Wednesday, December 14, 2005

ตะลุย...แดนปลาดิบ(1)






“ปลายเดือนพฤศจิกายน เราจะไปประเทศญี่ปุ่นกัน” เป็นเสียงคุณพ่อและคุณแม่ของผม บอกไว้ล่วงหน้าอยู่หลายเดือน โดยมีจุดประสงค์หลักในการไปเยี่ยมพี่ชายคนโตซึ่งไปศึกษาต่อยังประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้เพราะการเดินทางไปต่างประเทศนั้นจะต้องมีการเตรียมตัวอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนังสือเดินทาง การขอวีซ่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ว่ากันว่า การขอวีซ่าเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นมีความยากไม่แตกต่างกับการไปประเทศอเมริกาเลย เหตุผลสำคัญมากก็คือ เขากลัวเราเข้าไปทำงานในประเทศของเขา(ที่เรียกกันว่า พวกโรบินฮู้ดนั่นแหละครับ)

คนอื่นๆ ที่ทำงานแล้ว จะต้องแสดงบัญชีรายรับ-รายจ่าย อย่างละเอียด ส่วนคนที่ยังไม่มีงานทำอย่างผม จะต้องมีใบรับรองจากสถานศึกษาปัจจุบัน ว่ายังศึกษาอยู่(เรื่องมากจังวุ้ย แต่ต้องยอมครับ)

การเดินทางไปต่างประเทศในครั้งนี้ เราติดต่อบริษัททัวร์ แม้ผมจะไม่เคยชอบการเดินทางแบบทัวร์เลย เพราะเราจะมีเวลาส่วนตัวน้อย แต่สำหรับการไปต่างประเทศ การไปกับทัวร์จะถูกกว่า การไปด้วยตนเอง เพราะทางบริษัทจะมีสัญญากับที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารต่างๆหรือแม้กระทั่งสายการบิน นอกจากจะได้ทานอาหารดีราคาถูกกว่าการไปติดต่อเอง ยังได้ไปเที่ยวหลายที่ ภายในระยะเวลาที่จำกัดด้วย

ยิ่งเป็นประเทศที่คนส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษแล้ว การทำอะไรจึงไม่สะดวกนักหากพูดภาษาเขาไม่ได้

สำหรับผม การไปต่างประเทศเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากโดยเฉพาะหนทางที่จะต้องเดินทางโดยเครื่องบินซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง แม้คราวนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็ไม่ถือว่าบ่อยนัก

ครั้งแรกของการไปต่างประเทศ คือ ประเทศมาเลเซีย เป็นการเดินทางโดยรถยนต์ ผ่านด่าน ที่ อำเภอสะเดา จังหวัด สงขลา ขณะนั้น ผมยังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมต้น เป็นการฉลองที่พี่ชายคนโตเรียนจบมัธยมและได้เข้ามหาวิทยาลัย

หลังจากนั้นเกือบสามปี ผมได้ไปเที่ยวประเทศฮ่องกง เป็นการเดินทางโดยเครื่องบินครั้งแรก เป็นการฉลองที่พี่ชายคนกลางจบมัธยมเช่นกันและเข้ามหาวิทยาลัย

หลังจากผมได้เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ก็จะถึงคราวที่จะได้ไปต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง โดยผมมักจะออกความเห็นในเรื่องนี้ว่า ขอไปเที่ยวในประเทศดีกว่า โดยเฉพาะการเที่ยวทะเล(ก็ไปต่างประเทศมันแพงครับ)

เมื่อพี่ชายไปศึกษาต่อที่นั่น จึงเป็นโอกาสอันดี ที่เราจะได้อยู่กันพร้อมทั้งครอบครัว อีกครั้งหนึ่ง


30 พฤศจิกายน 2548

“ อากาศที่นั่น 5 องศา นะ จะแต่งตัวไปแบบนี้เหรอ แล้วจะรู้สึก” คุณพ่อผู้มีประสบการณ์ในการไปเที่ยวต่างประเทศหลายครั้งเตือนผม เมื่อเห็นผมสวมเพียงเสื้อรักบี้แขนสั้นเท่านั้น

ผมนึกอากาศที่หนาวมากๆยังไม่ออก อยู่กรุงเทพ ก็เคยเจอ อย่างมากแค่ 18 องศา เท่านั้น(แต่ผมไม่ลืมใส่เสื้อหนาวในเป้ สำหรับขึ้นเครื่อง 2 ตัว หากว่าหนาวมากผมจะได้หยิบขึ้นมาสวมได้ทัน)

หลังจากที่จัดกระเป๋า ปิดบ้าน ตรวจความเรียบร้อยในเรื่องน้ำและไฟฟ้า ผม คุณพ่อและคุณแม่ พี่ชายคนกลาง จึงออกเดินทางไป สนามบินดอนเมือง


ระหว่างเดินทางคุณแม่ถามผมว่า หากให้ผมอยู่บ้านโดยให้เงินผมเท่ากับการเดินทางครั้งนี้เพื่อเอาไปดำน้ำ ผมจะตกลงไหม

ผมตอบแบบไม่ลังเลว่า ไม่เอา เพราะครั้งหนึ่งผมเคยมีโอกาสเดินทางไปประเทศออสเตรเลียแบบฟรีๆเพราะพี่ชายคนโตจะไปเยี่ยมพี่ชายคนกลาง แต่ผมปฎิเสธไปเพราะไม่อยากขาดเรียนอีกทั้งก็ใกล้สอบ(จริงๆก็อีกหลายเดือน) ซึ่งผลสุดท้ายผมก็สอบไม่ผ่านอยู่ดี

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่ผมมักจะโง่ก่อนที่จะฉลาดเสมอ

ผมรักสนามบิน!!!

บรรยากาศที่สนามบิน ยังคงเย้ายวนผมอยู่เสมอมา ที่นี่มีกลิ่นอายแห่งความสดชื่นของเครื่องปรับอากาศ ผู้คนมากหน้าหลายตา ผมรู้สึกลิงโลดทุกครั้ง หากพบเจอบรรยากาศเช่นนี้

กลุ่มคนไทยที่ไปกับทัวร์เดียวกัน บ้างก็พากันมาทั้งครอบครัว บ้างก็มากันเป็นคู่แบบหนุ่มสาว หรือไม่ก็ชวนกันมาเที่ยว เรารอรับหนังสือเดินทาง สติกเกอร์ติดหน้าอก อีกทั้งรายละเอียดต่างๆที่ต้องกรอกเพิ่ม เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างรวดเร็วและเรียบร้อยจากพี่ภาคินหนุ่มร่างอ้วน วัยประมาณ40 ท่าทางอารมณ์ดี หัวหน้าทัวร์ของเราในการเดินทางในครั้งนี้

จากนั้นเราเข้าสู่ขั้นตอนในการตรวจกระเป๋า ผ่านสายพาน ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการนำกระเป๋าชั่งน้ำหนักผ่านสายพานอีกครั้งเพื่อขึ้นเครื่องพร้อมกับสติกเกอร์ของสายการบินติดกระเป๋าและเลือกที่นั่งบนเครื่อง (เลือก Long leg seat ไว้)

ต่อจากนั้น เข้าไปสู่ด้านใน เพื่อตรวจหนังสือเดินทาง เมื่อผ่านแล้วภายในมีร้านขายของเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม ของตามร้าน Duty free เป็นที่ถูกใจของใครหลายๆคน เป็นต้น

ขั้นตอนต่อไป คือ การตรวจสัมภาระ ที่นำขึ้นเครื่อง รวมทั้งสิ่งของตามร่างกาย เพื่อตรวจดูว่ามีอาวุธหรือของมีคมหรือไม่

มาถึงภายในห้องใหญ่ สำหรับให้ผู้โดยสารรอก่อนขึ้นเครื่อง เมื่อผมเห็นรู้สึกคุ้นตามาก นึกออกว่าเป็นครั้งเดินทางไปยังประเทศฮ่องกง แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม

ผมซื้อน้ำเปล่า 1 ขวด ขวดละ 55 บาท ผมไม่ได้เห็นราคานี้มานาน จึงต้องร้องจ๊าก(ในใจ)

เมื่อเหลือบมองไปที่เวลาเรียกขึ้นเครื่อง 23.40 ต่างจากภายนอกที่เรียก 22.55 คุณพ่อบอกว่า สายการบินไปยังต่างประเทศจะต้องล่วงหน้าก่อนเครื่องออก 2 ชั่วโมงเสมอ (หากนึกไม่ออกลองนึกเวลาไปส่งเพื่อนไปต่างประเทศ เวลามันเข้าไปข้างในช้าๆ นั่นแหละครับ ตอบคำถามได้ดีเลย)

เสียงประกาศออกลำโพงว่า เครื่องบิน TG 642 จากกรุงเทพสู่สนามบินนาริตะ ให้มาพร้อมที่ Gate 33 ได้ เป็นสัญญาณให้เราเตรียมตัวขึ้นเครื่อง แต่ละคนจึงเตรียมตัวมาเข้าแถว ผมสังเกตเห็นว่า แต่ละคนสวมเสื้อหนาๆทั้งนั้น จะมีผมเพียงคนเดียวละมั้งที่สวมเสื้อบางๆ(ว่าแต่แอร์ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วนา)

การเดินทางที่แปลกใหม่และน่าสนุกของผมกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งแล้วครับ




ปวดท้อง….

ผมหยิบหนังสือพิมพ์มติชนก่อนขึ้นเครื่อง ที่เลือกเพราะจะได้ไม่ซ้ำกับที่คุณพ่อและคุณแม่ พี่ชายคนกลางหยิบไปแล้ว จะได้อ่านหลายๆเล่ม สังเกตเห็นว่ามีคนสวมเสื้อแบบบางๆเหมือนผมด้วย

ก่อนเครื่องบินออก แอรโฮสเตสและสจ๊วตก็แจกหูฟัง(ประเภทหนีบที่หู)สำหรับเสียบกับข้างๆที่นั่ง แล้วภาพที่คุ้นตาในการแนะนำอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อชูชีพ หน้ากากออกซิเจน เข้ามาสู่สายตาของผมอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อเครื่องบินออก ผมรู้สึกว่าหูไม่อื้อ ไม่ปวดเหมือนเคย อาจเป็นเพราะว่า การไปดำน้ำทำให้หูผมบานไปแล้ว(ต้องเคลียร์หูบ่อยๆ) ทำให้เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเล็กไป จากนั้นไม่นานลิ้นชักของด้านบน บริเวณที่นั่งด้านหน้าของผมก็เปิดออก คงเป็นเพราะใส่ของมากเกินไปแต่ก็ยังไม่มีคนลุกไปปิดเพราะขณะนี้เครื่องกำลังขึ้น อาจเป็นอันตรายได้

แอร์โฮสเตสและสจ๊วตมาแจกพายให้ทานแก้หิวเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมดูจอทีวีพร้อมฟังคำอธิบายว่า ขณะนี้เครื่องบินโบอิ้ง 777 มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในความสูงปัจจุบัน 11200 เมตร พร้อมกับอากาศที่เริ่มลดลงเรื่อยๆ จาก 27 องศา , 20 องศา, 13องศา, 10องศา ,3 องศา, -5 องศา, -14องศา

จากนั้นกัปตันได้ประกาศอีกว่า เครื่องบินจะบินไปทางจังหวัดอุบลราชธานี ผ่านเวียดนาม ผ่านทะเลจีนใต้ ผ่านไต้หวัน ผ่านทะเลจีนตะวันออก ก่อนที่จะเข้าสู่ญี่ปุ่นทางตอนใต้และลงจอดที่สนามบินนาริตะ โดยเครื่องบินใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง จะถึงที่หมายในเวลา 5 นาฬิกา ตรงกับญี่ปุ่นเวลา 7 โมงเช้า(ที่นั่นเวลาเร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง) ช่วงนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแต่กระแสลมแรงเพราะอยู่ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงพอดี นอกจากนี้กัปตันยังทิ้งท้ายว่า อากาศที่ญี่ปุ่นในปัจจุบัน 3 องศาเซลเซียส(37 องศาฟาเรนไฮน์)

ตอนนี้ผมฟังวิทยุเจอช่องถูกใจเป็นเพลงฝรั่งเก่าๆเหมือนเอฟ เอ็ม 105.0 และ 105.5

ถึงตอนนี้ผมเริ่มปวดท้อง(ไม่ใช่ปวดท้องหนัก แต่ปวดแบบล้ำไส้บิดตัว มีลมในกระเพาะอาหารมาก อยากผายลม ท้องป่อง) ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พยายามอดทนเพราะไม่อยากให้คุณแม่หยิบยาซึ่งอยู่ด้านบนมาให้ ครั้นจะลุกไปห้องน้ำก็แสนจะลำบากเพราะนั่งอยู่ตรงกลาง(เลือก Long leg seat แต่มาได้ตรงกลางกันแถบหลังครับ) ออกลำบาก เข้าก็ลำบาก ลุกบ่อยๆ ก็เกรงใจ

ไฟเริ่มปิดลง มองเห็นไฟแลบเป็นระยะๆประกอบกับอาการปวดท้องของผมไม่ได้ดีขึ้นเลย กลับแย่ลงมากๆ คนอื่นๆก็เริ่มหลับกันแล้ว เมื่อความอดทนถึงขีดสุด ผมจึงรอจังหวะให้นานเข้า ผายลมออกโดยใช้ผ้าห่มปิดเต็มที่ เกรงใจคนอื่นๆ ซักพักใหญ่ท้องที่ป่องก็แฟบลงอย่างน่าอัศจรรย์(หากเลือกเดินไปห้องน้ำ แล้วกลับมา คงต้องลุกไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง )

และแล้วผมก็หลับอย่างมีความสุข สบายท้อง ภายใต้พฤติกรรมที่ดูน่ารังเกียจ(หากหน้าบางกรุณาอย่าทำ)

1 ธันวาคม 2548

ไฟเปิดขึ้น ผมเหลือบไปดูจอทีวี ขณะนี้อยู่ในความสูง 35000 ฟุต อุณหภูมิ -50องศาเซลเซียส(57องศาฟาเรนไฮน์)

มีเสียงประกาศว่าจะถึงสนามบินอีก 1 ชั่วโมง มองไปด้านข้างท้องฟ้าเริ่มจะสว่างแล้ว ผมคอแห้งมาก เมื่อน้ำดื่มมาผมซัดไป 3 แก้ว บวกกับน้ำแอปเปิ้ลอีก 1 แก้ว จึงค่อยสบายขึ้น

อาหารเช้ามี ไส้กรอก และไข่ ครัวซองทาเนยและแยม ส้มโอ มะละกอ แตงไทย(มีคนถามหาอาหารอีกชุดมาก คือปลา ซึ่งหมดไปแล้ว ผมไม่สนตั้งหน้าตั้งตาสวาปามอย่างเดียว)

ผมไม่ทานกาแฟ จึงขอชาจากแอร์โอสเตส แต่พูดภาษาไทยตั้งนานเธอก็ยังไม่เข้าใจ(ก็เธอไม่ใช่คนไทยนี่เอง) ต้องบอก tea ถึงจะเข้าใจ ฮ่าๆๆ

มองไปนอกหน้าต่างเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ผมหยิบเสื้อหนาวสีนักดับเพลิงขึ้นมาสวมไว้ จะได้ไม่ยุ่งยากเวลาลงไปเพราะผมยังมีเป้สำหรับสะพายหลังอีกด้วย ไหนจะต้องถือของ ถือกล้องถ่ายรูปอีก โดยตอนนั้นยังไม่แน่ใจในความหนาวของสภาพอากาศที่ญี่ปุ่นแต่คาดว่า คงพอแหละ


Welcome to Japan

เครื่องบินโบอิ้ง 777 ของบริษัทการบินไทย พาผมและครอบครัวมาถึงสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่นในเวลา 7 โมง 18 นาที ผมมองไปรอบๆเห็นต้นไม้แปลกตา ใบไม้ที่เปลี่ยนสี มีความรู้สึกได้ทันทีว่า ไม่ใช่บ้านเราอย่างแน่นอน

คุณภาคินแนะนำให้เราไปด้วยกัน ตามไปเป็นระเบียบจะได้รวดเร็ว พอออกมาภายในสนามบินนาริตะ อากาศเย็นมากระทบที่หน้าผม ผมพูดคำแรกออกมาว่า “รู้แล้ว ว่าหนาวจริง”(ก็คนมันไม่เคย) แต่เสื้อหนาวของผม(ลักษณะเป็นเสื้อกันลม ด้านนอกเป็นผ้าร่ม)ก็ยังช่วยได้อยู่

ที่นี่ไม่มีรถ Shuttle bus ไปส่งภายในอาคารเหมือนเมืองไทย แต่ที่เจ๋งกว่า คือ เป็นรถไฟฟ้านั่งไปจนถึงอาคารอีกฝั่งหนึ่งได้เลย

พอมาถึงอีกอาคาร ที่นี่เปิดฮีทเตอร์จนร้อนมาก ร้อนจนหลายๆคน(รวมทั้งผม)ต้องถอดเสื้อออก ภายในเป็นจุดตรวจคนเข้าเมือง คิวยาวเหยียด ผมมองเห็นตั้วแต่เดินผ่านมา พนักงานสาวหลายคน หน้าขาวๆชาวญี่ปุ่น ทำไมหน้าตาดีกันจัง ไม่รู้กินอะไรกันมา อาจเป็นเพราะว่าผมไม่เคยเห็นสาวญี่ปุ่นมากมายขนาดนี้ก็ได้ อีกข้อหนึ่ง คนไหนเป็นคนอีสาน คนใต้ แบบบ้านเรา มองหน้ายังไงก็แยกไม่ออกเพราะสวยๆ น่ารักเหมือนกันหมด(ถ้าเราเป็นคนญี่ปุ่นมองออกแน่นอน)

พนักงานที่ช่องตรวจ มีป้ายติดที่สูท เขียนว่า Immigrant inspector ฟังดูเท่จริงๆ พูดจบผมไม่ลืมกล่าวคำขอบคุณเขาด้วย(ส่วนใหญ่ตามสถานที่ราชการ ตามโรงแรม มักมีคนพูดภาษาอังกฤษได้ เพื่อบริการนักท่องเที่ยว แต่ก็ไม่มากเหมือนในประเทศอื่น)

เมื่อผ่านจุดนี้แล้ว ก็ต้องผ่านอีกจุดหนึ่ง คุณภาคินบอกว่า หากบอกว่ามาเป็นครอบครัวจะได้ผ่านเร็วมาก และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ (บางคนมาเดี่ยวๆจะโดนค้นกระเป๋าบ้าง)

เมื่อผ่านมาแล้วคุณภาคินให้เวลาพวกเราประมาณ10 นาที แปรงฟัน ล้างหน้า ให้เรียบร้อย ผมเห็นก๊อกน้ำและ ที่เป่ามือให้แห้ง(Clean dry) จึงไม่พลาดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้(ที่ญี่ปุ่นเครื่องสุขภัณฑ์ยี่ห้อ ToTo ดังมาก)

ออกมาแล้วเดินเข็นรถมาเรื่อยๆจนถึงหน้าประตู มองเห็นตู้ไปรษณีย์รูปร่างน่ารักมีช่องให้แยกสำหรับใส่โปสการ์ดโดยเฉพาะด้วย ใกล้ๆมีตู้น้ำดื่มถูกสุดก็ประมาณ 150 เยน(ตกประมาณ 50 บาท) แต่ถือว่าเป็นธรรมดาเพราะค่าเงินบ้านเขาสูงกว่าบ้านเรา คุณภาคินแนะนำว่าใครกระหายน้ำสามารถยอดเหรียญได้ เครื่องจะทอนให้โดยอัตโนมัติ หากใครไม่ทานระหว่างทางก็ยังมีน้ำดื่ม ของกิน ไว้บริการอีกมากมาย





หนาวเข้ากระดูก!!!

เมื่อประตูเลื่อนอัตโนมัติของสนามบินนาริตะเปิดออก ผมได้มาสัมผัสอากาศภายนอกครั้งแรก ลมหนาวพัดมา ใบหน้าของผมเหยเก ทันที เพราะหนาว หนาว หนาวมากจนเข้ากระดูก เกิดมาไม่เคยเจออากาศหนาวมากขนาดนี้ อากาศเย็นมากมากระทบใบหน้า ผมสั่นๆ บอกอีกว่า “เชื่อแล้ว ว่าอากาศมันหนาวจริงๆ” มีเสียงหัวเราะมาจากคุณพ่อ คุณแม่และพี่คนกลาง กับสีหน้าบอกบุญไม่รับของผม (ฮ่าๆ หนาวมาก คุณภาคินบอกว่า ตอนนี้อุณหภูมิ 11.5 องศาเซลเซียส)

ผมจึงไม่ต่างอะไรกับคนบ้านนอก เข้ากรุง เพราะไม่ค่อยมาเที่ยวต่างประเทศหากเปรียบกับทุกคนในครอบครัว(ทุกคนมีประสบการณ์ไปต่างประเทศมากกว่าผมทั้งนั้น)

เราขนของหนักๆเข้าใต้ท้องรถโดยมีคุณ คุโบตะ พนักงานขับรถคอยช่วยเหลือ

เมื่อใบไม้เปลี่ยนสี!!

รถบัสของบริษัทฮิราโกะ หมายเลข 800 จะอำนวยความสะดวกให้เราตลอดการเดินทางทริปนี้ ผมหยิบเสื้อหนาวอีกตัวขึ้นมาสวมทันทีแม้จะบาง มีลักษณะเป็นเสื้อกันลมเช่นกัน แต่ก็ยังดีกว่าสวมแค่ 2 ชั้น(หนาวจ้า หนาว)

พี่ภาคินเล่าให้ฟังว่า ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี จึงไม่แปลกใจว่าหากมองไปทางไหน ใบไม้จะมีสีแดง เหลือง ส้ม ไปหมด ดูสวยงามมาก(แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงต้นเดือนธันวาแล้ว ถือว่าเรายังโชคดีที่ยังมีโอกาสเห็นอยู่) ผมมองไประหว่างทาง ประหนึ่งเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ๆ ช่างสวยงามมากครับ

สนามบินนาริตะที่เราเพิ่งผ่านมานั้น อยู่ใน จังหวัดชิบะ ห่างจากมหานครโตเกียว 45-50กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง

โดยค่าทางด่วนที่นี่แพงมาก เป็นแสนเยน ที่เรานั่งไปก็จ่ายค่าผ่านทางหลายด่านเบ็ดเสร็จประมาณ 30000 บาท(แพงจริงๆเลย)

พี่ภาคินพูดถึงโปรแกรมคร่าวๆในวันนี้ว่า จะพาไปที่สะพานประวัติศาสตร์นิชูบาชิอยู่ทางตะวันออกของมหานครโตเกียว ก่อนที่บ่ายๆจะพาไปวนอุทยานฮาโกเน่ จังหวัดคานางาว่า แล้วไปค้างคืนที่นั่น

ประเทศญี่ปุ่นมีเกาะ 3000 กว่าเกาะ แต่เกาะที่ใหญ่ๆมีอยู่ 4 เกาะ คือ เกาะฮอนชู(เราอยู่ที่นี่),เกาะฮอกไกโด,เกาะคิวชูและเกาะชิโกกุ

โดยประเทศญี่ปุ่นเปรียบเทียบพื้นที่กับจำนวนประชากรในประเทศ 1 ตารางกิโลเมตรต่อ 300 คน

คุณภาคินพูดกับคนญี่ปุ่นเสมอว่า ภูมิใจที่มีกษัตริย์อย่างในหลวง ส่วนคนญี่ปุ่นบอกว่า สามารถเอาชนะไทยได้หมดทุกด้านแล้ว มีเพียงด้านเดียวที่ยอมแพ้ คือ ด้านการท่องเที่ยว ผมมองเห็นภาพทะเลสวยของเมืองไทย ที่บ้านเมืองเขาไม่มี และคนญี่ปุ่นที่มาท่องเที่ยวนำรายได้จำนวนมากเข้าประเทศของเรา

ถึงตอนนี้ผมหลับไปด้วยความเพลียจากการเดินทาง

3 Comments:

At 12:44 AM, December 15, 2005, Blogger Kidsya..(>~<) said...

อ่านแล้ว คงจะหนาวมาก อย่างที่คุณบอกละซิว่า หนาวจนจับขั้วหัวใจ ^____^ ใช่ป่ะ

 
At 6:48 PM, December 15, 2005, Blogger sweetnefertari said...

หายไปนาน ที่แท้ก็แอบไปเที่ยวมานี่เอง

...

สงสัยจะตาแฉะกันอีกแล้ว

พ่อเล่นเล่าตั้งแต่ยังไม่ออกจากบ้านเลย 55

โอ้วๆ ไม่ได้ว่า ไม่ได้ว่า จะตามอ่านนะจ๊ะคนดี

 
At 12:38 PM, December 16, 2005, Blogger kasab71 said...

หนาวมากครับ จับขั้วหัวใจจริงๆ

ตาแฉะแน่นอนครับ ทุกวินาที จะให้ติดตามไปด้วยกันเลย

ขอบคุณครับ

 

Post a Comment

<< Home