Wednesday, August 03, 2011

Singapore...This is my occasion(1)


โอกาสดีๆกำลังจะมาถึงผมในไม่ช้า ผมกำลังจะได้ไปสิงคโปร์กับที่บ้าน จากการชักชวนของพี่ชายคนกลางและพี่สะใภ้ จะว่าไปก็ไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศแบบนี้มาหลายปีแล้ว

ภายในครอบครัว การไปเที่ยวเช่นนี้นั้น มีความหมายเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการฉลองสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ฉลองสำเร็จการศึกษา เป็นต้น

ในครั้งนี้ พ่อบอกว่า ถือเป็นการฉลองที่ผมสอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตไทย(ซะที) และฉลองที่พี่ชายคนโตสอบผ่านเป็นแพทย์เฉพาะทางด้วย

ก่อนไป ผมศึกษาข้อมูลประเทศสิงคโปร์ สำหรับใช้ในการเดินทาง รู้ไว้ก่อนก็น่าจะดีกว่านะ

สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆครับ เล็กกว่าเกาะภูเก็ตเสียอีก ทรัพยากรทางธรรมชาติก็สู้บ้านเราไม่ได้ แต่ทำไมถึงเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดี และมีรายได้จากการท่องเที่ยวมากมาย

การไปหาคำตอบไกลถึงต่างแดน แม้จะไม่รวดเร็วเท่าการ Search ใน Google แต่การได้เห็น ได้เรียนรู้ ย่อมเป็นประสบการณ์ตรงที่ดีกว่ามาก

ผมคิดถึงวัน เวลา แห่งความสุข เมื่อปี 2548 กับการไปเที่ยวทั้งครอบครัวที่ประเทศญี่ปุ่น ภาพของแม่ ที่วันนี้เหลือไว้เพียงความทรงจำ ผมนึกถึงท่านเสมอ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขหรือมีความทุกข์ แน่นอนว่าผมอยากให้ท่านมาด้วยจริงๆ

"The ones that love us never really leave us. And you can always find them.....in here.(Your Heart) เป็นคำพูดของ Sirus Black พูดกับ Harry Potter ในตอนที่ 3 ของ (Harry Potter and the Prisoner of Azkaban)

เรามีพี่สะใภ้เข้ามา เรามีทายาทตัวน้อยๆ พ่อมีความสุขที่ได้อุ้มหลาน การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดกับทุกๆคน สำคัญอยู่ที่การคิด

จากนี้ไปผมจะพาทุกท่านไปเยือนประเทศสิงคโปร์ ผ่านทางสายตา ตัวอักษร และภาพถ่าย อาจจะมีหลายๆมุมมองที่ท่านไม่เคยเห็นก็เป็นได้

แม่ครับ เราไปเที่ยวด้วยกันอีกนะ


17 กรกฎาคม 2554


ตื่นก่อนหกโมงเช้าครับ มา Flight เวลาสบายๆ ไม่เช้ามากนัก คือ 9 โมง 40 นาที ดีสำหรับพ่อด้วย(จริงๆ ผมก็อยากไปเช้ากว่านี้เหมือนกันแหละ)

เดินออกมาเรียก Taxi ให้เข้าไปรับพ่อกับพี่เก่ง(พี่ชายคนโต)ที่บ้าน พ่อบอกว่าต้องไปถึงสนามบินล่วงหน้า 2 ชั่วโมงเพราะเป็น Flight ต่างประเทศ เผื่อเวลาไว้ก็ดีครับ จะได้ไม่ต้องรีบมากนัก

ดูความเรียบร้อยของบ้านแล้ว ก็ออกเดินทางได้ เช้าวันอาทิตย์นี่ดีจัง รถโล่งมาก บวกกับวันจันทร์ก็ยังเป็นวันหยุดยาวอยู่ คนยังไม่กลับจากต่างจังหวัด ก็ยิ่งถนนโล่งเข้าไปใหญ่



ใช้เวลาไม่นานก็ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เอารถเข็นมา เอาสัมภาระมา เดินหาช่องโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง คนไม่ค่อยมีเลยครับ ก็ออกไปกันตั้งแต่วันศุกร์เช้าแล้วอีกนั่นแหละ

พ่อขอ Long Leg Seat เพราะแต่ละคนก็ตัวใหญ่ๆ ขายาวๆกันทั้งนั้น แต่ได้หรือไม่ก็อีกเรื่องนะ(ดูแนวโน้มแล้วว่าไม่ได้ 555)



โหลดกระเป๋าแล้ว กรอกเอกสารซะเลย มาต่อคิว Passport แบบสบายๆ(นึกถึงตุลาคมปีก่อน ทริปสิปาดัน แถวก็ยาว กระเป๋าก็หนัก มาคราวนี้รู้สึกว่าชิวๆกว่าเยอะ)(ก็แน่ละไม่มี Fin แบกที่ไหล่นี่นา)


ผ่านเข้ามาก็ถึงคิวที่ต้องตรวจสัมภาระที่ติดตัว โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ต้องเอาออกมาวางในตระกร้า ผ่านสายพานให้หมด รวมทั้งเข็มขัดที่เอวด้วย(ขี้เกียจถอดเหมือนกันนะ) แต่ทำไงได้ 555



จบส่วนนี้ ก็ตรงไป Gate ที่ขึ้นเครื่องได้เลยครับ ตอนนี้เวลายังเหลือเยอะ แวะกินข้าวเช้าที่ร้าน Asian Corner เห็นราคาอาหารแล้ว คิดถึงกระเพราหมูราดข้าว จานละ 30 บาท หน้าบ้านมากๆ ยังไงเดี๋ยวบนเครื่องก็มีอาหารนี่นะ กินเบาๆไปก่อน เลยสั่งข้าวปั้นหน้าไข่หวาน(ห่อสาหร่ายด้วย) ช่วยประหยัดเงินพ่อด้วยครับ อย่างถูกสุดก็หนึ่งร้อยต้นๆ แล้วล่ะ

เดินอิ่มแล้วก็เดินหา Gate กันดีกว่า ดูป้ายดีๆ เพราะบางทีก็อาจจะเดินเลยได้เหมือนกัน(เลยไปแล้วเรียบร้อย)

อ้าว ใกล้จัง ถึงแล้วเหรอ คนละเรื่องกับคราวก่อน ที่ผมนั่ง Air Asia ที่ Gate จะอยู่ไกลมากๆ


เที่ยวบินของผม คือ SQ973 เวลา 09:40 น. สายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์ นั่งรอซักพัก มองรอบๆ คนน้อยมาก

ส่วนพี่ชายคนกลาง(พี่ณัฐ) กับภริยา(พี่มุก) และลูกชายวัย 2 ขวบ(ทัฬห์หลานจอมซน) จะไปการบินไทย ช่วง 11 โมงครึ่งครับ นัดหมายว่าไปเจอกันที่นั่นเลย

พ่อได้ขึ้นก่อนครับ สำหรับผู้สูงอายุ เดินไปทางช่อง Priority ส่วนผมกับพี่ก็รอซักพัก ช่องจึงเปิด และเดินขึ้นเครื่องกัน!



Welcome to Singapore Airline!!!


ระหว่างทางเดินเชื่อม ดูเหมือนด้านหน้าจะมีเด็กสาวไทย 3 คน สะพายกระเป๋าเครื่องกีฬา (หรือว่าไปแข่งกีฬา) อาจเป็นคนไทยในสิงคโปร์ก็ได้ ไม่น่าจะใช่นักท่องเที่ยวทั่วๆไป

พ่อคุยกับใครละนั่น พ่อเจอเพื่อนครับ เห็นว่าพาลูกบุญธรรมมาเที่ยวด้วย จริงๆเพื่อนพ่ออยากไปฮ่องกงแต่ตั๋วเต็ม ก็เลยเบนเข็มมาสิงคโปร์แทน

เอากระเป๋าเก็บที่ช่องด้านบน ผมนั่งริมหน้าต่าง สังเกตว่า มีจอทีวีด้วย ทำให้นึกถึงตอนไปฮ่องกงกับสายการบิน Cathay Pacific เมื่อครั้งที่ไปเที่ยวด้วยกันและมี “แม่” ไปด้วย

จอทีวีแสดงถึงแผนที่ว่า มีจุดหมายไหนบ้าง แอร์โฮสเตส ดูแล้วก็ไม่ใช่คนไทยแน่ครับ หน้าตาออกเป็นคนจีน ก็คงจะเป็นคนสิงคโปรนั่นแหละ(มั้ง)



หยิบรีโมทมาดูดีกว่า มีปุ่มเยอะแยะเลย แต่เตรียมตัวได้ เครื่องกำลังจะออกแล้ว

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 25 นาที ครับ

แอร์โฮสเตส แจกหูฟัง ผมรีบเอามาเสียบในช่องตรงที่นั่ง อยากรู้ว่ามีช่องไหนบ้าง ก็มีพวกภาพยนต์พูดอังกฤษแต่ Subtitle เป็นภาษาจีน แต่ผมสนใจตัวจุดหมายปลายทาง ที่เขียนไว้หน้าจอมากกว่าครับ ว่ามีที่ไหนบ้าง



ย่างกุ้ง , มาเก๊า , ฮานอย , ลังกาวี แต่ที่สำคัญ คือ มี มานาโด เมืองที่ผมจะไปดำน้ำเดือนตุลาคมนี้ด้วย ดูๆไปไกลเหมือนกันนะ

“Can I help you?” แอร์โฮสเตส เดินมาถามผม

เปล่านี่ ผมไม่ได้เรียกเธอซะหน่อย เธอชี้ให้ดูว่ามีปุ่มไฟขึ้น เป็นสัญญาน

“Sorry !” ตัวผมไปโดนปุ่มเองน่ะครับ ก็ดึงรีโมทออกมาแล้วเก็บไม่ดีนี่นา 555

แอร์โฮสเตส มาถามเกี่ยวกับอาหาร ฟังๆ ดู Omelette มันน่าจะดีกว่า Noodle นะ เลือก Omelette เหมือนกันสามที่เลยครับ



มันน่าจะอยู่ท้องกว่าจริงๆ มีไข่ มีไส้กรอก มีมะเขือเทศ มีมัน บวกขนมปัง กับเค๊ก ผมเลือกชาเพราะไม่สันทัดเรื่องกาแฟอยู่แล้ว แป๊บเดียวอาหารก็ลงไปในท้อง... เรียบร้อย

หยิบ I-Pad ที่เต็มไปด้วย Apps ท่องเที่ยวสิงคโปร์ กับกระดาษที่เต็มไปด้วยข้อมูลเช่นเดียวกัน เราจะไปไหนกันบ้าง ถ้ามีเวลานอกเหนือจากโปรแกรมคร่าวๆที่คุยกัน

ผมมีเพื่อนโอวี ที่ทำงานอยู่ที่นั่น 1 คน กับสาวสิงคโปร์ที่เจอตอนไปสิปาดัน แต่ไม่แน่ว่าจะได้ไปหาไหมเพราะคราวนี้มากับที่บ้าน ก็ควรจะใช้เวลาเต็มที่อยู่กับที่บ้านครับ เวลาเหลือค่อยว่ากัน อีกอย่างถ้าไม่มีพวกเขา ผมไม่ได้มาหรอกครับ ทริปนี้



ปรับเวลาที่นาฬิกาข้อมือดีกว่า ที่สิงคโปร์ เวลาจะเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง เวลาทำอะไรจะได้นัดหมายได้ถูกต้อง มองไปที่นอกหน้าต่างเห็นทะเลแล้วครับ

เครื่องบินลงจอด ในที่สุดก็มาถึง Changi Airport แล้ว



Arrive Changi Airport!!!


คนไทยจะเรียกสนามบิน “ชางฮี” ครับ ไม่แน่ใจว่าคนสิงคโปร์จะเรียกว่า “ชางงี” หรือเปล่า แต่ยังไงก็มาแล้ว ก่อนอื่นก็ต้องเข้าห้องน้ำก่อนเลย

ในห้องน้ำ เขามีเครื่องที่ฝาผนัง กดออกมา ผสมกับน้ำยา ทำความสะอาดที่รองนั่งได้ด้วย ก็ลองถ่ายรูปมาดู แต่สายชำระ ฉีดน้ำแบบบ้านเราไม่มีนะ ก็ต้องใช้กระดาษเอา

เดินออกมาเพื่อไปสู่พิธีการเข้าเมือง ตรงทางเดิน ได้กลิ่นอะไรแปลกๆครับ เหมือนเครื่องเทศ หรือจะเป็นกลิ่นจากเครื่องปรับอากาศนะ(หรือจะเป็นกลิ่นจากเจ้าเด็กคนข้างๆ)

กวาดสายตามอง เหมือน Survey ไว้ก่อนครับ ตรงไหนมีที่นอนบ้าง แบบว่าตุลาคมนี้ ผมจะต้องมานอนที่นี่ ก่อนจะขึ้น Flight เช้า ต่อไปที่ Manado

มาต่อคิวที่ตรวจ Passport หรือ Immigration กันดีกว่า



Immigration!


ระหว่างต่อคิวก็มี อาหมวยอยู่แถวข้างๆ มาคนเดียวด้วย ดูแล้วเดายากว่าจะเป็นคนไทยหรือไม่ เพราะคนไทยเชื้อสายจีนก็หน้าตาแบบนี้แหละ ใน 4 วันนี้ ผมจะได้คุ้นตามากขึ้นครับ คงจะได้เห็นเยอะแน่ๆ

ผู้หญิงด้านหน้า เหมือนจะมีปัญหา โดนเจ้าหน้าที่เชิญไปข้างๆ ตรวจแบบถี่ถ้วนเลย เข้าใจว่า อาจจะถูกสงสัยว่า เข้ามาทำงานโดยผิดกฎหมายหรือเปล่า

เจ้าหน้าที่ด้านหน้า สูงเป็นเปรตเลย เหยาหมิงหรือเปล่าเนี่ย หรือแอบยืนบนบันได เออ แกสูงจริงๆครับ น่าจะ 2 เมตร แน่นอน มาถึงคิวของผมแล้ว มีเจ้าหน้าที่ผิวสี คอยอยู่แล้ว

“ Mr. Phop?” (แล้วมองเทียบหน้าตากับ Passport)

“Yes” เกือบตอบแบบ Mr. Bean แล้วนะ 555



ผ่านฉลุยครับ มารอกระเป๋าที่สายพานดีกว่า ได้แล้วก็ใส่รถเข็น เดินออกมาก็มีป้ายบอก ว่าจะโดยสารด้วยวิธีอะไร จะไป Taxi ,ไป Shutter Bus หรือจะไป MRT

ถ้าพักโรงแรมในเมืองจะมีรถ Shutter Bus ให้บริการฟรี ไปส่งถึงหน้าโรงแรมเลย ส่วน MRT ผมศึกษามาเยอะมาก รู้ว่าจะไปลงที่ไหน แต่เปลี่ยนอยู่หลายสถานีเหมือนกัน ถ้ามาคนเดียว คงจะเลือกทางนี้ครับ

แต่มากับพ่อ กระเป๋าก็เยอะ นั่ง Taxi ดีกว่า พ่อจะได้ไม่ลำบากมาก อีกอย่างที่พักของเราใน 2 วันแรก อยู่ที่เกาะเซนโตซา(Sentosa Island) สมัยก่อนมี Shutter Bus จากสนามบินให้บริการฟรีครับ ตอนนี้ไม่มีแล้วนะ เห็นว่าพึ่งยกเลิกไป ก่อนผมจะมาไม่กี่เดือน(อ้าว ทำไมแบบนั้นละ 555)

เดินไปหยิบ Brochure ดีกว่า ไว้เป็นข้อมูล เพื่อนพ่อที่เจอบนเครื่องไปพักที่ Mandarin Hotel พรุ่งนี้อาจได้เจอกันที่ Universal Studio ก็ได้

ส่วนพี่ณัฐ พี่มุก และเจ้าหลาน ทัฬห์ นัดเจอที่ Lobby โรงแรม เวลา 4 โมงเย็นครับ




เอาละครับ เข็นกระเป๋า ออกมารอแท๊กซี่ ต่อตามคิว มีเจ้าหน้าที่ของสนามบินคอยเรียกให้ เท่าที่ศึกษาก่อนมา และจากที่เห็นตอนนี้ Taxi จะมี 2 แบบให้เลือกครับ ถ้าเลือกแบบ Standard Taxi จะเป็น Toyota Crown (บางคนบอกว่าเก่า ผมว่าสภาพดีมากเลยล่ะ) เริ่ม Start ที่ 2 เหรียญกว่าๆ

กับอีกแบบที่เรียกว่า Crister(เขียนผิดขออภัยนะครับ ไม่ได้ถ่ายรูปมา) ดูแล้ว หรูมาก หรูไปไหมเนี่ย แต่ เริ่ม Start ที่ 5เหรียญนะ

ก็แล้วแต่ คุณๆท่านๆครับ ว่าจะเลือกแบบไหน ผม พี่ชาย และพ่อ เห็นว่า Standard Taxi ก็พอแล้ว

ลากกระเป๋า ขนสัมภาระขึ้นรถ มีคุณลุงคนขับรถ ชาวสิงคโปร์มาช่วยขนของ

ไปกันเลยครับ!

0 Comments:

Post a Comment

<< Home