Tuesday, January 10, 2006

สิมิลัน...ฉันรักเธอ(2)

ปลากระเบนจุดฟ้า และปลาไหลสวน
น้ำทะเลสวยๆที่สิมิลัน

ไข่มุกอันดามัน สวรรค์เมืองใต้ บารมีหลวงพ่อแช่ม…..

เป็นคำขวัญของจังหวัด ที่เรามักจะคุ้นหูอยู่ตลอด หลังจากเกิดสึนามิ ผมก็ยังไม่เคยมาเยือนที่นี่อีก(ยิ่งพี่ชายคนโต ไปศึกษาต่อ การมาที่นี่จึงไม่ค่อยบ่อยเหมือนเคย)

ป้ายทางเข้าหาดไม้ขาว ผ่านไป ต่อด้วย หาดสุรินทร์ หาดป่าตอง ด้านหน้าของผม คือ อนุเสาวรีย์ของคุณหญิงจันและคุณหญิงมุก 2 วีรสตรี ผู้กล้าหาญ ผมขอพรให้ท่านช่วยคุ้มครองผมและทุกๆคนตลอดการเดินทาง ขอให้อากาศดี ฝนไม่ตกด้วย

ก่อนถึงท่าเรือ เราแวะซื้อของที่เซเว่น ผมไม่แน่ใจว่าหยิบแปรงสีฟันมาหรือยัง จึงซื้ออีกเพื่อความชัวร์(คงไม่มีใครให้ผมยืมแน่นอน ของแบบนี้ของใช้ส่วนตัวครับ ฮ่าๆๆ)

ที่นี่ผมได้เจอพี่โก้(ปาปารัซซี่) ที่เดินทางมาโดยเครื่องบิน และได้เจอพี่มน และคุณหมอจินต์ มาแวะซื้อของที่นี่ด้วย (ชื่อพึ่งมาทราบตอนหลัง แต่จำหน้าได้ครับ ว่าเจอใครบ้าง)

ถึงจุดนี้ ไม่ไกลจากท่าเรือรัษฎาเท่าไร พี่โก้จึงชวนผมให้ไปด้วยกัน เพราะรถตู้ยังมีที่ว่างอีกมาก จะได้ไม่ต้องเบียดกันอีก

บนรถ มีนักดำน้ำอยู่หลายคน เมื่อทราบว่าผมนั่งรถมาจากกรุงเทพ โดยมากับอุปกรณ์ดำน้ำ แถมเบียดเสียดกัน 5 คน ต่างก็แปลกใจไปตามๆกัน(คงคิดว่า อัดกันมาได้อย่างไร)

รถเข้ามาจอดที่ท่าเรือรัษฎา ท่าเรือที่ผมคุ้นเคยดีเพราะนั่งเรือไปพีพีก็บ่อยครั้ง เมื่อลงจากรถ มีคนถามผมว่า มาเรือลำไหน ผมบอก Little Princess ซึ่งเขาดูจะงงๆอยู่ พอบอกว่าเจ้าหญิงน้อย ภาษาจึงตรงกัน(เป็นลูกเรือของเจ้าหญิงน้อยนั่นแหละ)


เข้าสู่ ชายคา Little Princess

ผมเจอพี่แจ้เป็นคนแรก พี่แจ้เป็น Divemaster ที่ชุมพรคาบาน่า ผมน่ะจำแกได้แน่นอน แกมีชื่อเสียงในด้านการหาของ เช่น ฉลามวาฬ เป็นต้น(จนบางครั้ง มีคนเรียกร้องมาว่า หากไม่มีพี่แจ้ จะไม่ไปทริปนั้น จึงบ่งบอกถึงความเก่งกาจในการหาสัตว์ทะเลของแกได้ดี)

บนเรือช่างไม่ได้ออกแบบมาให้ผมขึ้นจริงๆเพราะเพดานเรือเตี้ยมาก จนผมต้องก้มคอเดินตลอด(ก็คนส่วนใหญ่ไม่ได้สูงนี่ ไอ้โย่ง) ผมพบเจี๊ยบ หมอเดียร์ พี่พิช น้องโอ๊ต ที่มาถึงก่อนแล้ว

ไม่นานนัก พี่ป้อม พี่อ้อย ครูโก้ พี่หิ้ว ก็ทยอยตามมา

ผมไปดูห้องพักของตัวเอง ที่อยู่ในห้อง Living room ในห้องนี้ผมพักกับพี่โก้ หมอจินต์และพี่นก มีทีวีจอยักษ์อยู่ในห้องด้วย ผมยังมีรูปถ่ายคอเอียงๆเลย เป็นสัญลักษณ์ว่า เพดานมันเตี้ยจริงๆ

บนเรือผมได้เจอพี่รินทร์และพี่วรรณ(แฟนสาว) จากนั้นเป็นคุณนิค แขกซิกซ์ที่พูดไทยชัดแจ๋ว ต่อด้วยชาวต่างชาติเพียงคนเดียวบนเรือ น้าแกรม น้าเขยแท้ๆของเจี๊ยบนั่นเอง นอกจากนี้ ผมยังได้พบพี่นก(หรือยัยนก นู๋นก นกบ้า ที่พี่ป้อมชอบเรียกนั่นเอง) ล่าสุดที่ผมได้เจอพี่นก คือ เดือนเมษายน 2548 ตอนไปเรียนดำน้ำที่ชุมพรคาบาน่านั่นเอง

พี่โก้บอกให้ผมกินข้าวต้ม(ระหว่างรอนักดำน้ำทยอยมากัน) ผมนั่งกินพร้อมกับมองความหรูหราของเรือ ไม่น่าเชื่อว่า ผมจะได้มาเรือ Liveaboard จริงๆน่ะเหรอ

ผมลงมาสำรวจเรือแบบคร่าวๆ ชั้นล่างใกล้ Plat form มีอุปกรณ์ดำน้ำตั้งอย่างเป็นระเบียบ เดินตรงเข้าไปเป็นห้องน้ำ 6 ห้อง ห้องครัว เดินตรงไปอีก เป็นห้องพักของนักดำน้ำ

ชั้นสอง เป็นห้องรับประทานอาหาร มีทีวีหนึ่งเครื่อง เดินออกไปด้านหน้าจะผ่านห้อง Living room และห้องของนักดำน้ำคนอื่นๆ ด้านหน้าสุดเป็นห้องของกัปตันเรือ ผมยังเดินเข้าไปถามกัปตันเกี่ยวกับเรดาห์ต่างๆ ว่ามีประสิทธิภาพการหาปลาได้แค่ไหน ก่อนทิ้งท้ายว่า จะเข้ามาดูใหม่อย่างแน่นอน

ชั้นบนสุดเป็นชั้นดาดฟ้า บรรยากาศดีมาก ใครมานอนดูดาว ก็คงได้บรรยากาศดีๆแน่ (ถึงตอนนี้ผมหยิบกระเป๋าเสื้อผ้า ขึ้นไปวางในห้องพัก)

ใกล้ๆ เรามีเรือฐาปนาที่พึ่งแล่นออกไป(มีการจุดปะทัดก่อนออกด้วย) ด้านหน้าของเรา คือ เรือคูน เรือหรูหราอีกลำ หากเปรียบเทียบชื่อชั้น เจ้าหญิงน้อยยังใหม่ ในวงการเรือ Liveaboard แต่ของแบบนี้ไม่แน่ครับ หัวเราะทีหลังอาจจะดังกว่าก็ได้ ของแบบนี้อยู่ที่การบริการครับ

ประมาณเที่ยงคืนกว่า นักดำน้ำชุดสุดท้ายก็มาถึง พี่ฝ้ายขนของพะรุงพะรัง แน่นอนว่าของกินทั้งนั้น(นักดำน้ำทุกคนอิ่มหมีพีมันก็คราวนี้ล่ะ) นอกจากนี้ยังมีพี่ฝนและคุณหนึ่งด้วย(พี่ฝนนำ Dive Site ปรินส์สี มาด้วย สวยดีครับ)

เจ้าหญิงน้อยออกเดินทาง พร้อมเสียงปะทัดดังสนั่นขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไปด้านหน้าเรือ(ชะงักเพราะเสียงปะทัด)

ผมอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์ ช่างหรูหรามาก มีน้ำอุ่นไว้บริการ พร้อมสบู่ ยาสระผม ผ้าเช็ดตัว แม้แต่ผ้าห่มก็มีให้บริการ (รู้งี้ ไม่ขนมาให้หนักหรอก)

ครูโก้ เอาวีซีดี คอนเสริตมาเปิด มีอำพลและบิลลี่ แสดงร่วมกัน ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้นมาทันที จากนี้ไปคงต้องพึ่งวีซีดีทั้งหลาย เพราะ 4 วันนับจากนี้ไป จะไม่มีคลื่นโทรศัพท์และสัญญาณทีวี เรา(25 นักดำน้ำบวกลูกเรือและกัปตัน) จะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และอยู่ในโลกใต้ทะเลอย่างแท้จริง

ผมรู้คร่าวๆว่าเรือจะถึงสิมิลัน ประมาณ 9 โมงเช้า และเราจะลงไดฟ์แรกในทันที ตอนนี้ผมเริ่มง่วงนอน ตี 2 ครึ่งแล้ว หากไม่รีบพักผ่อน พรุ่งนี้อาจไม่สดชื่น ดำน้ำไม่สนุก

30 ธันวาคม 2548

ผมตื่นมาทันดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย จึงไม่พลาดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ ได้ยินเสียงของพี่ป้อมเป็นคนแรก แกตื่นเช้าจริงๆ ผมลงไปทำธุระยามเช้า ก่อนเปลี่ยนกางเกงขาสั้นเตรียมพร้อมสำหรับไดฟ์แรกในวันนี้

หลังจากชงโอวัณตินกับขนมปัง และกล้วย เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย พี่วิลลี่ซึ่งเป็น Boat Manager ของเรือลำนี้(เป็น Instructor ด้วย) ปูผ้าเช็ดตัวบนโต๊ะอย่างสวยงาม เพื่อจั่วไพ่ ผมก็เล่นกับเขาเหมือนกัน ทบทวนไพ่สลาฟ หลังจากที่ไม่ได้เล่นมานานโดยมีครูโก้และเจี๊ยบร่วมเล่นด้วย พี่นกเป็นคนแจกไพ่ ส่วนพี่หิ้วยังเล่นไม่เป็นจึงขอศึกษาดูก่อน

ผมจำได้ว่าคุณหนึ่งสีหน้าไม่ดีนัก รู้สึกว่าแกจะเมาเรือ(ผมจึงแนะนำให้ไปรับยาที่หมอเดียร์)

ไม่นานนักอาหารเช้า ไส้กรอก ไข่ดาว ข้าวต้ม ก็มาเสริฟ ผมจึงทานอีกรอบ ถึงตอนนี้นักดำน้ำก็เริ่มจะตื่นกันหมดแล้ว

Dive 10 ความใสของน้ำทะเล(ของแท้)!!!

เกือบ 9 โมง เรือมาจอดที่เกาะห้า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน พี่วิลลี่เริ่ม Brief ให้ฟังเกี่ยวกับไดฟ์แรกในวันนี้ว่า เราจะลงกันที่หินม้วนเดียวและสวนปลาไหล(Garden eel) ที่เรียกว่า หินม้วนเดียวเพราะว่า หากใครเอากล้องถ่ายรูปลงไป มักจะกดชัตเตอร์จนฟิลม์หมดนั่นเอง ส่วน Garden eel จะอยู่รอบนอก มีปลาไหลสวนจำนวนมาก(พวกเขามักจะชอบโผล่เฉพาะส่วนหัวออกมาจากรูบนพื้นทราย)

เราจะแบ่งกันลงเป็นชุดๆ ในวันนี้ ชุด 1และ 4 จะลงก่อน ตามด้วยชุด 2(ชุดของผม)และชุด 3 ส่วนในวันรุ่งขึ้น ชุดของผมและชุด 3 ก็จะสลับลงเป็นชุดแรกๆบ้าง

ระหว่างที่ชุดแรกลงไป ผมถ่ายรูปน้ำทะเลที่เกาะห้า สีฟ้าสด สวยงามมากครับ ไม่แปลกใจว่าเหตุใด นักท่องเที่ยว ถึงชอบสีน้ำทะเลที่สิมิลัน

ผมลงมาClean mask ด้วยแชมพูเพื่อให้หน้ากากไม่เป็นฝ้า ก่อนจะเปลี่ยน Wet Suit ซึ่งมีแต่เบอร์ L ส่วน XL เพียงตัวเดียวคงต้องให้น้องโอ๊ตเพราะตัวใหญ่กว่าผมมาก แม้จะดูแน่น(รัดรูปมาก)สำหรับผม แต่ก็ต้องใส่ ไม่งั้นหนาวๆคงไม่สนุก ส่วนน้าแกรมใส่เบอร L ไม่ได้เช่นกันจึงลงเสื้อยืด กางเกงขาสั้น

ชุดของผม มีพี่ป้อม พี่นก พี่โก้ พี่พิช เจี๊ยบ น้าแกรม เดียร์ น้องโอ๊ต

ผมกระโดดลงด้วยท่า Giant Stride จาก Plat form และหยิบแผ่นปลาสำหรับสังเกตปลาทะเลลงมาด้วย(ได้มาอีกแผ่นตอนไปงานเปิดตัว Sea Thai Sea) ที่นี่น้ำทะเลใสมาก ใสมากที่สุดตั้งแต่ที่ผมเคยดำมา(ผมว่าชุมพรก็ใสแล้วนะ) เคยแต่ได้ยินเขาพูดกันว่าน้ำที่สิมิลันใส หากไม่เห็นด้วยตาคงนึกไม่ออกว่า สามารถมองไกลได้ 15-30 เมตรอย่างสบายๆ

ผมเจอปลาสิงโต(Lion fish) 1 ตัว แต่มันอยู่ในโพรงจึงไม่ทันสังเกตชนิดว่าเป็นชนิดใด จากนั้นเจ้าปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า(Powder-blue surgeonfish) แม้จะมีจำนวนมาก พบได้บ่อยที่สิมิลันแต่ดูกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อเลยเพราะสีสันที่สวยงามของมันนั่นเอง นอกจากเห็นอีกตัวหนึ่งลำตัวออกเทาๆ ผมจำลักษณะหางได้ว่า คือหนึ่งในปลาขี้ตังเบ็ดนั่นเอง

เจ้าปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) 2 ตัว ว่ายผ่านผมไป จากนั้นผมเห็น ปลาพงเหลืองห้าเส้น(Five-lined Snapper) ตัวนี้พบบ่อยในอันดามันไม่พบในฝั่งอ่าวไทย เป็นคนละตัวกับที่ชุมพร รายนั้นคือ ปลากระพงเหลืองแถบฟ้า(Bluestripe Snapper) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันมาก

ต่อด้วยปลาโนรีครีบยาว(Lonngfin Bannerfish), ปลากะรังแดงจุดน้ำเงิน(Coral Rockcod) ,ปลานกขุนทองหลังขีดหรือปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์(Vrolik’ s Wrasse)

กลุ่มของผีเสื้อแสนสวยชื่อ ปลาผีเสื้อขาวดำ(Black Pyramid Butterflyfish),ปลาผีเสื้อปากยาว(Long-nose Buttleflyfish),ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish)

ปะการังอ่อน(Soft Coral)หนักไปทางสีม่วงเยอะ กัลปังหา(Sea Fan) ก็เยอะจริงๆ พบเห็นได้ง่ายมากที่สิมิลัน สวยงามมากครับ

ผมรู้สึกอึดอัดมาก ไม่สบายตัว ไม่สดชื่น เคลียร์หูยาก อาจจะไม่สบาย พยายามดึงWet Suit ออกมาจากรอบๆคอ น้ำก็เข้า เย็นอีก(โง่หรือเปล่าเนี่ย) ผมหายใจแบบรวดเร็ว จนอากาศหมดก่อนเพื่อนและต้องใช้ Octopus จากพี่ป้อมเป็นครั้งแรก

เมื่อขึ้นจากน้ำก็ยังมีอาการคลื่นไส้ ในลำคอ ขมอมเปรี้ยว แสดงว่า สิ่งไม่พึงประสงค์ใกล้จะออกมา(แต่ก็ไม่ออกครับ อย่าพึ่งเบือนหน้าหนี)

คนอื่นๆเห็นปลาไหลสวน(Garden eel)ทุกคน มีเพียงผมเพียงคนเดียว ที่ดำน้ำในไดฟ์แรกยังไม่ดีนัก มัวแต่ดูตัวเองซะมาก เลยทำให้พลาดโอกาสไป

ยาหมอเทวดา

เมื่อขึ้นมาพี่ป้อมบอกผมอาจตื่นเต้นเกินไปและไม่ผ่อนคลายทำให้ดำไม่สนุก ผมบอกพี่ป้อมว่า ไดฟ์หน้าช่วยลงไปชี้ให้ผมดูแบบชัดๆ ว่านั่นคือปลาไหลสวน เพราะบางครั้งผมก็บ้องตื้นน่ะครับ(พี่ป้อมบอกมีเยอะเดี๋ยวไดฟ์หน้าจะชี้ให้ดู ไอ้น้อง) ในตอนนี้อาหารกลางวันของนักดำน้ำก็เตรียมพร้อมแล้ว

ผมได้ยาแก้เมาเรือกับยาแอคติเฟดที่ทำให้เคลียร์หูง่ายขึ้นจากหมอเดียร์ ได้ผลทันตาเห็นครับ ยังกับยาหมอเทวดาเพราะจากนั้นไม่นานผมมีอาการสดชื่นขึ้นทันที

ถึงตอนนี้ความใสของน้ำทะเลก็เย้ายวนให้ผมและเพื่อนๆต้องขึ้นไปถ่ายรูปบนดาดฟ้าของเรือ แม้ฝ่าเท้าจะร้อนมากเท่าใดแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับนายแบบ-นางแบบของเรา และช่างกล้องปาปารัซซี่แต่อย่างใด

จากนั้นผมลงมาด้านล่างเพื่อมาฟังพี่วิลลี่ Brief ในไดฟ์ต่อไป


Dive 11 ปลาไหลสวนที่ 35 เมตร!!!!

จุดดำน้ำ จุดนี้เรียกว่า East of Eden จะมีกัลปังหาและปะการังอ่อนสีสันสวยงาม มี ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ(Ghost Pipefish) ปลาไหลมอเรย์(Moray eel)และถ้าโชคดีอาจมีโอกาสพบฉลามด้วย

ปรี๊ดๆๆๆๆเสียงในหูของผมเวลาเคลียร์เมื่อเปลี่ยนระดับ เสียงดังเหมือนจรวดเวลาออกจากฐาน เป็นสัญญาณดีเพราะผมเคลียร์หูได้ง่ายมาก มีความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายเมื่ออยู่ใต้น้ำ(ยาดีมาก)

ปลาวัวลายส้ม(Orange-Striped Triggerfish) พาร่างท้วมๆออกมาให้ยลโฉม ต่อด้วยปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark’ s Anemonefish) กับดอกไม้ทะเล(Sea Anemone) ที่ดูน่ารักไม่แพ้กัน นอกจากนั้นก็ยังมีปลาโนรีครีบสั้น(Singular Bannerfish) อีกด้วย

บริเวณเรือนกล้วยไม้ พี่ป้อมชี้ให้ดูปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray eel) ตัวแรกอยู่ใต้ปะการังขนาดผมทำตัวราบจนหัวจะมุดเข้าไปใต้ปะการังได้อยู่แล้ว ตาถั่วๆของผมยังมองไม่เห็นเลย(หรือหน้ากากคลีนไม่ดีหนอ อ่อ เป็นฝ้าเล็กน้อย) แต่ในที่สุดผมก็เห็นอีกตัวหนึ่ง ชูคอออกมาจากรู ปากแหลมๆนั้นน่ากลัวเชียว อย่าเอามือเข้าไปล่ะ(เคยมีนักดำน้ำเอามือเข้าไปแหย่มัน ผลคือนิ้วขาด แต่ผมไม่สงสารนักดำน้ำคนนั้นเลย อยู่ดีไม่ว่าดี)

ระหว่างว่ายเลาะผาไปเรื่อย พี่ป้อมเรียกให้ผมออกไปเดี่ยวๆ ในความลึก 35 เมตร ท่าทางแกต้องการให้ผมดูอะไรซักอย่าง

ในความลึก 35 เมตรนี้เอง ผมเห็นปลาไหลสวน(Garden eel) แต่กว่าจะเห็นพี่ป้อมต้องชี้ให้ดูแบบใกล้ๆ (มีเสียงอึ้มๆๆ ออกมาจาก เรกูเลเตอร์ เหมือนบอกว่า นั่นไง ไม่เห็นเหรอ)ต้องรอจังหวะเพราะช่วงที่พวกเขามุดลงรู จะโผล่ขึ้นมาอีก ไม่แน่ใจว่าคุ้มไหม คนอื่นเห็นกันตื้นๆ แต่ผมต้องลงมาในระดับ 35 เมตร แต่ผมว่าคุ้มล่ะครับ

โชคชั้นสอง เมื่อพี่ป้อมหันกลับเพื่อขึ้นไปยังระดับที่ตื้นขึ้น ผมยังมองดูเจ้าปลาไหลสวนอยู่ ถัดจากปลาไหลสวนไม่ไกล เหนือพื้นทรายเล็กน้อย ผมเห็นสัตว์ทะเลตัวหนึ่งกำลังกระพือปีกว่ายออกไป เขาคือปลากระเบนจุดฟ้า(Blue-spotted stingray) จากการเทียบขนาดพวกเขาจึงไม่ใช่กระเบนนกแน่นอน(รายนั้นเห็นยากกว่ามาก)

ถึงตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกมึนๆปนเมา เพราะในระดับความลึกมากๆจะมีไนโตรเจนซึมเข้าร่างกายมากจนเกิดอาการเมาไนโตรเจนได้ หากผมไม่ตามพี่ป้อมกลับไปเดี๋ยวนี้ ผมอาจจะต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป แม้ผมจะอยากดูต่อแต่ผมยังมีสติ จึงรีบหันกลับไปสู่ระดับที่ตื้นกว่าทันที

ที่ระดับ 30 เมตร พี่ป้อมเรียกให้ผมลงไปดูช่องหิน ช่องหนึ่ง สามารถมุดออกไปถ่ายรูปได้(ไม่ใช่ช่องนายแบบ-นางแบบที่มีชื่อเสียงนะครับ อันนั้นจะอยู่ที่จุดดำน้ำที่เรียกว่า หินหัวกะโหลก)

ผมมีความสุขมาก ได้เห็นปลาไหลสวน(ซะที) พี่ป้อมบอกว่าอุตสาห์ชี้ให้ดู ต้องเห็นแล้วไอ้น้อง(แกยังแซวเรื่องปลาไหลมอเรย์ยักษ์ด้วย) จากนั้นผมใช้เวลาพักผ่อน ที่นักดำน้ำส่วนใหญ่บนเรือทำกัน คือ นอนครับ(เราจะลงในทันทีไม่ได้ ต้องให้ไนโตรเจนค่อยๆซึมออกไปก่อน จึงจะสามารถดำต่อได้)

ส่วนอีกหนึ่งกิจกรรมของนักดำน้ำ(นอกจากเล่นไพ่) คือการเปิดหนังสือสัตว์ทะเลว่า ได้เจอตัวอะไรมาบ้าง มีชื่อภาษาอังกฤษว่าอย่างไร โดยมีพี่นกซึ่งเป็นขาประจำในการเปิดหนังสือเสมอๆ

0 Comments:

Post a Comment

<< Home