม่ลืมที่จะจดจำหมายเลขของรถไว้ จะได้ไม่เกิดเหตุสนุกสนาน(ตรงไหนวะ)ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด

ข้าวต้มกุ๊ย ไข่เค็ม ผักกาดดอง กุนเชียง หมูกระเทียม หมูหยอง คืออาหารที่แสนจะธรรมดา แต่แสนจะถูกปากคนง่ายๆอย่างผมและกอลฟ์ ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงต้องเป็นน้องพลับ(พลับขอ 2 แต่วันนี้ขอ 3 แล้วกันนะ)

เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน รีบพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าจะได้เที่ยวอย่างสดชื่น


11 พฤษภาคม 2549

7 โมงเช้า รถทัวร์จอดที่สถานีขนส่ง จ กระบี่ ผมได้พบรอยยิ้มของชาวใต้อีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้ลงมา 1 ปีกว่าแล้ว ยังเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความตื้นตันและอบอุ่นเช่นเดิม

หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน อันดับต่อไป ผมติดต่อหาซื้อตั๋วกลับในวันอาทิตย์เช้า ให้เรียบร้อย จะได้มีเวลาพักผ่อนก่อนทำงานในเช้าวันจันทร์(มีที่ว่าง เพียง 2 ที่พอดิบพอดี โชคดีจังวุ้ย)

จากนั้นผมวางโปรแกรมไว้ว่า จะไปหาที่พัก เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน(กระเป๋าหนักมาก) จากนั้นค่อยหาเช่ามอเตอร์ไซด์(แมงกะไซ) ไป อ. คลองท่อม เพื่อไปเที่ยวสระมรกตและน้ำตกร้อน

บริเวณนั้น ผมได้รู้จักพี่วีระ หนุ่มวัย 30 มาให้ความรู้เกี่ยวกับที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว ตลอดจนราคาที่พักให้ผมทราบอย่างคร่าวๆ ที่สำคัญที่สุด ที่พักที่พี่วีระจะแนะนำให้ผมและเพื่อนไปพัก อยู่ที่หาดนพรัตน์ธารา หาดที่ผมมักจะฝันถึงทุกครั้งและหวังจะมาพักในครั้งนี้ให้ได้ หลังจากที่ลองพักที่อ่าวนางมาแล้วหลายครั้ง

เวลายังเหลือ เราจึงไม่ต้องรีบร้อน และยังไม่รีบตัดสินใจด้วย มีบ่อยไปที่รีบตัดสินใจ พอไปดูห้องจริงๆกลับไม่ใช่อยากที่เห็นในภาพ ไม่ใช่อย่างที่คุยไว้ จึงขอนามบัตรพี่วีระไว้ก่อน(หากตัดสินใจพัก จะมีรถไปส่งบริเวณที่พักฟรี)

ระยะทางจากที่นี่ไปที่พัก(หาดนพรัตน์ธารา) ค่อนข้างจะไกล หากนั่งรถสองแถวซึ่งจะมีออกตามเวลาแม้ราคาจะถูกกว่า แต่ก็อีก 1 ชั่วโมงกว่ารถจะออก แถมยังต้องเข้าตัวเมืองกระบี่ เพื่อรับ-ส่งผู้โดยสารอีก ผมจึงหารถเหมา(ซึ่งเรียกว่า Taxi ของที่นี่) มีพี่สมพงษ์ หนุ่มเมืองกระบี่ เป็นคนขับ ราคาที่ตกลงกัน 300 บาท ซึ่งก็นับว่าคุ้มหากแลกกับเวลาที่จะเสียไปเป็นชั่วโมง (Taxi ในแต่ละสถานที่ รูปร่างจะไม่เหมือนกัน เช่น เกาะเต่า เกาะหมาก ก็จะเป็นรถกระบะ ส่วนของพี่สมพงษ์ เป็นรถตู้ นั่งสบายครับ)

พี่สมพงษ์เล่าให้ฟังว่า เคยรับราชการเป็นทหารมาก่อนที่จะมาประกอบอาชีพขับรถ มาอยู่ที่นี่แม้เงินทองจะไม่มากแต่ก็มีความสุขตรงที่ได้อยู่กับครอบครัว พี่สมพงษ์เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการแนะนำที่พักนักท่องเที่ยว จะเสนอทางเลือกในทุกๆ ราคา ไม่ว่าจะราคาถูกหรือแพง(ผมคิดในใจว่าแกใจกว้างมาก เพราะหลายๆที่ มักจะแนะนำแต่ของตัวเอง พอถามราคาถูกๆก็บอกว่า ไม่มี)

กระบี่ในยามเช้าดูเงียบสงบแต่ไม่เงียบเหงา ถนนที่ตัดกับภูเขาหินปูนบวกกับป่าไม้ที่เขียวขจี ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์มากๆ

ถึงหาดนพรัตน์ธารา เราขอบคุณพี่สมพงษ์กับน้ำใจที่มีให้ ก่อนที่จะแบกเป้เดินย้อนไปเพื่อหาที่พัก เพราะเห็นอุทยานแห่งชาติอยู่ด้วย สอบถามราคาก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร

หาดนี้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามีเหมือนกันแต่ไม่ถึงกับมีคนบาดเจ็บหรือล้มตาย มาในครั้งนี้ผมได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเพราะถนนได้ทำใหม่ ดูสวยงาม และยังปลอดภัยขึ้น ตัวถนนยกขึ้นสูงจากชายหาดด้วย(ไม่มีเก้าอี้ชายหาด หรือเพิงขายของมาตั้งให้บดบังทัศนียภาพ)

เมื่อถึงอุทยานแห่งชาติ เราเดินเข้าไปด้านในเพื่อสอบถามราคาไม่ว่าจะเป็นเตนส์หรือห้องพักแต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยอยู่ประจำการ อาจเป็นเพราะยังเช้าอยู่ แต่มองเห็นบ้านพักขนาดใหญ่ ติดเครื่องปรับอากาศ พักได้เป็น10ๆคน

ท้องเริ่มร้อง ตาลาย ไปหาข้าวกินก่อนดีกว่า ใกล้ๆร้านครัวธารา มีร้านอาหารมากมายแต่ส่วนใหญ่จะยังไม่เปิด ร้านที่มีลูกชิ้นวางหน้าร้านนั่นแหละ คือ คำตอบสุดท้าย(น่ากิน วุ้ย)

ข้าวผัดกุ้ง กับลูกชิ้น 3 ไม้ ทำให้เรี่ยวแรงกลับคืนมาอีกครั้ง สอบถามถึงพี่สาวคนหนึ่งเกี่ยวกับที่พัก เธอโทรหาเจ้าหน้าที่อุทยานคนหนึ่งที่เธอรู้จักและให้ผมได้คุยด้วย

เมื่อสอบถามราคา ผมตัดสินใจ(คิดในใจ)ได้ง่ายๆว่าไม่พัก เพราะราคาแพงเกินไปสำหรับในอุทยานแห่งชาติ บ้านพักติดเครื่องปรับอากาศราคา 1,000บาท เตนส์ราคา 500 บาท (ผมไปหาห้องพักถูกๆกว่านี้ น่าจะดีกว่าครับ สบายกว่าด้วย) แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณน้ำใจของพี่เขามากๆครับ

เดินย้อนกลับไปทางเดิม พี่สาวแนะนำว่าแถวๆทางเข้า Mind Bangalow จะมีซอยอยู่ เดินเข้าไปน่าจะมีที่พักที่ผมและกอลฟ์ต้องการ

เมื่อเดินเข้าไปในซอย พบที่พักชื่อ Cashew Nut Bangalow จึงลองเข้าไปสอบถามราคา หากได้ที่พักที่นี่คงจะดีมากเพราะอยู่ไม่ไกลมากจากชายหาด

พี่สาววัยกลางคน กับน้องนาก สาวร่างเล็กอายุน่าจะอ่อนกว่าผมออกมาต้อนรับ(ที่เรียกว่า นาก เพราะที่นี่เลี้ยงนากไว้ 1 ตัว พอถามชื่อเธอๆก็ไม่ยอมบอก ผมเลยยิงมุขไปว่า ผมคือ พี่มาก ก็ต้องคู่กับน้องนาก จริงไหมครับ) ใกล้ๆกันมี ชายผมยาว ผิวคล้ำสไตล์ชาวเกาะ สวมเสื้อลิเวอร์พูล กำลังตัดหญ้าอยู่(บนแคร่ มีแมวน้อยที่พิการจนตาลืมไม่ขึ้น นอนอย่างสบายใจ)

หลังจากได้คุยกัน ผมจึงขอไปดูสภาพห้องพัก ซึ่งอยู่ในสภาพดี สามารถซุกหัวนอนได้(ใครไฮโซ คงมาพักห้องธรรมดาแบบนี้ไม่ได้แน่ครับ) เพราะฉะนั้นจึงต้องประหยัดเงินไว้บ้าง จะได้ไปเที่ยวอย่างสบายใจ

เป็นอันว่าผมและกอลฟ์ตัดสินใจพักที่นี่ อันดับต่อไป ผมเปลี่ยนชุดที่ใส่สบายขึ้น เอาสน็อคเกิ๊ล หนังสือท่องเที่ยว แผนที่ทางหลวงยัดใส่เป้ ติดต่อขอเช่ามอเตอร์ไซด์เพื่อไป อ. คลองท่อม ซึ่งราคาไม่แพง คิดวันละ 150 บาท สำหรับเกียร์ธรรมดา และ 200 บาท สำหรับเกียร์ออโตเมติค โชคดีว่ากอลฟ์ขับมอเตอร์ไซด์เป็น การเดินทางจึงสะดวกมาก ผมจึงรับหน้าที่ Navigator(ที่หน้าตาไม่ได้ครึ่งของพี่ติ๊ก เจษฎาพร) ดูเส้นทาง พาเพื่อนเที่ยว

เราแวะที่อ่าวนางซึ่งเป็นทางผ่านอยู่แล้วเพื่อกด ATM กอลฟ์ยืมกล้องถ่ายใต้น้ำพี่ชายมา เลยมาซื้อฟิลม์ใส่ด้วยเลย แดดแรงๆแบบนี้ ยิ่งทำให้อ่าวนางดูมีเสน่ห์มากจริงๆครับ

ระหว่างทางแวะปั้มน้ำมัน เพื่อหาซื้อของเติมพลัง ในช่วงที่แดดร้อนแบบนี้ พลังงานมักจะหมดไปอย่างรวดเร็วมากๆ

เส้นทางไปสระมรกต-น้ำตกร้อน ผมจะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เพราะมาครั้งที่ 4 เข้าไปแล้ว(คงสงสัยว่าเหตุใด ผมถึงบ้ามาสถานที่ซ้ำๆกันตั้งหลายครั้ง ที่นี่มีเสน่ห์มาก จนผมมิอาจหักห้ามใจอยู่ครับ) แต่ขนาดเชี่ยวชาญเป็นพิเศษก็ยังต้องถามชาวกระบี่ระหว่างทางเหมือนกัน(แล้วมันเชี่ยวชาญตรงไหนเนี่ย)

การเดินทางไม่ยากเกินไปนัก ดูป้ายที่ลงมาทางเกาะลันตา หรือป้ายที่ลงมา จ. ตรัง ก็ได้(ถ้าไปพังงา แสดงว่า ผิดทางแล้วจ้า) ระหว่างเดินทางจะผ่านอ. เหนือคลอง ก่อนที่จะเข้าสู่ อ. คลองท่อม(เจอลม ตีหน้าจนหน้าชาไปหมดแล้วจ้า)

จะมีป้ายชอบเขียนให้กำลังใจ เช่น สระมรกต เป็นต้น(จริงๆอยู่อีกไกลเลยล่ะ จะเขียนให้คนมีความหวังทำไมก็ไม่รู้) กอลฟ์บอกว่า เคยขับมอเตอร์ไซด์ไกลสุดก็ 30 กิโลเมตร วันนี้ผมจะพามันทำลายสถิติเดิมที่เคยทำไว้ ขาไป 40 ขากลับ 40 รวมเป็น 80 กิโลเมตร

เมื่อใกล้ถึง จะมีป้ายบอกทางอีกครั้ง มีถนนให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป พอเข้ามาแล้วให้รีบเลี้ยวขวาทันที ตรงไปเรื่อยๆซึ่งค่อนข้างจะไกลมาก(ขอให้อดทน ของดีๆก็ต้องอยู่ไกลเป็นธรรมดา) ผมสังเกตเห็นว่า เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นที่นี่ ถนนลาดยางอย่างเรียบร้อยแล้ว จากที่เคยเป็นทางขรุขระเต็มไปด้วยดินสีแดง(ถึงตรงนี้ ผมนึกถึงน้ำตกป่าละอู จ. เพชรบุรีที่ไปมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ท่านมีพระราชดำริว่าไม่อยากให้ลาดยางเพราะต้องการคงความเป็นธรรมชาติเอาไว้ ผมนึกในใจว่า หากทำให้การเดินทางสบายขึ้น ผู้คนจะมาสะดวกขึ้น สร้างรายได้ให้กับจังหวัด แต่อาจต้องแลกกับสิ่งเสื่อมโทรม ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย)

เรามาถึงสระมรกตในช่วงสายๆโดยมาพร้อมกับความชุ่มชื้น ที่ออกมาต้อนรับทุกครั้งในช่วง Low Season แบบนี้ รอบๆมีรถมาจอดมากมาย ผมได้เตรียมใจไว้แล้วเพราะเดินทางมาในวันหยุด ผมมองหาพี่สาว ซึ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดี มาทีไรก็อำนวยความสะดวกสบายให้ประจำ(แต่ยังไม่พบ)

จะมีทางเดิน 2 ทาง(หลอกทุกคนที่เคยพามา ให้เดินไกลๆ)ผมแนะนำให้เดินเข้าไปในเส้นทางศึกษาธรรมชาติก่อน ส่วนขากลับค่อยเดินในอีกเส้นทาง จะได้เข้าถึงธรรมชาติอย่างแท้จริง ถึงตอนนี้น้ำใสสะอาดน่าเล่นกับกลิ่นอายของธรรมชาติทำเอา 2 หนุ่มลิงโลดแบบสุดๆ

สระมรกตอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม ซึ่งอาจเคยได้อ่านในหนังสือว่า “สระมรกตแห่งเขานอจู้จี้” เรื่องชื่อก็ดูตลกดี(เหมือนตาแก่-ยายแก่ ขี้บ่น) แต่เขานอจู้จี้แห่งนี้ถือเป็นป่าที่ราบต่ำแห่งเดียวในประเทศไทย มีนกแต้วแร้วท้องดำซึ่งเป็นนกหายาก(มาก) เคยสาบสูญไปหลายปี ก่อนที่นักสำรวจจะมาพบอีกครั้งที่นี่ และเป็นที่เดียวในเมืองไทยเสียด้วย

ผมถ่ายรูปกะปอม(กิ้งก่าของคนอีสาน)และวิวที่สวยงาม เอาไปทำ wallpaper และเล่าเรื่องประกอบภาพ ตลอดจนอัดวีดีโอคลิปแบบขำๆ ตามสไตล์คนบ้ากล้อง แค่เห็นภาพเหล่านี้ ก็หายเหนื่อยแล้วครับ

0 Comments:

Post a Comment

<< Home