ตะลุย...แดนปลาดิบ(2)
มหานครโตเกียว!!!!
ผมเริ่มมองเห็นตึกสูงมากขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็เป็นบริษัทรถยนต์ บ้างก็เป็นบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า พี่ภาคินบอกว่าเรากำลังจะถึงมหานครโตเกียวแล้ว ที่เรียกแบบนั้นเพราะที่นี่เป็นเมืองใหญ่ มีมูลค่ามหาศาล
ผมจับที่กระจกข้างๆ เย็นเฉียบคงไม่ต้องบอกว่าอากาศด้านนอกเป็นเช่นไร
ตึกรามบ้านช่องดูสวยงาม สะอาดตา เป็นระเบียบ ต้นไม้ส่วนใหญ่เปลี่ยนสี แม้จะมีรถติดบ้างตามสไตล์เมืองหลวงก็ตาม บางครั้งอาจดูแออัดแต่ก็ไม่เท่ากรุงเทพ มีที่จอดรถขีดเส้นไว้ให้จอดอย่างเป็นระเบียบ
เห็นคนใส่สูทเดินตามริมถนนอย่างรีบเร่ง บางคนก็ขี่จักรยาน ตามแยกไฟแดงทุกแยก มีไฟสัญญาณสำหรับให้คนเดินถนนข้าม โดยทุกคนเคารพกฏ ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถหรือคนเดินถนนก็ตาม(บ้านเราคงโดนรถเมล์ทับตายก่อนแน่นอน)
ผมสังเกตเห็นแท๊กซี่ที่นี่ คนขับใส่สูททั้งนั้น เห็นแล้วก็ดูดีครับแต่คงเอามาใช้กับบ้านเราที่อากาศร้อนไม่ได้ โดยค่าโดยสารตกอยู่ที่ 2 กิโลเมตรแรก 550เยน(เกือบ 200 บาท) กลางคืน 2 กิโลเมตรแรก 650 เยน(200กว่าบาท)
พี่ชายคนโตของผมอาศัยอยู่ในเมืองนี้ แต่เรานัดเจอกันในวันรองสุดท้าย เมื่อเรากลับมาที่โตเกียวอีกครั้งหนึ่ง
พี่ภาคินแจกรายการขายของมาให้ดูกัน โดยใครต้องการลูกพลับต้องรีบสั่ง จะได้นำมาให้ทันในวันสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย นอกจากจะได้ราคาพิเศษแล้ว พี่ภาคินยังบอกอีกว่าลูกพลับญี่ปุ่นมีรสชาดอร่อยที่สุด(ผมก็นึกไม่ออกหรอกต้องขอกินก่อน) ส่วนรายการอื่นๆค่อยสั่งในวันรุ่งขึ้นก็ได้ รายการที่ผมเห็นแล้วสนใจมาก คือถ้วยโป๊ เวลาใส่น้ำร้อนจะมีรูปผู้หญิงปรากฏ (ผมชอบของแปลกเสียด้วยซิ ฮ่าๆๆๆ)
รถบัสของบริษัทฮิราโกะเลี้ยวซ้ายมาจอดภายในสวนสาธารณะ
สะพานประวัติศาสตร์นิชูบาชิ(สะพานสายรุ้ง)
อากาศยังคงเย็นเหมือนเดิม เมื่อผมยังอยู่ในช่วงปรับตัว หน้าตาเหยเกจึงยังมีอยู่ แต่เฉพาะเวลาเดินที่มีลมเย็นๆเท่านั้นครับ เวลาถ่ายรูปทำไม่ได้ (ต้องหล่อเข้าไว้ ฮ่าๆๆๆ) แม้จะมีแดดออกแต่ใครไม่ได้มาสัมผัสคงไม่ทราบว่า ไม่ได้ร้อนเลย ยืนกลางแดดก็ไม่ร้อน เพียงช่วยให้อุ่นขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
บางคนก็เข้าห้องน้ำ ผมถือโอกาสถ่ายรูปต้นไม้เวลาเปลี่ยนสีไว้ โดยต้นนี้มีขนาดใหญ่ สีออกน้ำตาลแก่ปนสีขาว ข้างๆผมยังถ่ายรูปรถบัสสีเหลืองของบริษัท ฮาโต(จริงๆนึกว่าเป็นรถของผมที่โดยสารมา หน้าแตกแบบเงียบๆคนเดียว)
เดินผ่านรูปปั้น คนโบราณขี่ม้าสวมชุดทำศึกแบบญี่ปุ่น ช่างน่าเกรงขามทีเดียวครับ มองไปข้างๆมีคนจำนวนหนึ่งกำลังเก็บใบไม้ที่ร่วงและตัดแต่งกิ่ง คุณพ่อบอกว่า พวกเขาบางคนทำเป็นงานพิเศษ ที่สำคัญค่าตอบแทนดีมากด้วย(อยากทำจัง)
ต้องรีบเดินจ้ำนิดนึงเพราะข้างหน้าสัญญาณไฟสำหรับให้คนเดินผ่านได้(สีเขียว) กำลังแสดงพอดี(สัญญาณไฟแบบนี้ผมชอบมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยเคยใช้ตอนไปเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต)
ข้างหน้าคือสะพานประวัติศาสตร์นิชูบาชิหรือเรียกอีกชื่อว่าสะพานสายรุ้ง ตั้งอยู่ข้างหน้าพระราชวัง(สมัยก่อนมีโชกุนอยู่ภายใน) ปัจจุบันเป็นที่พักของเชื้อพระวงศ์ มีกำแพงล้อมรอบ และมีคูน้ำล้อมรอบอีกทีเช่นกัน มีทหารยืนเฝ้าพระราชวังด้วย ถ้าเปรียบกับบ้านเรา คือ สวนจิตรดา
สะพานแห่งนี้มีประวัติว่า สมัยก่อนมีบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งมีเลือดรักชาติที่รุนแรงมาก มาคว้านท้อง(ฮาราคีรี)เสียชีวิตที่สะพานแห่งนี้ โดยรายละเอียดผมก็จำไม่ค่อยได้แล้วด้วย
นอกจากพวกผมยังมีกรุ๊ปทัวร์จากที่อื่นมาด้วย ที่เห็นน่าจะเป็นคนไต้หวันหรือคนจีนนี่แหละ แต่ละคนดูมีความสุขกับการถ่ายรูป เช่นกัน ตัวผมและครอบครัวก็ถ่ายรูป เก็บความประทับใจกับสถานที่แห่งนี้ด้วย
เดินข้ามถนนกลับมาที่รูปปั้นคนโบราณขี่ม้า สวมชุดศึกญี่ปุ่น ประวัติของท่านที่จารึกอยู่ คงน่าสนใจไม่น้อย น่าเสียดายที่ผมอ่านไม่ออก จึงถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ก่อนขึ้นรถผมเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ประตูทางเข้าช่างเตี้ยจริงๆ ผมต้องก้มหัวไม่งั้นโขกแน่(เขาคงไม่ได้สร้างมาให้คนอย่างผมเข้าล่ะมั้ง) ผมไม่ลืมที่จะเก็บภาพส้วมแบบโบราณ ลักษณะนั่งยองๆ ว่ากันว่าคนญี่ปุ่นภูมิใจกับส้วมในลักษณะเช่นนี้มาก
ข้างนอกมีตู้น้ำอัตโนมัติ มีเครื่องดื่มมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ชาเขียว(ตราโออิชิแน่นอน) น้ำแร่ กาแฟ โดยราคาตกประมาณ 120-150เยน(ประมาณ40-50 บาทต่อขวด) นอกจากน้ำแร่ 1 ขวดที่ซื้อมา ผมลองทานน้ำที่พี่ภาคินแนะนำ ขวดสีแดง ผมชอบอย่างเดียวคือ อุ่นดี เหมาะสำหรับอากาศเย็นๆ เช่นนี้ ว่าแต่จืดไปมากเลย ว่าแล้วก็ขอถ่ายรูปกับตู้น้ำหน่อย(บ้านนอกจริงวุ้ย)
อีก 1 ตู้ใกล้ๆ น่าสนใจเช่นกันเป็นตู้ไอศครีมยอดเหรียญอัตโนมัติ เขียนว่า Lotte Italian Icecreme ถ้าเมืองไทยมีขายคงดีครับเพราะอากาศบ้านเราร้อนเหลือเกิน
ก่อนออกเดินทางพี่ภาคินโทรหาเจ้าของร้านอาหาร ที่เราจะไปทานกันว่า อาจมาถึงประมาณบ่ายโมงครึ่งแต่ขอให้รอ พี่ภาคินเล่าให้ฟังอีกว่า คนญี่ปุ่นเป็นคนตรงต่อเวลา หากมาไม่ตรงเวลาโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า เขาก็เก็บอาหารทันที
มุ่งหน้าสู่ทางใต้ของโตเกียว!!!
รถบัสค่อยๆแล่นออกจากเมืองโตเกียวโดยมุ่งหน้าไปทางใต้ พี่ภาคินชี้ให้ดูตึกสูงๆ เช่นรัฐสภาญี่ปุ่น โตเกียวทาวเวอร์ เป็นต้น
มีหอพักมากมาย พี่ภาคินบอกว่า ห้ามดูถูกโดยเด็ดขาด แม้จะมีสภาพภายนอกที่ซ่อมซ่อ ตึกร้าว แต่ค่าเช่าตกเดือนละ 50000 บาท ไม่แปลกใจที่ผมจะพูดคำว่า “โอ้โห” ออกมา
ไม่นานนักความเหนื่อยอ่อนก็ทำให้ผมเผลอหลับเล็กน้อย
สุดยอดถนน
ผมชอบถนนหนทางของที่นี่เพราะเส้นทางออกนอกเมือง บนทางด่วนเราสามารถมองเห็นเมืองที่เราผ่านมาได้ง่าย ทางด่วนสร้างได้ดีจริงๆ(หากเป็นเมืองไทย ออกต่างจังหวัดก็จะเป็นถนนเรียบอยู่กับพื้น มองไม่เห็นเมืองที่ผ่านมา ต้องเลี้ยวเข้าไปถึงจะเห็น) ผมคุ้นกับคำพูดของใครบางคนที่เคยพูดไว้ว่า ญี่ปุ่นสร้างถนนก่อนที่จะสร้างเมือง แต่เมืองไทย มีชุมชนใหญ่ๆเกิดมากขึ้นแล้ว จึงค่อยสร้างถนน เมื่อบวกกับระบบขนส่งมวลชนที่ยังไม่ทั่วถึง คนจึงใช้รถยนต์กันมาก ทำให้รถติดดังเช่นปัจจุบัน )
ข้างขวามือของผม คือ บ้านของชาวนาที่กำลังปลูกข้าวอยู่ พี่ภาคินอธิบายถึงข้าวญี่ปุ่นทำให้ผมเริ่มหิวขึ้นมาทันที
รถยนต์ตามท้องถนน รุ่นยอดฮิตที่เห็นบ่อยๆก็มี ฮอนด้า ไดฮัทซุ เป็นต้น โดยเฉพาะไดอัทซุผมเห็นบ่อยๆ พี่ภาคินบอกว่า กินน้ำมันอยู่ที่ 30 กิโลเมตรต่อ 1 ลิตร(ประหยัดมาก) คนญี่ปุ่นจึงนิยมใช้ ส่วนคนไทยที่ไม่ค่อยใช้อาจเป็นเพราะว่า ไม่นิยมรถเล็ก รถแบบนี้ไม่ค่อยเข้ามาในเมืองไทย หาอะไหล์เปลี่ยนยาก (ถ้ามีใช้ในบ้านเรา คงประหยัดน้ำมันดี ผมก็เป็นคนหนึ่งล่ะครับที่จะเลือกใช้) ส่วนรถแท๊กซี่ที่เห็นบ่อยๆ หวยไปออกที่รถโตยาต้า คราวด์ ครับ
แวะพักที่ร้านสะดวกซื้อริมทาง มีห้องน้ำไว้บริการด้วย ภายในมีของที่ระลึกขายบ้าง สิ่งที่พี่ภาคินแนะนำก็คือ ไอครีมญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นกล่อง วิธีกินใช้บีบให้ออกมาแล้วใช้ปากดูด(กล่องดีไซน์มาให้ดูดโดยเฉพาะ มีฝาปิดจุกเรียบร้อย) ผมไม่ได้ลองกินแต่หลายๆคนดูจะมีความสุขไม่น้อย กับของแปลกใหม่
ยินดีต้อนรับสู่ วนอุทยานฮาโกเน่
รถเข้าสู่เขตวนอุทยานฮาโกเน่ จังหวัดคานางาว่า โดยเส้นทางลัดเลาะขึ้นเขา ลงเขาไปเรื่อยๆ มองเห็นใบไม้เปลี่ยนสีอย่างสวยงาม มองเห็นท่าเรืออยู่ไม่ไกล พี่ภาคินบอกว่า หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน เราจะไปขึ้นเรือล่องทะเลสาบอาชิ(อาชิ แปลว่า ขา) ก่อนที่จะไปขึ้นกระเช้าชมทัศนียภาพ(ถ้าเป็นกรุ๊ปอื่นๆ จะเดินทางโดยรถต่อไปที่หุบเขาโอวาคุดานิ ไม่มีโปรแกรมขึ้นกระเช้าแต่พี่ภาคินเห็นว่าไหนๆมากัน จึงไม่ควรจะพลาดการนั่งกระเช้าชมทัศนียภาพ แม้จะต้องจ่ายเพิ่มก็ตาม)
เมื่อลงจากกระเช้าแล้ว เดินขึ้นไปยังหุบเขาโอวาคุดานิเพื่อชมบ่อกำมะถัน และกินไข่สีดำ(ผลมาจากกำมะถัน) เมื่อเข้าที่พักในตอนเย็นอยากให้ทุกๆคนสวมชุดยูคาตะ(ชุดนอนของญี่ปุ่น) เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศกลางป่าเขา
ประตูสีแดงขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าผม เรียกว่าโทริ(แปลว่า ทางเข้าของเทพเจ้า) ตั้งตระหง่านอยู่ทางเข้าเมือง ผมเห็นบรรยากาศของที่นี่ ทำให้ลืมความแออัดของเมืองโตเกียวไปได้เลย เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ ธรรมชาติสวยงาม มีความเป็นส่วนตัวสูง เหมาะสมกับผู้รักสันโดษโดยแท้
เราพักกินข้าวกลางวันในเวลาบ่ายโมงครึ่ง ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมือง พี่ภาคินบอกว่า ร้านนี้มีสาวน้อยแต่เป็นสาวที่เหลือน้อยแล้ว(ความสาวเหลือน้อยแล้ว)
ความโอบอ้อมอารีของชาวญี่ปุ่น
ในร้านจัดโต๊ะไว้เรียบร้อย(ตามที่พี่ภาคินโทรมาล่วงหน้า) รอต้อนรับกลุ่มของเรา ผมสังเกตเห็นหน้าตาพนักงานทุกคนล้วนเป็นผู้สูงอายุแล้ว(แต่ไม่ถึงขนาดถือไม้เท้า เดินไม่ไหว ฟันปลอมหลุดนา) ผมจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ความสาวที่เหลือน้อยแล้วเป็นเช่นไร แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่า รอยยิ้มที่พนักงานมีให้นักท่องเที่ยว คอยบริการให้อย่างดี มีอยู่ช่วงหนึ่ง เสื้อโค๊ตของคุณพ่อติดอยู่ที่ขาเก้าอี้ พนักงานคนหนึ่งก็พยายามเข้ามาบอกว่า เสื้อติดอยู่ใต้เก้าอี้ แม้จะสื่อสารในการฟังภาษาไม่รู้เรื่อง แต่การแสดงออก ท่าทางประกอบ ทำให้เข้าใจได้ ผมเห็นลักษณะการช่วยเหลือของเธอบวกกับหน้าตาที่ดูน่าสงสาร รู้สึกดีใจและเข้าถึงความโอบอ้อมอารีของเธอได้อย่างชัดเจน
อาหารกลางวันเป็นชุดๆ มี ข้าวสวย ปลาชุบแป้งทอด หมูซีอิ้วกับผัก ซุบเต้าเจี้ยว และผลไม้ คือ ส้มแบบญี่ปุ่น แม้จะเป็นอาหารที่ดูธรรมดา ไม่ต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทย แต่รสชาติซุบเต้าเจี้ยว ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยไม่ติดฝุ่น(ของเทียมมีหรือจะสู้ของแท้) ที่ผมชอบมากอีกอย่างคือ ขวดที่มีลักษณะคล้ายเครื่องปรุง ภายในมีสาหร่ายป่นๆกับเครื่องปรุงเล็กน้อย โดยใส่ในข้าวเปล่า(เหมือนใส่น้ำพริกเผากับข้าวน่ะครับ) อร่อยมากครับ
ภายในร้านมีของที่ระลึกขายบ้าง ที่ผมสนใจเป็นพิเศษคงจะเป็นลูกป๊อกแป๊ก เป็นของเล่นเด็กๆ วิธีเล่นที่ต้องนำลูกสีแดงๆ ที่มีเชือกผูกกับเครื่องเล่นไม้ ขยับบนล่างสลับกันเรื่อยๆ ให้มาเข้าร่องบนเครื่องเล่นไม้แต่ละข้างให้ได้
ก่อนออกจากร้านพนักงานและเถ้าแก่(ก็อายุพอๆกันกับพนักงาน) ไม่ลืมที่จะยิ้มแย้มและพูดภาษาญี่ปุ่น ผมเดาๆได้ว่า ขอบคุณมาก โอกาสหน้าเชิญใหม่ ทำนองนั้นแหละ
พี่ภาคินบอกว่า ลืมบอกไปเรื่องเรือ เพราะจะออกในเวลานี้ หากช้าจะต้องรออีกครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง เราจึงต้องรีบเดินไป ผมใช้ความว่องไว ถ่ายรูปโทริ(ประตูของเทพเจ้า) ก่อนเดินตามไป
เสน่ห์ของเมือง ริมทะเลสาบอาชิ
เดินจ้ำๆ ไป ระหว่างทางผมถ่ายรูปไปตลอด ไม่ว่าจะเป็นรูปวิว รูปครอบครัว แต่ลมเย็นๆที่พัดมาทำเอาผมต้องเอามือล้วงกระเป๋าทุกครั้งหากไม่ได้ถ่ายรูป มือเริ่มชา ภายนอกของเสื้อหนาวที่เป็นผ้าร่ม เย็นเฉียบ(หน้าตาเหยเกด้วยเหมือนเดิม) ยังมีคนญี่ปุ่นนั่งตกปลาด้วยแน่ะ แต่ใครลงไปว่ายน้ำ แน่มาก ผมต้องขอถ่ายรูปไว้แน่ๆ
เมื่อถึงจุดซื้อตั๋ว พี่ภาคินบอกเรามาไม่ทัน ต้องรอเรือเที่ยวต่อไป แต่ผมก็ไม่มีปัญหา ดีซะอีก มีเวลาเดินชมเมืองที่มีเสน่ห์แห่งนี้ต่อ
ป้ายทะเลสาบอาชิ ประตูทางเข้าของเทพเจ้า(ประตูโทริ) บรรยากาศภายในเมือง ใบไม้เปลี่ยนสี ที่ออกแดงๆ ดูจะเป็นวิวยอดนิยม สำหรับครอบครัวผมในเวลานี้ ทุกคนตื่นตาตื่นใจมาก แม้ผมจะพึ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ผมกลับหลงรักเมืองเล็กๆ เมืองนี้เข้าอย่างจังเลยครับ (ภาษาวัยรุ่น เรียกว่า โดนว่ะ)
ถึงตอนนี้คนอื่นๆในทัวร์ เลือกที่จะพักอยู่ภายในอาคารซื้อตั๋วรวมทั้งคุณพ่อกับคุณแม่ด้วย เพราะที่นี่เปิดฮีทเตอร์ไว้ ส่วนผมกับพี่ชายคนกลางเลือกที่จะเดินออกมารับบรรยากาศเย็นยะเยือกข้างนอก
ตื่นตาตื่นใจมาก ตอนแรกนึกว่าตาจะฝาดไปเสียแล้ว ผมเห็นควันออกจากปาก เวลาหายใจแรงๆ เนื่องจากเมืองไทยไม่ได้ทำได้บ่อยๆ จึงไม่แปลกใจที่ผมจะเล่นเป็นเด็กๆ เพื่อขอดูควัน(เอ้า มันแปลกตรงไหน คุณบ้านนอก)
ทุกคนลุกขึ้นเตรียมตัว เป็นสัญญาณว่าเรือใกล้มาแล้ว ผมรีบเข้าห้องน้ำและพบฝาชักโครกที่ปรับอุณหภูมิได้ เมื่อใช้มือลองแตะ อุ่นจริงๆครับ ไอเดียนี้เจ๋ง ผมหวังว่า คงจะได้มีโอกาสใช้งานมันบ้าง
ปากซีด ใบหน้าชา หนาวสั่นทั้งตัว!!!
เรือขนาดใหญ่สีเขียวแก่ กระโดงเรือมีสีแดง กำลังเข้าเทียบท่า ผมยืนรับลมอยู่ในกลุ่มด้วยความหนาว มีผู้คนจำนวนมากลงมาจากเรือ
บนเรือ ชั้นล่างมีห้องที่เปิดฮีทเตอร์ไว้ ส่วนใครต้องการชมทัศนียภาพต้องเดินขึ้นมาชั้นบน ผมและครอบครัวเดินขึ้นมาถ่ายรูป ที่ชั้นบน
มีรูปปั้นหัวหน้าโจรสลัดยืนตระหง่านอยู่กลางเรือ เป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายรูป ด้านบนมีรูปปั้นลูกเรือกำลังส่องกล้องสังเกตการณ์ว่า มีข้าศึกมารุกล้ำหรือยัง
แม้ผมจะได้ผ้าพันคอมาช่วยอีกแรง(แต่ก็ใส่ได้ไม่นานเพราะคันคอเพราะขนที่ผ้าเหลือเกิน) ลมที่พัดมาตลอดเวลา เมื่อเรือแล่นทำเอาผมตัวสั่น หนาวจับขั้วหัวใจ ปากซีด ยิ่งผมใส่เสื้อบางกว่าคนอื่นๆ คุณพ่อและแม่ต้องบอกให้ลงไปด้านล่างในห้อง ผมเข้าใจอย่างดีว่า คนที่หนาวตายมีความรู้สึกทรมานไหม(หลังจากเคยทดสอบการถูกคลื่นตีที่หาดป่าตองจนเข้าใจความรู้สึกของผู้ประสบภัยในเหตุการณ์สึนามิมาแล้ว)
เมื่อผมลงมาด้านล่าง นั่งพักในห้องฮีทเตอร์ เมื่อร่างกายอบอุ่นลง ก็รู้สึกสดชื่นขึ้น จากนั้นไม่นานเรือเทียบท่า เป็นสัญญาณให้เตรียมตัวลงได้(หัวติดอีกแล้ววุ้ย)
นั่งกระเช้าสู่หุบเขาโอวาคุดานิ
เราเดินเท้าขึ้นไปประมาณ 100 เมตร ข้างๆ เห็นต้นไม้ที่เปลี่ยนสีแดงและสีเหลือง ดูสวยงาม เราเดินต่อไปจนเข้าอาคารเล็กๆ ภายในมีร้านขายของ เด็กสาวญี่ปุ่นสวมชุดนักเรียน หน้าตาน่ารัก 2 คน ทำหน้าที่เป็นพนักงานขายของ
ผมสังเกตเห็นไข่สีดำวางขายอยู่ในร้าน ลวกและบรรจุไว้อย่างเรียบร้อยสำหรับให้นักท่องเที่ยวซื้อขึ้นไปทาน
ใกล้ๆมีที่ปั้มสำหรับปั้มกระดาษไว้เป็นที่ระลึก มีสีเขียว ผมหยิบสมุดโน๊ตที่ติดตัวมาปั๊มลงไปด้วย
เมื่อพี่ภาคินซื้อตั๋วเรียบร้อย เราใช้ตั๋วสอดเข้าไปในเครื่องทางผ่านจึงเปิดออก เมื่อเดินผ่านก็ดึงตั๋วมาเก็บไว้(ทางผ่านเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรา)
กระเช้าของผมนั่งกัน 7 คน นอกจากคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชายคนกลางก็ยังมีสามสาวไทย วัยกลางคน โดยพวกเธอมาทัวร์เดียวกับเราด้วย พวกเธอมีน้ำใจมาก ขันอาสาถ่ายรูปให้ครอบครัวผมด้วย
วิวด้านล่าง เป็นป่าไม้สลับกับแม่น้ำ ผมสังเกตเห็นว่า ใบไม้ที่เปลี่ยนสีจำนวนมากร่วงหล่นจากต้น จนเหลือแต่ต้นไม้เปล่าๆหลายต้น เป็นสิ่งบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า หากเรามาเร็วกว่านี้ซัก 1 อาทิตย์ แถบนี้จะเต็มไปด้วยสีแดง และสีเหลืองของใบไม้ทั้งหมด และหากเรามาช้ากว่านี้อีก อาจจะไม่ได้เห็นอะไรเลยก็ได้ นับว่าเราโชคดีจริงๆ
คุณภาคินบอกไว้ก่อนขึ้นกระเช้าว่า สถานีแรก ไม่ต้องลง ให้โบกมือบ๊ายบายบอกเจ้าหน้าที่(แปลว่าไม่ลง สถานีนี้) ให้ลงสถานี้ที่เขียนว่า โอวาคุดานิ
เมื่อใกล้ถึงสถานีโอวาคุดานิ มองเห็นควันสีขาวกำมะถันอยู่บนหุบเขาอย่างชัดเจน
มุ่งหน้าสู่บ่อกำมะถัน กินไข่ให้อายุยืนยาว
กระเช้ามาถึงสถานีโอวาคุดานิ ภายในอาคารมีซานตาคลอสตัวใหญ่ เตรียมตัวรับนักท่องเที่ยวสำหรับคริสมาสที่จะมาถึง มีที่ปั๊มกระดาษอีกเช่นเคย คราวนี้มีขนาดใหญ่และมีสีแดง ผมจึงหยิบขึ้นมาปั๊มอีกครั้ง
ด้านนอกอาคารอากาศเย็นมาก(หนาวจับขั๊วหัวใจ หน้าเย็นจนชา หายใจเห็นเป็นไออย่างสะใจ หัวเราะก็มีไอให้เห็น เท่ดี) มองเห็นควันสีขาวของกำมะถันอยู่บนเขา
เราเดินลงไปตามทางเข้าสู่ร้านขายของที่ระลึกอีกครั้ง ที่นี่เปิดฮีทเตอร์ไว้อุ่นดี คุณภาคินบอกให้เราซื้อไข่ที่เขาลวกกำมะถันไว้แล้ว ถือเอาไปกินด้านบนเพราะขณะนี้เย็นแล้ว คงไม่มีใครมาลวกให้เรากินแบบสดๆ
เดินขึ้นไปตามเส้นทางจนถึงด้านบน ได้กลิ่นฉุนของกำมะถันอย่างชัดเจน แม้ผมจะไม่เก่งด้านวิทยาศาสตร์แต่รู้ว่า กลิ่นเหมือนแก๊สไข่เน่า ไม่ต่างกับตดของเราเท่าไรนัก
เมื่อถึงที่หมายกำมะถันฟุ้งไปหมด เห็นน้ำที่ร้อนกำลังเดือดปุดๆ เราแกะไข่ที่มีเปลือกสีดำ ซึ่งได้มาจากการลวกด้วยความร้อนของกำมะถัน ภายในก็รสชาติเหมือนไข่บ้านเราครับ มีความเชื่อว่าใครมาที่นี่กินไข่ 1 ฟอง อายุจะยืนยาวเพิ่มไปอีก 7 ปี ผมกับพี่ชายคนกลางกินคนละ 1 ฟอง ส่วนคุณพ่อและคุณแม่กินคนละ 2 ฟอง กินเปล่าๆก็อร่อย ใส่เกลือแล้วก็ยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่
เราเดินกลับเพื่อมาขึ้นรถ แม้พึ่งจะ 5โมงเย็น แต่พระอาทิตย์กำลังตก รอบด้านกำลังจะมืดหมดแล้ว
คุณภาคินบอกว่า เราจะไปที่เมืองคาวากูชิอันเป็นที่พักของเราในค่ำคืนนี้ เมืองนี้ล้อมรอบไปด้วยทะเลสาป อยู่ใกล้ภูเขาไฟฟูจิ รอบๆด้านเริ่มมืด ผมหลับไปอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลีย
6 Comments:
ไกด์ กะสาบ บรรยายซะ หนาวไปด้วยเลย น่าไปนะเนี่ย^_____^ หนุกหนานๆๆๆๆๆๆ แล้วมาเล่าต่ออีกนะ จะรออ่าน
ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์ค่ะ
เล่าได้หนุกหนานเห็นภาพตามปกตินะคะ..
ดีจังได้ไปเที่ยวเกี่ยวเก็บประสบการณ์อีกมุมมอง...
....คนตามมาอ่านก็ได้ติดตาม ตามติดเห็นภาพไปด้วยเนอะ...
....พักนี้ยุ่งมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ งานตรึมตอนปลายปีตามปกติ แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วย (แต่เป็นในทางที่ดีนะคะ...ตามระบบของงานที่ทำแหละ) ถึงไม่ว่างแค่ไหน ก็จะหาเรื่องชะแว๊บมาทักทายจ้า...
....เช็คตู้ จ.ม.บ้างป่าวเนี่ย ???
ขอบคุณครับ kidza(น่าจะเป็นคุณเป้นะ)
ขอบคุณเช่นกันครับ คุณpoulet
อ่อ ลืมบอกไปครับ ได้รับจดหมายแล้ว ขอบคุณบัตรและ cd มากครับ
อาจช้าไปนิดครับ ได้รับหลายวันแต่ผมเพิ่งบอกน่ะ ฮ่าๆๆ
ไม่ว่ากันนะ
ไม่ว่ากันหรอกจ้า....
ได้รับแล้วก็ดีจ้า....
หวาดระแวงไงคะ....ที่ทำงานเจอเรื่อยเลย..คนโทร.มาcomplainว่าเค้าไม่ได้รับของที่ส่งไปให้น่ะค่ะ
.....แต่บางทีก็..อิ อิ อิ...เค้าได้รับนะ แต่ว่า..พอตรวจสอบกันไปมาหลายรอบ แฮ่ๆ สรุป!! เค้าจะเอาอีกอ่ะค่ะ !!!!!!
เป้ไหนน้า ใครหว่า ฮะฮ่าๆๆๆๆ^___^
ขอบคุณมากๆอีกทีนะครับ
Post a Comment
<< Home