Tuesday, June 13, 2006

กระบี่….มนต์เสน่ห์แห่งอันดามัน (2)




เดินตามสะพานไม้ มาเรื่อยๆ มาถึงสระแรก(มีป้ายเขียนว่า No Swiming)สระนี้แหละ ที่ผมชอบมาก เงียบ ไม่มีคน มีปลาแปลกๆดูเยอะ มาทีไรก็ฝ่าฝืนตลอด(เป็นนักกฎหมายประสาอะไรเนี่ย ชอบแหกกฎ จริงๆ ผมอ่านไม่ออกครับ เป็นคนต่างชาติ ที่บ้านผมไม่ใช้ภาษาอังกฤษ……เอาเข้าไป) ผมคิดในใจว่า เดี๋ยวจะมาลงแน่นอน ไม่งั้นนอนไม่หลับแน่



ด้านหน้าของผม คือ สระมรกต หนึ่งในภาพประทับใจของใครหลายๆคน นี่ คือ Unseen Thailand ที่ใครหลายคนถวิลหา ภาพสระนำจืด เขียวมรกต กลางป่า หากได้ลงไปว่ายเล่น คงดีไม่น้อย



ข้างๆสระมีพลับพลาที่ประทับด้วย ในวันนี้ สระมรกตคราคร่ำไปด้วยผู้คน แต่อย่างไรก็ตามไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผมแม้แต่น้อยเพราะผมเคยเห็นสระมรกตในหลายๆแบบมาแล้ว เช่น ช่วงไม่มีคน ช่วงคนเยอะ ช่วงคนมหาศาล เป็นต้น (คงตอบได้ว่า ผมชอบช่วงไหนมากที่สุด)



ถ่ายรูปให้เจ้ากอลฟ์เสร็จ ผมคว้าสน็อคเกิ้ลลงไปบ้าง ภารกิจหลัก คือ ดูปลา การเก็บขยะ ดูสาว(อันหลังสุดนั้นเป็นผลพลอยได้) มาคราวนี้ผมได้ลองท่อหายใจใหม่ที่พึ่งซื้อมา หลังจากอันเก่าบริจาคไปแล้ว(ทำตกนั่นแหละ)ที่หินหัวกะโหลก อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน



ท่อใหม่นี้ ผมยังไม่คุ้นเคยเท่าไรเพราะมีวาวล์สำหรับพ่นน้ำออกด้วย เวลาดำน้ำจะเข้าง่ายกว่าที่ไม่มีวาวล์ จริงๆดีกว่าของเก่าแน่นอนเพียงแต่ว่าผมยังใช้ไม่ค่อยคล่องก็เท่านั้นเอง(ไม่รู้จะเป็นหัวล้านได้หวีไหมเนี่ย)



ผมเรียกเจ้ากอลฟ์มาดูที่ใต้น้ำตก หลังจากผมเห็นปลาปริศนาขนาดประมาณ 40-50 ซม นับว่าเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบที่นี่เลย



ฝนใกล้ตก เมฆดำทมึน เราจึงรีบขึ้นจากน้ำ แต่ไม่ลืมที่จะเดินย้อนกลับไปเล็กน้อยที่สระแรก(ผมมาทวงสัญญาหน้าฝน เธอสัญญากับผมว่าจะให้ผมเชยชม เอ้ย ติดเรท)



มองซ้าย มองขวา ทางสะดวก ผมให้กอลฟ์อัดวีดีโอคลิปให้ด้วย ถอยไป ถอยมา เจ้ากอลฟ์ตกไปด้านล่าง โชคดีสัญชาตญาณของกอลฟ์เยี่ยม ยกกล้องขึ้นสูง ขาเปียกช่างมัน



ผมลงไปตีขา ดำดูปลาอย่างสบายอารมณ์ บางคนว่าสระนี้ซกมกแต่ผมไม่คิดแบบนั้น(ตัวผมซกมกกว่าสระนี้อีกครับ) สระนี้จะมีสาหร่ายเยอะ บ่งบอกถึงระบบนิเวศได้อย่างหนึ่งว่า สมบูรณ์ ดูจากปลาที่พบ



เป็นอันว่าคนเห็นแก่ตัวอย่างผมได้ทำตามใจที่ต้องการอีกครั้ง ระหว่างเดินออกมาฝนเริ่มตกจึงต้องเดินแบบย่องๆเดี๋ยวจะลื่นก้นจ้ำเบ้า



ผมมองหาร้านข้าวร้านเดิมที่เคยพบพี่สาวและพี่แมวแต่ร้านนั้นไม่มีแล้ว จึงมากินอีกร้านหนึ่งแล้วสอบถามน้า(หนวดงาม) อัธยาศัยดีมาก แกบอกว่า พี่สาวและพี่แมว อยู่ในครัวใกล้ๆผมนี่เอง แต่พี่สาวร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนก่อนแล้ว



อาหารตามสั่งอร่อยๆราคาเท่ากรุงเทพฯ(ถูกกว่าด้วยซ้ำ) ช่วยให้ผมและกอลฟ์อิ่มหนำสำราญ ก่อนกลับผมเข้าไปในห้องครัว พบพี่สาว



“พี่จำผมได้หรือเปล่าครับ”



“จำได้ซิน้อง”



พี่สาวในวันนี้ หน้าตาดูซีดเซียวลงไป แกบอกว่ามีปัญหาเกี่ยวกับคอ เลยมาช่วยงานในครัวแทน อยู่ด้านนอกงานจะหนักกว่า ผมขอถ่ายรูป ก่อนออกเดินทาง และไม่ลืมที่ขอที่อยู่เพื่อส่งรูปมาให้พี่สาว



ฝนตกแบบนี้ การสตารท์รถมอเตอร์ไซด์อาจมีปัญหาบ้าง(น่าจะเกี่ยวกับความชื้น) เหมือนเช่นในตอนนี้ที่กอลฟ์พยายามเหลือเกินที่จะสตารท์เครื่องให้ได้(สงสัยหัวเทียนบอด) ต้องใช้ความพยายามหลายสิบครั้ง กว่าเครื่องจะติด(ค่อยยังชั่ว ได้ไปต่อแล้ว)



จากสระมรกตออกมา เรามุ่งหน้าสู่น้ำตกร้อน ตอนนี้เราเหมือนคนต่างด้าวมาก(ธรรมดาก็เหมือนอยู่แล้ว)เพราะต้องใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมหัวกันฝน ฝ่าเม็ดฝนที่กระเด็นเข้าตา(แบบเจ็บๆ) โชคดีว่ายังไม่ตกหนักมาก จึงยังพอขับไปได้



ชำระค่าธรรมเนียมให้เรียบร้อยพร้อมค่าจอดรถ ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านใน ภายในจะมีน้ำตกร้อนที่ทำขึ้นและน้ำตกร้อนโดยธรรมชาติ ผมไม่เคยสนใจของเทียมอยู่แล้ว แม้ในช่วงเวลาที่คนมากก็ตาม(อดลง ก็ไม่เสียหาย มาดื่มด่ำกับบรรยากาศเอา)



ความร้อนระดับ 30-40 องศาเซลเซียส จะรู้สึกว่าร้อนมากในช่วงแรก แต่พอได้ลงไปทั้งตัว ร่างกายจะเริ่มปรับสภาพและทำให้รู้สึกสบายจริงๆ เจ้ากอลฟ์ยังดูกลัวๆกับความร้อนของน้ำตก ก่อนที่จะถอดลวดลายทิ้ง ลงมาแช่ทั้งตัว (คุณพ่อของผมยังชอบที่นี่เลย)



พอขึ้นมา เมื่อลูบผิวดูจะรู้สึกว่าผิวเนียนขึ้น ผมเคยได้ยินว่าสามารถรักษาโรคได้ด้วย(ไม่รู้จริงหรือเปล่านา)



ระหว่างเดินทางกลับ เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนเลิกพอดี แลดูมีเสน่ห์ในการเดินทางไปอีกแบบ ข้างทางก็มีควายกำลังกินหญ้าอยู่(จะคิดว่ามีเสน่ห์อีกซิ….. ถูกต้องนะคร๊าบๆๆๆๆ)



ฝนเริ่มตกหนักมากขึ้น ขับต่อไปมีแต่จะอันตราย เราแวะเข้าศาลาข้างทางเพื่อหลบฝน มีคนมาหลบฝนอยู่หลายคนด้วย พอฝนเริ่มซาจึงค่อยเดินทางต่อ



เส้นทางที่ขับนั้นจะมีช่องสำหรับให้รถมอเตอร์ไซด์วิ่งโดยเฉพาะ(ก็เหมือนถนนทั่วๆไป) การขับจึงต้องทำตามกฎ ระเบียบอย่างเคร่งครัด เช่นการเปิดไฟหน้ารถ(เวลารถสวนมาจะได้เห็น เป็นต้น) ถึงตอนนี้ในปากของผมและกอลฟ์มีทรายเข้ามาด้วย(อยากคุยกันเวลาขับรถ สมน้ำหน้า)



เราตกลงกันว่าจะแวะเข้าไปในตัวเมืองกระบี่ก่อน ผมอยากดูเขาขนาบน้ำอันลือชื่อใกล้ๆ ส่วนกอลฟ์อยากเห็นบรรยากาศในตัวเมืองกระบี่



เราขับเลยเขาขนาบน้ำมา(เลยมาได้ยังไง ตาถั่วทั้งคู่) จึงกลับรถ หาอะไรกินก่อน ช่วง 5 โมงก็เริ่มมีอาหารมาขายแล้ว ทั้งร้านอาหารตามสั่ง เช่น ร้านนัสรี่ มุสลิม และร้านอื่นๆ แต่ร้านที่ผมสะดุดตา อยากเข้าไปหม่ำทั้งร้าน คงเป็นร้านบังยูโสบ(บัง ภาษาใต้แปลว่าพี่ ก็คือ ร้านพี่ยูโสบนั่นแหละ)



ร้านบังยูโสบ เป็นรถเข็นขายลูกชิ้น มีทั้งไส้กรอกไก่ ปูอัด กุ้งทอด ลูกชิ้นเนื้อ ไข่นก แหนมไก่ เอ็นเนื้อ เอ็นไก่ เต้าหู้ปลา แค่ได้ยินรายการก็อยากกินแล้วใช่ไหมครับ ผมจึงไม่พลาดที่จะอุดหนุน อร่อยมากด้วยแหละ



ข้างๆจะมีร้านโรตี สะเต๊ะไก่ สะเต๊ะเนื้อ น่ากินเช่นกัน ส่วนร้านที่เจ้ากอลฟ์กำลังซื้ออยู่ คือ ร้านขนมเบื้องไทย ขนมโตเกียว รสชาดอร่อยมากเช่นกัน



เราเดินออกมาถ่ายรูป นั่งกินของที่ซื้อมาบริเวณท่าเรือ มองเห็นป่าชายเลนอยู่ไม่ไกล มีสาวๆมาออกกำลังกายด้วย เจ้าเด็กน้อย 3 คน ก็อัธยาศัยไม่เลว พูดคุยกับผมและกอลฟ์อย่างไม่กลัวเสียด้วย(ปกติ แม่ไม่ให้พูด-ไม่ให้พูดกับคนแปลกหน้า)



แวะซื้อกล้วย ส้ม เพื่อเอาไปกินบนเรือ เวลาดำน้ำพรุ่งนี้ ก่อนมุ่งหน้าไปยังเขาขนาบน้ำ มีคำกล่าวที่มักจะใช้กับผมได้ดีเสมอว่า “ก่อนจะฉลาดต้องเคยโง่มาก่อน” ในการเดินทางผมมักจะผิดพลาด ไม่ก็ถูกหลอกมาก่อนจึงจะฉลาด หลังจากนั้นก็จะไม่มีการผิดพลาดอีกเพราะเรารู้ดีแล้ว คราวนี้ก็เช่นกันผมบอกกอลฟ์ให้เลี้ยวเข้าไปในซอยๆหนึ่ง ปรากฎว่าเป็นซอยตัน………………



จึงอยากจะบอกทุกท่านว่า จุดชมวิวที่เขาขนาบน้ำอยู่บริเวณทางโค้งที่เขียนว่า “ชมทิวทัศน์” ใกล้ๆป้ายที่เขียนว่า “สะพานท่องเที่ยวป่าชายเลน” (แถวนั้นมองไม่เห็นที่จอดรถนะครับแต่ถ้ามอเตอร์ไซด์ น่าจะสะดวกกว่า)



จากนั้นระหว่างเดินทางกลับอ่าวนาง เราวนเข้าไปด้านใน พบสี่แยกที่เห็นแล้วต้องจอดรถลงมาถ่ายรูป เพราะสัญญาณไฟจราจรเก๋มากๆ เป็นเป็นเสาขนาดใหญ่มีรูปมนุษย์โบราณรูปร่างกำยำถือสัญญาณไฟจราจรอย่างละข้าง (ดูเท่ แปลกตามาก)



ก่อนเข้าที่พัก เมฆประหลาดริมหาดนพรัตน์ธาราดึงดูดให้ผมลงมาถ่ายรูป มองไปคล้ายสุนัขกำลังอ้าปากเหมือนกัน



เราออกมาหาของกินแถวอ่าวนาง อาหารแบบง่ายๆราคาไม่แพง แล้วก็สะดุดตากับร้าน “ไก่เถื่อน” ขายผัดไทและอาหารตามสั่ง รสชาดอร่อยแถบถูกอีกด้วย(ราคาเท่ากรุงเทพฯ) คุยกันจึงทราบว่าเป็นของน้าแต๋วและบังดอย(พี่ดอย) ซึ่งพี่ดอยเคยเป็นเชฟอยู่แถวซอยนานา แต่ออกมาอยู่กับครอบครัวที่บ้านเกิด นอกจากนี้บังดอยยังมีอาชีพขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างด้วย



กลับที่พักผมเดินออกมาซื้อยาสระผมที่มินิมารท์(ตะกี้เข้าเซเว่นก็ลืมซื้อซะได้) มีบาร์อยู่ด้านหน้าแต่ไร้ซึ่งผู้คนอาจเป็นไปได้ว่ายังเป็นแค่ช่วงหัวค่ำ เจ้าของร้านมินิมารท์บอกผมหากเปรียบเทียบกับอ่าวนาง หาดนี้ยังถือว่าใหม่สำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งผมก็ยังนึกถึงชาวต่างชาติที่มักจะรู้และเข้าถึงการท่องเที่ยวดีๆแบบนี้ ก่อนคนไทยเสมอ



หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยจึงเดินออกมาดูทีวี ผมจึงทราบว่าคุณพี่ผมยาว กระเซิงที่ตัดหญ้าเมื่อเช้าเป็นเจ้าของบังกะโลแห่งนี้(ผ้าขี้ริ้วห่อทองจริงๆ) ชื่อของแก คือ บังฮาซัน



บังฮาซันเป็นชาวมุสลิมแท้ๆ มาเปิดCashew Nut มา 6 ปีแล้ว โดยชื่อของ Cashew Nut แปลว่ากาหยูหรือกาหยี ซึ่งก็คือเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง ส่วนใหญ่ที่มาพักมักจะเป็นชาวต่างชาติเพราะราคาไม่แพงมากนัก มีความเป็นส่วนตัวสูง แถมยังมียูบีซีดูที่หน้าเคานเตอร์ด้วย(1500 บาทต่อเดือน บังฮาซันรำพึง รำพันว่า ไม่รู้ว่าจะคุ้มไหม......) ท้ายสุดนี้ผมได้ความรู้ใหม่จากบังฮาซันว่า ชาวใต้จะเรียกภูเขาหินปูนว่า ภูเขา ส่วนภูเขาที่มีดินอยู่ด้วย ชาวใต้เรียกว่า ควน ฟังดูก็แปลกดี เป็นความรู้ใหม่ครับ



หาวหลายที เหนื่อยสะสมจากการเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ ก่อนนอน ผมกับกอลฟ์ตกลงกันว่าในวันรุ่งขึ้นจะมาติดต่อเรื่องไปดำน้ำ โปรแกรม เกาะปอดะ ทะเลแหวก อ่าวถ้ำพระนาง หาดไร่เลย์





12 พฤษภาคม 2549



มาเที่ยวกับเพื่อนทีไร ผมมักจะตื่นเป็นคนแรกๆเพื่อออกมาถ่ายรูปยามเช้าเสมอๆ แต่มาในคราวนี้เจ้ากอลฟ์ตื่นก่อนผม ทำเอาผมต้องรีบออกไปด้านนอกบ้างแต่ก็ไม่เจอ จนกระทั่งกอลฟ์กลับมา เขาเล่าให้ฟังว่าเดินออกไปดูหาดนพรัตน์ธารา ถ่ายรูปนิดหน่อยเท่านั้น



ใกล้ 8 โมง ผมกับกอลฟ์ต้องรีบจัดของลงกระเป๋าสำหรับไปดำน้ำในวันนี้(ยังไม่ได้ติดต่อเลย) จะมัวชักช้าอยู่เห็นจะไม่ทันการ



เช้านี้ภริยาพี่ฮาซันให้อาหารนาก ผมจึงไม่พลาดที่จะเก็บภาพในช่วงนี้ไว้ หาดูไม่ได้ง่ายๆนะเนี่ย



และแล้ว ข่าวไม่ดียามเช้าก็เกิดขึ้น ผมไม่สามารถไปกับบริษัททัวร์ที่ภริยาพี่ฮาซันติดต่อได้เพราะแจ้งช้าเกินไป(เต็มแล้ว) ผมจึงขอเปลี่ยนเป็นอีก 1 โปรแกรม คือ เกาะห้อง แต่ก็ได้รับคำตอบที่ไม่ดีเช่นกัน คือ เต็ม



ผมกับกอลฟ์เริ่มเซ็งๆ สงสัยคงต้องไปหาตามอ่าวนางซึ่งอาจจะต้องเหมาก็ได้(รายนั้นจะแพงกว่า) ไม่นานนักพี่ฮาซันแนะนำให้ผมไปร่วมทริปไปกับพี่ๆคนไทย 5 คน ที่มาพักที่นี่ซึ่งพวกเขาเหมาเรือไปเที่ยวที่เกาะปอดะ ทะเลแหวก อ่าวถ้ำพระนาง อ่าวไร่เลย์ เช่นกัน



เมื่อคุยกันจึงได้รับความปรารถนาดีจากพี่ๆให้เราไปด้วย(ช่วยแชร์ค่าเรือกัน) เท่านี้ผมกับกอลฟ์ก็รอดตาย เช้านี้ได้เที่ยวแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ



ต้นไม้บริเวณที่พัก พี่ฮาซันเล่าให้ฟังว่า มีต้นบ่ออะ ต้นจันทร์ผาและต้นปาลม์ ซึ่งผมดูจะคุ้นเคยกับต้นสุดท้ายมากที่สุด เรารีบออกไปหาซื้อข้าวกลางวันมาทานบนเรือ ในตอนนี้น้ำมันก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย



เรามาเติมน้ำมันบริเวณมัสยิดใกล้อ่าวนาง น้ำมันสีออกแดงๆ เติมไม่ถึง 100 เพิ่มมาตั้งเยอะ(มิน่า ทำไมขับมอเตอร์ไซด์ เงินมันเหลือ ขับรถเก๋งต้องเติมหลายร้อย)



ร้านข้าวแกงเช้านี้ ลูกสาวเจ้าของร้านน่ารักมาก(อาจธรรมดาสำหรับบางคนแต่สำหรับผมถือว่าสอบผ่านครับ) เรียกว่าพอเห็นหน้าปุ๊บหลงรักทันที(อย่าลืมร้องเพลง She แบบเรื่อง Nothing Hill ด้วยนะครับ) แต่เรามาว่าถึงเรื่องข้าวแกงดีกว่า รสชาดอร่อยมากครับ ผมกับกอลฟ์รีบกินจนเจ้าของร้านและคนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่กินอยู่โต๊ะข้างๆงง จนถามว่า



“จะรีบไปไหนกันเหรอ พ่อหนุ่ม”



“รีบออกไปดำน้ำครับ เรือจะออกแล้ว”



ผมลาคุณแม่ร้านข้าวแกง(เป็นแม่ตั้งแต่เมื่อไรล่ะ ฮ่าๆๆๆ) ภูเขาหินปูนยามเช้า ตัดกับแสงแดดที่เจิดจ้า มองดูสวยงาม ผมรีบกลับไปยังที่พัก ในตอนนี้ทุกคนพร้อมจะออกไปนั่งเรือบริเวณหาดนพรัตน์ธาราแล้ว



เรือของเราชื่อว่า T 27 Sunset นอกจากผมและกอลฟ์ก็มี 3 สาว กับ 2 หนุ่ม ประกอบด้วย พี่ดา ทำงานอยู่สำนักงานเขต อ. สุไหงโกลก จ. นราธิวาส พี่นาและพี่นุช ทำงานอยู่สำนักงานเขต จ. สงขลา พี่ดนัย อาจารย์ใหญ่ในโรงเรียน อ. เจาะไอร้อง จ. นราธิวาส และพี่จัด ทำงานอยู่สำนักงานเขต จ. สงขลาเช่นกัน



พวกเขาทรหดไม่แพ้พวกผมเพราะหากดูแผนที่จาก จ. นราธิวาส มา จ กระบี่ ไม่ได้ใกล้ๆกันเลย หลายร้อยกิโลอยู่เหมือนกัน



ที่สำคัญ คือ พวกเขา มีใจรักในการเที่ยวทะเลด้วยกัน ไม่แปลกใจว่าเหตุใด พวกเขาจึงท่องเที่ยวทะเลมาแล้วในหลายๆที่ สายใยบางๆจึงทำให้ผมได้รับมิตรภาพดีๆอีกครั้งหนึ่ง(ไม่ได้พวกพี่ๆ เราก็อดเที่ยววันนี้น่ะซิ)



ผมคุ้นเคยกับเส้นทางนี้ดีมาก(มาโปรแกรมนี้ รอบที่ 3 แล้ว) จึงสามารถอธิบายให้พี่ๆฟังว่า ในจุดแรก เรือจะจอดให้เราดำน้ำกันที่เกาะปอดะ

0 Comments:

Post a Comment

<< Home