Thursday, January 24, 2008

อันดามันเหนือ….สวรรค์แห่งการดำน้ำ(7)

http://www.underwater.com.au/
http://www.isegretidelmare.it/




Dive 14 ทักทาย ปลาลูกดอกหน้าม่วง!!!



บางจุดค่อนข้างปวดหูครับ ผมตีขาขึ้นไปเล็กน้อย พอ Clear หูได้ จึงเปลี่ยนระดับลงมา

ซ้ายมือของผมเป็นพื้นทราย ลึกไกลออกไปเรื่อยๆ ขวามือเป็นชั้นของปะการังผักกาด สูงท่วมหัว ดูสวยงามมากครับ ไล่ขึ้นไปเป็นชั้นๆ ช่างอุดมสมบูรณ์จริงๆ

มีปลาสิงโต(Common Lionfish) อยู่ที่นี่ครับ ชนิดนี้พบได้บ่อย ทุกคนจะคุ้นเคยกันดี เพราะปลาสิงโตชนิดนี้มักถูกจับไปเลี้ยงในอควอเรี่ยมเสมอๆ

พี่ตามชี้ให้ผมดู ปลาชนิดหนึ่งครับ หาไม่ง่าย ผมจำได้ทันที นี่ คือ ปลาลูกดอกหน้าม่วง(Decorated Dartfish) บางคนจะเรียกว่า Purple-goby ก็ไม่ผิด เรามักจะพบเห็นสีแดง(ปลาลูกดอกไฟ Fire Dartfish บางคนเรียกว่า red fire-goby ) บ่อยกว่าสีม่วง ถ้าเป็นการดำน้ำแบบผิวน้ำ จะเห็นค่อนข้างยากครับ(ต้องกลั้นหายใจลงมา บางที่อยู่ลึกถึง 20 กว่าเมตรเลยครับ)

ปลาชนิดนี้มีนิสัยขี้อาย อาศัยอยู่ตามพื้นทรายปนหิน ที่มีกระแสน้ำ แค่ผมเข้าไปในระยะอันตรายสำหรับเขา เขาก็หลบเข้าไปแล้วครับ

ผมเหลือบไปด้านข้าง เจ้าปลาปักเป้ากล่องเหลือง(Yellow Boxfish) หน้าตาน่ารักเชียวครับ ปลาปักเป้าชนิดนี้เป็นขวัญใจนักดำน้ำแบบ Scuba อยู่เหมือนกัน นักดำน้ำแบบผิวน้ำมีโอกาสเห็นครับ ที่ผมนึกออก ก็ที่อ่าวช่องขาด อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ก่อนเกิดสึนามิครับ(ใครนึกออกว่า ดำน้ำแบบผิวน้ำ พบที่ไหนอีก ช่วยแจ้งด้วยนะครับ)

ระหว่างผมว่ายไป ด้านล่างของผม มีปลาตุ๊ดตู่อยู่ 1 ชนิดครับ เขาชื่อ ปลาตั๊กแตนหินสองสี(Bicolor Blenny) ครึ่งหน้ามีสีเทา ครึ่งหลังมีสีส้ม นอกจากตัวจะเล็ก ยังรวดเร็วมากครับ เผลอแป๊บเดียว ว่ายหลบหายไปแล้ว จึงไม่ทันได้เรียกคนอื่นๆ

อากาศเหลือ 50 แล้ว ผมบอกพี่ตาม เราตัดเข้าสู่ที่ตื้น มีปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish) กำลังขบกัดปะการังอย่างมีความสุข

อาหารกลางวันมีข้าวมันไก่สับ +หมูแดง ปิดท้ายด้วยผลไม้ อร่อยจริงๆ(ไม่ได้โม้)

เสียงสวรรค์มาอีกครับ คุณเสรีบอกว่า เราจะไปที่เกาะสี่(เกาะเมียง) หากใครสนใจจะขึ้นเกาะ พักผ่อนตามอัธยาศัยก็เชิญ มีเหรอผมจะพลาด มาคราวนี้ ผมได้ขึ้นเกาะเกือบทุกวัน คุ้มจริงๆ

มองเห็นเกาะสี่แล้วครับ แต่คลื่นแรงกว่าเมื่อวานนะ คงไม่มีใครว่ายน้ำไปแน่ แต่ข้างๆ ผมมีพี่โหน่งสวมชุดชูชีพพร้อมสายตาที่มุ่งมั่นครับ

“ผมจะว่ายน้ำไปครับ ครูเอ๋อย่าลืมสอนด้วยนะ”

“เฮ้ย เอาจริงเหรอพี่” ผมถาม

ขนาดครูเอ๋ ยังขำเลยครับ และบอกว่า

“ไม่ต้องว่ายไปหรอกค่ะ”(ยิ้ม ยิ้มและยิ้ม)






ขึ้นเกาะสี่-ชมหาดเล็ก เส้นทางศึกษาธรรมชาติ- ชมปูไก่และนกชาปีไหน!!!!!


ดิงกี้เที่ยวแรก นำโดยพี่สายชล น้องฟิน พี่เตย หยั่น ประพันธ์ อารีย์ พี่โหน่ง ครูเอ๋ พี่ตู่ พี่อุ๋ยและพี่อิ๋ว เรามาถึงหาดเล็ก เกาะสี่ สถานที่ที่นักท่องเที่ยวใช้เป็นที่พัก(อีกที่ คือ เกาะแปดครับ)

คลื่นจัดว่าแรงนิดหน่อย แต่ยังพอมีนักท่องเที่ยวเล่นน้ำอยู่ ดูที่นี่คึกคักกว่าที่เกาะแปดครับ คนเยอะจัง มีใครไม่ทราบปั้นทรายรูปหน้าคนไว้ สวยดี ขอถ่ายรูปหน่อยแล้วกัน

ที่นี่ค่อนข้างร่มรื่นครับ มีต้นไม้เยอะดี เราเดินทะลุไปยังหาดอีกด้าน โดยผ่านเส้นทางศึกษาธรรมชาติ มีป้ายบอกตลอดทาง(เหมือนกับที่เกาะสุรินทร์ แต่ทางเดินไม่มีขึ้นเขามากนัก) แนะนำสัตว์หลายชนิดไม่ว่าจะเป็นตะกวด ปูไก่ นกชาปีไหน กระรอกบิน ตัวเงินตัวทอง งูเหลือม ค้างคาวแม่ไก่ เป็นต้น แต่สิ่งที่ผมอยากเห็น ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ ปูไก่และนกชาปีไหนครับ

เราได้ยินเสียงคลื่น เห็นเต๊นส์ของอุทยานอยู่ด้านหน้า แล้วผมก็พบนกชาปีไหนครับ ลักษณะมีขนทั่วตัวสีเขียวเหลือบเหลืองและม่วง ปลายปีกสีดำน้ำเงิน ไม่คิดว่าจะเจอเร็วขนาดนี้ ผมค่อยๆย่องเข้าไปและซูมเท่าที่กล้องจะอำนวย(เต็มที่แล้วจ้า) ท่าทางคงมาหาอะไรกินครับ แต่หนีเร็วเหลือเกิน

เดินลงไปชมบรรยากาศที่หาด ผมสูดอากาศเข้าเต็มปอด เป็นอากาศที่บริสุทธิ์จริงๆ ทรายละเอียด น้ำทะเลใส ถ้ามีแดดคงแจ่มมากครับ

ถ้ามีเวลา อยากมานอนสูดบรรยากาศ เล่นน้ำทะเลที่นี่ จริงๆ

ผมหามุมถ่ายรูปวิว และถ่ายรูปพี่ๆ แต่ไม่ขอถ่ายรูปตัวเอง เพราะเห็นสภาพแล้วรับไม่ได้ครับ ผมฟูยาว หน้าก็ดำ(คราวหน้าตัดผมสั้น ก่อนมาดำน้ำ ดีกว่า)

ระหว่างเดินออกจากหาด ได้พบกับนกชาปีไหนอีกครั้ง (น่าจะตัวเดิม) คราวนี้ไม่ให้พลาด เอาให้ชัดที่สุดครับ

บนขอนไม้ ผมเห็นปูชนิดหนึ่ง จากการสอบถามคุณนกกินเปี้ยวแห่งเวบทะเลไทย เป็น ปูไก่สกุล Gecarcoidea ครับ มาคราวนี้โชคดีจริงๆ เห็นครบเลย ปูไก่เป็นปูน้ำจืด ที่มาของชื่อ คือ เวลาใช้ก้ามเสียดสีกันจะมีเสียงเหมือนไก่นั่นเอง ตัวนี้มีสีออกน้ำตาลครับ

ปูตัวนี้ ค่อนข้างเชื่อง(แต่อาจหนีบได้) เขายอมให้ถ่ายรูปแต่โดยดี ไม่หนีเลยน่ะ

ขากลับ ผมเห็นลูกพาพ่อมาเที่ยว พ่อเดินจะไม่ไหวแล้ว เดินช้ามากครับ แต่นับว่าดี ที่กตัญญูพาพ่อมาเที่ยวด้วย อีกเรื่องลืมบอกไป เส้นทางศึกษาธรรมชาติจะมียุงครับ ผมมาดูที่ขาอีกที ยุงตัวอ้วนเชียว(เดี๋ยวคงกระอักเพราะเลือดผมเป็นพิษครับ พิษรัก 555)

สวนกับน้องปุ๊ย(อีกแล้ว) พี่โหน่งถ่ายรูป โดยมีผมสาระแน ยืนเป็นฉากหลักให้ (ป่านนี้น้องคงรู้แล้วล่ะ55)

ด้านหน้า เจอพี่สาวเอ็มกับสาวสวมหมวก ท่าทางมาดำผิวน้ำครับ เห็นถือ Fin มาด้วย ตอนนี้คนเยอะจริงๆ เดินไปเจอพี่พูห์ เธอบอกว่ายน้ำมาครับ(จริงหรือเปล่า ต้องถามอีกทีครับ)

พี่พูห์แนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของเธอ ผิวขาว ดูน่ารัก รูปร่างผอมบาง เธอมากับเรือวีนัส มารีน่าครับ

ทยอยกันกลับเรือครับ เราไปส่งสาวคนนี้ที่เรือ วีนัส มารีน่าด้วย เธอเล่าว่า เจอกระเบนราหูและกระเบนนกด้วยล่ะ ที่เกาะตาชัยและเกาะบอน แต่ไม่ได้เจอทุกคนนะ เจอบางคน บางชุดเท่านั้นเอง นับว่าเธอโชคดีมากๆครับ(ได้ยลโฉม เรือวีนัส มารีน่า คงมีโอกาสได้มาดำน้ำด้วยนะ)

มากินอาหารว่างดีกว่า หิวแล้ว ซาลาเปาไส้ครีบ+หมูแดง และขนมจีบกุ้ง+ปูครับ

ไดฟ์ต่อไป เป็นไดฟ์สุดท้าย เราจะลงดำน้ำกันที่เกาะเจ็ด หากใครสนใจไปดูปลากบที่เรือจม(30 กว่าเมตร) ครูปรีชาจะพาไปดู แต่ผมไม่อยากไปแล้วครับ ว่าจะไปถึงทุ่น อากาศผมคงจะเหลือน้อยละมั้ง ขอดำตื้นๆดีกว่า มีชุดของ ครูนิ้ม จะดำน้ำตรงจุดที่ตื้น เพื่อถ่ายรูปกัน กลุ่มของครูตุ๊ก ครูเอ๋ ก็ลงตรงที่ตื้นเช่นเดียวกันครับ

ผมบอกพี่โหน่งว่า ถ้าอยากจะไปดูปลากบก็ได้ ให้แกไปกับพี่ตาม ส่วนผมจะอยู่แถวนี้ พี่โหน่งไม่อยากไปครับ อยากอยู่ตรงตื้นๆนี้เหมือนกัน (ส่วนลีดเดอร์ ตามใจไดฟ์เวอร์ครับ ไปไหนไปกัน)

ไดฟ์สุดท้าย ผมอยากดำแบบสบายๆ ครับ ไม่อยากลงลึกแล้วน่ะ อีกอย่าง พรุ่งนี้เช้าผมกับพี่โหน่งกลับเครื่องบินเที่ยวแรก มีเวลาพักน้ำนานๆก็ยิ่งดี(ยิ่งลงไปลึก ก็มีไนโตรเจนซึมเข้าเส้นเลือดมากครับ)

โดยก่อนดำ ผมไม่ทราบเลยว่า ที่นี่มีอะไร การตัดสินใจไม่ไปดูปลากบที่เรือจมของผม เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆครับ



Dive 15 อลังการกับรูปปั้น 12 นักษัตร!!!


แปลกครับ ทำไมกดปล่อยลมออกจาก BCD แล้ว ไหงไม่จมล่ะ อ้าว ลืมใส่ตะกั่วนี่หว่า(มาปล่อยไก่ตอนไดฟ์สุดท้ายนี่เองครับ 555) คนอื่นลงไปหมดแล้ว ผมตีขากลับไปที่เรือ แต่น้ำตีออกมา ทำให้เข้ายาก พี่ Staff ขับดิงกี้มาส่งตะกั่วให้ผม

สบายๆครับ ระดับน้ำไม่ลึกแบบนี้ ผมชอบนัก กระแสน้ำไม่ค่อยมีด้วย ผมเห็นมนุษย์กบกำลังถ่ายรูปกัน ครูนิ้ม ทำสัญญาณเรียกให้ผมไปถ่ายรูป จัดฉากให้เรียบร้อย

จากนั้น ผมเข้าไปใกล้ๆ ปะการัง จ้องมองปลาสลิดหิน(Damsel Fish)ชนิดหนึ่งในระยะใกล้มาก พวกเขาน่ารักมากครับ ดูจะสงสัยอยู่เหมือนกันว่าตัวประหลาดที่อยู่ด้านหน้านี้เป็นใครหนอ

ปลาการ์ตูนอินเดียน(Skunk Anemonefish) ว่ายไปวนมาอยู่ในดอกไม้ทะเล จ้องมองผมอยู่เช่นกัน ผมก็จ้องมองเขาครับ สีหน้าช่างใสซื่อจริงๆ

พี่ตามเรียกให้ผมลงมาที่พื้น ชี้ไปด้านหน้า เขียนสเล๊ดบอร์ดถามผมว่า ตัวที่อยู่ด้านหน้า คือ ปลาอะไรกันแน่(ข้างๆปลิงทะเล) ผมมองอยู่นาน ไม่เห็นครับ(มีปลิงทะเล 2 ตัวครับ มิน่ามองไม่เห็น ผมมองปลิงทะเลตัวแรกอยู่น่ะ)

พอมองไปที่ปลิงทะเลตัวที่ 2 ก็ถึงบางอ้อ นี่คือ ปลาไหลสวนจุดดำ(Spotted Garden EEL)ครับ มีอยู่หลายตัวเลยล่ะ ผมเขียนกระดานเพื่อบอกพี่ตาม

ปลาไหลสวนจะขุดรูอยู่บนพื้นทราย โผล่มาเฉพาะหัวเพื่อจับกินแพลงตอนที่ผ่านมา หากเราเข้าไปใกล้ พวกเขาจะหลบลงรู จะว่าไปมาคราวนี้ก็พึ่งมาเห็นในไดฟ์สุดท้ายนี่แหละ เห็นพวกเขาที่นี่ ดูดีกว่าเห็นที่สยามโอเชี่ยนเวอร์เยอะครับ

ว่ายต่อไปเรื่อยๆ เฮ้ย!!!! นี่มันรูปปั้น 12 นักษัตร นี่นา ทำไมผมถึงตกใจขนาดนั้น(ทำอย่างกับเห็นฉลามวาฬ 555) แล้วรูปปั้น 12 นักษัตร คือ อะไร?

รูปปั้น 12 นักษัตร เป็นปะติมากรรมที่สร้างขึ้น ไว้เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ มีตั้งอยู่หลายที่ครับ เช่น ภูเก็ต เป็นต้น แต่ผมไม่คิดว่าจะได้มาเห็น เพราะไม่ทราบมาก่อนว่า อยู่จุดที่ผมดำลงมานี่ล่ะ(อยากเห็นมานานแล้วครับ)

ผมถ่ายรูปกับรูปปั้น 12 นักษัตร ตามที่ช่างภาพขยันถ่ายรูปให้ บางทีก็นั่งท่าขัดสมาธิ ซะเลย ผมสังเกตดูมีสัตว์เกาะติดอยู่เยอะเชียว ต้องมองดีๆ ถึงจะเห็นเป็นรูปครับ ก็จะมีรูปลิง รูปหญิงสาว รูปสุนัข เป็นต้น

ระหว่างที่รอรูปปั้นว่าง(มีคิวถ่ายรูปครับ รอรูปปั้นว่าง ผมจะเข้าไปดูน่ะ) ระหว่างรอ ผมนอนราบ ในลักษณะคว่ำอยู่บนพื้นทราย จ้องมองไปด้านหน้ารอดูรูปปั้นว่าง (ดูซิครับ ว่าผม Enjoy แค่ไหน)

ผมยังสำรวจที่รูปปั้นอยู่ครับ ใกล้ๆ มีปลาปักเป้าจุดฟ้า(Bluespotted Puffer) ว่ายไปอย่างช้าๆ

มาดูที่แนวปะการังกันต่อ ผมลอยตัวแบบทำท่าหัวปัก ขาชี้ฟ้า อย่างสบายๆ เพื่อสังเกตสัตว์ทะเลเหนือแนวปะการัง ขยับตัวนิดหน่อย ร่างกายก็ไปฉิวแล้วครับ

ผมเจอขวดพลาสติดเลยเก็บขึ้นมาด้วย ใช้ pointer เกี่ยวไว้ จะมีขยะในที่แบบนี้ไม่ได้

ปิดท้ายไดฟ์แสนสุข ด้วยปลาสิงโต(Common Lionfish) และ ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) ครับ

ไดฟ์นี้ผมลงไปลึกสุดก็แค่ 13 เมตร เท่านั้น เฉลี่ยก็แค่ 7- 8 เมตร จึงดำได้นานที่สุดกว่าทุกไดฟ์ครับ 61 นาทีแน่ะ

เราค่อยๆทยอย ขึ้นดิงกี้ครับ เชื่อหรือไม่ว่า 17 คน ก็สามารถยัดเข้าไปได้(นึกถึงภาพนักดำน้ำนั่งรอบๆ ดิงกี้ โดยมีอุปกรณ์ดำน้ำ คือ แท๊งค์และชุดBCDอยู่ตรงกลางนะครับ 555) ก่อนขึ้นดิงกี้ ผมลืมตัวไปหน่อย(มัวแต่ชูขยะ) ทำ pointer ตกน้ำ ปิดตำนาน 2 คน 2 คม(ต้องซื้อใหม่อีกแล้ว 555)

แต่ต้องขับอย่างช้าๆนะครับ ขับเร็วมีหวังกระเด็นตกแน่นอน(พี่สายชลเก่งมากๆ) ข้างๆมีเรือยอร์ทของชาวต่างชาติ เขาโบกมือทักทายด้วย

ทุกคนเฮฮา มีความสุขมากครับ เป็นไดฟ์สุดท้ายที่งดงามจริงๆ

เรือโชคศุลีมุ่งหน้ากลับสู่ท่าเรือรัษฎา เกาะภูเก็ต จะถึงฝั่งประมาณ ตี 2 ผมอาบน้ำ แต่งตัว ทยอยเก็บข้าวของเครื่องใช้บ้าง พรุ่งนี้ต้องไปแต่เช้าครับ ไปก่อนคนอื่นด้วย

อาหารเย็นมี ปลาหมึกและหมูทอดกระเทียมพริกไทย แกงเขียวหวานไก่มะเขือพวง ผักผัดรวมมิตรใส่กุ้ง น้ำพริก ผักสด และผลไม้รวม

ผมขอไรท์รูปลงแผ่นจากสมาชิกบนเรือ ได้มาเยอะเลยครับ นอกจากนี้ก็ไม่ลืมที่จะขออีเมล ติดต่อตามธรรมเนียม(ลืมปั้มตราของเรือ ลง log book ครับ แย่จัง)

นั่งคุยกับพี่อิ๋ว พี่อุ๋ย พี่ตู่ จึงทราบว่า พี่อุ๋ยมีเพื่อนเป็นเด็กวชิราวุธหลายคน พูดชื่อมา ผมตอบนามสกุลได้ทันที(จำได้ในเรื่องไม่เป็นเรื่องเสมอครับ555 จริงๆ ติดมาตั้งแต่สมัยเด็กน่ะครับ การจะเป็นเจ้าคน-นายคน เราก็ควรจำชื่อได้ทั้งเจ้านายและลูกน้องครับ) พอแกรู้เรื่องโรงเรียนของผม ก็เลยคุยได้ยาวเลยครับ

ฝนตก แถมมีคลื่นแรง หลายคนเมาเรือ จึงทยอยกันเข้าห้อง ผมไม่เมาเรือ และไม่อยากนอนเร็ว(แค่ 3 ทุ่มเองครับ) จึงรีบจัดของให้เสร็จ แล้วออกมาคุยกับพี่โอ๋ พี่พูห์ ครูนิ้ม พี่หนุ่ย

เดินออกไปถ่ายรูป staff ของเรือ เริ่มจากพี่ไข่นุ้ย ชายหนุ่มหน้าโหดจากนครศรีธรรมราชแต่ใจดี เดินขึ้นไปด้านหน้าเรือ จะไปถ่ายกัปตันน่ะครับ

“ตุ๊บ” ด้านหน้าเรือลื่นมากครับ ผมลื่นจากฝั่งหนึ่ง ไปอีกฝั่ง โชคดีที่ว่า มีราวกั้น ไม่งั้นผมคงตกทะเลไปแล้ว ตกทะเลตอนนี้ จบสิ้นแน่นอนครับ ทั้งมืดและไม่มีใครได้ยิน

และแล้ว ผมก็ได้รูปกัปตัน โดยแลกกับอาการเจ็บข้อมือ และก้นเปียกเล็กน้อย 555

ยังเหลือ Staff อีกหลายคน(แม่ครัวก็ยังไม่ได้ถ่าย) พอเจอตัว แม่ครัวเขินครับ(สงสัยคงไม่ค่อยมีคนบ้าๆอย่างผมมาเท่าไรนัก) แม่ครัวบอกให้ถ่ายพรุ่งนี้ เพราะต้องตื่นมาเตรียมข้ามต้มแต่เช้า โอเคครับ

แต่ละคนทยอยเข้านอนครับ ครูปรีชาพึ่งตื่นมาเก็บอุปกรณ์ เมื่อเรือเข้าฝั่งครูปรีชา เอ็มและบี จะขับรถกลับกรุงเทพทันที (อึดจริงๆเลยครับครู)

ก่อนนอน ผมเก็บ Wet Suit ลงในถุงพลาสติคที่เตรียมมา(ถุงธรรมดาใส่ไม่ได้ครับ ตัวใหญ่มาก) พรุ่งนี้ผมจะต้องกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง วันเวลาแห่งความสุขนั้น มักจะ ผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ


2 มกราคม 2551

ตื่นตี 5 ครับ น้ำท่าไม่ต้องอาบ แปรงฟันและห่วงเส้นผมอย่างเดียวพอ(สวมหมวกปิดผมฟู) เก็บของเรียบร้อย มากินข้าวต้มหมู+ไข่ลวก สุดอร่อย

ได้รูปแม่ครัว รูปพี่สายชลและพี่ Staff อีก 2 คน สมใจอยาก ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะใส่ทิปไว้ในกล่องด้วยครับ

รถตู้มารับแล้ว ผมลาพี่ๆ ที่ตื่นเช้ามาอย่างพี่โอ๋ พี่หนุ่ย ครูเอ๋ พี่เตย พี่ตู่ พี่อิ๋ว เป็นต้น ขอบคุณ Staff ของเรือที่ดูแลอย่างดี

นั่งรถตู้ออกมาจากท่าเรือรัษฎา มากับพี่โหน่งและคุณโต(มาจาก Scubanet ครับ)

ที่สนามบินภูเก็ต คนเยอะจริงๆครับ ผมเลือกโดยสาร วัน-ทู-โก บริการดีทีเดียวครับ มีน้ำดื่มและขนมด้วย หลายคนไม่กล้าขึ้น แต่ผมว่าพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสดีกว่านะ





บทส่งท้าย


เครื่องบินออกแล้ว ผมนึกถึง วัน-เวลา แห่งความสุขในทริปนี้ 15 ไดฟ์ ดำน้ำ 4 วัน แป๊บเดียวจริงๆครับ

ผมหวังว่า เรื่องราวของผม คงจะทำให้ผู้อ่านมีความสุขไม่น้อยไปกว่าผม และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดผมถึงชอบบรรยายและเล่าเรื่องยาวๆที่ไม่มีใครเขาทำกัน

ผมต้องการให้ทุกท่านสนุก ประหนึ่งว่าไปดำน้ำด้วยกันกับผม(ผมเจออะไร ผู้อ่านก็เจอด้วย)

ขอบคุณพี่ป้อมที่ห่วงใย ส่งพี่ตามมาเป็น Leader ให้ และพี่ตามก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

ขอบคุณพี่ตาม ที่ดูแลผมกับพี่โหน่งดีมากครับ

ของคุณสมาชิกร่วมทริปทุกคนกับมิตรภาพใหม่ๆ ที่ทำให้การเดินทางของผม มีความสุขอีกครั้ง

ขอบคุณคุณเสรีและ staff ของเรือโชคศุลีทุกคน ที่บริการดีมากครับ พูดตามตรง แบบไม่ได้ยกยอ ผมอาจเป็นกบในกะลา(ยังมีอีกหลายลำที่ผมยังไม่เคยไปครับ) แต่เรือ Liveaboard ที่ผมเคยไปมา ก็หลายลำอยู่ ผมว่าอาหารของโชคศุลี ดีที่สุดครับ(ความเห็นส่วนบุคคลนะครับ บางคนอาจจะว่าธรรมดาก็ได้)

และขอบคุณท่านผู้อ่าน ที่ติดตามเรื่องราวของผมครับ




Phop Payapvipapong

15 January 2008

03.01 PM

0 Comments:

Post a Comment

<< Home