Friday, June 29, 2007

ความผิดเกี่ยวกับเพศ ตอนที่ 1




เดิมที มีคนบอกให้ผมเขียนบทความเกี่ยวกับกฎหมายเหมือนกัน แต่ผมอยากเขียนเรื่องสัตว์ทะเล การดำน้ำ การท่องเที่ยวและเรื่องชีวิตประจำวันมากกว่า(อยากเขียนเกี่ยวกับอะไรที่มันไม่ใช่วิชาการ สายที่เรียนมาน่ะครับ) ด้วยเหตุนี้ละมั้ง ผมถึงยังไม่ประสบความสำเร็จในด้านการเรียนกฎหมายมากนัก อย่างไรก็ตามผมจะเขียนเฉพาะสาระสำคัญ ที่เข้าใจง่าย ให้คนที่ไม่ได้เรียนกฎหมายได้ทราบ(ขืนให้ละเอียด ยาวมากครับ) ใครเรียนกฎหมายแล้ว เห็นผมผิดพลาด กรุณาตอกย้ำ เอ้ย แก้ไขด้วยครับ เพราะสี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้งนะ




วันนี้เรามาเริ่มที่ “เรื่องข่มขืน” กันก่อน ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันแน่นอน(จะยังไม่พูดถึงกฎหมายที่แก้ไขใหม่อยู่ตอนนี้นะครับ ซึ่งผ่านการพิจารณาของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปแล้ว ไว้ตอนหน้านะ) อ่อ มีบางคำพูด อาจไม่สุภาพ ขออภัยนะครับ เพราะว่าในคำพิพากษาฏีกา เขาค่อนข้างเขียนไว้ละเอียดมาก




มาตรา 276 วรรคแรก “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้หรือโดยทำให้หญิง เข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท”




อ่านตัวบทแล้ว คงไม่งงนะครับ พอแปลความได้บ้าง คำว่า “ผู้ใด” จะเป็นชายหรือหญิงก็ได้แต่ต้องมีสภาพบุคคล ไม่ใช่หมู หมา แมว




หลายคนอาจงงว่า ผู้ชายน่ะไม่มีปัญหาแต่ผู้หญิงซิ จะข่มขืนหญิงได้ไง ถูกครับ ข่มขืนไม่ได้ แต่ผู้หญิงเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราได้นะครับ เช่น นางเอ เป็น ภริยา นายบี วันเกิดเหตุ นายบี(สามีที่ดี)ไม่อยู่บ้าน นางสาวซี จึงพานายเอฟ เข้ามาที่บ้านบอกนายเอฟให้ข่มขืนนางเอ(โดยนางเอ ไม่ยินยอม) (ถ้ายินยอมก็ไม่ใช่ข่มขืนนะครับ ข่มขืนถือเป็นความผิดอันยอมความได้ เรายังไม่พูดถึงเรื่องอายุในตอนนี้นะ ไว้ตอนต่อๆไป) นางสาวซี ยืนยิ้มแฉ่ง และช่วยจับไม่ให้นางเอดิ้นด้วย (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 250/2510)




ส่วนคำว่ากระทำชำเรา อย่างไรถือว่ากระทำชำเรา ของลับของฝ่ายชายต้องเข้าไปในช่องสังวาสของฝ่ายหญิง (คำพิพากษาฎีกาที่ 874/249) แม้เข้าไปเพียงบางส่วนเยื่อพรหมจารีไม่ขาดหรือน้ำอสุจิไม่เคลื่อนก็ตาม ก็เป็นความผิดสำเร็จ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1133/2509) (ต้องรับผิดฐานพยายามข่มขืนครับ เพราะผลไม่เกิด) ถ้าผ่านเข้าไม่ได้ แม้อสุจิเคลื่อน เยื่อพรหมจารีขาดก็เป็นเพียงพยายาม (คำพิพากษาฎีกาที่ 2009/2494)




หากกระทำแก่ช่องทางอวัยวะอื่นของหญิง เช่น กระทำแก่ทวารหนัก มิใช่ความผิดตามมาตรานี้( คำพิพากษาฎีกาที่ 1048/2518) (ผิดฐานกระทำอนาจารครับ)




“หญิง ซึ่งมิใช่ภริยาตน” ก็แสดงว่า ถ้าใช่ภริยาตน ก็ไม่ผิดฐานข่มขืนครับ




“ขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย” เป็นการใช้แรงกายภาพครับ อาจจะจับแขน จับขา เตรียมตัวพร้อม แต่ยังไม่ทำอะไรก็ผิดฐานพยายามแล้วครับ หรือว่า เอามีดมาขู่ ว่า ถ้าไม่ยอมเป็นของพี่ พี่จะแทงเธอให้ตาย อะไรแบบนี้น่ะครับ




“โดยหญิงอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้” อันนี้ตรงตัวครับ ถ้าเกิดว่า ผู้ชายขาด้วน กระดึ๊บมาช้าๆ บอกว่า พี่จะข่มขืนน้อง ผู้หญิงบอกกรี๊ด กลัว ขัดขืนไม่ได้ มันก็กระไรอยู่นะครับ(น่าสงสารมากครับ ผู้หญิงคนนี้)




“โดยทำให้หญิง เข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น” อย่างเช่น ผมเป็นจอห์น ทราโวต้า ใน face-off สลับหน้ากับ นิโคลัส เคจ เรียบร้อย เข้าไปหา ภริยาของ นิโคลัส เคจ เธอก็เข้าใจว่าผมเป็นเคจ ตอนหลัง ภริยาเคจ รู้ความจริงจะมาร้องหาฮือๆ มาฟ้องผมก็ได้ครับ (ขอเปลี่ยนเป็น เจสซิก้า อัลบ้าได้ไหมเนี่ย)




สำหรับโทษก็ตามตัวบทครับ ถ้าไม่กลัวกฎหมาย อยากติดคุก ลองดูซักตั้งก็ได้ครับ




หมายเหตุ : อาจจะไม่มีบทความนี้ทุกวันนะครับ เพราะอาจมีบทความอื่นๆ ด้วย ผมก็มีภาระต้องทำหลายอย่าง ไม่เขียนเกี่ยวกับดำน้ำ ผมก็ขาดใจตายซิครับ แต่ต้องขอบคุณพี่โอ๊บแห่ง www.nivach.net ที่ทำให้ผม เริ่มที่จะอยากเขียนเรื่องกฎหมายดูบ้างครับ

Tuesday, June 19, 2007

ทริปถ่ายรูป วัดพระนอน-ตลาดสามชุก-พิพิธภัณฑ์บ้านควาย(2)







ตลาดสามชุก

สถานๆที่นี้ผมคิดว่าจะเหมือนตลาดน้ำดำเนินสะดวก มีแม่ค้าพายเรือมา ร้องเรียกลูกค้า(ถ้าให้ดี ก็ป้อนขนมที่ปากผมด้วย ก็ดีนะครับ) เพราะอากาศร้อนแบบนี้ ผมอยากเห็นน้ำครับ

แต่ผิดครับ สองข้างทางของที่นี่ จะแบ่งๆเป็นซอยๆ คงความเป็นตลาดสมัยโบราณค่อนข้างมาก เช่น โรงแรมสมัยเก่า ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมด้านบนได้ด้วย ร้านขายขนมสมัยโบราณ ร้านตัดผม ร้านขายของเล่น(ของเล่นแต่ละอย่าง เห็นแล้วต้องร้องอ๋อ เช่น ตุ๊กตุ่น งูปลอม สารเคมีที่ใช้เป่าลูกโป่ง เป็นต้น

ผมคิดไม่ผิดที่สวมเสื้อแบบบางมา เพราะอากาศร้อนมาก แถมคนก็เยอะ ทำให้มุมในการถ่ายรูปของพี่ๆค่อนข้างลำบาก แต่สำหรับ อาหมู ผมเห็นแกถ่ายได้ทุกมุม ลอดตรงนั้น ถ่ายตรงนี้ จินตนาการสูงส่งจริงครับ

แต่ละคนหาร้านกินตามชอบ เช่น พี่ดิ้น น้องโอ๊ต กินก๋วยเตี๋ยวขึ้นบก(ถ้าจำชื่อผิดขออภัยครับ) ผมไม่ค่อยชอบที่คนเยอะๆ เลยมาเดินกับพี่ยิน เดินไปกินผัดไทยโบราณไป ส่วนพี่ยิน แกถ่ายรูปอย่างเดียวครับ(ถ้ากล้องของผมไม่เสีย คงไม่ต่างจากพี่ยินครับ )

หากให้เปรียบเทียบที่นี่กับตลาดคลองสวน 100 ปี ที่ จ. ฉะเชิงเทรา ผมว่าดีคนละแบบครับ ที่นี่มีดีที่ของกิน ในขณะที่ตลาดคลองสวน ทางเดินริมน้ำ ค่อนข้างคลาสสิคครับ(น่าจะเอามารวมกันนะ ผมว่า )

ผมได้ยินผู้สูงอายุคนหนึ่ง ยืนอยู่หน้าร้านขายขนมหวาน สีหน้าเปื้อนรอยยิ้มและพูดว่า “ตอนสมัยพ่อนะ แบบนี้ พ่อชอบมากเลย” ผมเดินฟังแล้วหันไปมอง นี่เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของตลาดสามชุกครับ ที่ควรจะต้องมีอยู่และอนุรักษ์ไว้

เดินผ่านร้านจักรยาน ผมสะดุดตากับที่สูบลมจักรยาน(คิดว่าจะเอามาใช้ที่บ้านครับ) และลูกสาวร้านจักรยานก็หน้าตาค่อนข้างดี(อันนี้คงเอามาใช้ที่บ้านไม่ได้เพราะจะโดนพ่อของเธอขว้างล้อจักรยานใส่แน่ๆ) ถามราคาตอนแรก กระบอกสูบเล็กแพงกว่ากระบอกสูบใหญ่เพราะใช้แรงน้อยกว่า ผมจึงกลับมาอีกรอบ ตัดสินใจซื้อกระบอกสูบใหญ่ซึ่งถูกกว่า และใช้แรงเยอะกว่า

ถามว่าซื้อมาทำไม ที่กรุงเทพก็มี ก็จริงครับ แต่ผมเห็นแล้วอยากซื้อมาใช้ประโยชน์ แถวบ้านก็มีร้านจักรยาน แต่เห็นที่นี่ก็โอเค เลยตัดสินใจซื้อก็เท่านั้นเองครับ(ลูกสาว มีส่วนนีส...นึง) นอกจากนี้ ผมก็ได้หมี่กรอบและสาลี่ สุพรรณมาฝากที่บ้านด้วย(พี่นัท 30 นิ้ว แกได้น้ำมะนาวมาด้วยครับ ถ้าเห็นฉลากหลายคนอาจไม่กล้าทาน แต่ผมว่ารสชาดดีครับ)

ก่อนกลับ ผมแวะกินร้านกาแฟกับพี่เท็น พี่นัท 30 นิ้ว พี่อ้อ พี่ป้อมและพี่ตาม ซึ่งรสชาดดีที่เดียว ลูกค้าที่พึ่งเดินออกไป บอกว่า “มากิน สตาร์บั้ก ที่ตลาดสามชุก” ผมชอบคำนี้จริงๆครับ

พี่ตาม ไอเดียแกดีครับ ซื้อสิ่งของที่มีตาข่าย คล้ายอวนดักปลา ถามว่าซื้อไปทำไม แกบอก “เอาไป เก็บขยะใต้ทะเล” เห็นไหมครับว่าไอเดียดีมากๆ

จุดหมายปลายทางของเราสำหรับที่ต่อไป คือ พิพิธภัณฑ์บ้านควาย ครับ(ถ้าไม่สุภาพ ผมจะเรียก “กระบือ” ฮ่าๆๆ)


พิพิธภัณฑ์บ้านควาย

เรามาช้าไป กว่า 10 นาที เพราะเลา 14.30 จะมีการแสดง แต่ก็ยังทันนะครับ ได้ยินเสียงเด็ก ร้องเพลงมาแต่ไกลๆ เราจึงไม่รอช้า รีบเดินไปจนถึงลานแสดง

เด็กๆ กำลังร้องเพลง แต่งตัวสมัยโบราณ เล่นม้าก้านกล้วย งูกินหาง เมื่อนัทนั่งลง เด็กเหล่านั้นจึงชวนเธอลงไปเล่นเกมด้วย พร้อมกับนักท่องเที่ยวอีก 2 คน ที่นั่งรออยู่แล้ว(น้องนี่ ไม่ธรรมดานะ หาแต่สาวๆ ไปเล่นเกมทั้งนั้นเลย ฮ่าๆๆ)

เกมในตอนนี้ คือ “มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไปโน้นมานี่ ฉันจะตีก้นเธอ” ผมเชื่อว่าหลายๆคน คงเคยเล่น จะมีการนั่งล้อมเป็นวงกลม โดยมีคนถือผ้าอยู่ด้านนอก หากวางผ้าไว้ที่ใคร คนนั้นต้องรีบลุกขึ้นมานำผ้าไปตีคนที่วางให้ทัน ไม่งั้นก็ต้องเป็นในตานั้นๆต่อไป แล้วนำผ้าไปวางที่คนอื่นแทน สลับไป-สลับมาแบบนี้ไปเรื่อยๆ

ความสนุกอยู่ที่ คนที่นั่งมองไม่เห็นว่า ผ้ามาวางอยู่ข้างหลังตัวเองตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ด้านหลังแล้ว ก็ต้องรีบลุกเพื่อนำผ้าไปตีคนที่วาง คนที่วางก็รีบวิ่งหนีแล้วหาที่นั่งให้ทัน

จากนั้นเป็นการแสดงของเหล่าควาย(ขอใช้คำนี้นะครับ พื้นบ้านดี) เช่น การยกขา การยิ้มแยกเขี้ยว การขึ้นบันไดของควาย เป็นต้น ผมค่อนข้างจะชื่นชมถึงความฉลาดของพวกเขา สัตว์ที่ใครๆมักเรียกเพื่อมาเปรียบกับคนที่ไม่ฉลาด ผมว่าจริงๆ พวกเขาฉลาดนะครับ

ตรงกันข้าม ผมเห็นภาพที่ไม่ค่อยดีนัก ควายที่อยู่ใกล้ผมที่สุด ชื่อ “กระรอก” ถูกคนเลี้ยงควายคนหนึ่ง ใช้ฝ่ามือ ตบอย่างรุนแรง โทษฐานที่ไม่ทำตาม กระรอกทำตาปิด แสดงสีหน้าอย่างเจ็บปวด ก่อนจะถูกดึงออกไป ผมว่า คนเหล่านี้ต่างหาก ควรจะถูกเรียกว่า “ควาย” เพราะหากินกับสัตว์ มี มือ มีเท้าครบ 32 ประการ แต่ทำอาชีพที่ทำให้อีกหนึ่งชีวิตต้องเจ็บปวด(น่าก้านคอ ไอ้เตี้ย จริงๆครับ อ่อ คนที่ใช้ฝ่ามือตบ มีรูปร่างเตี้ยน่ะครับ)

ก่อนออก ผมบริจาคเงินไปด้วย(มาคิดอีกที ไม่รู้ ทำถูกหรือเปล่าที่บริจาคเงินไปครับ เพราะเหมือนกับ การซื้ออาหารให้ช้าง ที่หลายคนคิดว่าได้บุญ จริงๆ ไม่ใช่เลย )

ผมเดินออกไปด้วยความรู้สึกเดียวกับพี่โอ๊บและพี่อ้อ คือ สงสารหนึ่งชีวิตที่ถูกทารุณ

จากนั้น เราขึ้นไปถ่ายรูปบนบ้านเรือนไทยหลังหนึ่ง ที่คงความเป็นโบราณดีจริงๆ มีตุ่มสำหรับล้างเท้า(ใครจะเล่นมุข ไว้ดื่มน้ำก็ได้นะครับ) ด้านบน มีกระจกโบราณ ที่ดูแล้ว เสียวสันหลังวาบ กลัวว่าใช้มือแตะแล้วจะเข้าไปในกระจก(ท่าทาง เอ็งดูละครมากนะ ไอ้น้อง) มีหมอนอิง สำหรับให้เจ้าขุนมูลนาย นอนเล่น (มีถาดผลไม้ ไว้ให้นางสนม ป้อนด้วยนะครับ)

วิวถ่ายรูปเยอะแบบนี้ มีหรือช่างกล้องจะพลาด ทุกคน ยิงกันใหญ่(ถ่ายรูปนะ ไม่ได้ยิงจริงๆ) เหล่านางแบบก็คอยโพสท่า(ช่างกล้องต้องการรูปมากครับ) ส่วนผมขอเอนตัวลงนอนและมองดูบรรยากาศแบบนี้ดีกว่าครับ

ฝนใกล้ตก เราเดินทยอยออกไปด้านนอก ผมเห็นอาหมู มองใบไม้สีเหลืองที่ตกอยู่ พร้อมที่จะหามุมมองและถ่ายทันที(มือ โปรต้องแบบนี้จริงครับ หาอะไรๆถ่ายได้ตลอด)

ด้านนอก มีรูปของพวกเรา ใส่จานเต็มไปหมด(เดี๋ยวนี้ มักมีช่างภาพมาถ่ายรูปไว้แบบนี้ ก่อนเริ่มเข้าชมงานครับ ใครอยากได้เป็นที่ระลึก ก็ต้องจ่ายเงิน ใครไม่เอา เขาก็ไม่บังคับ)

เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ด้านหน้า ก่อนไปรับประทานอาหารเย็นกันที่ร้าน “เรือนแพ ครัวสุพรรณ” มีทั้งเมนูปลา เมนูกุ้ง กินกันเต็มที่ครับ อาหารก็อร่อย แน่นอนว่า ราคาก็เต็มที่เช่นเดียวกัน

สิ้นสุดทริปถ่ายรูปครั้งแรกของผมครับ ใช้เวลาไม่นาน แต่เป็นเวลาที่ดีเสมอ(พี่เอ ติดใจ ยังไม่อยากกลับเลยครับ)

อยากให้ทุกคน ลองมาเที่ยวนะครับ ถือว่า เป็นการผ่อนคลาย 1 สัปดาห์ของการทำงานได้ดี ไม่ไกลจากกรุงเทพด้วย

ทำงานมากจนไม่ได้พัก มีเงินใช้เยอะ แต่ก็ไม่มีความสุข เครียดเปล่าๆ

ใครบอกว่า มีเงินเยอะ ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด ก็แล้วแต่พวกเขาครับ

ผมไม่เชื่อ และไม่เอาด้วยคนหนึ่งล่ะครับ




Phop Payapvipapong

18-06-2007

02.03 pm


Monday, June 18, 2007

ทริปถ่ายรูป วัดพระนอน-ตลาดสามชุก-พิพิธภัณฑ์บ้านควาย(1)







ไม่บ่อยครั้งนัก สำหรับคนกรุง(ที่อยากเป็นชาวเล)อย่างผม ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดโดยไม่ใช่จังหวัดที่ติดทะเล หากจะไปเท่าที่จำได้ ก็ต้องมีธุระจริงๆ เช่น ไปงานบวชเพื่อน ไปสัมมนากับที่ทำงาน เป็นต้น

ก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์ ผมพลาดการไปทดสอบ dive computer .ในทะเล(ที่พึ่งซื้อมาใหม่) เพราะต้องนอนเฝ้าคุณแม่ที่โรงพยาบาล แต่ก็ไม่เป็นไรครับ วันพระไม่ได้มีหนเดียว อีกอย่าง ผมต้องตระหนักดีว่า สิ่งไหนที่สำคัญกว่า?

ถ้าพูดถึง ทริปถ่ายรูป แน่นอนครับว่าทุกคนก็ต้องมีกล้องติดตัวไป โชคร้ายของผมเกิดตรงที่กล้องดิจิตอลเกิดเสียมาอย่างกระทันหัน(ลักษณะหน้าจอ LCD มีรูปผ้าม่านขึ้นตลอดเวลาครับ ถ่ายอะไรก็ติดแต่ผ้าม่าน เป็นไปได้ว่าอาจจะโดนของ!!!)

แต่เอาเถอะครับ ใช้กล้องจากมือถือก็ได้ แม้คุณภาพจะเทียบกันไม่ได้ก็ตาม(คิดเอาไว้ว่า ถ่ายแบบขำๆแล้วกัน)

ไปคราวนี้ แม้จุดหมายปลายทางจะไม่ใช่ทะเล แต่เหล่าสมาชิก ต่างก็เป็นนักดำน้ำ มีความผูกพันกับท้องทะเล

เรียกว่า “มนุษย์กบเหยียบแผ่นดิน” คงไม่ผิดนัก


17 มิถุนายน 2550

หลังจากนัดเจอพี่หนิงและพี่โอ๊บ เรามารวมตัวกับที่บ้านพี่ต่อ ที่นี่ ผมเจอสมาชิกเก่าที่คุ้นหน้ากันดีอยู่ คือ พี่ต่อ พี่ดิ้น พี่เอ น้องโอ๊ต ส่วนอีกสองคน คือ พี่แป้ง(เพื่อนพี่เอ) ที่จะมาร่วมทริปถ่ายรูปในวันนี้ด้วย และ อาหมู(หรือพี่หมู)แห่งชุมพรคาบาน่า ที่ผมเคยคุยกับแกอยู่นานในโลกไซเบอร์สเปช แต่พึ่งเคยเจอตัวจริงก็วันนี้ ฝีมือการถ่ายรูปของอาหมู อยู่ในขั้นสุดยอด ผมเคยเข้าไปดูใน multiply ของอาหมูอยู่บ่อยๆ การมาในวันนี้ของอาหมู ถือเป็นการสอนถ่ายรูปให้รุ่นน้องๆด้วย

เมื่อสมาชิกพร้อม เราออกเดินทางไปปั้มเจท(อย่าแม้แต่จะพูดต่อ เพราะไม่สุภาพ เดี๋ยวโดนแบน คิดในใจเฉยๆครับ) เพื่อไปนัดเจอกับรถตู้อีกคัน ที่มีพวกเหล่าสมาชิกโดยสารมา

ระหว่างรอ แต่ละคนก็หาอะไรใส่ท้อง ผมเลือกข้าวกระเพราเนื้อ ไข่ดาว อุ่นไมโครเวฟของที่นี่ มีความพิเศษ ไม่เหมือนที่ไหนๆ เพราะเขาจะทำไว้อยู่แล้ว เพียงแต่เราเข้าไมโครเวฟ ไม่กี่นาทีก็อร่อย แถมข้าวก็นิ่ม ไม่ร้อนจนเกินไป(อยากรู้ ต้องลองครับ)

ขึ้นชื่อว่า มากับกลุ่มดำน้ำ ไม่คุยเรื่องทะเลก็แปลกครับ ผมและพี่ต่อ เราพูดถึง Bull Shark หรือเจ้าฉลามหัวบาตร(ผมชอบเรียกฉลามวัวครับ) ที่มีอยู่จำนวนหนึ่ง แถวกองชุมพร เกาะเต่า อยากเห็นซักครั้ง แม้จะมีความก้าวร้าวค่อนข้างมาก แต่ส่วนตัว ผมเชื่อว่า ถ้าเราไม่ยุ่งกับเขา เขาก็คงไม่ยุ่งกับเรา ควรจะกลัวปลาวัวไตตัน Titan Triggerfish ที่ชอบงับนักดำน้ำอยู่บ่อยๆ มากกว่า

ส่วนน้องโอ๊ตพูดถึง หอยที่ผมโพสไว้ในวันก่อนว่า คล้ายหอยเต้าปูน จริงๆ เป็นหอยสังข์จุกพราหมณ์ครับ ในแฟนพันธุ์แท้เปลือกหอยในวันศุกร์ที่ผ่านมาก็มีรูป ผมเห็นลักษณะแล้วจำได้ทันที

ไม่นานนัก รถตู้อีกคันก็มาถึง ผมเจอพี่ป้อม พี่จิน พี่ยิน พี่อ้อ พี่เทน พี่ปอ พี่นัท 30 นิ้ว (ผู้มีพระคุณ ที่ช่วยไม่ให้ผมติดอยู่ในห้องน้ำของเรือ) หมอเดียร์ พี่ตาม(AIS) และนัท อีกหนึ่ง Staff ของชมรมดำน้ำลึก AIS เช่นกัน

พี่เอ ขำมากครับ แกเอาหน้ากากนักดำน้ำ(Mask) มาใส่ด้วย แสดงให้เห็นว่า เราขึ้นจากน้ำมาเที่ยวบนบกจริงๆ(จริงๆ เราขึ้นมาจากเรือของเดวี่ โจนส์ ใน Pirates Of The Carribien ใช่ไหมพี่ ที่สามารถเหยียบเกาะได้วันเดียวน่ะ ฮ่าๆๆ)


วัดพระนอน

เวลา ชั่วโมงกว่า เรามาถึง วัดพระนอน จ. สุพรรณบุรี ผมค่อนข้างจะคุ้นเส้นทางพอสมควร เพราะมาไหว้บรรพบุรุษ เช่น คุณปู่ คุณย่า ในวันหยุดของชาวจีนอยู่บ่อยๆ (เชงเม้ง, ตรุษจีน น่ะครับ)

ในตอนแรก เราจะไปวัดป่า เลไลย์ แต่พี่คนขับบอกว่า ช่วงนี้ คนจะเยอะเพราะกำลังมีปลุกเสก จตุคาม รามเทพ (ย้ำนะครับ ไม่ใช่ จตุคำ อันนั้นของพระพยอมครับ)

บรรยากาศในวัดพระนอน ค่อนข้างเงียบสงบ มีต้นไม้ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ พี่เทนแจกพวงมาลัยให้น้องๆ สำหรับไหว้พระ ด้านในพระอุโบสถ อันเป็นที่ประดิษฐานของพระนอน ทุกคนตั้งจิตอธิษฐานและถ่ายรูป ตามมุมที่ถูกใจ

ผมคิดเหมือนพี่จินว่า นึกว่าพระนอนจะใหญ่กว่านี้ เป็นไปได้ว่า ผมอาจจะติดภาพพระนอนในนิตยสารท่องเที่ยวมากไปก็ได้(ถ้าจะนับจริงๆ ในประเทศไทย ผมว่ามีหลายที่ครับ ไม่ต่างอะไรกับชื่อเกาะ ที่มักจะมีหลายๆที่ ยัง โยงเข้าเรื่องทะเลจนได้ฮ่าๆๆ)

ด้านนอก ตรงข้ามพระอุโบสถ มีแพสำหรับให้อาหารปลาอยู่ น่าจะเป็นพวกปลาสวาย สังเกตว่ามีปานสีขาวบนหัวทุกตัว ถึงตอนนี้ทุกคนก็มีความสุขกับการให้อาหารปลา ถ่ายรูป และกระโดดหนีน้ำที่กระเด็นเวลาให้อาหารปลา

ผมคิดว่า นัท เพื่อนร่วมงานพี่ตาม อายุคงพอๆกัน ที่ไหนได้ เธออ่อนกว่าผมเสียอีก เป็นข้อพิสูจน์ว่า คนเราดูจากภายนอกไม่ได้ครับ(ต้องได้รู้ ได้เห็น ได้ยินเรื่องนั้นมาด้วยตนเอง จึงเป็นประจักษ์พยาน ศาลจะรับฟัง เฮ้ย ชักเลอะเทอะ เอากฎหมายมาปนอีกแล้ว ฮ่าๆ)

เราใช้เวลาที่นี่ไม่นานนัก จากนั้นเราจึงเดินทางไปยังตลาดสามชุก