เกาะสุรินทร์….สุดยอดระบบนิเวศทางทะเล(2)
ช่วงบ่าย จูนกับส้มจะไปดำน้ำตามโปรแกรมของซาบีน่า ส่วนผมเลือกที่จะเดินตามเส้นทางเดิมที่เคยมาทุกๆครั้งในวันแรก คือ การเดินป่ากับเส้นทางศึกษาธรรมชาติไปอ่าวช่องขาด
หลังจากเปลี่ยนกระเป๋าที่เต๊นส์แล้ว ผมเดินมาย่อยอาหาร ถ่ายรูปอ่าวไม้งามที่ในเวลานี้ น้ำลดมาก เห็นเศษหินและปะการังก้อนขนาดใหญ่ โผล่มาเต็มไปหมด ปะการังจำนวนมากหายไป ผมคิดในใจว่า หากในเวลานั้นไม่มีปะการังที่เป็นกันชนหน้าหาด นักท่องเที่ยวจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ
ด้านข้างโรงอาหาร มีบ้านที่สร้างใหม่ สอบถามดูจึงทราบว่า นี่คือ สถานที่จัดนิทรรศการนั่นเอง(เหมือนที่อ่าวช่องขาดครับ)
ไม่ไกลนักมีป้ายเตือน “เส้นทางหนีคลื่นยักษ์” เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ทราบว่าหากเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์อีกครั้ง จะได้ทราบเส้นทางหนีภัย
ผมเดินออกไปบริเวณ จุด200 เมตรอันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางศึกษาธรรมชาติ พบหนุ่มสาวคู่หนึ่ง(ชื่อพี่หมึกกับพี่ออมครับ) เมื่อสอบถามทราบว่าจะไปเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติเช่นกัน ผมจึงอาสาที่จะพาไป ในฐานะที่มาหลายครั้งแล้ว
เส้นทางเดิน ถูกใบไม้กลบจนผมเกือบจำไม่ได้ ต้องเดินกลับไป-มาหลายครั้งกว่าจะหาทางเข้าเจอ(เกือบเสียฟอร์มแล้ว) โดยเส้นทางนี้ มีระยะทาง 2 กิโลเมตร
จากสายตาที่แหลมคมของผม คู่นี้ คงอยู่ในช่วงกำลังจีบกัน ผมคิดในใจว่า คิดถูกแล้วพี่ที่มาสาวมาสวีทที่นี่ โรแมนติคมาก หาดทราย สายลม สองเรา ดำน้ำ ดูดาว(อันหลังนี่เพิ่มให้ครับ)
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ยังคงมีเสน่ห์อยู่เสมอ บรรยากาศในการเดินผ่านเส้นทางเล็กๆ ติดกับหุบเขา ด้านขวามีวิวที่สวยงาม น้ำทะเลที่นิ่ง สงบ ทำให้ผมต้องหยุดถ่ายภาพบ่อยครั้ง
เรามาถึงอ่าวกระทิง ผมเปลี่ยนจากการเดินบนเส้นทาง ลงมาเดินที่ชายหาด ทรายที่ละเอียด ขาวสะอาดของอ่าวกระทิงบวกกับน้ำทะเลที่ใสสะอาด ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องลงมาทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นขาไปหรือขากลับ
ที่นี่นอกจากจะมีเหล่าปูเสฉวนและเหล่าปูลมที่พร้อมจะเดินขบวนพาเหรดออกมาให้ถ่ายรูปกันแล้ว(ใช้ฝีมือในการถ่ายให้ได้ก็แล้วกันครับ) ก็ยังมีต้นกระทิงขนาดใหญ่(เขาว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วย) ผมรู้สึกว่าต้นกระทิงคราวนี้เตี้ยลงนะ(หรือผมอาจจะสูงขึ้นกว่าคราวก่อนก็เป็นไปได้ครับ)
เมื่อมองเห็นอ่าวช่องขาดอยู่ไม่ไกล ผมออกมาถ่ายรูปในมุมที่คุ้นเคย เห็นความเปลี่ยนไปของอ่าว ตรงกลางมีป้ายปักไว้ เหมือนจะเตือนอะไรซักอย่างด้วยครับ
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงอ่าวช่องขาด มีเต๊นส์ตั้งเรียงรายเหมือนเคย ผมเดินออกมาดูป้ายที่ปักไว้ เขียนว่า “ประกาศ อันตราย เนื่องจากบริเวณร่องน้ำ ขณะน้ำขึ้นลง จะมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวและน้ำหมุน ดังนั้นจึงห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำบริเวณดังกล่าว” จึงตอบคำถามได้ดีว่า บริเวณร่องน้ำที่สมัยก่อน พวกเรามาดำดูปะการังกัน บัดนี้ห้ามลงไปว่ายน้ำแล้วครับ
ผมเดินเข้ามาบริเวณภายในที่ทำการของอุทยานและหาที่นั่งพักหลังจากเมื่อยล้ากับการเดินทาง พี่หมึกเลี้ยงน้ำอัดลมผมด้วย(จะไม่เอาก็ไม่ได้ครับ แกซื้อมาให้แล้ว) ที่นี่มีบริการอินเตอร์เน็ตแล้วในอัตรา ครึ่งชั่วโมง 60 บาท
ผมสนใจเสื้อสวยๆในร้านขายของที่ระลึก เลยดูเล็กน้อย(ลายที่อยากได้ แต่ไม่มีเบอร์ใหญ่ครับ) ผมเดินออกไปถ่ายรูปบริเวณหาด ซึ่งในตอนนี้จะมีสะพานที่สร้างใหม่ไว้เป็นที่จอดเรือ(สมัยก่อนหน้าหาดจะมีเรือจอดเรียงรายไปหมด จะมีคราบน้ำมันด้วย) ผมว่าดีตรงที่ว่าหน้าหาดสะอาดขึ้นมาก สามารถลงเล่นน้ำได้
อาคารนิทรรศการที่พังทลายเพราะคลื่นสึนามิ ตอนนี้ได้ถูกซ่อมแซมใหม่แล้ว มีโปสเตอร์บันทึกความทรงจำของอ่าวช่องขาดก่อนคลื่นยักษ์มาเยือน มีภาพแสดงถึงสัตว์ทะเลที่นักท่องเที่ยวจะพบที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น ปะการังอ่อน ฟองน้ำ ปลาสลิดหิน ปลาสิงโต ปลากะรัง(ปลาเก๋า) ปลากะพง ปลาไหลมอเรย์ ปลานกแก้ว ปลาแพะ เม่นทะเล ปลาจิ้มฟันจระเข้ ปลาผีเสื้อ ปลานกขุนทอง หอยมือเสือ ปลากระเบน ปลิงทะเล ปลาการ์ตูน เป็นต้น
ขากลับผมสวนกับกลุ่มสาวๆ คุ้นๆหน้าว่าเจอที่โรงอาหารเมื่อตอนกลางวัน หนึ่งในสมาชิกถามผมว่า
“อีกไกลไหมคะ”
“ไม่ไกลครับ.......แต่จริงๆก็ไกลนะครับ” ผมตอบ เพราะจะว่าไป สำหรับสาวๆ บางคนมันก็ค่อนข้างไกลนะ
ผมกลับมาที่เต๊นส์ (ก่อนหน้านั้นผมได้มาม่าแล้วครับ ติดอยู่ที่คุณป้านั่นเอง) จากนั้นผม เปลี่ยนชุด คว้าหน้ากากและท่อหายใจ ลงไปที่หน้าหาดเพื่อสำรวจปะการังและสัตว์ทะเล น้ำเย็นจริงๆครับ
จากการสำรวจ ผมพบสิ่งที่คล้ายแมงกระพรุนบริเวณพื้นทราย(น่าจะใช่นะครับ) ปลาแพะ เป็นต้น ส่วนปะการังไม่มีเลยครับ คงต้องว่ายออกไปให้ไกลกว่านี้แต่ผมไม่มีชูชีพ ค่อนข้างเสี่ยง พอแค่นี้ดีกว่าครับ
ขึ้นมาอาบน้ำ สั่นสะท้านไปทั้งตัว(จะหาน้ำอุ่นอาบคงยากครับ) ผมมากินข้าวกับจูนและส้มพร้อมกับหนังสือปลาทะเลหลายเล่มและแผ่นปลา
2 สาว ดูตื่นเต้นมาก ต่างก็บอกผมว่าได้เห็นอะไรๆมาบ้างในวันนี้ บางตัวที่มีผมก็อ๋อ ถูกครับ บางตัวไม่มีแน่ๆ ผมก็ว่า ไม่น่าจะใช่นะครับ(เธอบอกอีกว่า วันนี้ไปดำน้ำมาที่อ่าวสุเทพ เกาะมังกรและอ่าวไม้งาม บางจุดน้ำค่อนข้างขุ่น บางจุดมีแมงกระพรุน และเจอปลาอะไรอีกมากที่เธอไม่รู้จัก)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องยอมรับว่า พวกเธอดูจะมีความสุขมาก เช่นกันครับ พวกเธอก็ทำให้การเดินทางตามลำพังของผม คลายความเหงาลงไปเยอะเลยครับ
ผมพยายามติดต่อพี่นิพนธ์ให้ได้ เพราอยากจะคุยเกี่ยวกับการดำแบบ Scuba ในวันรุ่งขึ้น จึงขอร้องเจ้าหน้าที่ว่า ถ้าเจอพี่นิพนธ์กรุณาเรียกผมด้วยนะครับ
ไม่นานนัก สาววัยกลางคน นามว่า พี่นิด ได้เข้ามาคุยกับผม ผมบอกถึงความประสงค์ว่า ถ้าเป็นไปได้ อยากดำ 2 ไดฟ์ในช่วงเช้าเพื่อที่ในช่วงบ่าย จะได้ดำ Snorkel ต่อ วันต่อมาก็ดำแบบ Snorkel ทั้งวัน วันสุดท้ายก็ได้ดำในช่วงเช้า ทำให้ผมสามารถดำน้ำแบบ Snorkel ครบทั้งโปรแกรม(ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไรครับ) (อยากดำน้ำให้คุ้มที่สุดครับ)
จากนั้น พี่นิพนธ์ก็มาคุยด้วยตนเอง บอกผมว่าพรุ่งนี้เช้าให้เจอกันประมาณ 8 โมงเช้า(ทานอาหาร 7 โมงเช้า) จุดดำน้ำ อาจจะเป็นแหลมแม่ยายและร่องตอรินลา(จุดไหนก็น่าตื่นเต้นทั้งนั้นครับ)
จูนและส้มแยกย้ายกันไปพักผ่อน ผมเห็นว่ายังไม่ดึกมาก จึงใช้เวลาในการเขียนเรื่องราว ทำ Short Note ไว้ ได้ยินโต๊ะข้างๆคุยกันแต่เรื่องสัตว์ทะเล ก็รู้สึกยินดีครับ บางคนก็เข้ามาขอยืมหนังสือของผมไปอ่าน เป็นการสร้างมิตรภาพใหม่ๆไปโดยไม่รู้ตัว
ก่อนนอน ผมนำมาม่าแบ่งไปให้จูนและส้มเพราะได้ยินเธอบ่นว่าถ้าดึกๆหิวจะทานอะไร?(สายตาก็สั้น มืดก็มืด ยังริอาจจะเอาของไปให้สาว เกือบทักผิดเต๊นส์แล้วไหมล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ)
คืนแรกบนเกาะที่รัก ผมนอนกางแขน กางขาในเต๊นส์อุทยานที่ค่อนข้างใหญ่ นอนหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน มีความสุขมากครับ ไม่รู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย
31 ธันวาคม 2549
นอนหลับสบายมากๆ ผมตื่นมาถ่ายรูปบรรยากาศหน้าอ่าวไม้งาม เช้าวันนี้น้ำค่อนข้างนิ่ง เงียบสงบดีจริงๆ ผมจัดอุปกรณ์ลงกระเป๋า สำหรับร่างกายแล้วเป็นธรรมเนียมว่า หากวันไหนออกไปดำน้ำผมไม่เคยอาบน้ำตอนเช้าเลย(เดี๋ยวก็ลงทะเลแล้วครับ จะรักษาความสะอาดอะไรนักหนา ฮ่าๆๆ )
ผมเดินไปโรงอาหารเจอคุณป้าอีกครั้ง(ที่ติดรถมาลงท่าเรือ) เธอชื่อ ป้าอารมณ์ พาพี่น้อง ลูกๆหลานๆมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช มาเที่ยวเกาะสุรินทร์เป็นครั้งแรก(ครอบครัว มีชัย) คุณป้าบอกว่าเห็นหลานๆลงเล่นน้ำก็มีความสุข แกบอกว่าส่วนตัวไม่กล้าลงน้ำเพราะกลัว คุณป้ายังบอกอีกว่าเธออาจแก่เกินไปแล้ว ผมเลยบอกไปว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเพราะสวมชูชีพยังไงก็ปลอดภัยครับ
เช้านี้อาหารของผม คือ มาม่า(ไม่กล้ากินอะไรเยอะ กลัวให้อาหารปลาครับ) จากนั้นผมเดินไปหาพี่นิดและพี่นิพนธ์ซึ่งทั้ง 2 คนนัดหมายเวลาผมอีกครั้งหนึ่ง(ดูท่าทาง ผมคงไม่ได้ดำสน๊อคเกิ้ลในวันนี้แล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรถือเป็นประสบการณ์ใหม่ๆครับ)
เดินไปหา 2 สาวดีกว่า จูนและส้มกำลังจัดข้าวของอยู่ในเต๊นส์ ก่อนที่จะออกมารับประทานอาหารเช้า ใกล้โรงอาหารในตอนนี้มีชาวบ้านมอแกนนำสินค้าออกมาขาย ผมค่อนข้างจะสนใจเรือไม้เป็นพิเศษ(เพื่อนฝากซื้อด้วยครับ) เด็กๆมอแกนน่ารัก ค่อนข้างจะยิ้มง่ายมาก เจอรอยยิ้มของผมเป็นอันเสร็จ อายม้วนทุกราย ฮ่าๆๆๆ(วันนี้ หัวงูลาป่วยไม่ได้ทำงานครับ)
ตอนแรกว่าจะนั่งเป็นเพื่อนจูนและส้มเฉยๆแต่ข้าวต้มหมูก็ช่างเย้ายวนอีกทั้ง 2 สาวก็คะยั้นคะยอให้ผมทานเพราะมีอีกมาก ก็เลยไม่เกรงใจล่ะครับ อร่อยมากทีเดียว
ผมซื้อเรือจากคุณป้าชาวมอแกน ดูแกพยายามพูดให้ผมเข้าใจ แม้บางคำผมจะฟังไม่รู้เรื่องก็ตามแต่ก็รู้สึกได้ว่าแกจะพยายามไม่พูดคำยากๆออกมา
ตอนนี้เริ่มมีคนมารุมล้อม มาเลือกซื้อสินค้าเต็มไปหมด ผมเห็นฝรั่งคู่รักมาดเซอร์ 2 คน สวมหมวกแบบแฟนตาซีกำลังดูเรือที่พึ่งซื้อมา(ค่อนข้างมีแนวมาก) อดไม่ได้ที่จะต้องแอบถ่ายภาพพวกเขามาครับ
กลับไปเก็บเรือที่เต๊นส์ ก่อนเปลี่ยน Wet suit ยาว ที่แบกมาจากกรุงเทพ(ซื้อมาทั้งทีต้องใช้ประโยชน์ครับ) เมื่อพร้อมแล้วก็เดินไปหาพี่นิพนธ์ แกให้ผมลอง BCD และ Fin ลองจนเข้าที่ก็ขนของไปขึ้นเรือที่หน้าหาดไม้งาม
ที่นี่เรือไม้ของซาบีน่าได้มารอผมอยู่แล้ว วันนี้จะมีแขกออกไปดำน้ำแบบ Scuba 2 คน(รวมผมด้วย) นอกจากพี่แฟน หนุ่มผิวเข้มซึ่งเป็น Staff แล้ว ก็ยังมีพี่คนขับเรืออีก 1 คนและพี่นิพนธ์
เรือหางยาวค่อยๆแล่นออกไปอย่างช้าๆ มุ่งหน้าสู่เกาะสตอร์ค เกาะที่อยู่ไกลที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติ(ถึงแม้ว่ากองหินริเชลิวจะถูกรวมให้อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์แล้วแต่นั่นเป็นกองหินครับไม่ใช่เกาะ) สตอร์คเป็นจุดดำน้ำที่คนมักจะเจอฉลามวาฬ (Whale Shark)กระเบนราหู(Manta Ray) ปลาสาก(Baracuda)และปลากลางน้ำแปลกๆ บ่อยครั้ง คราวก่อนผมแค่มาดำสน็อคเกิ้ลยังเจอฝูงปลาสาก(เห็นฟันคมมาก)ในระยะค่อนข้างประชิดและยังมีเต่ากระและปลาไหลมอเรย์อีก วันนี้น้ำค่อนข้างนิ่ง ท่าทางผมจะโชคดีซะแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ
ชายหนุ่มวัยกลางคนที่มาหลังสุดท่าทางอารมณ์ดีนั้น ชื่อว่า พี่หมู มาจากกรุงเทพ จะกลับบ่ายวันนี้แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ต้องมาดำต่อในวันนี้(เมื่อวานพี่หมูออกมาดำ Scuba แล้ว)เพราะว่า ช่วงบ่ายเราจะไปดำน้ำที่ร่องตอรินลากัน(ตอรินลาเป็นร่องน้ำ ขึ้นชื่อว่าเป็นร่องน้ำมักจะมีปลาแปลกๆมาให้ยลโฉมอยู่เสมอ เคยมีคนเจอกระเบนราหู แค่ดำน้ำสน็อคเกิ้ลก็เห็นแล้ว) เมื่อวานนี้พี่หมูเจอปลาโรนัน(White-Spotted Guitarfish)นอนอยู่บนพื้นทรายที่นี่ด้วย(พูดจบก็บอกให้พี่นิพนธ์โชว์รูปในกล้องดิจิตอลที่ถ่ายไว้ได้) ผมตื่นเต้นมากเพราะโรนันเป็นปลาหายาก มักกินสัตว์หน้าดิน จนถูกอวนลากไปบ่อยๆ เราจึงเห็นโรนันได้น้อยลง ผมกล้าพูดว่านักดำน้ำสามารถเห็นฉลามวาฬและกระเบนราหูง่ายกว่าโรนันเสียอีก(ถ้าเป็นโรนินยิ่งแล้วใหญ่ อันนั้นยากมหายากครับ)
“ด้านโน้น คือ เบอร์ม่าแบงค์ จุดดำน้ำที่มีชื่อเสียง ในทะเลพม่า ที่มีคนพบฉลามบ่อยๆนั่นแหละ” พี่นิพนธ์ชี้ให้ผมเห็นถึงเกาะๆหนึ่ง ชื่อนี้ผมได้ยินมานานแล้ว จากหนังสือท่องเที่ยว
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกครับเพราะจากจุดที่ผมอยู่ นั่งเรือออกไปไม่ไกลก็เป็นทะเลพม่าแล้ว มักจะมีเรือต่างสัญชาติแอบลักลอบเข้ามาจับปลาบ่อยๆ แม้ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์จะมีการระมัดระวังในเรื่องนี้แล้วแต่ก็ยังมีลักลอบเข้ามาอยู่ดี(มักจะมาตอนเราไม่ได้สอดส่องนั่นแหละครับ) ปลาการ์ตูนส้มขาว ขายตัวละ 20 บาท โชคดีว่าปลาการ์ตูนชนิดอื่นๆยังไม่ได้รับความนิยมเท่า เลยยังเห็นได้มากที่เกาะสุรินทร์ ปลาสินสมุทรขายตัวละ 5,000 บาท(ฟังดูแล้วเศร้าใจไหมเอ่ย ผมยังรู้สึกเศร้าเลยครับ คราวหน้าจะเหลือปลาอะไรให้ผมดูบ้างเนี่ย )
สำหรับโครงการอัปยศบ้านทาร์ซาน(เป็นโครงการจากรัฐบาลที่แล้วครับ) ที่ผมเรียกว่าอัปยศเพราะว่า เขาจะสร้างบ้านพักบริเวณอ่าวกระทิง อ่าวที่ผมชอบมากมีปูลม ปูเสฉวน มากมาย เหยียบบนผืนทรายทีไรแสนจะมีความสุข(แว่วๆมาว่าโครงการนี้ยังไม่เลิกด้วยครับ มีแนวโน้มจะสร้างต่อ) ผมภาวนาขอให้โครงการนี้ล้มเลิก อย่าสร้างบ้านพักที่นั่นเลยครับ อ่าวกระทิงตอนนี้ก็สวยงามดีอยู่แล้ว อย่าสร้างอะไรให้มันแปดเปื้อนเลยครับ
ส่วนสะพานท่าเทียบเรือที่สร้างขึ้นบริเวณอ่าวช่องขาด(ที่ผมเดินไปเมื่อวานนั่นแหละครับ) เห็นว่าใช้งบในการสร้างตั้ง 150 ล้าน แน่ะ(จริงๆน่าจะน้อยกว่านั้น) ถ้าผมเป็น ค.ต.ส. ผมจะปราบคนโกงให้เรียบเลย!!!
อีกเรื่อง คือ เสื้อสวยๆจากร้านขายของที่ระลึก มีคนเล่าว่าหัวหน้าอุทยานแห่งชาติคนปัจจุบันทำเสื้อมาขายเอง รายได้แทนที่จะได้เข้าอุทยานก็เลยไม่ได้เข้า(ผมไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริงก็น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งครับ)
พี่หมูบอกว่า เคยไปดำน้ำที่สิปาดัน ที่นั่นเขามีการจัดการที่ดีมากๆ รักษาทรัพยากรธรรมชาติ อยากให้บ้านเราทำแบบนั้นบ้าง(คงเคยได้ยินว่า มีรีสอรท์เอกชน ที่ต้องย้ายออกไปตั้งอีกที่โดยคำสั่งจากรัฐบาลเพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของเขามีความจริงจังในการแก้ปัญหามากครับ)
พี่นิพนธ์ชักชวนผมให้มาเรียน Skill กับแก(พี่นิพนธ์มีลูกศิษย์หลายคนมาจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ หลายคนลงมาช่วยเก็บขยะ ตัดอวนโดยเฉพาะ ที่สำคัญพวกเขาเหล่านั้นออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวเองทั้งหมด) หากมีเวลาว่างผมอยากลงมาช่วยตัดอวน เก็บขยะบ้างซึ่งผมก็ยินดีครับ เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำอยู่แล้ว(ปะการังที่เกาะสุรินทร์ บางจุดค่อนข้างตื้นครับ หากควบคุมร่างกายไม่ดี อาจทำให้ปะการังเสียหายได้)
เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งคนอย่างผม เมื่อเรือมาถึงเกาะสตอร์ค น้ำกลับปั่นป่วน มีคลื่นรุนแรง (ผมต้องประกอบแท๊งค์บนเรือหางยาวที่โคลงเคลงไปมา ค่อนข้างยากลำบากมากครับ ต้องให้พี่แฟนช่วยประกอบ) พี่นิพนธ์ขอเวลาซักครู่เพื่อลงไปดูน้ำบริเวณนี้ว่าพอจะลงได้ไหม พูดจบแกก็โดดตูมลงไป
“ลงไม่ได้แน่ อย่าลงเลยครับ ลงไปก็ไม่เห็นอะไร ผมเห็นน้ำด้านล่างเป็นวุ้นเลยครับ” พี่นิพนธ์บอก
ด้านล่างของเกาะสตอร์คในเวลานี้ น้ำที่เป็นวุ้นหมายถึง กระแสน้ำเย็นจนเห็นได้ชัดว่าในแต่ละชั้นของน้ำมีระดับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ระดับความใสของน้ำอาจแค่ 1- 2 เมตร(แบบพัทยาตอนขุ่นมากๆเลยล่ะครับ)
เรือเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อ่าวแม่ยายแทน แม้ผมจะผิดหวังอยู่บ้างแต่ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆครับ ของแบบนี้มันเป็นเรื่องของโชคชะตา(ซึ่งผมก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้วด้วย) คิดในแง่ดี ก็ดีกว่าไม่ได้ดำน้ำแล้วกันครับ
Dive 1 ทักทายปลาผีเสื้อรูปไข่
เรือมาถึงบริเวณอ่าวแม่ยาย น้ำนิ่งมาก(นิ่งแบบตอนออกมาเลยครับ) ผมเล่าให้พี่นิพนธ์ฟังว่า ผมมีปัญหามาแล้วครั้งหนึ่งตอนไปดำน้ำครั้งล่าสุดที่ชุมพรคาบาน่า Wet Suit ยาวทำให้ตะกั่วที่เคยใช้ในระดับ 5 ก้อน แต่ไม่สามารถทำให้ร่างหายของผมจมลงไปด้านล่างได้ ทำให้หลงฝูง(หลงกลุ่มครับ คนนะไม่ใช่วัว) (สมัยก่อนที่ใช้ Wet Suit สั้น ผมใช้แค่ 4 ก้อนเท่านั้นเอง)
“ใช้ 6 ก้อนแล้วกัน แฟน ใส่ตะกั่วใน BCD ให้น้องอีก 2 ก้อนหน่อยครับ” พี่นิพนธ์พูด
เป็นอันว่า 6 ก้อนสำหรับผมเพียงพอที่จะทำให้ ดำน้ำอย่างมีความสุข พี่นิพนธ์บอกผมให้ดูพี่แฟนไว้ ส่วนพี่หมูจะอยู่กับพี่นิพนธ์(แกว่าพี่แฟนดำน้ำเร็วครับ) และนี่จะเป็นการทดสอบว่านาฬิกาที่พี่ส้วมให้ยืมมาจะสามารถกันน้ำได้หรือไม่ ผมทำท่า Back Row เสียงน้ำดัง “ตูม”
ด้านล่างผมเจอเหล่าปลาสลิดหินที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของแนวปะการัง เช่น ปลาสลิดหินกลมสีทอง(Golden Damsel) ปลาสลิดหินดำหางส้ม(Philippine Damsel) ปลาสลิดหินเอวดำ(Dick ‘ s Damsel)
จากนั้นเป็นดงปะการังผักกาดหรือปะการังแผ่นตั้ง(Coral Foliose)ซึ่งมีสีทอง สูงเป็นชั้นๆ ผมไม่เคยเห็นที่ไหนเลย นอกจากที่นี่ ดูไปก็ตะลึงกับความงดงามไปครับ
น้ำค่อนข้างจะเย็นมาก ขนาดผมใส่ Wet Suit ยาว ยังรู้สึกถึงความเย็นที่เข้ามาปะทะใบหน้า เป็นอย่างที่ใครๆว่าไว้จริงๆครับว่าปีนี้น้ำเย็นมาก(เป็นผลมาจากปรากฎการณ์ลานิลญ่า)
ดูเพลินมากก็ไม่ได้ครับเพราะน้ำก็ไม่ได้ใสกิ๊กแบบสิมิลันหันไปยังเห็นพี่หมู หันไปอีกทีไม่เจอแล้ว ผมจึงต้องตามพี่แฟนต่อไปครับ(พี่หมูแกมีชั่วโมงบินสูงกว่าผม เพราะฉะนั้นห่วงตัวเองก่อนเถอะครับ ไม่งั้นอาจต้องอยู่คนเดียว ฮ่าๆๆ)
สินสมุทรสุดเท่ออกมาโชว์ตัวครับ พวกเขาคือ ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ์(Emperor Angelfish) พบได้ในอันดามันบ่อยกว่าอ่าวไทย(บริเวณที่มีแนวปะการังที่สมบูรณ์ด้วยครับ) จากนั้นเป็นปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) ว่ายแบบตุ๊ยนุ้ย ช้าๆ บางตัวแอบอยู่ตามซอกแต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของผมไปได้ครับ
ด้านหน้ามีปะการังเขากวาง(Coral Branching) ใกล้ๆมีดาวมงกุฎหนาม(Crown-of-Thorns) มีสีน้ำเงินซึ่งกำลังกัดกินปะการังอยู่ ดาวมงกุฎหนามมักจะตกเป็นจำเลยสังคมอยู่เสมอๆ ซึ่งจริงๆพวกเขามีข้อดีเหมือนกัน มนุษย์ซิครับ ร้ายกว่าพวกเขาตั้งเยอะ
ต่อมาเป็นคิวของปลาผีเสื้อ เช่น ปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish) ตัวป้อมๆรูปร่างเหมือนไข่เลยทำให้จดจำได้ง่ายมาก เป็นปลาผีเสื้อชนิดที่หาดูไม่ง่าย แต่พบได้บ่อยที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์(เยอะจริงครับ) อีกชนิด คือ ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-Banded Butterflyfish) ซึ่งพบได้ในทุกๆสภาพของน้ำ
ฝูงปลาข้างเหลืองว่ายผ่านไป ผมเห็นปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol)(ชื่อไทยใช่แต่จริงๆเขาไม่ใช่ปลาผีเสื้อนะครับ) เป็นปลาในครอบครัว Zanclidae ทั่วโลกมีอยู่ชนิดเดียวเป็นญาติสนิทกับปลาขี้ตังเบ็ดและปลาสลิดทะเล จากนั้นเป็นปลาโนรีหน้าหัก(Phantom Bannerfish) ปลาที่อยู่ในครอบครัวเดียวกับปลาผีเสื้อ คือ Chaetodontidae
ผมเจออุปกรณ์ที่อยู่ผิดที่ผิดเวลาอย่างคีม ตกอยู่บนปะการัง ใกล้ๆมีฟองน้ำครก(Barrel Sponge)อยู่ด้วย พยายามที่จะหยิบมันขึ้นมาแต่มันติดแน่นมาก แถมมีเพรียงเกาะเต็มไปหมด ขืนดื้อดึงเดี๋ยวมือผมเองนั่นแหละที่จะโชกเลือด เลยต้องปล่อยไว้ รอผู้ใจบุญมาช่วยเก็บ
ด้านหน้ามีท่อหายใจ(Snorkel)ตกอยู่(ไม่ใช่ของผมแน่นอนครับ ตกครั้งเดียวพอแล้วครับ) พี่แฟนจึงเก็บมันขึ้นมา จากนั้นแกยื่นสเล้ดบอรด์มาให้ผมดู เขียนว่าทำ Safty Stop ที่ 5 เมตร 2 นาที(แบบนี้ก็เจ๋งอีกแบบครับ ไม่ต้องทำสัญญาณใต้น้ำ) ว่าแต่พี่แฟนแกดำเร็วจริงๆครับ ผมละสายตาจากแกไม่ได้เลยแม้แต่นาทีเดียว ไม่งั้นซวยแน่ครับ ฮ่าๆๆๆๆ
เยี่ยมครับ นาฬิกาของพี่ส้วมใช้ได้ดี น้ำไม่เข้า แถมผมสามารถดูเวลาในการทำ Safty Stop ได้เอง ไม่ต้องคอยดูคนข้างๆ อีกต่อไป(การันตีได้ว่า ผมทำครบ 5 นาทีครับ) มีนาฬิกาใต้น้ำมันดีแบบนี้นี่เอง ต้องหาซื้อให้ได้(อาจเป็น Dive Computer ไปเลยก็เป็นได้ครับ)
ขึ้นมาด้านบนจึงทราบว่าตะกั่วของผมหลุดไป 1 ก้อน(ดูจากรอยยิ้มที่เป็นมิตรของพี่ๆ ท่าทางผมคงไม่ต้องเสียเงินค่าตะกั่วแล้วครับ ฮ่าๆๆๆ)
พี่หมูกับพี่นิพนธ์เล่าให้ผมฟังว่าเจอปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish)และปลาค้างคาว(Pinnate Batfish) พี่นิพนธ์บอกอีกว่าเจอปลาค้างคาวในวัยเด็ก ซึ่งเห็นได้ยากมากอีกด้วย(โชคดีมาก) นอกจากนี้ก้ยังมีปะการังอ่อน(Soft Coral)ในกระป๋องเบียร์ด้วยครับ(จะเหมือนปูเสฉวนแก้วที่สิมิลันหรือเปล่าหนอ) พี่นิพนธ์บอกอีกว่าปะการังอ่อนที่นี่สวยคนละแบบกับสิมิลันผมชักอยากเห็นเสียแล้วซิ แต่ยังไงฟังไปก็อิจฉาไปครับ
ที่จุด 200 เมตร เมื่อน้ำลดลงต่ำ เราต้องเดินลุยน้ำเพื่อเข้าไปที่หาด ต้องหลบเลี่ยงปะการังและดอกไม้ทะเล บางที่ยังเป็นต้นๆเล็กๆอยู่เลยครับ(จำได้ว่าสีเหลือง) ซึ่งถ้าในอนาคตมีการสร้างสะพานขึ้น คงจะช่วยรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้มากกว่านี้ครับ
หลังจากเปลี่ยนกระเป๋าที่เต๊นส์แล้ว ผมเดินมาย่อยอาหาร ถ่ายรูปอ่าวไม้งามที่ในเวลานี้ น้ำลดมาก เห็นเศษหินและปะการังก้อนขนาดใหญ่ โผล่มาเต็มไปหมด ปะการังจำนวนมากหายไป ผมคิดในใจว่า หากในเวลานั้นไม่มีปะการังที่เป็นกันชนหน้าหาด นักท่องเที่ยวจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ
ด้านข้างโรงอาหาร มีบ้านที่สร้างใหม่ สอบถามดูจึงทราบว่า นี่คือ สถานที่จัดนิทรรศการนั่นเอง(เหมือนที่อ่าวช่องขาดครับ)
ไม่ไกลนักมีป้ายเตือน “เส้นทางหนีคลื่นยักษ์” เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ทราบว่าหากเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์อีกครั้ง จะได้ทราบเส้นทางหนีภัย
ผมเดินออกไปบริเวณ จุด200 เมตรอันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางศึกษาธรรมชาติ พบหนุ่มสาวคู่หนึ่ง(ชื่อพี่หมึกกับพี่ออมครับ) เมื่อสอบถามทราบว่าจะไปเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติเช่นกัน ผมจึงอาสาที่จะพาไป ในฐานะที่มาหลายครั้งแล้ว
เส้นทางเดิน ถูกใบไม้กลบจนผมเกือบจำไม่ได้ ต้องเดินกลับไป-มาหลายครั้งกว่าจะหาทางเข้าเจอ(เกือบเสียฟอร์มแล้ว) โดยเส้นทางนี้ มีระยะทาง 2 กิโลเมตร
จากสายตาที่แหลมคมของผม คู่นี้ คงอยู่ในช่วงกำลังจีบกัน ผมคิดในใจว่า คิดถูกแล้วพี่ที่มาสาวมาสวีทที่นี่ โรแมนติคมาก หาดทราย สายลม สองเรา ดำน้ำ ดูดาว(อันหลังนี่เพิ่มให้ครับ)
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ยังคงมีเสน่ห์อยู่เสมอ บรรยากาศในการเดินผ่านเส้นทางเล็กๆ ติดกับหุบเขา ด้านขวามีวิวที่สวยงาม น้ำทะเลที่นิ่ง สงบ ทำให้ผมต้องหยุดถ่ายภาพบ่อยครั้ง
เรามาถึงอ่าวกระทิง ผมเปลี่ยนจากการเดินบนเส้นทาง ลงมาเดินที่ชายหาด ทรายที่ละเอียด ขาวสะอาดของอ่าวกระทิงบวกกับน้ำทะเลที่ใสสะอาด ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องลงมาทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นขาไปหรือขากลับ
ที่นี่นอกจากจะมีเหล่าปูเสฉวนและเหล่าปูลมที่พร้อมจะเดินขบวนพาเหรดออกมาให้ถ่ายรูปกันแล้ว(ใช้ฝีมือในการถ่ายให้ได้ก็แล้วกันครับ) ก็ยังมีต้นกระทิงขนาดใหญ่(เขาว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วย) ผมรู้สึกว่าต้นกระทิงคราวนี้เตี้ยลงนะ(หรือผมอาจจะสูงขึ้นกว่าคราวก่อนก็เป็นไปได้ครับ)
เมื่อมองเห็นอ่าวช่องขาดอยู่ไม่ไกล ผมออกมาถ่ายรูปในมุมที่คุ้นเคย เห็นความเปลี่ยนไปของอ่าว ตรงกลางมีป้ายปักไว้ เหมือนจะเตือนอะไรซักอย่างด้วยครับ
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงอ่าวช่องขาด มีเต๊นส์ตั้งเรียงรายเหมือนเคย ผมเดินออกมาดูป้ายที่ปักไว้ เขียนว่า “ประกาศ อันตราย เนื่องจากบริเวณร่องน้ำ ขณะน้ำขึ้นลง จะมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวและน้ำหมุน ดังนั้นจึงห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำบริเวณดังกล่าว” จึงตอบคำถามได้ดีว่า บริเวณร่องน้ำที่สมัยก่อน พวกเรามาดำดูปะการังกัน บัดนี้ห้ามลงไปว่ายน้ำแล้วครับ
ผมเดินเข้ามาบริเวณภายในที่ทำการของอุทยานและหาที่นั่งพักหลังจากเมื่อยล้ากับการเดินทาง พี่หมึกเลี้ยงน้ำอัดลมผมด้วย(จะไม่เอาก็ไม่ได้ครับ แกซื้อมาให้แล้ว) ที่นี่มีบริการอินเตอร์เน็ตแล้วในอัตรา ครึ่งชั่วโมง 60 บาท
ผมสนใจเสื้อสวยๆในร้านขายของที่ระลึก เลยดูเล็กน้อย(ลายที่อยากได้ แต่ไม่มีเบอร์ใหญ่ครับ) ผมเดินออกไปถ่ายรูปบริเวณหาด ซึ่งในตอนนี้จะมีสะพานที่สร้างใหม่ไว้เป็นที่จอดเรือ(สมัยก่อนหน้าหาดจะมีเรือจอดเรียงรายไปหมด จะมีคราบน้ำมันด้วย) ผมว่าดีตรงที่ว่าหน้าหาดสะอาดขึ้นมาก สามารถลงเล่นน้ำได้
อาคารนิทรรศการที่พังทลายเพราะคลื่นสึนามิ ตอนนี้ได้ถูกซ่อมแซมใหม่แล้ว มีโปสเตอร์บันทึกความทรงจำของอ่าวช่องขาดก่อนคลื่นยักษ์มาเยือน มีภาพแสดงถึงสัตว์ทะเลที่นักท่องเที่ยวจะพบที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น ปะการังอ่อน ฟองน้ำ ปลาสลิดหิน ปลาสิงโต ปลากะรัง(ปลาเก๋า) ปลากะพง ปลาไหลมอเรย์ ปลานกแก้ว ปลาแพะ เม่นทะเล ปลาจิ้มฟันจระเข้ ปลาผีเสื้อ ปลานกขุนทอง หอยมือเสือ ปลากระเบน ปลิงทะเล ปลาการ์ตูน เป็นต้น
ขากลับผมสวนกับกลุ่มสาวๆ คุ้นๆหน้าว่าเจอที่โรงอาหารเมื่อตอนกลางวัน หนึ่งในสมาชิกถามผมว่า
“อีกไกลไหมคะ”
“ไม่ไกลครับ.......แต่จริงๆก็ไกลนะครับ” ผมตอบ เพราะจะว่าไป สำหรับสาวๆ บางคนมันก็ค่อนข้างไกลนะ
ผมกลับมาที่เต๊นส์ (ก่อนหน้านั้นผมได้มาม่าแล้วครับ ติดอยู่ที่คุณป้านั่นเอง) จากนั้นผม เปลี่ยนชุด คว้าหน้ากากและท่อหายใจ ลงไปที่หน้าหาดเพื่อสำรวจปะการังและสัตว์ทะเล น้ำเย็นจริงๆครับ
จากการสำรวจ ผมพบสิ่งที่คล้ายแมงกระพรุนบริเวณพื้นทราย(น่าจะใช่นะครับ) ปลาแพะ เป็นต้น ส่วนปะการังไม่มีเลยครับ คงต้องว่ายออกไปให้ไกลกว่านี้แต่ผมไม่มีชูชีพ ค่อนข้างเสี่ยง พอแค่นี้ดีกว่าครับ
ขึ้นมาอาบน้ำ สั่นสะท้านไปทั้งตัว(จะหาน้ำอุ่นอาบคงยากครับ) ผมมากินข้าวกับจูนและส้มพร้อมกับหนังสือปลาทะเลหลายเล่มและแผ่นปลา
2 สาว ดูตื่นเต้นมาก ต่างก็บอกผมว่าได้เห็นอะไรๆมาบ้างในวันนี้ บางตัวที่มีผมก็อ๋อ ถูกครับ บางตัวไม่มีแน่ๆ ผมก็ว่า ไม่น่าจะใช่นะครับ(เธอบอกอีกว่า วันนี้ไปดำน้ำมาที่อ่าวสุเทพ เกาะมังกรและอ่าวไม้งาม บางจุดน้ำค่อนข้างขุ่น บางจุดมีแมงกระพรุน และเจอปลาอะไรอีกมากที่เธอไม่รู้จัก)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องยอมรับว่า พวกเธอดูจะมีความสุขมาก เช่นกันครับ พวกเธอก็ทำให้การเดินทางตามลำพังของผม คลายความเหงาลงไปเยอะเลยครับ
ผมพยายามติดต่อพี่นิพนธ์ให้ได้ เพราอยากจะคุยเกี่ยวกับการดำแบบ Scuba ในวันรุ่งขึ้น จึงขอร้องเจ้าหน้าที่ว่า ถ้าเจอพี่นิพนธ์กรุณาเรียกผมด้วยนะครับ
ไม่นานนัก สาววัยกลางคน นามว่า พี่นิด ได้เข้ามาคุยกับผม ผมบอกถึงความประสงค์ว่า ถ้าเป็นไปได้ อยากดำ 2 ไดฟ์ในช่วงเช้าเพื่อที่ในช่วงบ่าย จะได้ดำ Snorkel ต่อ วันต่อมาก็ดำแบบ Snorkel ทั้งวัน วันสุดท้ายก็ได้ดำในช่วงเช้า ทำให้ผมสามารถดำน้ำแบบ Snorkel ครบทั้งโปรแกรม(ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไรครับ) (อยากดำน้ำให้คุ้มที่สุดครับ)
จากนั้น พี่นิพนธ์ก็มาคุยด้วยตนเอง บอกผมว่าพรุ่งนี้เช้าให้เจอกันประมาณ 8 โมงเช้า(ทานอาหาร 7 โมงเช้า) จุดดำน้ำ อาจจะเป็นแหลมแม่ยายและร่องตอรินลา(จุดไหนก็น่าตื่นเต้นทั้งนั้นครับ)
จูนและส้มแยกย้ายกันไปพักผ่อน ผมเห็นว่ายังไม่ดึกมาก จึงใช้เวลาในการเขียนเรื่องราว ทำ Short Note ไว้ ได้ยินโต๊ะข้างๆคุยกันแต่เรื่องสัตว์ทะเล ก็รู้สึกยินดีครับ บางคนก็เข้ามาขอยืมหนังสือของผมไปอ่าน เป็นการสร้างมิตรภาพใหม่ๆไปโดยไม่รู้ตัว
ก่อนนอน ผมนำมาม่าแบ่งไปให้จูนและส้มเพราะได้ยินเธอบ่นว่าถ้าดึกๆหิวจะทานอะไร?(สายตาก็สั้น มืดก็มืด ยังริอาจจะเอาของไปให้สาว เกือบทักผิดเต๊นส์แล้วไหมล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ)
คืนแรกบนเกาะที่รัก ผมนอนกางแขน กางขาในเต๊นส์อุทยานที่ค่อนข้างใหญ่ นอนหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน มีความสุขมากครับ ไม่รู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย
31 ธันวาคม 2549
นอนหลับสบายมากๆ ผมตื่นมาถ่ายรูปบรรยากาศหน้าอ่าวไม้งาม เช้าวันนี้น้ำค่อนข้างนิ่ง เงียบสงบดีจริงๆ ผมจัดอุปกรณ์ลงกระเป๋า สำหรับร่างกายแล้วเป็นธรรมเนียมว่า หากวันไหนออกไปดำน้ำผมไม่เคยอาบน้ำตอนเช้าเลย(เดี๋ยวก็ลงทะเลแล้วครับ จะรักษาความสะอาดอะไรนักหนา ฮ่าๆๆ )
ผมเดินไปโรงอาหารเจอคุณป้าอีกครั้ง(ที่ติดรถมาลงท่าเรือ) เธอชื่อ ป้าอารมณ์ พาพี่น้อง ลูกๆหลานๆมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช มาเที่ยวเกาะสุรินทร์เป็นครั้งแรก(ครอบครัว มีชัย) คุณป้าบอกว่าเห็นหลานๆลงเล่นน้ำก็มีความสุข แกบอกว่าส่วนตัวไม่กล้าลงน้ำเพราะกลัว คุณป้ายังบอกอีกว่าเธออาจแก่เกินไปแล้ว ผมเลยบอกไปว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเพราะสวมชูชีพยังไงก็ปลอดภัยครับ
เช้านี้อาหารของผม คือ มาม่า(ไม่กล้ากินอะไรเยอะ กลัวให้อาหารปลาครับ) จากนั้นผมเดินไปหาพี่นิดและพี่นิพนธ์ซึ่งทั้ง 2 คนนัดหมายเวลาผมอีกครั้งหนึ่ง(ดูท่าทาง ผมคงไม่ได้ดำสน๊อคเกิ้ลในวันนี้แล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรถือเป็นประสบการณ์ใหม่ๆครับ)
เดินไปหา 2 สาวดีกว่า จูนและส้มกำลังจัดข้าวของอยู่ในเต๊นส์ ก่อนที่จะออกมารับประทานอาหารเช้า ใกล้โรงอาหารในตอนนี้มีชาวบ้านมอแกนนำสินค้าออกมาขาย ผมค่อนข้างจะสนใจเรือไม้เป็นพิเศษ(เพื่อนฝากซื้อด้วยครับ) เด็กๆมอแกนน่ารัก ค่อนข้างจะยิ้มง่ายมาก เจอรอยยิ้มของผมเป็นอันเสร็จ อายม้วนทุกราย ฮ่าๆๆๆ(วันนี้ หัวงูลาป่วยไม่ได้ทำงานครับ)
ตอนแรกว่าจะนั่งเป็นเพื่อนจูนและส้มเฉยๆแต่ข้าวต้มหมูก็ช่างเย้ายวนอีกทั้ง 2 สาวก็คะยั้นคะยอให้ผมทานเพราะมีอีกมาก ก็เลยไม่เกรงใจล่ะครับ อร่อยมากทีเดียว
ผมซื้อเรือจากคุณป้าชาวมอแกน ดูแกพยายามพูดให้ผมเข้าใจ แม้บางคำผมจะฟังไม่รู้เรื่องก็ตามแต่ก็รู้สึกได้ว่าแกจะพยายามไม่พูดคำยากๆออกมา
ตอนนี้เริ่มมีคนมารุมล้อม มาเลือกซื้อสินค้าเต็มไปหมด ผมเห็นฝรั่งคู่รักมาดเซอร์ 2 คน สวมหมวกแบบแฟนตาซีกำลังดูเรือที่พึ่งซื้อมา(ค่อนข้างมีแนวมาก) อดไม่ได้ที่จะต้องแอบถ่ายภาพพวกเขามาครับ
กลับไปเก็บเรือที่เต๊นส์ ก่อนเปลี่ยน Wet suit ยาว ที่แบกมาจากกรุงเทพ(ซื้อมาทั้งทีต้องใช้ประโยชน์ครับ) เมื่อพร้อมแล้วก็เดินไปหาพี่นิพนธ์ แกให้ผมลอง BCD และ Fin ลองจนเข้าที่ก็ขนของไปขึ้นเรือที่หน้าหาดไม้งาม
ที่นี่เรือไม้ของซาบีน่าได้มารอผมอยู่แล้ว วันนี้จะมีแขกออกไปดำน้ำแบบ Scuba 2 คน(รวมผมด้วย) นอกจากพี่แฟน หนุ่มผิวเข้มซึ่งเป็น Staff แล้ว ก็ยังมีพี่คนขับเรืออีก 1 คนและพี่นิพนธ์
เรือหางยาวค่อยๆแล่นออกไปอย่างช้าๆ มุ่งหน้าสู่เกาะสตอร์ค เกาะที่อยู่ไกลที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติ(ถึงแม้ว่ากองหินริเชลิวจะถูกรวมให้อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์แล้วแต่นั่นเป็นกองหินครับไม่ใช่เกาะ) สตอร์คเป็นจุดดำน้ำที่คนมักจะเจอฉลามวาฬ (Whale Shark)กระเบนราหู(Manta Ray) ปลาสาก(Baracuda)และปลากลางน้ำแปลกๆ บ่อยครั้ง คราวก่อนผมแค่มาดำสน็อคเกิ้ลยังเจอฝูงปลาสาก(เห็นฟันคมมาก)ในระยะค่อนข้างประชิดและยังมีเต่ากระและปลาไหลมอเรย์อีก วันนี้น้ำค่อนข้างนิ่ง ท่าทางผมจะโชคดีซะแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ
ชายหนุ่มวัยกลางคนที่มาหลังสุดท่าทางอารมณ์ดีนั้น ชื่อว่า พี่หมู มาจากกรุงเทพ จะกลับบ่ายวันนี้แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ต้องมาดำต่อในวันนี้(เมื่อวานพี่หมูออกมาดำ Scuba แล้ว)เพราะว่า ช่วงบ่ายเราจะไปดำน้ำที่ร่องตอรินลากัน(ตอรินลาเป็นร่องน้ำ ขึ้นชื่อว่าเป็นร่องน้ำมักจะมีปลาแปลกๆมาให้ยลโฉมอยู่เสมอ เคยมีคนเจอกระเบนราหู แค่ดำน้ำสน็อคเกิ้ลก็เห็นแล้ว) เมื่อวานนี้พี่หมูเจอปลาโรนัน(White-Spotted Guitarfish)นอนอยู่บนพื้นทรายที่นี่ด้วย(พูดจบก็บอกให้พี่นิพนธ์โชว์รูปในกล้องดิจิตอลที่ถ่ายไว้ได้) ผมตื่นเต้นมากเพราะโรนันเป็นปลาหายาก มักกินสัตว์หน้าดิน จนถูกอวนลากไปบ่อยๆ เราจึงเห็นโรนันได้น้อยลง ผมกล้าพูดว่านักดำน้ำสามารถเห็นฉลามวาฬและกระเบนราหูง่ายกว่าโรนันเสียอีก(ถ้าเป็นโรนินยิ่งแล้วใหญ่ อันนั้นยากมหายากครับ)
“ด้านโน้น คือ เบอร์ม่าแบงค์ จุดดำน้ำที่มีชื่อเสียง ในทะเลพม่า ที่มีคนพบฉลามบ่อยๆนั่นแหละ” พี่นิพนธ์ชี้ให้ผมเห็นถึงเกาะๆหนึ่ง ชื่อนี้ผมได้ยินมานานแล้ว จากหนังสือท่องเที่ยว
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกครับเพราะจากจุดที่ผมอยู่ นั่งเรือออกไปไม่ไกลก็เป็นทะเลพม่าแล้ว มักจะมีเรือต่างสัญชาติแอบลักลอบเข้ามาจับปลาบ่อยๆ แม้ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์จะมีการระมัดระวังในเรื่องนี้แล้วแต่ก็ยังมีลักลอบเข้ามาอยู่ดี(มักจะมาตอนเราไม่ได้สอดส่องนั่นแหละครับ) ปลาการ์ตูนส้มขาว ขายตัวละ 20 บาท โชคดีว่าปลาการ์ตูนชนิดอื่นๆยังไม่ได้รับความนิยมเท่า เลยยังเห็นได้มากที่เกาะสุรินทร์ ปลาสินสมุทรขายตัวละ 5,000 บาท(ฟังดูแล้วเศร้าใจไหมเอ่ย ผมยังรู้สึกเศร้าเลยครับ คราวหน้าจะเหลือปลาอะไรให้ผมดูบ้างเนี่ย )
สำหรับโครงการอัปยศบ้านทาร์ซาน(เป็นโครงการจากรัฐบาลที่แล้วครับ) ที่ผมเรียกว่าอัปยศเพราะว่า เขาจะสร้างบ้านพักบริเวณอ่าวกระทิง อ่าวที่ผมชอบมากมีปูลม ปูเสฉวน มากมาย เหยียบบนผืนทรายทีไรแสนจะมีความสุข(แว่วๆมาว่าโครงการนี้ยังไม่เลิกด้วยครับ มีแนวโน้มจะสร้างต่อ) ผมภาวนาขอให้โครงการนี้ล้มเลิก อย่าสร้างบ้านพักที่นั่นเลยครับ อ่าวกระทิงตอนนี้ก็สวยงามดีอยู่แล้ว อย่าสร้างอะไรให้มันแปดเปื้อนเลยครับ
ส่วนสะพานท่าเทียบเรือที่สร้างขึ้นบริเวณอ่าวช่องขาด(ที่ผมเดินไปเมื่อวานนั่นแหละครับ) เห็นว่าใช้งบในการสร้างตั้ง 150 ล้าน แน่ะ(จริงๆน่าจะน้อยกว่านั้น) ถ้าผมเป็น ค.ต.ส. ผมจะปราบคนโกงให้เรียบเลย!!!
อีกเรื่อง คือ เสื้อสวยๆจากร้านขายของที่ระลึก มีคนเล่าว่าหัวหน้าอุทยานแห่งชาติคนปัจจุบันทำเสื้อมาขายเอง รายได้แทนที่จะได้เข้าอุทยานก็เลยไม่ได้เข้า(ผมไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริงก็น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งครับ)
พี่หมูบอกว่า เคยไปดำน้ำที่สิปาดัน ที่นั่นเขามีการจัดการที่ดีมากๆ รักษาทรัพยากรธรรมชาติ อยากให้บ้านเราทำแบบนั้นบ้าง(คงเคยได้ยินว่า มีรีสอรท์เอกชน ที่ต้องย้ายออกไปตั้งอีกที่โดยคำสั่งจากรัฐบาลเพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของเขามีความจริงจังในการแก้ปัญหามากครับ)
พี่นิพนธ์ชักชวนผมให้มาเรียน Skill กับแก(พี่นิพนธ์มีลูกศิษย์หลายคนมาจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ หลายคนลงมาช่วยเก็บขยะ ตัดอวนโดยเฉพาะ ที่สำคัญพวกเขาเหล่านั้นออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวเองทั้งหมด) หากมีเวลาว่างผมอยากลงมาช่วยตัดอวน เก็บขยะบ้างซึ่งผมก็ยินดีครับ เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำอยู่แล้ว(ปะการังที่เกาะสุรินทร์ บางจุดค่อนข้างตื้นครับ หากควบคุมร่างกายไม่ดี อาจทำให้ปะการังเสียหายได้)
เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งคนอย่างผม เมื่อเรือมาถึงเกาะสตอร์ค น้ำกลับปั่นป่วน มีคลื่นรุนแรง (ผมต้องประกอบแท๊งค์บนเรือหางยาวที่โคลงเคลงไปมา ค่อนข้างยากลำบากมากครับ ต้องให้พี่แฟนช่วยประกอบ) พี่นิพนธ์ขอเวลาซักครู่เพื่อลงไปดูน้ำบริเวณนี้ว่าพอจะลงได้ไหม พูดจบแกก็โดดตูมลงไป
“ลงไม่ได้แน่ อย่าลงเลยครับ ลงไปก็ไม่เห็นอะไร ผมเห็นน้ำด้านล่างเป็นวุ้นเลยครับ” พี่นิพนธ์บอก
ด้านล่างของเกาะสตอร์คในเวลานี้ น้ำที่เป็นวุ้นหมายถึง กระแสน้ำเย็นจนเห็นได้ชัดว่าในแต่ละชั้นของน้ำมีระดับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ระดับความใสของน้ำอาจแค่ 1- 2 เมตร(แบบพัทยาตอนขุ่นมากๆเลยล่ะครับ)
เรือเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อ่าวแม่ยายแทน แม้ผมจะผิดหวังอยู่บ้างแต่ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆครับ ของแบบนี้มันเป็นเรื่องของโชคชะตา(ซึ่งผมก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้วด้วย) คิดในแง่ดี ก็ดีกว่าไม่ได้ดำน้ำแล้วกันครับ
Dive 1 ทักทายปลาผีเสื้อรูปไข่
เรือมาถึงบริเวณอ่าวแม่ยาย น้ำนิ่งมาก(นิ่งแบบตอนออกมาเลยครับ) ผมเล่าให้พี่นิพนธ์ฟังว่า ผมมีปัญหามาแล้วครั้งหนึ่งตอนไปดำน้ำครั้งล่าสุดที่ชุมพรคาบาน่า Wet Suit ยาวทำให้ตะกั่วที่เคยใช้ในระดับ 5 ก้อน แต่ไม่สามารถทำให้ร่างหายของผมจมลงไปด้านล่างได้ ทำให้หลงฝูง(หลงกลุ่มครับ คนนะไม่ใช่วัว) (สมัยก่อนที่ใช้ Wet Suit สั้น ผมใช้แค่ 4 ก้อนเท่านั้นเอง)
“ใช้ 6 ก้อนแล้วกัน แฟน ใส่ตะกั่วใน BCD ให้น้องอีก 2 ก้อนหน่อยครับ” พี่นิพนธ์พูด
เป็นอันว่า 6 ก้อนสำหรับผมเพียงพอที่จะทำให้ ดำน้ำอย่างมีความสุข พี่นิพนธ์บอกผมให้ดูพี่แฟนไว้ ส่วนพี่หมูจะอยู่กับพี่นิพนธ์(แกว่าพี่แฟนดำน้ำเร็วครับ) และนี่จะเป็นการทดสอบว่านาฬิกาที่พี่ส้วมให้ยืมมาจะสามารถกันน้ำได้หรือไม่ ผมทำท่า Back Row เสียงน้ำดัง “ตูม”
ด้านล่างผมเจอเหล่าปลาสลิดหินที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของแนวปะการัง เช่น ปลาสลิดหินกลมสีทอง(Golden Damsel) ปลาสลิดหินดำหางส้ม(Philippine Damsel) ปลาสลิดหินเอวดำ(Dick ‘ s Damsel)
จากนั้นเป็นดงปะการังผักกาดหรือปะการังแผ่นตั้ง(Coral Foliose)ซึ่งมีสีทอง สูงเป็นชั้นๆ ผมไม่เคยเห็นที่ไหนเลย นอกจากที่นี่ ดูไปก็ตะลึงกับความงดงามไปครับ
น้ำค่อนข้างจะเย็นมาก ขนาดผมใส่ Wet Suit ยาว ยังรู้สึกถึงความเย็นที่เข้ามาปะทะใบหน้า เป็นอย่างที่ใครๆว่าไว้จริงๆครับว่าปีนี้น้ำเย็นมาก(เป็นผลมาจากปรากฎการณ์ลานิลญ่า)
ดูเพลินมากก็ไม่ได้ครับเพราะน้ำก็ไม่ได้ใสกิ๊กแบบสิมิลันหันไปยังเห็นพี่หมู หันไปอีกทีไม่เจอแล้ว ผมจึงต้องตามพี่แฟนต่อไปครับ(พี่หมูแกมีชั่วโมงบินสูงกว่าผม เพราะฉะนั้นห่วงตัวเองก่อนเถอะครับ ไม่งั้นอาจต้องอยู่คนเดียว ฮ่าๆๆ)
สินสมุทรสุดเท่ออกมาโชว์ตัวครับ พวกเขาคือ ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ์(Emperor Angelfish) พบได้ในอันดามันบ่อยกว่าอ่าวไทย(บริเวณที่มีแนวปะการังที่สมบูรณ์ด้วยครับ) จากนั้นเป็นปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) ว่ายแบบตุ๊ยนุ้ย ช้าๆ บางตัวแอบอยู่ตามซอกแต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของผมไปได้ครับ
ด้านหน้ามีปะการังเขากวาง(Coral Branching) ใกล้ๆมีดาวมงกุฎหนาม(Crown-of-Thorns) มีสีน้ำเงินซึ่งกำลังกัดกินปะการังอยู่ ดาวมงกุฎหนามมักจะตกเป็นจำเลยสังคมอยู่เสมอๆ ซึ่งจริงๆพวกเขามีข้อดีเหมือนกัน มนุษย์ซิครับ ร้ายกว่าพวกเขาตั้งเยอะ
ต่อมาเป็นคิวของปลาผีเสื้อ เช่น ปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish) ตัวป้อมๆรูปร่างเหมือนไข่เลยทำให้จดจำได้ง่ายมาก เป็นปลาผีเสื้อชนิดที่หาดูไม่ง่าย แต่พบได้บ่อยที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์(เยอะจริงครับ) อีกชนิด คือ ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-Banded Butterflyfish) ซึ่งพบได้ในทุกๆสภาพของน้ำ
ฝูงปลาข้างเหลืองว่ายผ่านไป ผมเห็นปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol)(ชื่อไทยใช่แต่จริงๆเขาไม่ใช่ปลาผีเสื้อนะครับ) เป็นปลาในครอบครัว Zanclidae ทั่วโลกมีอยู่ชนิดเดียวเป็นญาติสนิทกับปลาขี้ตังเบ็ดและปลาสลิดทะเล จากนั้นเป็นปลาโนรีหน้าหัก(Phantom Bannerfish) ปลาที่อยู่ในครอบครัวเดียวกับปลาผีเสื้อ คือ Chaetodontidae
ผมเจออุปกรณ์ที่อยู่ผิดที่ผิดเวลาอย่างคีม ตกอยู่บนปะการัง ใกล้ๆมีฟองน้ำครก(Barrel Sponge)อยู่ด้วย พยายามที่จะหยิบมันขึ้นมาแต่มันติดแน่นมาก แถมมีเพรียงเกาะเต็มไปหมด ขืนดื้อดึงเดี๋ยวมือผมเองนั่นแหละที่จะโชกเลือด เลยต้องปล่อยไว้ รอผู้ใจบุญมาช่วยเก็บ
ด้านหน้ามีท่อหายใจ(Snorkel)ตกอยู่(ไม่ใช่ของผมแน่นอนครับ ตกครั้งเดียวพอแล้วครับ) พี่แฟนจึงเก็บมันขึ้นมา จากนั้นแกยื่นสเล้ดบอรด์มาให้ผมดู เขียนว่าทำ Safty Stop ที่ 5 เมตร 2 นาที(แบบนี้ก็เจ๋งอีกแบบครับ ไม่ต้องทำสัญญาณใต้น้ำ) ว่าแต่พี่แฟนแกดำเร็วจริงๆครับ ผมละสายตาจากแกไม่ได้เลยแม้แต่นาทีเดียว ไม่งั้นซวยแน่ครับ ฮ่าๆๆๆๆ
เยี่ยมครับ นาฬิกาของพี่ส้วมใช้ได้ดี น้ำไม่เข้า แถมผมสามารถดูเวลาในการทำ Safty Stop ได้เอง ไม่ต้องคอยดูคนข้างๆ อีกต่อไป(การันตีได้ว่า ผมทำครบ 5 นาทีครับ) มีนาฬิกาใต้น้ำมันดีแบบนี้นี่เอง ต้องหาซื้อให้ได้(อาจเป็น Dive Computer ไปเลยก็เป็นได้ครับ)
ขึ้นมาด้านบนจึงทราบว่าตะกั่วของผมหลุดไป 1 ก้อน(ดูจากรอยยิ้มที่เป็นมิตรของพี่ๆ ท่าทางผมคงไม่ต้องเสียเงินค่าตะกั่วแล้วครับ ฮ่าๆๆๆ)
พี่หมูกับพี่นิพนธ์เล่าให้ผมฟังว่าเจอปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish)และปลาค้างคาว(Pinnate Batfish) พี่นิพนธ์บอกอีกว่าเจอปลาค้างคาวในวัยเด็ก ซึ่งเห็นได้ยากมากอีกด้วย(โชคดีมาก) นอกจากนี้ก้ยังมีปะการังอ่อน(Soft Coral)ในกระป๋องเบียร์ด้วยครับ(จะเหมือนปูเสฉวนแก้วที่สิมิลันหรือเปล่าหนอ) พี่นิพนธ์บอกอีกว่าปะการังอ่อนที่นี่สวยคนละแบบกับสิมิลันผมชักอยากเห็นเสียแล้วซิ แต่ยังไงฟังไปก็อิจฉาไปครับ
ที่จุด 200 เมตร เมื่อน้ำลดลงต่ำ เราต้องเดินลุยน้ำเพื่อเข้าไปที่หาด ต้องหลบเลี่ยงปะการังและดอกไม้ทะเล บางที่ยังเป็นต้นๆเล็กๆอยู่เลยครับ(จำได้ว่าสีเหลือง) ซึ่งถ้าในอนาคตมีการสร้างสะพานขึ้น คงจะช่วยรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้มากกว่านี้ครับ
0 Comments:
Post a Comment
<< Home