Sunday, February 18, 2007

เกาะสุรินทร์….สุดยอดระบบนิเวศทางทะเล(3)





กลับมาทานข้าวกลางวันที่โรงอาหาร ผมถอด Wet suit ออกแค่ครึ่งท่อนเพราะ Wet suit ยาว ถอด-ใส่ยากเหลือเกิน(ตอนบ่ายก็ต้องลงอีก 1 ไดฟ์) ในเวลานี้โรงอาหารคนเยอะจริงๆครับ

เดินไป-มาซักพักนอกจากจะหาจูนและส้มแล้ว ผมก็ยังหาพี่หมูด้วยเพราะยังไม่ได้เบอร์ติดต่อแกเลย

ข่าวเที่ยงวันนี้เป็นแกงจืดไก่ แพนงหมูและผัดผัก ซักพักมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมยื่นกระดาษเล็กๆให้ 1 แผ่น ภายในมีชื่อของสาวและข้อความเล็กน้อย ผมค่อนข้างแปลกใจเพราะเกิดมายังไม่เคยมีใครมาขอเบอร์แบบนี้(โดยที่ไม่รู้จัก) ชายคนนั้นบอกว่า

“ขอให้น้องเขาน่ะครับ น้องเขาอายมาก เราจะกลับกันแล้ว” ชายหนุ่มยิ้ม

“น้องคนไหน ล่ะครับ ผมจะทราบได้อย่างไร” ผมยิ้มๆ

“ก็ให้มาเถอะครับ” ชายหนุ่มเริ่มเร่ง(แต่ยังยิ้มอยู่)

กล้าขอแบบนี้ ผมก็กล้าให้ครับ อย่างน้อยก็มีเพื่อนเพิ่มอีก 1 คนครับ ผมเขียนชื่อตัวเองและเบอร์โทรไป

“นี่ฉันมีเพชร อยู่ข้างกายนะเนี่ย ไม่เคยรู้เลย นึกว่าโคลนตม” ส้มกับจูนแหย่ผม

“ไม่รู้ซิครับ งงเหมือนกันนะเนี่ย แต่ไม่เป็นไรหรอก” ผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แต่ถ้าจะให้เดาคงเป็นกลุ่มสาวที่เจอบ่อยๆในโรงอาหารและสวนกันที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติแน่นอน(สงสัยน่าจะเป็นคนที่เอ่ยปากถามผมด้วยน่ะ)

ส้มกับจูนอยากให้ขนมกับเด็กมอแกน ผมเห็นด้วยและอาสาจะเป็นคนถ่ายรูปให้พวกเธอ เราถามชื่อของพวกเขา บางชื่อค่อนข้างน่ารักมาก ผมยังจำได้ว่าตอนมาครั้งล่าสุดสวนกับเด็กมอแกนที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ บางคนค่อนข้างคล้ายกับเด็กที่อยู่ในตอนนี้

บ่ายนี้ผมจะไปดำน้ำแบบ Scuba ที่ร่องตอรินลา ตรงกับโปรแกรมดำน้ำตื้นของจูนและส้มที่จะไปตอรินลา อ่าวผักกาด และเราก็จะไปขึ้นเรือที่จุด 200 เมตร เหมือนกัน

จูนสวมชุดแขนยาวสีฟ้าของซาบีน่า(ชุด Staff) เห็นว่าได้มาจากเจ้าวอร์มเด็กฝึกงาน ร่างเล็กจากกรุงเทพ มาฝึกงานภาคสนามวิชาเกี่ยวกับท่องเที่ยวที่นี่โดยเป็น Staff ของซาบีน่า (ทำไมกฎหมาย ไม่มีฝึกแบบนี้บ้างหนอ ผมจะเป็นคนแรกเลยที่มา)

ส้มก็ได้ชุดสีฟ้าของซาบีน่าเหมือนกัน ถ้าไม่ได้จากเจ้าวอร์มก็ได้มาจากเจ้าแบค เด็กตัวโย่ง Staff ของซาบีน่าเช่นกัน ที่อายุไม่ถึง 20 แต่ความสูงบังอาจไล่เลี่ยผม(ถ้าเจ้าแบคอายุเท่าผม จะสูงเท่าไรเนี่ย เปรตแท้ๆ)

พูดจบ 2 สาว อยากจะเปลี่ยนเต๊นส์นอน โดยจะไปนอนหน้าหาดบ้าง ซึ่งก็พอมีที่ว่างอยู่ จึงช่วยกันย้ายเต๊นส์ไปด้านหน้าหาด ใกล้ๆมีเต๊นส์หนุ่มสาวที่จีบกัน เราเรียกเต๊นส์นี้ว่า “เต๊นส์คู่รัก”(อิจฉาโว้ย)

ทราบว่าพี่หมูกลับไปแล้ว แต่ยังไงผมก็ได้เบอร์แกจากพี่นิดเรียบร้อยแล้วครับ

เรามาขึ้นเรือที่จุด 200 เมตร แดดค่อนข้างร้อน นับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการดำน้ำ บ่ายนี้นักดำน้ำแบบ Scuba เหลือผมเพียงคนเดียวเท่านั้น

เรือหางยาว3-4 ลำ น้ำมันใกล้หมดกันเป็นแถว(ไม่รู้นัดกันหรือเปล่า) มีเรือใหญ่อยู่ด้านหน้า โชคดีว่าเรือลำนั้นเป็นพันธมิตรกับพี่นิพนธ์เลยสามารถขอน้ำมันได้แบบง่ายๆ(เรือหางยาวใช้น้ำมันโซลาร์ครับ)

เด็กสาวมอแกนเรือลำข้างๆตกเป็นเหยื่อรอยยิ้มของผมอีกแล้ว เพราะทำท่าเหนียมอายบิดไป-บิดมา(เลยต้องกดชัตเตอร์ซะ)

เมื่อเรือเติมน้ำมันเสร็จแล้ว ไม่นานนัก ผมก็มาถึงร่องตอรินลา จุดดำน้ำต่อไป



Dive 2 สำรวจร่องตอรินลาหลังคลื่นสึนามิ

พี่นิพนธ์ให้ผมลงกับพี่แฟน 2 คนเพราะว่าแกเจ็บฟันมาก คาบเรคกูเลเตอร์แล้วยิ่งเจ็บ เลยขอไม่ลงดีกว่า นี่เป็นโอกาสของผมที่อาจจะได้เห็นเจ้าปลาโรนัน(White-Spotted Guitarfish) ปลาหายาก

เจ้าปลาโนรีหน้าหัก(Phantom Bannerfish) ออกมาทักทายผมเป็นตัวแรกๆ ต่อด้วยปลาสินสมุทรจักรพรรดิ์(Emperor Angelfish) และปลาสินสมุทรวงฟ้า(Blue-Ringed Angelfish) โดยเฉพาะวงฟ้า ผมยังจำภาพที่พี่เอถ่ายรูปพวกเขาได้ที่โลซิน ติดตามาตลอด สีฟ้าสดใส สวยงามมากครับ

ต่อมาเป็นปลาการ์ตูนส้มขาว(Crown Anemonefish)และปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark ‘ s Anemonefish) ผมดีใจที่เห็นลีลาน่ารักของเขาอีกครั้งหนึ่ง นักเลงเจ้าถิ่นที่แสนน่ารักดูจะไม่มีทีท่าที่จะกลัวผมเลยแม้แต่น้อย

ฝูงปลาผีเสื้อพันธุ์แปลกๆ บางชนิดหายากมากเริ่มมาให้ผมยลโฉม(ผมเจอที่นี่ 6 ชนิด ครับ) เริ่มจากปลาผีเสื้อที่พบได้บ่อยๆอย่างปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-Banded Butterflyfish) ตามมาด้วยปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish) ปลาผีเสื้อหลังบั้ง(Saddleback Butterflyfish) ปลาผีเสื้อลายทแยง(Vagabond Butterflyfish) ปลาผีเสื้อลายกระ(Spotted Butterflyfish)และปลาผีเสื้อลายทแยงครีบดำ(Indian Vagabond Butterflyfish)

จากนั้นผมเห็นปลาวัว 2 ชนิด ที่จำได้ คือ ปลาวัวดำ (Redtooth Triggerfish) ส่วนหางค่อนข้างแปลกกว่าปลาวัวทั่วๆไปครับ

และแล้วผมก็เจอปลาค้างคาว(Pinnate Batfish) จนได้ แถมในระยะประชิดซะด้วย พวกเขาขี้ตกใจครับไม่เชื่องแบบปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) ที่ชอบเล่นกับนักดำน้ำ พอเจอผม เขาสะบัดหางนิดเดียวหายวับไปเลยครับ

นอกนั้นก็เป็นปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) ปลาสลิดหินกลมสีทอง(Golden Damsel) ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol) กัลปังหา(Sea Fan)มีสีขาว ดาวขนนก(Sea Star) ปะการังเขากวาง(Coral Branching) ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยหัก พังทลายมากทีเดียว อาณุภาพของคลื่นยักษ์ช่างรุนแรงซะเหลือเกิน

ขึ้นมาด้านบนพี่แฟนเห็นเจ้าปลาฉลามครีบดำ(Blacktip Shark)และกุ้งมังกร(Lopster)แต่เรียกผมไม่ได้ทัน(เวลาเรียกผม ต้องชี้ให้ผมดูแบบพี่ป้อมครับ ชี้ปลาไหลสวนที่ 35 เมตรครับ ต้องชี้แบบซึ่งๆหน้า ช้าๆ ถึงจะเห็นครับ ผมตาถั่วน่ะครับ ฮ่าๆๆๆ) อีกอย่างผมโชคร้ายอีกครั้ง น้ำข้างบนแม้จะนิ่งแต่ด้านล่างขุ่นมากครับ มองเห็นแค่ 3-4 เมตรเท่านั้นเอง

เรือค่อยๆแล่นกลับมาที่จุด 200 เมตร ดูพี่นิพนธ์ค่อนข้างกลัวว่าผมจะผิดหวัง จึงจะเพลาๆไม่พาลูกค้ามาอีกเพราะกลัวจะไม่เห็นอะไร ตรงกันข้ามครับ ผมกลับไม่รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใดเพราะยังเห็นอะไรๆตั้งมาก การไม่เห็นเป็นเพราะน้ำขุ่น(ความไม่แน่นอน)และความโชคร้ายส่วนตัวของผมต่างหาก(ทุกไดฟ์ของผมไม่มีคำว่าผิดหวังครับ)

ผมบอกพี่นิพนธ์ ขออนุญาตแนะนำแกว่า หากอยากให้แขกประทับใจ Leader ต้องรู้จัก Dive Site นั้นๆเป็นอย่างดี รู้ว่าจุดไหนมีตัวอะไร แล้วพาไปดู ชี้ให้ดูอย่างช้าๆ(ผมยกตัวอย่างพี่แจ้ Leader แห่งชุมพรคาบาน่า แกเก่งมากจริงๆครับ)

เป็นอันจบการดำน้ำแบบ Scuba ของผม เวลาที่เหลือ ผมจะดำน้ำแบบ Snorkeling ให้เต็มอิ่มเลยครับ

กลับมาที่พัก ผมล้าง Wet Suit ตากลมไว้ เปลี่ยนชุดเตรียมไปดูพระอาทิตย์ตกที่อ่าวกระทิง เมื่อเดินไปจุด 200 เมตร นักดำน้ำแบบ Snorkeling เริ่มทยอยกลับมากันแล้ว

ที่อ่าวกระทิงผมเจอชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกด้วย จูนกับส้มก็มาที่นี่เช่นกันแต่มาโดยเรือคายัคของเจ้าวอร์ม(เจ้าวอร์มพามาครับ)

ที่นี่ผมได้รู้จักกับพี่นูน พี่น้อย พี่หลิน และพี่หนุ่ม คุยไปคุยมา โลกกลมจริงๆ พวกเขาและพวกเธอส่วนใหญ่เป็นนักดำน้ำแบบ Scuba ด้วย โดยพี่นูน พี่น้อยและพี่หลิน ไปดำน้ำแบบ Snorkeling ที่เกาะสต๊อค แล้วเจอฉลามวาฬด้วย(เธอยืนยันว่า ถ่ายรูปไว้ด้วย)(โชคดีมากครับพี่) พวกพี่ๆช่ำชองการดำน้ำกว่าผมมาก ไปดำน้ำมาก็หลายที่ที่สำคัญเคยไปกับเรือ Scubanet ของบริษัทมนุษย์กบไทย เรือที่ผมกำลังจะเดินทางไปในอีกไม่ช้า ส่วนพี่หนุ่มแม้ไม่เคยดำน้ำแบบ Scuba เลยแต่ก็รักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ คราวนี้มาเที่ยวคนเดียวเหมือนผมซะด้วย(ผมไม่บ้าคนเดียวแล้วครับ ฮ่าๆๆ) พระอาทิตย์ตกในวันนี้ แม้จะมีความสวยแพ้ที่เกาะหมากแต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่เหมือนใครครับ

ขากลับเราค่อยๆเดินอย่างช้าๆเพราะเริ่มจะมืดแล้ว ในขณะที่มิตรภาพของผมกลับค่อยๆเติบโต ขยายวงกว้างไปอย่างช้าๆ เช่นกัน

ผมเดินมาที่เต๊นส์เจอพี่น้อยและพี่หลินอีกครั้ง เธอแนะนำให้ผมรู้จักกับพี่จอย สาวผิวเข้มฉบับชาวใต้ พี่จอยโชว์รูปฉลามวาฬที่ถ่ายไว้เมื่อวานนี้ (สุดยอดเลยครับ)

ผมอาบน้ำ ชะล้างสิ่งสกปรกตามร่างกายเสร็จแล้ว ก็แบกหนังสือใส่เป้มุ่งหน้าไปโรงอาหารเช่นเดิม เย็นวันนี้มีไก่ผัดเม็ดมะม่วง ยำลูกชิ้น ต้มยำเห็ด ไข่เจียว(อันนี้ผมสั่งเพิ่มมาครับ) ของหวานเป็นแตงโมกับสัปปะรดครับ

กิจกรรมเดิมครับ ดูเหล่า ป. ปลาและสัตว์ทะเลว่าเจออะไรกันมาบ้าง ระหว่างนั้นเอง เสียงจากโทรทัศน์ในโรงอาหารทำเอาทุกๆคนหยุดทำกิจกรรมทุกๆอย่าง โลกหยุดหมุนกระทันหัน!!!!

“ผู้ก่อการร้ายวางระเบิดในกรุงเทพ!!!!!มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย!!!!” หลายๆที่เราคุ้นเคยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอนุเสาวรียชัยสมรภูมิ สะพานควาย เป็นต้น

ไม่นานนักด้านหน้าทีวี มีแต่นักท่องเที่ยวยืนดูติดตามข่าวสารเต็มไปหมด(รวมทั้งผมด้วย) ในฐานะเราเป็นคนไทย ใครๆก็ไม่สบายใจครับ ถ้าผมเป็นเปา บุ้น จิ้น ผมจะสั่งประหารให้หมดเลย พวกนี้ไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่แล้ว

ที่นี่โทรศัพท์ใช้ได้ในระบบ GSM จูนโทรศัพท์กลับบ้านเพราะเป็นห่วงพ่อของเธอพร้อมกำชับไม่ให้ออกไปไหน

หลังจาก 2 สาว ไปนอนแล้ว ผมยังนั่งจดข้อมูลลงในสมุดเล็กๆ กลับไปจะได้ไปเขียนเรื่องราวให้มีความละเอียดมากที่สุด(ส้มฝากชาตจ์โทรศัพท์ก็ดูให้เธอด้วยครับ ว่าแล้วผมก็ชาตจ์บ้างดีกว่า)

เริ่มมีการเปิดคาราโอเกะที่โรงอาหาร(ส่วนใหญ่เป็นเพลงของศิลปินชาวใต้) ไม่นานนักเด็กมอแกนทั้งหนุ่มและสาวค่อยๆมานั่งที่โต๊ะไม้หน้าทีวี เรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย(ต้องลองนึกภาพดูครับ เป็นระเบียบ น่ารักจริงๆ) ต่างคนก็หัวเราะ ชอบใจ นี่คือวัฒนธรรมใหม่ๆที่เขาและเธอค่อยๆซึมซับลงไป ผมหวังว่าอย่างน้อยก็คงไม่เลวร้ายมากนัก ขอให้ชาวมอแกนคงความเป็นชาวมอแกนไว้ เพราะนี่คือชาวเลกลุ่มสุดท้ายในประเทศไทยที่ยังมีวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ผมถือว่าพวกเขาว่าเป็นกลุ่มบุคคลสำคัญของประเทศไทยเลยนะครับ

จากนั้นก็เริ่มเทศกาล Countdown ของที่นี่ นักท่องเที่ยวเริ่มออกมาเต้นตามจังหวะเพลง ชาวต่างชาติสูงโย่งก็มาเต้นกับเขาด้วย(ลองนึกภาพเวลาชาวต่างชาติเต้นแล้วกันครับ ผมว่าตลกนะครับ ไว้เจอกันผมจะทำให้ดู ฮ่าๆๆ)

ผมกลับมาที่เต๊นส์ รอคอยจนกระทั่งถึงเที่ยงคืน แม้อาจจะเหงาบ้าง(ก็คนรู้จักหลับกันหมดแล้วครับ) มีกลุ่มคนนั่งคุยกันหน้าเต๊นส์เป็นกลุ่มๆเต็มไปหมด ไม่นานนักก็มีกลุ่มคนรวมตัวอยู่กลางหาด จุดดอกไม้ไฟและปะทัด ค่อนข้างมีเสียงรบกวนคนอื่นๆบ้าง(แต่เอาเถอะครับ ให้เขาหน่อยครับ วันเดียวเอง รวมทั้งคนเมาที่ร้องเพลงไม่ได้เรื่องด้วย ฮ่าๆๆๆ)

ปีเก่าผ่านไปแล้ว-ปีใหม่และเรื่องดีๆกำลังจะเข้ามาแล้วครับ



1 มกราคม 2550

เช้านี้อากาศยังคงเย็นสบาย ข้าวเช้าของผมในวันนี้ คือ ข้าวไข่เจียวเพราะไม่มีอาหารตามสั่งในเช้านี้ เลยต้องสั่งกับข้าวที่เขามีไว้ให้อยู่แล้ว จากนั้นผมซื้อตั๋วเรือเพื่อไปดำน้ำในวันนี้ พร้อมกับเช่าชูชีพด้วย โปรแกรมจะไปที่อ่าวแม่ยาย หินแพ(หินกอง)และอ่าวเต่า

ด้านหน้าเต๊นส์ของผมมีสิ่งปฎิกูลจากเมื่อวานนี้ กลุ่มชาวต่างชาติ(เลว)กลุ่มหนึ่ง นั่งคุย Countdown กันแต่ดันทิ้งขวดเบียร์ แก้ว ขยะเต็มไปหมด(ไม่ยอมไปทิ้งอีก พวกนี้) เห็นแล้วก็ทนดูไม่ได้ครับ ผมต้องหยิบไปทิ้งขยะ ยอมเดินหลายรอบหน่อยเพราะขยะค่อนข้างเยอะ

เจอพี่นิพนธ์และพี่แฟน ผมเล่าเรื่องชาวต่างชาติให้ฟัง ซึ่งพวกเขาก็เห็นด้วยว่า พวกนี้ใช้ไม่ได้ ทำอะไรแล้วไม่รับผิดชอบ พี่นิพนธ์ถามผมว่า เช้านี้จะไปดำหน้ากับอุทยานใช่หรือไม่ ผมบอกว่าใช่ พี่นิพนธ์เสนอว่า

“อยากไปดำน้ำกับเพื่อนไหมล่ะ เดี๋ยวพี่จัดการให้” พี่นิพนธ์พูด

“ก็อยากครับ แต่ผมซื้อตั๋วเรือไปกับอุทยานแล้วน่ะครับ” ผมตอบ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จัดการให้ จะพาไปจุดดำน้ำใหม่ ชื่อว่า สิ้นคิด ” ว่าแล้ว พี่นิพนธ์ใช้วิทยุสื่อสารบอกลูกน้องว่า เช้านี้ผมจะไปดำน้ำกับซาบีน่าด้วย พอถึงเวลาก็ให้ผมมอบตั๋วเรือกับเจ้าหน้าที่อุทยานไปแต่ให้ไปขึ้นเรือของซาบีน่า

เราเดินมาที่จุด 200 เมตร ผมเจอคุณอานิรนามคนหนึ่ง(ลืมถามชื่อด้วยครับ)มาเที่ยวกันเป็นครอบครัว คุยกันจึงทราบว่า จะกลับกรุงเทพในวันนี้ช่วงบ่ายๆโดยเรือสปีดโบ๊ตแล้วจะไปเที่ยวเขื่อนรัชชประภาต่อ ที่สำคัญลูกสาวของแก น่ารักมากๆเลยครับ(มองมากเดี๋ยวคุณพ่อจะโกรธจนตาเขียวและจะแจกหมัดผมด้วย ฮ่าๆๆๆ)

เอาเป็นว่าผมได้ขึ้นเรือเพื่อไปดำน้ำกับลูกค้าของซาบีน่า(ในขณะที่ผมอาจเป็นเพียงคนเดียวบนเรือที่ไม่ได้มาแบบแพคเกจทัวร์ อาศัยว่าพอมีเส้นครับ ฮ่าๆๆ) เรือลำนี้มีเจ้าวอร์มและเจ้าแบคเป็น Staff เช้านี้เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ออกไปดำน้ำพร้อมกับจูนและส้มซึ่งเช้านี้ ก็เป็นการดำน้ำวันสุดท้ายของ 2 สาว เช่นกัน เพราะพวกเธอจะกลับกรุงเทพในตอนบ่าย นอกจากนี้บนเรือก็ยังมีกลุ่มของป้าอารมณ์(ครอบครัวมีชัย)ด้วยโดยมีหลานของป้าที่ชื่อว่า “น้องไทเกอร์”ซึ่งยังเด็ก ดูทุกคนจะเป็นห่วงมาก

“วอร์มๆ สิ้นคิดนี่อยู่ตรงไหนเหรอ” ผมถาม

“อยู่อ่าวแม่ยายน้อยครับ ที่เรียกว่าสิ้นคิดเพราะว่า เวลามีคลื่นลมแรงๆ มักจะมาดำน้ำกันที่จุดนี้ เหมือนกับการสั่งข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวไงครับ ที่สำคัญจุดนี้มีอะไรดูเยอะนะครับ บางจุดของที่นี่พังไป จนไม่มีอะไรดูแล้วครับ” เจ้าวอร์มกล่าวติดตลก



อ่าวแม่ยายน้อย

ในที่สุดผมก็มาถึงจุดดำน้ำใหม่ที่ชื่อว่า “สิ้นคิด” ระหว่างที่นักท่องเที่ยวแบบแพคเกจลงดำน้ำแบบสน๊อคเกิ้ล ผมเห็นข้อดีสำหรับการท่องเที่ยวแบบแพคเกจซึ่งผมมักจะมองข้ามไปแต่ผมคิดว่าสำคัญสำหรับคนอื่นๆครับ เพราะหากมาเอง เจ้าหน้าที่อุทยานจะไม่ได้ดูแลเรามากนักเวลาลงดำน้ำแต่หากมาแบบแพคเกจเจ้าหน้าที่ของทัวร์จะดูแลตั้งแต่ลงจากเรือตลอดจนพาไปดูว่าจุดไหนมีอะไรดูบ้าง(เรื่องความปลอดภัยไม่ต้องห่วงครับ เขามีเชือกให้เกาะไปด้วย)

จึงไม่ต้องแปลกใจครับว่าเหตุใดบางคนชอบการท่องเที่ยวแบบแพคเกจ บางคน(เช่นผม)ชอบท่องเที่ยวเองไม่พึ่งแพคเกจ ผมเห็นเจ้าแบคประกบป้าอารมณ์และน้องไทเกอร์ ส่วนส้มกับจูนก็ตามติดเจ้าวอร์มเลยครับ

วันนี้มีแดดและน้ำใสมากครับ ผมแหวกว่ายท่ามกลางฝูงปลา หายใจผ่านสน๊อคเกิ้ลอย่างมีความสุข ไม่นานนักปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) ก็นำร่างกายที่ตุ๊ยนุ้ยออกมาทักทายผม ต่อด้วยปลาปักเป้ายักษ์หรือปลาปักเป้าจุดดำ(Star Puffer)มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Arothron Stellatus ตัวใหญ่แบบนี้(ใหญ่จริงครับ) แต่ว่ายเร็วเป็นบ้า พอเจอผมก็รีบว่ายหนีไปอย่างรวดเร็ว

เจ้าปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray Eel) กำลังชูคออยู่ด้านล่าง ผมอยากเรียกใครซักคนให้มาดูบ้าง พอดีเจอหนุ่มสาวคู่หนึ่ง(ท่าทางพึ่งจีบกัน) ดูท่าทางพวกเขาก็พึงพอใจไม่น้อยเลย

“ไหนเขาบอกว่าตรงนี้มีปลาการ์ตูน อยากเจอจัง” หนุ่มสาวคู่นั้นบอก

“ไว้เจอแล้วผมจะเรียกครับ” ผมตอบอย่างยินดี(แยกเขี้ยวในใจ แฟนสวยนักนะ ฮึ่ม)

วาจาสิทธิ์จริงๆครับ ไม่นานนักผมก็เจอปลาการ์ตูนส้มขาว(Crown Anemonefish)และดอกไม้ทะเล(Sea Anemone) จึงเรียกให้พวกเขามาดูอีกครั้งพร้อมอธิบายด้วยว่า

“ตัวใหญ่เป็นตัวเมียนะครับส่วนตัวเล็กๆที่เห็นเป็นตัวผู้ทั้งหมดครับ” ผมอธิบายเล็กน้อย

“จริงเหรอคะ” สาวน้อยทำท่าสนใจ

ผมว่ายสำรวจต่อปล่อยให้หนุ่มสาวจู๋จี๋กันแหละดี เข้าไปยุ่งบ่อยๆ ฝ่ายชายอาจเกิดความหึงหวงก็ได้(ไม่ดีนะครับ ผู้หญิงมีล้นโลก กรุณาอย่าแย่งกัน)

ปะการังที่อ่าวแม่ยายน้อย ค่อนข้างมีลักษณะเป็นหย่อมๆสลับกับพื้นทรายโล่งๆ มีปะการังโต๊ะหรือปะการังแผ่นนอน(Coral Tabulate)และปะการังพุ่ม(Coral Submassive) ส่วนใหญ่ตามก้อนปะการัง ผมเจอเหล่าปลาสลิดหินหลายชนิด เช่น ปลาสลิดหินสามจุด(Three-Spot Dascyllus) ปลาสลิดหินดำหางส้ม(Philippine Damsel) ปลาสลิดหินม้าลาย(Humbug Dascyllus) เมื่อใดมีแนวปะการัง มีดอกไม้ทะเล สลิดหินมักจะเริงร่าเสมอครับ

เทวดาพึ่งว่ายผ่านผมไป เทวดาองค์นี้มีสีสันสวยงาม มีชื่อว่า ปลาสินสมุทรแว่นเหลือง(Blue-Face Angelfish)พบเฉพาะหมู่เกาะไกลฝั่งเท่านั้น หากเทียบกับเทวดาชนิดอื่น ถือว่าแว่นเหลืองพบได้น้อยครับเพราะถูกจับไปเป็นปลาสวยงามก็ตั้งเยอะ จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดผมถึงตื้นเต้นเพราะครั้งแรกที่เจอกันก็ที่เกาะสุรินทร์นี่แหละครับ

ผละสายตาจากเทวดาก็เป็นผีเสื้อแห่งท้องทะเล เริ่มจากปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) ปลาผีเสื้อหลังบั้ง(Saddleback Butterflyfish) ปลาผีเสื้อคิ้วดำ(Spotnape Butterflyfish) ปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish) ปลาผีเสื้อลายทแยงครีบดำ(Indian Vagabond Butterflyfish)

จากนั้นเป็นปลาวัวลายส้ม(Orange Triggerfish) ที่แสนจะดูอุ้ยอ้ายแต่จริงๆไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นครับเพราะว่ายน้ำเร็วมาก อีกตัว คือ ปลาขี้ตังเบ็ดหนามส้ม(Orangespine Unicornfish)

นอกนั้นเป็นปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์(Moon Wrase) ปลานกแก้ว(Parrot Fish) ปลานกขุนทองอกแดง(Redbreast Wrasse) ปลาพยาบาล(Cleaner Wrasse) ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol)(อย่าลืมนะครับว่า ชื่อคือปลาผีเสื้อแต่จริงๆไม่ได้เป็นปลาผีเสื้อนะครับ) ดาวมงกุฎหนาม(Crown-of-Thorns)

ขึ้นมาบนเรือ ผมอุตส่าห์อวดจูนกับส้มว่าเจอปลามอเรย์และปลาการ์ตูนมาด้วย(สำหรับดำน้ำตื้นก็ไม่ได้เห็นได้ง่ายๆนะครับ) พวกเธอบ่นเสียดายว่าไม่ได้เห็นแต่พวกเธอบอกว่าน้องวอร์มพาไปดูปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ(Harlequin Ghost Pipefish)(ตอนแรกเธอบอกปลาไม้จิ้มฟันครับ ผมอ๋อทันทีว่าคือตัวใดจากการถามรูปร่างของปลา) และปลาปักเป้ากล่องเหลือง(Yellow Box Fish) ผมอึ้งและบอกพวกเธอว่าไม่ต้องเสียดายไปเพราะที่พวกเธอเห็นนั้น ยากแสนยากแม้แต่การดำน้ำแบบ Scuba ก็ยังไม่ได้เห็นได้ง่ายๆ การเห็นจากการดำน้ำตื้นจึงถือว่าสุดยอดและโชคดีมาก

เรือของซาบีน่าแล่นกลับจุด 200 เมตร มีการแจกแตงโมให้ทานด้วย ที่ดำแค่จุดเดียวเป็นเพราะว่าซาบีน่าอยากให้ลูกทัวร์มีเวลาจัดของ ทานข้าว ก่อนที่จะเดินทางกลับฝั่งคุระบุรี สำหรับผมแม้จะดำแค่จุดเดียวก็ไม่รู้สึกเสียดายเลยครับเพราะหากผมมาดำน้ำกับอุทยานคงไม่มีโอกาสได้มาจุดดำน้ำใหม่ที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ น้อยคนนักที่จะได้มา

0 Comments:

Post a Comment

<< Home