Tuesday, January 10, 2006

สิมิลัน...ฉันรักเธอ(1)


ปลายเดือนตุลาคม 2548 หลังจากเสร็จสิ้นทริปดำน้ำที่พัทยา ผมได้ยินพี่ป้อม พี่พิช พี่ต่อ พี่ฝ้าย พี่โก้(ปาปารัซซี่)และอีกหลายๆคน พูดถึงทริปดำน้ำช่วงปีใหม่ที่สิมิลัน เป็นทริปที่เรียกกันว่า “ทริปดำน้ำ ข้ามปี”

เมื่อผมได้ยินดังนั้น กิเลสที่หนา(อยู่แล้ว)ของผมจนเกาะเป็นหินปูน ก็เข้ามาทันที ผมคิดในใจว่า หากได้ไปในทริปนี้ คงดีไม่น้อยเพราะจะเป็นการไปเรือ Liveaboard ครั้งแรกในชีวิตของผมด้วย ผมใฝ่ฝันว่า ในปีหนึ่งอยากไปดำน้ำกับเรือ Liveaboard ปีละ 1 ครั้ง(ขืนไปบ่อยๆ จนตายซิครับ อาจต้องไปเป็นร๊อบ ชไนเดอร์ ในหนังเรื่อง ดิวส์ บิกกะโล่ ล้อเล่นครับ ผมมีศักดิ์ศรีนะ ฮ่าๆๆๆ)

(Liveaboard คือ เรือสำหรับการไปดำน้ำโดยเฉพาะ เนื่องจากทริปหนึ่งต้องไปหลายวัน กิน นอน บนเรือ ภายในจึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เรียก เรือเป็นบ้านคงไม่ผิดนัก)

พูดถึงอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ พังงา ผมยังไม่เคยไปเยือนเลย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวแบบ Backpacker ที่ผมมักจะไปบ่อยๆก็ตาม

แต่อุปสรรคของผม ข้อแรกคือ ช่วงวันหยุดยาว ผมมักจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวทุกครั้ง จึงเป็นเรื่องยากที่จะปลีกตัวไปได้

ส่วนอีกข้อ ผมซึ่งยังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง จะเก็บเงินจำนวนมากมายขนาดนั้น ภายในเวลาที่จำกัด ได้อย่างไร

เมื่อผมพูดคุยกับครอบครัว ช่วงปีใหม่ ไม่มีใครออกต่างจังหวัด เมื่อผมขอไปดำน้ำก็ไม่มีใครคัดค้านเพราะคุณพ่อและคุณแม่ทราบดีว่า นี่คือ สิ่งที่ผมรักมาก เพียงแต่ท่านขอร้องให้ระมัดระวังตัวให้มากเท่านั้น

ผมเริ่มคิดการหางานพิเศษทำ ไม่ว่าจะเป็นการล้างจาน เสริฟอาหาร หรือแม้กระทั่งการไปเป็นพนักงานขายตามห้างสรรพสินค้า

สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ การเสริฟอาหารในช่วงค่ำที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่า หักลบค่าเดินทางแล้วจะทำให้รายได้ลดลงก็ตาม

คุณพ่อจึงเสนอหนทางให้ เพราะไม่อยากให้งานพิเศษรบกวนเวลาอ่านหนังสือของผม(ขณะนั้นใกล้สอบด้วยครับ) โดยให้ผมทำความสะอาดบ้านเพิ่มขึ้น จากสัปดาห์ละ 1 วัน เป็น 3 วัน

เมื่อผมคำนวนดูแล้ว เป็นหนทางที่ดีสำหรับทุกฝ่าย ผมก็ไม่ต้องขาดเรียนในช่วงค่ำด้วย(ส่วนจะเอาเงินล่วงหน้ามาใช้ แล้วจะไม่มีใช้ในอนาคต ค่อยแก้ปัญหาอีกทีแล้วกัน)

ยิ่งพี่ป้อม ครูสอนดำน้ำของผม อนุญาติให้ผมเดินทางไปโดยรถยนต์ด้วยกันได้ ทำให้ผมประหยัดค่าเครื่องบินได้ หลายพันบาท การเก็บเงินของผมจึงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ (พี่ป้อมอยากให้ผมเห็นโลกใต้ทะเลที่สวยงามจริงๆเสียที)

เมื่อปีใหม่ ใกล้เข้ามา ฝันหวานของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง จะเป็นความจริงอีกหนึ่งครั้งแล้วครับ

29 ธันวาคม 2548

เช้าวันนี้ ชูฮวย เพื่อนซี้ของผม จะกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ แต่เพราะนัดกับพี่ป้อมไว้ และเวลาก็กระชั้นชิดกัน ผมจึงเลือกส่งเพื่อน ที่บ้านของมันแทน ตั้งแต่เมื่อวาน

คุณพ่อมาส่ง ที่ Lotus อ่อนนุช ผมแบกเป้ที่มีหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ทะเลและ Snockle กับกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ เดินเข้าไปในห้างเพื่อหาซื้อถุงดำและน้ำยาดับกลิ่น(เฮ้ย ไม่ใช่หมอวิสุทธิ์) ฮ่าๆๆ ผมซื้อถุงดำอย่างเดียวครับ พี่ป้อมบอกว่าไว้ เอาขนาดใหญ่ที่สุด เพราะจะไว้ใส่ของท้ายกระบะรถของครูโก้ เพราะฝนอาจจะตกได้(กันไว้ไม่เสียหลาย)

นอกจากนี้ผมก็หาซื้อถ่านไฟฉายเพิ่ม เอาไว้ใช้ในการดำน้ำตอนกลางคืน หรือที่เรียกกันว่า Night Dive (เป็นครั้งแรกของผม เช่นกัน ออกจะตื่นเต้นมากเพราะมืดๆ ใต้น้ำดูน่ากลัวนา) ส่วนไฟฉายผมฝากพี่ฝ้ายซื้อเรียบร้อยแล้วครับ ระหว่างนี้ก็หาข้าวเช้าใน Food Center กินเพื่อฆ่าเวลาไปพลางๆ

พี่ป้อมโทรเรียกให้ผมออกมา ด้านหน้า Lotus เพราะรถครูโก้จอดติดไฟแดงอยู่ ในเวลานี้ รถกระบะ นิสสัน ที่มีอุปกรณ์ดำน้ำเต็มคันรถ ดูจะเด่นเป็นสง่าเสียจริงๆ

เรามุ่งหน้าขึ้นทางด่วน สู่ปั้มแห่งหนึ่ง แถวรามอินทา เพื่อมารับพี่อ้อย(หรือผู้กองอ้อย) ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง แห่งอุบลราชธานี นักดำน้ำอีกคนหนึ่ง ที่นั่งรถมาจากอุบลราชธานี เพื่องานนี้โดยเฉพาะ

บ้านชายโสด นามว่า พี่หิ้ว

เรามุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ดูลึกลับมาก หากเดินเข้าหมู่บ้านขาลากแน่นอน เรามาถึงบ้านหลังหนึ่ง ชายหนุ่ม(โสด) นามว่า พี่หิ้ว ออกมาต้อนรับด้วยชุดอยู่บ้านสบายๆ พร้อมเรียกให้เราเข้ามาในบ้านก่อน

ผมสังเกตเห็น ภายในบ้าน ยังไม่เรียบร้อยดี เห็นได้ชัดว่าพึ่งย้ายมาอยู่ไม่นาน แต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในบ้านนี่ซิ ทั้งทีวีจอยักษ์ เก้าอี้นวดที่ครูโก้และพี่อ้อย เอ่ยปากชมว่า ใช้แล้วสบายจริงๆ(เมื่อเป็นหนุ่มโสดจึงต้องหารางวัลให้กับตัวเอง ผมนึกถึงพี่ชายคนโตผม ไม่ต่างกันเลยครับ)

“จัดของเสร็จหรือยัง พี่หิ้ว” ครูโก้ ถาม

“ สวมเสื้อตัวเดียวก็ไปได้แล้ว” พี่หิ้วพูด

ถึงตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า เหตุใดต้องมารับพี่หิ้วถึงที่บ้าน เพราะมีอุปกรณ์ คาราโอเกะ สำหรับไปสนุกกันบนเรือด้วย การขนย้ายบ่อยๆ ไม่เป็นการดีครับ (อีกอย่างให้แกขนไปลำบากน่าดู เพราะมีหลายกล่อง)

เราช่วยกัน ขนเกียร์แบค(กระเป๋าสำหรับใส่อุปกรณ์ดำน้ำ)และกล่องอื่นๆ ลงจากรถ เพื่อนำมาใส่ถุงดำป้องกันฝน ที่อาจตกลงมา และนำกระเป๋าเสื้อผ้า มาใส่หลังรถด้วย เพราะ 5 คนในรถ ดูจะไม่มีที่ว่างให้วางกระเป๋าได้เลย นอกจากถือไว้กับตัวเท่านั้น จากนั้นก็ใช้เชือกรัดอีกที เพื่อกันของตกระหว่างเดินทาง โดยยังมีอีกหนึ่งอย่างที่ต้องซื้อก่อนออกเดินทาง คือ ตาข่าย ไว้รัดบนกระบะอีกทีหนึง

แม้ผมจะนึกเสียดายว่า หากไปส่งชูฮวย น่าจะออกเดินทางทัน แต่ใครจะรู้ล่วงหน้าล่ะครับ และการที่ผู้น้อยอย่างผม มาก่อนเวลา ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว (ไปกับเขา อย่าเรื่องมากนา )

ออกเดินทาง สู่เกาะภูเก็ต

สิมิลันอยู่ จ พังงา ทำไมถึงไปภูเก็ตเหรอครับ เพราะเรือ Liveaboard นามว่า Little Princess (เจ้าหญิงน้อย) รออยู่ที่ท่าเรือ รัษฎา จ ภูเก็ต หากเดินทาง จาก จ พังงา แม้จะใกล้สิมิลันกว่ามากแต่ก็จะลำบากมากเช่นกันตรงที่ จ พังงา ไม่มีสนามบิน นักดำน้ำส่วนใหญ่ มาเครื่องบินกัน ถึงตรงนี้คงเข้าใจแล้วนะครับ

ผมไม่ได้ขึ้นสะพานพระราม 9 มานานมาก จึงไม่ค่อยคุ้นเส้นทางเท่าไรนัก แต่สังเกตได้ว่าผู้คนเริ่มทยอยออกไปฉลองเทศกาลปีใหม่กันแล้ว

เราแวะ Lotus พระราม 2 เพื่อซื้อตาข่าย พี่หิ้วรีบลงไปหาซื้อให้ ส่วนพี่อ้อยลงมาหาซื้อ Sun block ส่วนผมลงมาเข้าห้องน้ำ ถามว่าเหตุใดพี่ป้อมและครูโก้ จึงไม่ลงมา ของหลังรถไงครับ กลับมาอีกทีของหาย ก็ฮาซิ(ครูโก้บอกว่า รถหายผมไม่กลัวหรอก มีประกัน แต่ของหลังรถนี่ซิ ไม่มีประกันนะ)

ก่อนขึ้นรถผมเดินมาเจอพี่หิ้ว แกใจดีมาก ซื้อขนมมาฝากทุกคน ในรถด้วย

เส้นทางพระราม 2 ในตอนนี้ ผมเริ่มคุ้นแล้ว เพราะ หากย้อนกลับไป จะผ่าน เดอะมอลล์ บางแค เนติบัณฑิตยสภา ส่วนตรงไปเรื่อยๆก็จะผ่านมหาชัย (นึกภาพตามแล้วกันครับ) เราเติมน้ำมันที่ปั้ม Jet ก่อนออกเดินทางด้วย(ในปั้มคนเพียบเลย ไปปีใหม่กันแน่ๆ)

โดยเวลานี้ เที่ยงครึ่งแล้ว เราจึงต้องทำเวลาเพื่อไปขึ้นเรือให้ทัน ในเวลาเที่ยงคืน

เผลอแปบเดียว เราเลี้ยวซ้ายเข้าสามแยกวังมะนาว เข้าสู่เมืองเพชรบุรี ผ่าน อ เขาย้อย ผมคิดในใจว่า เร็วมาก หากเปรียบเทียบกับหวานเย็น สีส้ม(จอดทุกป้าย) ที่ผมเคยหลวมตัวนั่งมา ครั้งมาเที่ยว จ ประจวบคีรีขันธ์(รถออก 6 โมง ถึงประจวบคีรีขันธ์ 11 โมง)

บนรถ เปิดเพลงถูกใจผมจริงๆ ไม่ใช่เพลงวัยรุ่นครับ แต่เป็นเพลงรุ่นพ่อผมหนุ่มๆต่างหาก เช่น ของ คลิฟ ริชาดร์ เป็นต้น ผมว่าฟังเพลงเก่าๆ สบายหูดี โดยมีพี่หิ้วเป็นดีเจและถามเรื่องเครื่องเสียงของครูโก้ตลอดทาง ที่สำคัญคนขับชอบฟังเพลงเก่าๆด้วยครับและสมาชิกในรถทุกคนก็ชอบทั้งนั้น

เราแวะกินข้าวแกง ที่ปั้มแห่งหนึ่งใน อ ปราณบุรี โดยเอาท้ายเข้าจอด ตาทุกคู่จ้องแต่ท้ายรถ(ฮ่าๆ ก็ดูไว้ครับ เรื่องวิ่งราวคงไม่มีทาง เพราะโจรส่วนใหญ่ผอมแห้ง ขี้โรคทั้งนั้นแบกของไม่ไหวหรอก) แม้อาหารไม่ใช่อร่อยระดับภัตตาคาร แต่ก็ทำให้เรารอดจากมื้อนี้ไปได้อย่างแซบ(อยากรู้ถามพี่หิ้วครับ แซบ แซบ)

เราออกเดินทางต่อไป หากรถจอดเมื่อไร ผมต้องลงมายืดเส้นยืดสายทุกครั้ง เพราะช่วงขาที่ยาวนั่นเอง (ซัก 10 วินาที ก็ยังดีครับ)


มีตำรวจในรถ มันดีอย่างงี้ นี่เอง

บริเวณ อ ทับสะแก เราพบด่านตรวจ ซึ่งตำรวจโบกให้เราจอดข้างทาง บอกว่าขับรถเร็ว เพราะในช่วงนี้เป็นวันแรก ที่เริ่มนโยบาย 7 วันอันตราย (รถกระบะ ห้ามขับเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงครับ) เราล่อไป 120 แล้ว(ก็ถนนมันโล่งนี่นา อีกอย่างเราต้องรีบทำเวลาด้วย)

ตำรวจบอกให้ลงมาที่เตนส์ พร้อมขอดูใบขับขี่ครูโก้ และให้จ่ายค่าปรับ 200 บาท จึงเป็นหน้าที่ของพี่อ้อย ผู้กองหญิง ที่จะลงมาเจรจาเพราะเรามีความจำเป็นจริงๆ ต้องไปให้ทันเรือ เผลอแปบเดียวตำรวจบอกให้นั่งรอซักพัก(เพื่อจะได้ดูไม่น่าเกลียด) แล้วก็ปล่อยให้ขึ้นรถต่อได้

ผมถามพี่ๆ อย่างสงสัย ตำรวจเขาจับความเร็วได้อย่างไร จึงได้คำตอบว่า ตามทางจะมีตำรวจ ถือเครื่องวัดไว้ หากใครขับเกินก็จะถูกแจ้งไปที่ด่านข้างหน้า ทันที

ด้านหน้าก่อนถึง อ บางสะพาน ผมเห็นร่องรอยสะพานขาด ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เกิดจากน้ำป่าแน่นอน(เร็วๆนี้ ที่มีฝนตกหนัก) รุนแรงมาก ขนาดสะพานยังเอาไม่อยู่แล้วคนจะเหลืออะไร บริเวณนี้รถจึงติดเล็กน้อย เพราะต้องใช้สะพานชั่วคราว ที่ทำขึ้น ข้ามได้ครั้งละ 1 คัน เท่านั้น

เราผ่านศูนย์บริการ ทางหลวงเขาโพธิ์ ผมจำได้ดีว่า ในขากลับรถทัวร์มักจะแวะเข้ามาบริเวณนี้ด้วย

เมื่อเลย จ ประจวบคีรีขันธ์ เข้าสู่ จ ชุมพร (ซึ่งหาปั้มระหว่างทางยากจริง) เราเจอจุดตรวจอีกครั้ง เป็นกรวยอยู่ข้างๆทาง เรามัวแต่สนใจกับงานศพข้างทางเลยไม่ได้ชะลอ เลยโดนตำรวจเรียกอีกครั้ง ซึ่งพูดอย่างมีอารมณ์ว่า

กรวย ไม่เห็นกรวยหรือไง? ตำรวจคนหนึ่งพูด พร้อมบอกอีกว่า “เพื่อประโยชน์กับตัวคุณเองทั้งนั้น” เราก็ได้แต่บอกว่าไม่เห็นจริงๆ อีกอย่างกรวยก็ไม่ได้ตั้งขวางทางแค่เบี่ยงออกมา และไม่มีกฏจราจรข้อไหนบอกว่า เห็นกรวยให้ชะลอด้วย(ผมว่าไม่มีนะ ถ้ามีขออภัยครับ) จึงเป็นเรื่องสนุกๆในการเล่นคำ ฮ่าๆๆๆ

และแล้วประมาณ 2 ทุ่ม เราก็มาถึง จ สุราษฐ์ธานี โดยแวะปั้มขนาดใหญ่ ผมจำได้แม่นว่า เคยมาแล้วแน่นอน

เราเอาท้ายจอดเข้าเหมือนเคย ผมได้ข้าวหมูกรอบ กับโอวัณติน 1 แก้ว เป็นอาหารเย็น มีคนแปลกหน้าคนหนึ่งคุยโทรศัพท์แล้วชอบมายุ่มย่ามแถวรถจัง(เดินไปแล้วก็เดินมา) บางครั้งมีเอาเท้าพาดด้วย ผมบอกพี่ๆว่า คุยกับสาวแน่นอน เพราะอาการแบบนี้มันฟ้อง จับนั่นจับนี่ เดินไปเดินมา เขินนั่นเอง(แต่เราก็จ้องดูตลอด เผื่อเป็นพวกมิจฉาชีพ)

รถเข้าสู่เขต จ กระบี่ โดยใช้เส้นทางลัด ที่ไม่ค่อยมีรถวิ่งนักและไม่ค่อยมีไฟ แถมไม่ค่อยมีบ้านคน ครูโก้บอกว่าเส้นทางนี้กลัวอยู่ 2 อย่างคือ ยางระเบิด อีกข้อคือ กลัวโจรปล้นเพราะเส้นทางดูจะเปลี่ยวเหลือเกิน

ระหว่างทาง ผมได้ยินเสียงติดต่อทางโทรศัพท์อยู่ตลอด เป็นของพี่ป้อมและครูโก้ ไว้คอยติดต่อกับนักดำน้ำว่า มาถึงหรือยัง และมีใครมารับบ้าง เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างเรียบร้อย

รถเข้ามาสู่ อ โคกกลอย จ พังงา ซึ่งหมายความว่า ด้านหน้าของเรา คือ สะพานสารสิน

6 Comments:

At 9:18 AM, January 10, 2006, Anonymous Anonymous said...

ขอบคุณครับ ได้อ่านแล้ว ... รออ่านตอนต่ออย่างใจจดจ่อ ถึงจะไปด้วยกันแต่รายละเอียดภพเก็บได้ดีมากๆนะ อ่านเป็นตัวหนังสือสนุกดีครับ

ตาป้อม

 
At 2:40 PM, January 10, 2006, Blogger kasab71 said...

ดีใจ ที่ชอบครับพี่

รออ่านตอนต่อไปเร็วๆนี้ครับ ขอจัดการเรื่องลดขนาดรูปก่อน จะเสริมรูปปลาเข้าไปด้วยครับ

 
At 5:51 AM, January 17, 2006, Anonymous Anonymous said...

ขาประจำตามมาอ่านอีกแล้ว

เขียนได้น่าอ่านมากค่ะ

 
At 5:52 AM, January 17, 2006, Anonymous Anonymous said...

เอ ทำไมเป็นภาษาเยอรมันล่ะ อ่านออกนะจะบอกให้

 
At 8:32 PM, January 17, 2006, Anonymous Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าสนุกๆค่ะ
เขียนได้ดีจัง

 
At 10:30 PM, January 17, 2006, Blogger kasab71 said...

ป้านิดครับ ทำไมเป็นภาษาเยอรมัน ผมก็ไม่ทราบซิ คงเกี่ยวกับทางนั้นมั้ง

ขอบคุณจริงๆ ครับ ตามมาอ่านประจำเลย

ดีใจที่ชอบครับ คุณ archangel

 

Post a Comment

<< Home