Tuesday, June 19, 2007

ทริปถ่ายรูป วัดพระนอน-ตลาดสามชุก-พิพิธภัณฑ์บ้านควาย(2)







ตลาดสามชุก

สถานๆที่นี้ผมคิดว่าจะเหมือนตลาดน้ำดำเนินสะดวก มีแม่ค้าพายเรือมา ร้องเรียกลูกค้า(ถ้าให้ดี ก็ป้อนขนมที่ปากผมด้วย ก็ดีนะครับ) เพราะอากาศร้อนแบบนี้ ผมอยากเห็นน้ำครับ

แต่ผิดครับ สองข้างทางของที่นี่ จะแบ่งๆเป็นซอยๆ คงความเป็นตลาดสมัยโบราณค่อนข้างมาก เช่น โรงแรมสมัยเก่า ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมด้านบนได้ด้วย ร้านขายขนมสมัยโบราณ ร้านตัดผม ร้านขายของเล่น(ของเล่นแต่ละอย่าง เห็นแล้วต้องร้องอ๋อ เช่น ตุ๊กตุ่น งูปลอม สารเคมีที่ใช้เป่าลูกโป่ง เป็นต้น

ผมคิดไม่ผิดที่สวมเสื้อแบบบางมา เพราะอากาศร้อนมาก แถมคนก็เยอะ ทำให้มุมในการถ่ายรูปของพี่ๆค่อนข้างลำบาก แต่สำหรับ อาหมู ผมเห็นแกถ่ายได้ทุกมุม ลอดตรงนั้น ถ่ายตรงนี้ จินตนาการสูงส่งจริงครับ

แต่ละคนหาร้านกินตามชอบ เช่น พี่ดิ้น น้องโอ๊ต กินก๋วยเตี๋ยวขึ้นบก(ถ้าจำชื่อผิดขออภัยครับ) ผมไม่ค่อยชอบที่คนเยอะๆ เลยมาเดินกับพี่ยิน เดินไปกินผัดไทยโบราณไป ส่วนพี่ยิน แกถ่ายรูปอย่างเดียวครับ(ถ้ากล้องของผมไม่เสีย คงไม่ต่างจากพี่ยินครับ )

หากให้เปรียบเทียบที่นี่กับตลาดคลองสวน 100 ปี ที่ จ. ฉะเชิงเทรา ผมว่าดีคนละแบบครับ ที่นี่มีดีที่ของกิน ในขณะที่ตลาดคลองสวน ทางเดินริมน้ำ ค่อนข้างคลาสสิคครับ(น่าจะเอามารวมกันนะ ผมว่า )

ผมได้ยินผู้สูงอายุคนหนึ่ง ยืนอยู่หน้าร้านขายขนมหวาน สีหน้าเปื้อนรอยยิ้มและพูดว่า “ตอนสมัยพ่อนะ แบบนี้ พ่อชอบมากเลย” ผมเดินฟังแล้วหันไปมอง นี่เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของตลาดสามชุกครับ ที่ควรจะต้องมีอยู่และอนุรักษ์ไว้

เดินผ่านร้านจักรยาน ผมสะดุดตากับที่สูบลมจักรยาน(คิดว่าจะเอามาใช้ที่บ้านครับ) และลูกสาวร้านจักรยานก็หน้าตาค่อนข้างดี(อันนี้คงเอามาใช้ที่บ้านไม่ได้เพราะจะโดนพ่อของเธอขว้างล้อจักรยานใส่แน่ๆ) ถามราคาตอนแรก กระบอกสูบเล็กแพงกว่ากระบอกสูบใหญ่เพราะใช้แรงน้อยกว่า ผมจึงกลับมาอีกรอบ ตัดสินใจซื้อกระบอกสูบใหญ่ซึ่งถูกกว่า และใช้แรงเยอะกว่า

ถามว่าซื้อมาทำไม ที่กรุงเทพก็มี ก็จริงครับ แต่ผมเห็นแล้วอยากซื้อมาใช้ประโยชน์ แถวบ้านก็มีร้านจักรยาน แต่เห็นที่นี่ก็โอเค เลยตัดสินใจซื้อก็เท่านั้นเองครับ(ลูกสาว มีส่วนนีส...นึง) นอกจากนี้ ผมก็ได้หมี่กรอบและสาลี่ สุพรรณมาฝากที่บ้านด้วย(พี่นัท 30 นิ้ว แกได้น้ำมะนาวมาด้วยครับ ถ้าเห็นฉลากหลายคนอาจไม่กล้าทาน แต่ผมว่ารสชาดดีครับ)

ก่อนกลับ ผมแวะกินร้านกาแฟกับพี่เท็น พี่นัท 30 นิ้ว พี่อ้อ พี่ป้อมและพี่ตาม ซึ่งรสชาดดีที่เดียว ลูกค้าที่พึ่งเดินออกไป บอกว่า “มากิน สตาร์บั้ก ที่ตลาดสามชุก” ผมชอบคำนี้จริงๆครับ

พี่ตาม ไอเดียแกดีครับ ซื้อสิ่งของที่มีตาข่าย คล้ายอวนดักปลา ถามว่าซื้อไปทำไม แกบอก “เอาไป เก็บขยะใต้ทะเล” เห็นไหมครับว่าไอเดียดีมากๆ

จุดหมายปลายทางของเราสำหรับที่ต่อไป คือ พิพิธภัณฑ์บ้านควาย ครับ(ถ้าไม่สุภาพ ผมจะเรียก “กระบือ” ฮ่าๆๆ)


พิพิธภัณฑ์บ้านควาย

เรามาช้าไป กว่า 10 นาที เพราะเลา 14.30 จะมีการแสดง แต่ก็ยังทันนะครับ ได้ยินเสียงเด็ก ร้องเพลงมาแต่ไกลๆ เราจึงไม่รอช้า รีบเดินไปจนถึงลานแสดง

เด็กๆ กำลังร้องเพลง แต่งตัวสมัยโบราณ เล่นม้าก้านกล้วย งูกินหาง เมื่อนัทนั่งลง เด็กเหล่านั้นจึงชวนเธอลงไปเล่นเกมด้วย พร้อมกับนักท่องเที่ยวอีก 2 คน ที่นั่งรออยู่แล้ว(น้องนี่ ไม่ธรรมดานะ หาแต่สาวๆ ไปเล่นเกมทั้งนั้นเลย ฮ่าๆๆ)

เกมในตอนนี้ คือ “มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไปโน้นมานี่ ฉันจะตีก้นเธอ” ผมเชื่อว่าหลายๆคน คงเคยเล่น จะมีการนั่งล้อมเป็นวงกลม โดยมีคนถือผ้าอยู่ด้านนอก หากวางผ้าไว้ที่ใคร คนนั้นต้องรีบลุกขึ้นมานำผ้าไปตีคนที่วางให้ทัน ไม่งั้นก็ต้องเป็นในตานั้นๆต่อไป แล้วนำผ้าไปวางที่คนอื่นแทน สลับไป-สลับมาแบบนี้ไปเรื่อยๆ

ความสนุกอยู่ที่ คนที่นั่งมองไม่เห็นว่า ผ้ามาวางอยู่ข้างหลังตัวเองตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ด้านหลังแล้ว ก็ต้องรีบลุกเพื่อนำผ้าไปตีคนที่วาง คนที่วางก็รีบวิ่งหนีแล้วหาที่นั่งให้ทัน

จากนั้นเป็นการแสดงของเหล่าควาย(ขอใช้คำนี้นะครับ พื้นบ้านดี) เช่น การยกขา การยิ้มแยกเขี้ยว การขึ้นบันไดของควาย เป็นต้น ผมค่อนข้างจะชื่นชมถึงความฉลาดของพวกเขา สัตว์ที่ใครๆมักเรียกเพื่อมาเปรียบกับคนที่ไม่ฉลาด ผมว่าจริงๆ พวกเขาฉลาดนะครับ

ตรงกันข้าม ผมเห็นภาพที่ไม่ค่อยดีนัก ควายที่อยู่ใกล้ผมที่สุด ชื่อ “กระรอก” ถูกคนเลี้ยงควายคนหนึ่ง ใช้ฝ่ามือ ตบอย่างรุนแรง โทษฐานที่ไม่ทำตาม กระรอกทำตาปิด แสดงสีหน้าอย่างเจ็บปวด ก่อนจะถูกดึงออกไป ผมว่า คนเหล่านี้ต่างหาก ควรจะถูกเรียกว่า “ควาย” เพราะหากินกับสัตว์ มี มือ มีเท้าครบ 32 ประการ แต่ทำอาชีพที่ทำให้อีกหนึ่งชีวิตต้องเจ็บปวด(น่าก้านคอ ไอ้เตี้ย จริงๆครับ อ่อ คนที่ใช้ฝ่ามือตบ มีรูปร่างเตี้ยน่ะครับ)

ก่อนออก ผมบริจาคเงินไปด้วย(มาคิดอีกที ไม่รู้ ทำถูกหรือเปล่าที่บริจาคเงินไปครับ เพราะเหมือนกับ การซื้ออาหารให้ช้าง ที่หลายคนคิดว่าได้บุญ จริงๆ ไม่ใช่เลย )

ผมเดินออกไปด้วยความรู้สึกเดียวกับพี่โอ๊บและพี่อ้อ คือ สงสารหนึ่งชีวิตที่ถูกทารุณ

จากนั้น เราขึ้นไปถ่ายรูปบนบ้านเรือนไทยหลังหนึ่ง ที่คงความเป็นโบราณดีจริงๆ มีตุ่มสำหรับล้างเท้า(ใครจะเล่นมุข ไว้ดื่มน้ำก็ได้นะครับ) ด้านบน มีกระจกโบราณ ที่ดูแล้ว เสียวสันหลังวาบ กลัวว่าใช้มือแตะแล้วจะเข้าไปในกระจก(ท่าทาง เอ็งดูละครมากนะ ไอ้น้อง) มีหมอนอิง สำหรับให้เจ้าขุนมูลนาย นอนเล่น (มีถาดผลไม้ ไว้ให้นางสนม ป้อนด้วยนะครับ)

วิวถ่ายรูปเยอะแบบนี้ มีหรือช่างกล้องจะพลาด ทุกคน ยิงกันใหญ่(ถ่ายรูปนะ ไม่ได้ยิงจริงๆ) เหล่านางแบบก็คอยโพสท่า(ช่างกล้องต้องการรูปมากครับ) ส่วนผมขอเอนตัวลงนอนและมองดูบรรยากาศแบบนี้ดีกว่าครับ

ฝนใกล้ตก เราเดินทยอยออกไปด้านนอก ผมเห็นอาหมู มองใบไม้สีเหลืองที่ตกอยู่ พร้อมที่จะหามุมมองและถ่ายทันที(มือ โปรต้องแบบนี้จริงครับ หาอะไรๆถ่ายได้ตลอด)

ด้านนอก มีรูปของพวกเรา ใส่จานเต็มไปหมด(เดี๋ยวนี้ มักมีช่างภาพมาถ่ายรูปไว้แบบนี้ ก่อนเริ่มเข้าชมงานครับ ใครอยากได้เป็นที่ระลึก ก็ต้องจ่ายเงิน ใครไม่เอา เขาก็ไม่บังคับ)

เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ด้านหน้า ก่อนไปรับประทานอาหารเย็นกันที่ร้าน “เรือนแพ ครัวสุพรรณ” มีทั้งเมนูปลา เมนูกุ้ง กินกันเต็มที่ครับ อาหารก็อร่อย แน่นอนว่า ราคาก็เต็มที่เช่นเดียวกัน

สิ้นสุดทริปถ่ายรูปครั้งแรกของผมครับ ใช้เวลาไม่นาน แต่เป็นเวลาที่ดีเสมอ(พี่เอ ติดใจ ยังไม่อยากกลับเลยครับ)

อยากให้ทุกคน ลองมาเที่ยวนะครับ ถือว่า เป็นการผ่อนคลาย 1 สัปดาห์ของการทำงานได้ดี ไม่ไกลจากกรุงเทพด้วย

ทำงานมากจนไม่ได้พัก มีเงินใช้เยอะ แต่ก็ไม่มีความสุข เครียดเปล่าๆ

ใครบอกว่า มีเงินเยอะ ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด ก็แล้วแต่พวกเขาครับ

ผมไม่เชื่อ และไม่เอาด้วยคนหนึ่งล่ะครับ




Phop Payapvipapong

18-06-2007

02.03 pm


0 Comments:

Post a Comment

<< Home