กระบี่….มนต์เสน่ห์แห่งอันดามัน (4)
13 พฤษภาคม 2549
เช้านี้กอลฟ์ออกไปถ่ายรูป(อีกแล้ว)ส่วนผมตื่นสายอีกตามเคย จึงรีบเอาของใส่กระเป๋า เตรียมตัวออกเดินทาง
เราถ่ายรูปกับพี่ๆทั้ง 5 ก่อนลาจากกัน พี่ฮาซันโทรติดต่อบริษัททัวร์ให้เราเรียบร้อย รถจะมารับในเวลา 8 โมงครึ่ง
ไม่นานนักรถ 2 แถวของบริษัทบาราคูดัส ทัวร์(Barracudas tour)ก็มารับเรา ก่อนที่จะไปรับผู้โดยสารคนอื่นๆที่ซื้อทัวร์กับบริษัท จุดหมายปลายทางอยู่ที่อ่าวนาง
ระหว่างที่เรารอผู้โดยสารมาครบ เจ้าหน้าที่แจกสติกเกอร์ให้ติดที่หน้าอก เพื่อความสะดวกในการแยกชุด จะได้ไม่สับสนเพราะโปรแกรมทัวร์ของบริษัทนั้น มีหลายโปรแกรมมาก
เรากับผู้โดยสารคนอื่นๆ เดินขึ้นเรือโดยมีพี่อีฟจะเป็นไกด์ของเราในวันนี้ เรือหางยาววันนี้มีขนาดใหญ่มากบนเรือมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นส่วนใหญ่ ชาวต่างชาติมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
เกาะแดง
เรือเพชรวารี 1 พานักท่องเที่ยวมาถึงเกาะแดง น้อยคนนักจะรู้จักที่นี่(ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักเลยจ้า) ไม่น่าแปลกใจเพราะจังหวัดกระบี่เป็นจังหวัดที่มีเกาะมากที่สุดในทะเลไทย(ไม่ใช่เมืองร้อยเกาะอย่างจังหวัดสุราษฐ์ธานีนะครับ หากใครไม่เชื่อไปถามแฟนพันธุ์แท้ทะเลไทยอย่างอาจารยธรณ์ดูแล้วกัน) เกาะแดงเป็นเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเล มีเอกลักษณ์ที่มีสีแดงตามหินปูนโดยรอบ โดยกิจกรรมที่จะทำที่นี่ คือการดำน้ำดูปะการัง
ด้านล่างในวันนี้ น้ำใสดีอาจเป็นเพราะมีแสงแดดที่แรงจัดคอยช่วย(ปัจจัยสำคัญในการดำน้ำอย่างมีความสุขครับ) ผมสังเกตเห็นปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) ปลาผีเสื้ออันดามันหรือปลาผีเสื้อเหลืองปานดำ(Andaman Butterflyfish) โดยเฉพาะตัวหลังต้องลอยตัวนิ่งสังเกตให้นานๆเพราะลำตัวเล็ก ขนาดไม่กี่เซ็นติเมตรเท่านั้น
จากนั้นเป็นปลาโนรีครีบยาว(Longfin Bannerfish) ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol) ปลานกแก้ว(Parrot Fish) และหอยมือเสือ(Giant Clams)
เสียงเป่านกหวีดเรียกให้นักท่องเที่ยวขึ้นเรือเพื่อที่จะเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป ด้วยร่างกายที่เปียกปอนทำเอาผมลำบากเวลาหาที่นั่ง อยากจะนั่งกับพื้นเรือให้รู้แล้ว รู้รอดไปเลย(แต่จะเกะกะทางเดินมาก)
2 สาว ใกล้ผมนั้น คนหนึ่งผิวขาวชื่อ หนูนา เป็นสาวที่สามารถตกหลุมได้ทันทีเมื่อแรกเห็น(แม้จะไม่ได้คุยกัน) อีกหนึ่งสาวผิวออกคล้ำ ชื่อปิ๊ก เป็นสาวที่ดูธรรมดามาก แต่มีเสน่ห์เมื่อได้คุยด้วย สองสาวนี้เก่งมากมาเที่ยวแบบ Backpacker โดยเมื่อวานนี้ ขับมอเตอร์ไซด์ไปเที่ยวสระมรกต ที่ อ. คลองท่อมมาแล้ว ใครเล่าจะรู้ว่า 2 สาวต่างสไตล์นี้กลับเป็นพี่น้องกันได้?
ส่วนด้านหน้าผม คือ พี่อ้นกับพี่มล มาจากกรุงเทพและจะกลับในคืนนี้ด้วยสายการบินแห่งชาติ ข้างๆผม มีหลายครอบครัวที่ซื้อโปรแกรมผิด(จริงๆจะซื้อโปรแกรมไปเที่ยวทะเลแหวก เกาะปอดะ อ่าวพระนาง อ่าวไร่เลย์) แม้พวกเขาจะขอร้องให้วนเรือไปทะเลแหวกแต่ในความเป็นจริงนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะอยู่คนละเส้นทาง (หากจะเป็นไปได้ต้องเรือเร็ว สถานเดียวครับ) ผมจึงพูดปลอบใจว่า ไว้คราวหน้าค่อยมาใหม่ มาเที่ยวโปรแกรมนี้ก็มีเสน่ห์อีกแบบที่ไม่เหมือนใครด้วย
เกาะห้อง
ด้านหน้าของเรา คือ เกาะห้องอันลือชื่อ(เกาะห้องมี 2 จังหวัด คือ จ. กระบี่และ จ. พังงา ครั้งหน้าผมจะลองไปเกาะห้องที่ จ. พังงา ดูบ้าง) ผมเริ่มเห็นน้ำทะเลที่นิ่ง สีเขียวมรกต กับภูเขาหินปูนที่สวยงาม มีเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับพักผ่อนที่นี่ ผมกับกอลฟ์ไม่รอช้า(เวลาทุกนาทีมีค่ามาก)รีบลงไป หาเรือคายัคเช่า(จริงๆผมก็ซื้อโปรแกรมมาผิดเหมือนกัน คราวหน้าต้องหาเฉพาะที่พายคายัคอย่างเดียวแต่ก็ถือว่าคุ้มครับ ได้ลองมาหลายๆแบบ)
ที่นี่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่ด้วย ท่าทางหนูนาอยากพายคายัคซึ่งเราพยายามชวน ดูท่าทางเธอ 2 จิต 2 ใจ แต่การที่พึ่งรู้จักกันอาจจะทำให้เป็นกำแพงขวางกั้นระหว่างเรา(น้ำเน่าสุดๆ) อันที่จริง หน้าตาผม 2 คน ก็ดูหื่นอยู่แล้ว ไม่มีใครกล้าเข้ามาหรอก ฮ่าๆๆๆๆ
ปกติผมมักจะพายคายัคคนเดียว(เหนื่อยก็ไม่มีใครช่วย) มาคราวนี้มีกอลฟ์ช่วยพายนับว่าดีมาก แต่ต้องพายให้เป็นจังหวะพร้อมๆกันนะครับ) ช่วงที่กอลฟ์พายผมก็สามารถถ่ายรูปได้ น้ำเค็มและเม็ดทรายช่างเป็นอุปสรรคกับกล้องของผมมาก ต้องระมัดระวังให้ดีๆ
เราพายลัดเลาะเขาไปเรื่อยๆ ทัศนียภาพที่นี่สวยมาก ไม่แปลกใจว่าเหตุใดเกาะห้องถึงเหมาะสมกับการพายคายัค
เผลอแป๊บเดียวผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว เราตัดสินใจหันเรือกลับ สอบถามเจ้าหน้าที่ใกล้ๆที่พายมากับนักท่องเที่ยวอีกลำ หากพายต่อไปจะอ้อมมาก พายกลับทางเดิมง่ายกว่าและประหยัดเวลากว่า
ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อย เรายังไม่นำเรือไปคืน แต่จะพายไปยังหาดทรายขาวๆ ที่อยู่ด้านหน้า เพื่อลงไปสำรวจ ซึ่งพอลงไปมีความรู้สึกคันและแสบขาทันที ผมเดาว่าน่าจะเป็นแตนทะเล(ตอนนี้ก็ดิ้นอย่างเดียวครับพี่น้อง) ทรายที่นี่ละเอียดมากจนเหลว เหยียบทีก็ลงไปถึงครึ่งข้อเท้า แต่บรรยากาศเหมาะแก่การถ่ายรูปมากครับ
เราพายเรือออกมาจากหาดคันขา(ชื่อเก๋ไหมเอ่ย) เพื่อนำเรือมาคืน เวลาที่เหลือผมใช้ในการถ่ายรูป เก็บภาพให้มากที่สุด บอกได้ครับเดียวว่า เด็ดมาก(ใครชอบถ่ายรูป ไม่น่าจะพลาดโปรแกรมเกาะห้องนะครับ)
Lagoon(ทะเลใน)
หากจะมาที่นี่ต้องเข้ามาเวลาที่น้ำขึ้นเท่านั้น น้ำลดจะนำเรือเข้าไม่ได้ ขนาดผมนั่งเรือเข้ามายังชอบมาก(ถ้าได้พายคายัคเข้ามาจะดีแค่ไหนหนอ) ทะเลใน เป็นทะเลที่อยู่ในหุบเขาสามารถป้องกันคลื่นลมได้ดี หากนึกภาพไม่ออกลองนึกถึงทะเลใน ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง(อีกหนึ่งที่หมาย ที่ผมจะไปให้ได้) หากนึกถึงทะเลในหุบเขา ผมมักจะนึกถึง “ปิเล๊ะ” ซึ่งอยู่ใกล้เกาะพีพี(โปรแกรมดำน้ำจะต้องพาเข้าไปครับ) ที่นี่เป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวที่ผมและครอบครัวจะไม่มีทางลืมเลย ตลอดชีวิต(สุดยอดมาก)
เกาะผักเบื้ย
เลิกฝอยถึง “ทะเลใน” มายังเกาะผักเบี้ยดีกว่า(นึกชื่อเกาะแล้ว ผมนึกถึงผักบุ้งที่เต่าชอบกินซะงั้น) ตรงข้ามของเกาะผักเบี้ย คือ เกาะไร่ โดยพี่อีฟบอกว่า หากใครอยากไปเที่ยวให้ว่ายน้ำไปได้(ว่ายไปก็ถ่ายรูปไม่ได้ ไม่เอาดีกว่า)
เราได้รับข้าวกล่องนั่งพักรับประทานอาหารที่นี่ บรรยากาศยอดเยี่ยมสุดๆ ผมได้รับน้ำใจจาก 4 สาว(ที่เรียกตัวเองว่า ปอมปอมเกลอ) นั่งรับประทานด้วย คุยไปคุยมาจึงทราบว่า 1 ในนั้นกำลังเรียน Open Water และกำลังจะสอบบัตรดำน้ำในเร็วๆนี้ ทำให้คุยกับผมถูกคอ(เกือบจะบีบคอ)มากขึ้นไปอีก
อิ่มแล้ว เราเดินไปถ่ายรูป โดยท่าทางถ่ายรูปของพี่อ้นนั้น ขอยกเป็นอันดับหนึ่งในทริปนี้ เพราะลำตัวไปแช่อยู่ในน้ำ แต่ถ่ายเข้ามาในหาด(ข้าพเจ้าขอเลียนแบบบ้าง ฮ่าๆๆ) รอบๆเกาะผักเบี้ยมีหินปูนที่ถูกกัดกร่อน รูปร่างคล้ายเกาะทะลุอีกด้วย(ลองนึกภาพเกาะทะลุ ที่ จ. ประจวบคีรีขันธ์และเกาะไข่ ที่หมู่เกาะตะรุเตา จ. สตูล ดูก็ได้) ที่นี่มีทะเลแหวกด้วย เดี๋ยวจะหาว่าโม้ ฮ่าๆๆๆ
ขากลับก่อนขึ้นเรือ มีเด็กน้อยนั่งเล่นริมหาด ผมจึงแอบถ่ายรูปมาเป็น Wallpaper ได้อารมณ์ที่เฮิรท์มาก(ก็น้องก้มหน้านี่นา)
ก่อนขึ้นเรือ มีเสียงฮือฮา เจ้าปักเป้าหนามทุเรียน(Porcupinefish) นั่นเอง ผมพยายามถ่ายรูปเขาแต่ไม่ทัน หลายคนไม่ทราบผมจึงอธิบายให้ฟังว่า นี่คือ รูปร่างของเขาตอนไม่พองตัว ส่วนเวลาที่พวกเราเห็นเวลาพองตัวนั้น คืออาการตกใจ และป้องกันตัว หากเขาพองตัวบ่อยๆ เขาก็จะตายไป(บอกเป็นนัยๆว่าอย่าแกล้งปักเป้านะ)
เกาะลาดิง(เหลาลาดิง)
หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า “Paradise” ที่นี่เป็นจุดสุดท้ายของโปรแกรมในวันนี้ พี่อีฟแนะนำว่าใครใคร่จะดำน้ำดูปะการังก็สามารถทำได้ ส่วนด้านหลังจะมีหาดหินเล็กๆให้เดินไปชม ผมไม่ดำน้ำที่นี่เพราะทราบดีว่า คงไม่เห็นอะไรเท่าไร แล้วน้ำน่าจะขุ่นด้วย(จะมีแต่ปลาตะกละมาให้ดูซิ) เอาเวลามาเดินชมเกาะดีกว่า
ด้านหลังเกาะเป็นหาดหินจริงๆ(ใส่เท้าเปล่ามา สมน้ำหน้า ต้องร้องจ๊าก) ระหว่างทางมีกระท่อมไม้เล็กๆน่ารักมาก เหมาะให้หนุ่มสาวเข้าไปพลอดรัก(เอ้ย งั้นแค่จีบกันก่อนแล้วกัน)
กลับมาด้านหน้าเกาะ ที่นี่เป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์นกนางแอ่นด้วยโดยสังเกตจากป้ายข้างๆ ผมแอบถ่ายรูปฝรั่งเวลาจีบกันด้วย(โรคจิตมาก ไอ้คนเขียนเนี่ย)
เป็นอันจบโปรแกรมท่องเที่ยวในวันนี้ เราขึ้นจากเรือที่หาดนพรัตน์ธารา(ไม่ไกลจากที่พักผมนัก) ส่วนคนอื่นๆจะมีรถมารับกลับไปถึงที่พัก
ผมแลกเบอร์อี-เมลกับเพื่อนร่วมเดินทางตามแบบฉบับนักท่องเที่ยวที่ดีเพื่อส่งรูปให้ เพื่อผูกมิตรภาพดีๆไว้ ก่อนจะปลีกวิเวกมาเดินชมหาดนพรัตน์ธาราเพียงคนเดียว(กอลฟ์อยากกลับที่พัก เลยให้มันล่วงหน้าไปก่อนครับ)
หาดนพรัตน์ธารา(หาดคลองแห้ง)
นี่เป็นโปรแกรมเพื่อผมเพียงคนเดียวจริงๆ ผมถวิลหาถึงที่นี่ทุกครั้งเวลามาเที่ยวกระบี่ เป็นเพราะเหตุใดหรือครับ?
ชาวบ้านจะเรียกหาดนี้ว่าหาดคลองแห้ง ที่เรียกคงเป็นเพราะว่า หาดนี้เวลาน้ำลด เราสามารถเดินออกไปได้หลายร้อยเมตร ที่สำคัญตามพื้นทราย จะมีปูลมและกองทัพปูแดง(ที่เรียกว่ากองทัพเพราะมีมากจริงๆ) ออกมาให้ยลโฉมกัน
ผมถอดรองเท้าแตะ เดินเหยียบลงบนพื้นทรายที่นุ่มนวลอย่างคุ้นเคย มีเสียงลมเอื่อยๆ และภูเขาหินปูนอยู่ด้านหน้า พร้อมหามุมเหมาะๆ บันทึกพฤติกรรมปูแดงที่น่าสนใจมาก
คราวก่อนผมเห็นพวกเขาขนบางอย่างออกมาจากรู มีลักษณะสีเทาๆ คราวนี้ผมเห็นพวกเขากำลังใช้ก้ามต่อสู้กัน หยอกล้อเหมือนเด็กๆ(คลิปวีดีโอ บันทึกภาพไว้หมดแล้วจ้า)
ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นหาดที่แสนธรรมดา แต่ลองนึกภาพเอาครับว่า จะมีซักกี่หาด ที่เป็นเช่นนี้ มีภูเขาหินปูนเป็น Background เดินไปไกลได้หลายร้อยเมตร(เท่าที่ผมเคยสอบถาม หาดที่มีภูเขาหินปูนแบบนี้ ก็มีเพียง จ. ตรังเท่านั้น)
หาดแห่งนี้ เป็นหาดในฝันของผมเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงครับ
……………………..
ค่ำนี้ผมออกมาเที่ยวอ่าวนาง แม้จะยังไม่ค่อยมีคนเดินนักเพราะยังหัวค่ำ แต่สีสันของร้านค้าทำให้อ่าวนางดู คึกคักมาก
แน่นอนว่า ข้าวเย็นของผม คือ ร้านไก่เถื่อน ของน้าแต๋วและบังดอยนั่นเอง
ที่อ่าวนางมีร้านอาหารทั้งไทย อาหารฝรั่งเต็มไปหมด มีโรตีแสนอร่อย ราคาไม่แพงอย่างที่คิด ผมลองโรตีสัปปะรด อร่อยมากครับ
ร้านขายของที่นี่จะมีหลากหลาย เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า ไม้แกะสลัก เป็นต้น สามารถต่อราคาได้(ขืนไม่ต่อ แสดงว่าไม่ใช่คนไทยครับหรือไม่ก็เงินในกระเป๋าเหลือจัด)
ผมกับกอลฟ์ได้เสื้อ polo สวยๆมาด้วย(ถูกด้วย อันนี้สำคัญ) ลองเสื้ออยู่นาน ก่อนกลับเจ้าของร้านเดินเข้ามา คิดว่าผมกับกอลฟ์เป็นคนอินโดนีเซียจึงคุยภาษาอังกฤษด้วย พอทราบว่าเป็นคนไทยก็เลยขำกันใหญ่ ผมเลยเออ ออ พูดภาษามั่วๆให้ตลก ผลคือ เฮฮา กันยกใหญ่
ขากลับมาที่พัก มีรถจอดเยอะมาก ที่แท้เขามาดูฟุตบอลเอฟเอคัพ รอบชิงระหว่าง ลิเวอร์พูลกับ เวตส์แฮม(นึกว่าแข่งพรุ่งนี้) ก็เลยนั่งดูกัน บรรยากาศเป็นกันเองดีมาก
หลังจากการตะลุย ท่องเที่ยวมาตั้งแต่วันแรก พรุ่งนี้เราจะต้องกลับกรุงเทพ กลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งน่ะเหรอ?
14 พฤษภาคม 2549
เราเก็บของอย่างเร่งรีบเพราะรถออกเวลา 8 โมงเช้า พี่ฮาซันให้น้องชายไปส่งเราที่สถานีขนส่ง จ. กระบี่ ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมจะเดินทางกลับกรุงเทพในรอบเช้า มาถึงเวลาค่ำ ส่วนใหญ่จะชอบมาตอนค่ำ ถึงตอนเช้ามากกว่า ยิ่งเป็นการเดินทางที่ยาวนานแบบนี้ด้วย (คราวนี้ จะได้มีเวลาพักผ่อนด้วยครับ)
การเดินทางในครั้งนี้เป็นการเดินทางที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของผมอีกครั้ง ผมดีใจมากที่ได้มีเพื่อนร่วมเดินทางใหม่ๆ ที่สำคัญผมได้เป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางของพวกเขาและทำให้พวกเขามีความสุขเช่นกัน
สำหรับกอลฟ์ ดูจะประทับใจมากกับการท่องเที่ยวครั้งนี้ ซึ่งผมก็รู้สึกดีใจที่สามารถทำให้เพื่อนมีความสุขได้
สิ่งที่ผมคิดเสมอและไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลง คือ การท่องเที่ยวแบบ Backpacker มีเสน่ห์ในตัวของมัน เป็นคนละแบบกับการดำน้ำบนเรือ Liveaboard ที่ผมจะไม่มีวันจะทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปได้ แม้หนทางข้างหน้าจะแสนลำบากหากผมจะเก็บเงินไปเที่ยวทั้ง 2 แบบ ซึ่งอาจทำให้ได้ท่องเที่ยว และได้เห็นสัตว์ทะเลช้ากว่าคนอื่นๆ ก็ตาม
หากใครมีโอกาสมาเที่ยว จ. กระบี่ อย่ามองข้ามมนต์เสน่ห์ของที่นี่ หากเธอเป็นหญิงสาว ก็เป็นผมที่หลงรักเธอ จนโงหัวไม่ขึ้น(หัวปัก หัวปำก็ได้)
ผมหวังว่าบทความที่แสนจะยืดยาว(ทุกครั้ง)ของผม จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน ไม่มากก็น้อย
ขอขอบคุณ ที่ช่วยกันอ่านอีกครั้งนะครับ
ใช้ไปเท่าไร?
-ค่ารถทัวร์ไป-กลับ ประมาณคนละ 1,000 บาท(หากค่าน้ำมันแพงขึ้นอีก ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้)
- ค่าที่พัก 3 วัน ประมาณ 1,000 บาท(หากเป็นช่วง High Season ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้)
-ค่าเข้าสระมรกต คนละ 20 บาท ค่าเข้าน้ำตกร้อน รวมค่าจอดรถมอเตอร์ไซด์ ไม่เกิน 40 บาท
- ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี คนละ 20 บาท
-ค่าเรือออกไปดำน้ำ 2 วัน 2 โปรแกรม คนละ450-500 บาท
- ค่าเช่ามอเตอร์ไซด์วันละ 150 บาท
-ค่าเช่าเรือคายัคที่เกาะห้อง ชั่วโมงละ 300 บาท
-ค่าอาหาร(แล้วแต่จะกินครับ กินแพงก็จ่ายแพง กินถูกจ่ายถูกครับ)
Phop Payapvipapong
12 June 200
14.10 pm
2 Comments:
เฮ้ย, ลงไปเที่ยวทะเลใต้บ่อยบ่อย
อย่าเบื่อซะก่อนล่ะ
กูว่าจะกลับตอนปลายปี
อยากลงไปเที่ยวกระบี่เหมือนกัน
แล้วไงจะถามข้อมูลมึงอีกทีนะ
(ถ้าว่าง พากูเที่ยวด้วยก็ จะดีมากนะ :p)
ได้เลยเพื่อนซ่าน
ยินดีว่ะ
Post a Comment
<< Home