Tuesday, December 20, 2005

ตะลุย...แดนปลาดิบ(5)





ข้าวผัดรสชาดไทยๆ

เราถึง Sunshine City Prince Hotel คุณภาคินบอกให้ใช้เวลาเก็บของอย่างรวดเร็ว และลงมาพบกัน เพื่อไปรับประทานอาหาร ส่วนครอบครัวผมจะขอไปทานกันเอง

สภาพห้องในโรงแรม สู้เมื่อวานไม่ได้ ห้องก็แคบกว่ามาก(แต่ผมคิดว่าราคา ที่นี่แพงกว่าเพราะอยู่ในเมือง)

เราเดินออกไปด้านนอก ผ่านตรอกซอกซอย เพื่อหาร้านอาหาร เนื่องจากโตเกียวเป็นเมืองใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจว่าพี่ชายคนโตจะไม่คุ้นเส้นทางนัก

ในที่สุดก็ได้ร้าน Genya เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ เราใช้วิธีเลือกร้านโดยมองจากเมนูอาหารข้างหน้าและโต๊ะภายในร้าน เพราะบางร้านจะไม่มีที่นั่งแบบส่วนตัว

แน่นอนว่าเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่น ไม่มีภาษาอังกฤษมาเจือปน พี่คนโต จึงเป็นคนดูเมนูและสั่งอาหารให้ ผมสั่งข้าวผัดเนื้อซักอย่าง ในขณะที่คนอื่นๆสั่งก๋วยเตี๋ยว(ผมชอบกินข้าวเพราะคุ้มครับ ก๋วยเตี๋ยวมันไม่อิ่ม)

ซึ่งข้าวผัดเนื้อของผมรสชาดก็เป็นแบบไทยๆครับ ไม่ได้ต่างกับบ้านเราเท่าไร ผมสอบถามคุณพ่อ ก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ค่อยอร่อยนัก(อาจอร่อยสำหรับคนญี่ปุ่นแต่ไม่ถูกปากคนไทยครับ) แต่ถึงไม่อร่อย ทุกคนก็ฟาดเรียบด้วยความหิว

เราอยู่ในร้านไม่นานนักเพราะข้างๆ มีกลิ่นบุหรี่โชยมา (คนญี่ปุ่นสุบบุหรี่จัดครับ แม้กระทั่งในร้านอาหาร)

เมื่อทานอาหารเสร็จ เราเดินไปเรื่อยๆ ผมเดินผ่านร้านอาหารร้านหนึ่ง มีป้ายโฆษณา พี่คนโต ชี้ให้ผมดูว่า “มาทำงานดิ เงินดีนะ” ซึ่งก็คือ มี่ญี่ปุ่นเปิดโอกาสให้เด็กหารายได้พิเศษมาก อย่างที่ร้านนี้ ให้สมัครงานทำรายชั่วโมงก็ได้ ไม่มีพิธีรีตองมาก เข้าเปลี่ยนชุดทำ เมื่อถึงเวลารับเงิน วันไหนอยากทำก็มา วันไหนไม่อยากมา ก็ไม่ต้องมา(ที่เมืองไทย งานพิเศษจะให้เข้าเป็นเวลาและมีพิธีรีตองมากกว่านี้)

เราเดินเข้าไปแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกห้างหนึ่ง ผมมองทีวีเห็น Bio Hazard 4 พร้อมแผ่นจริงวางขาย แต่ราคาตกประมาณแผ่นละ 3000-4000 บาท(เมืองไทยแผ่นก๊อปแผ่นละ 70 บาทจ้า จ่ายแพงกว่าทำไมกับแผ่นจริง ฮ่าๆๆ)

พี่คนกลางได้ซื้อหูฟังที่นี่ เพื่อใช้กับโทรศัพท์ ขณะนี้ใกล้ 4 ทุ่ม แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้ากำลังปิด ผมออกมาดูบรรยากาศยามค่ำคืน ข้างๆ มีร้านปาจิงโกะด้วย มีคนเล่นเพียบเลย (แต่จะได้จริงๆซักกี่คนล่ะ )


ผจญภัยยามค่ำคืน

เราเดินกลับไปที่ Sunshine City Prince Hotel คุณน้าคนนั้น ยังไม่ได้กลับมาเลย พี่คนโตบอกให้ผมไปเอากุญแจที่ Front เพื่อทดสอบภาษาอังกฤษ (งูๆปลาๆ สบายมาก ผ่านฉลุย)

ผมหยิบของกิน ของฝากที่เพื่อนพี่คนโตฝากซื้อ ที่ขนมาจากเมืองไทย เช่น มาม่า เหล้าไทย ไวน์ เป็นต้น เนื่องจากของที่หนัก กว่าพี่คนโตจะเดินไปถึงสถานีรถไฟคงเหนื่อยแย่

ผมและพี่คนกลางตกลงกันว่าจะไปห้องพี่คนโตด้วยกัน เพื่อเอา SD card ไปโหลดลงคอม ไรท์ใส่แผ่น จะได้มีเนื้อที่ไว้สำหรับถ่ายในวันรุ่งขึ้น ที่สำคัญจะได้ช่วยถือของไปด้วย แม้ผมจะเหนื่อยแต่ก็ไม่อยากนอนเร็ว อยากเห็นชีวิตของคนที่นี่ด้วย เราต้องรีบไปเพราะขากลับ รถไฟรอบสุดท้ายอาจจะหมดในเวลาเที่ยงคืนก็ได้(พี่คนโตไม่แน่ใจในเรื่องเวลาแต่เดาว่าอย่างงั้น)

นี่เป็นโปรแกรมท่องเที่ยวที่ผมและพี่ชายทั้งสองจัดขึ้นเองครับ

ผมเดินลงมาด้านล่าง เห็นคุณภาคินจึงสอบถามถึงคุณน้าคนนั้น ได้รับข่าวดีว่าเธอกลับมาแล้วอย่างปลอดภัยด้วย

หลังจากดูแผนที่ซึ่งติดไว้ที่ฝาผนังโรงแรม เราเดินออกจากโรงแรม Sunshine City Prince Hotel ผ่านสถานีรถไฟใต้ดินหลายสถานี แต่กลับไม่ใช่สถานีรถที่เราจะขึ้น(พี่คนโตบอกจะเป็นรถไฟลอยฟ้าธรรมดา)

ผมเดินผ่านสถานที่ก่อสร้าง สาวหน้าใสถือไฟสัญญาณเตือนสีส้ม เพื่อไม่ให้คนเดินมาตกท่อ (พี่คนโตบอกอีกเช่นกันว่า แบบนี้มาทำงานพิเศษเป็นรายชั่วโมง คืนหนึ่งก็ได้เงินไม่น้อยเลย เข้าใจว่าเธอคนนี้มาทำงานพิเศษเช่นกัน)

หลังจากเดินก้าวยาวๆกลมกลืนคนญี่ปุ่น รอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนน เรามาถึงสถานี Ikebukuro มีเครื่องออกตั๋วอัตโนมัติอยู่หลายเครื่อง เมื่อกดสถานี ใส่เงินเข้าไปเครื่องจะทอนออกมาทันที และมีตั๋วเล็กๆขนาดประมาณยางลบดินสอยี่ห้อสเต็ดเลอร์ มีผู้คนมากมายในสถานี แต่ละคนเดินอย่างรีบเร่งเพื่อทำธุระของตน เมื่อเดินขึ้นไปถึงบริเวณชานชะลา มองเห็นทุกคนต่อแถว ตามคิวเป็นระเบียบ

เมื่อรถไฟลอยฟ้ามาถึงรูปร่างหน้าตา คือรถไฟแบบบ้านเราเลย เพียงแต่ไม่มีเสียงปู๊นๆเท่านั้น เข้าไปด้านใน คนยังไม่แน่นมาก มีที่ยืนสบายๆ ยังมีเสียงประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นโดยตลอด คนต่างชาติอย่างเราจึงจับใจความได้เพียงชื่อสถานีเท่านั้น

ผมสนใจจอทีวี ที่อยู่ในนี้มากจึงต้องถ่ายวีดีโอเก็บไว้ เพราะจะแสดงถึงเส้นทางในแต่ละสถานี ที่สำคัญชื่อสถานีมีเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษด้วย ทำให้การเดินทางที่ว่ายาก ง่ายขึ้นเยอะ ก่อนถึงสถานีแต่ละครั้งนอกจากคำเตือนเรื่องประตู ยังมีเรื่องให้ปิดโทรศัพท์ด้วย(พี่คนโตบอกจะได้ไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น)

เสียงประกาศ สถานีต่อไป สถานี Shin-Okubo พี่บอกผมให้เตรียมตัว


การใช้ชีวิตของพี่ชาย

เดินออกมาเรื่อยๆ พี่คนโตเล่าว่า แถบนี้จะมีคนต่างชาติเยอะ ถ้าคนญี่ปุ่นถามว่าพักอยู่แถวไหน หากบอกว่าอยู่ที่นี่ เขาจะตกใจและถามว่า “ไปอยู่ได้อย่างไร ไม่กลัวบ้างเหรอ” ที่นี่ จึงถือว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรมในสายตาคนญี่ปุ่นบางคน

ผมคิดว่าหลายอย่างที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นๆ เช่น ร้านขายเสื้อผ้าที่ยังเปิดอยู่เลย(ถ้าที่อื่นเวลานี้คงปิดหมดแล้ว) ระหว่างที่เดินผมมองดู ก็ไม่มีอะไรที่เสียหาย การที่คนญี่ปุ่นคิดว่าแปลก ไม่ได้หมายความว่าคนต่างชาติอย่างเราจะแปลกด้วยนะ แล้วอีกอย่างยังมีคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย ที่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย

พี่ชายผมชี้ให้ดูตึกตรงข้ามบอกว่า “ถ่ายรูปไปให้พ่อดูดิ” นั่นคือ โรงแรมไคโย โรงแรมที่คุณพ่อผมเคยมาพัก ตอนมาดูงานที่นี่ ซึ่งปัจจุบันได้ปิดกิจการไปแล้ว เรียบร้อย

พี่คนโตชี้ให้ดูร้าน 100 เยน กล่าวคือทุกอย่างในร้านราคา 100เยนหมด จึงเป็นที่ถูกใจของคนชอบของคุณภาพดีและราคาถูก เดินไปเรื่อยๆ พี่คนโตก็ชี้ให้ดูร้านเกม ที่เข้ามาเล่นฟรีบ่อยๆ (ที่นี่มีร้านเล่นฟรีมากมาย)

เราเดินข้ามถนนอีกครั้ง เดินเข้าไปในซอย ซึ่งแม้จะ เกือบ 5 ทุ่มแต่ก็ไม่เปลี่ยวมากเท่าไร ตลอดทางมีตู้ขายน้ำอัตโนมัติและตู้ขายบุหรี่อัตโนมัติเพียบเลย(ไม่ต่ำกว่า 7 ตู้)

มาถึงที่หมาย พี่คนโตบอกว่า เขาเรียกที่นี่ว่าแมนชั่นไม่เรียกว่าอพาตเมนต์ เราขึ้นลิพท์ไปเรื่อยๆ เดินไปจนถึงห้อง

ขณะนี้เพื่อนๆ ที่แชร์ค่าห้องอยู่ด้วยกัน ยังไม่มีใครกลับมาจากการทำงานพิเศษ ผมได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของพี่ชายที่นี่ ภายในห้องมีเตียง 2 ชั้นอยู่ 2 เตียง(รวมเป็น 4 เตียง) มีห้องน้ำ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ไมโครเวฟ คอมพิวเตอร์ ทีวี(ของใช้ที่นี่ส่วนใหญ่จะได้จากคนมาให้ หรือเขาทิ้งตามถังขยะ)ตอนผมฟังแรกๆก็ไม่ค่อยเชื่อนัก แต่พอเห็นความทันสมัยของเทคโนโลยีที่นี่ จึงไม่แปลกใจ หากเป็นผม มีของในถังขยะแบบนี้ คงไม่พลาดที่จะไปดูบ้าง ด้านได้อายอดครับพี่น้อง) แม้สภาพห้องจะดูแออัดบ้าง แต่ก็ไม่ควรคิดมากสำหรับการมาอยู่ในต่างประเทศสำหรับคนที่ต้องการประหยัดรายจ่าย

พี่คนกลางโหลดรูปลงคอม ไรท์ใส่แผ่นและตัวเก็บข้อมูลอีกทีหนึ่ง(กันเหนียว) พี่คนโตโชว์เครื่อง psp , game boy advance เป็นต้น

ซักพักใหญ่ เพื่อนพี่คนโตก็กลับมา พี่คนกลางอยากได้เอ็มพี 3 เพลงไทย ก็ได้พี่คนนี้ช่วยเหลือในการค้นหาให้

“ไป Free marget หรือเปล่าครับพรุ่งนี้” free marget คือตลาดมืด เปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ มีของดีราคาถูกมาก ตั้งแต่เสื้อผ้า ไปถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิค ผมและพี่คนกลางสุดแสนจะเสียดายเพราะไม่มีเวลาไปได้ พรุ่งนี้มีโปรแกรมไปดิสนีย์แลนด์ บ่ายๆก็ต้องไปสนามบินนาริตะเพื่อเดินทางกลับเมืองไทยแล้ว

ขากลับพี่คนโตเดินออกมาส่งที่สถานี Shin-Okubo ผมและพี่คนกลางรอรถไฟลอยฟ้าเที่ยวที่สองเพราะเที่ยวแรกคนแน่นมากๆ ไม่มีที่แม้แต่ให้แมวเข้าไป(แน่นจริงๆ) ไม่น่าเชื่อว่า เวลา 00.30 คนยังไม่กลับบ้านกันเหรอไง?

เที่ยวที่สอง คนก็ยังแน่นมาก เราเบียดเข้าไปจนได้ ผมไม่แปลกใจว่า ทำไมในการตูนญี่ปุ่น(เช่น อ ซากุไร ในเรื่อง GTO ) มักมีฉาก ที่คนมักถูกลวนลามในรถไฟที่แน่นๆ(เป็นแบบนี้นี่เอง) ใกล้ๆผม คือสาวญี่ปุ่นหน้าตาน่ารัก ขาว น่าดู (ตกหลุม)

ไม่มีที่แม้จะขยับ คนเข้ามาเรื่อยๆ เวลาออกหากใครเกรงใจ ไม่ได้ออกแน่นอนครับ ชนก็ต้องชนไปเลย ผมและพี่คนกลางมาถึงสถานี Ikebukuro

เมื่อออกมา เรื่องที่ง่ายดูเหมือนจะไม่ง่ายเสียแล้ว เพราะสถานีนี้ มีรถไฟลอยฟ้าประมาณ 6 สาย แดง เขียว น้ำเงิน เหลือง ส้ม ชมพู วิ่งผ่านทับเส้นกัน แค่หาทางออกที่ถูกต้องก็ยากแสนยากแล้วครับ

เดินไปแล้วก็เดินมา อยู่ไหนหว่า แม้จะเป็นสถานีที่ถูกต้องก็ตาม แต่ทางออกล่ะ เห็นคนญี่ปุ่นหลายคนวิ่งกลับบ้าน จนผมคิดว่า นี่บ้านไม่หนีไปไหนหรอก ทำไมต้องรีบขนาดนั้นหนอ เดินเร็วๆก็พอล่ะ

ในที่สุด ผมจำได้ว่า ขามาผมถ่ายรูปขณะพี่ชายทั้ง 2 ซื้อตั๋วอยู่ เมื่อคิดจาก การตั้งเครื่องขายตั๋ว กำแพงที่ตั้งตรงนี้ ผมจึงบอกพี่คนกลางในเส้นทางที่น่าจะถูกต้อง และแล้ว เราก็ออกมาข้างนอกจนได้

ถึงตรงนี้ ก็ได้พี่คนกลางของช่วยเหลือเพราะเส้นทางกลับโรงแรม Sunshine City Prince Hotel ผมไม่คุ้นเอาซะเลย มีหลายมุม หลายตึก หลายแยก ยิ่งแว่นไม่ได้ใส่ มองไกลๆ ตาก็เริ่มลายๆ จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่า เวลาคับขัน สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวเสมอ

กลับมาคุณพ่อทิ้งโน้ตไว้ให้ไปหาที่ห้อง โดยให้ไปเอาของที่สั่งซื้อจากคุณภาคิน เช่น ถั่วพิซซาซิโอ,ช๊อคโกแลคเมลอน ถ้วยโป๊ เป็นต้น มาแพคใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย

ผมและพี่คนกลางกลับถึงโรงแรมเปลี่ยนชุด แปรงฟันนอนเพราะ 6 โมงก็ต้องตื่นแล้ว แม้จะมีกลิ่นโชยออกมาจากเท้าก็ตาม(แม้เหงื่อจะไม่มีแต่รองเท้ายังไงก็เหม็นครับ)

ในที่สุดการผจญภัยยามค่ำคืนนอกทริปในวันนี้ ก็จบลงได้ด้วยดี



3 พฤศจิกายน 2548


ห้องอาหารชวนปวดหัว



เสียงนาฬิกาปลุกดัง พี่คนกลางให้ผมอาบน้ำเป็นคนแรกเพราะผมมักจะช้าหากให้อาบน้ำทีหลัง ผมแพคกระเป๋าเสร็จออกมาถ่ายรูปในห้องพักเหมือนเคย

ขนกระเป๋าลงไปด้านล่าง ผมเห็นกรุ๊ปทัวร์คนไทย ที่มากับเครื่องบินลำเดียวกับเราตั้งแต่วันแรก แต่เพราะนั่งรถคนละคันและทริปคนละทริป จึงไม่ได้เจอกันเท่าไร(ผมจำสาวผมยาว รูปร่างขาวอวบคนหนึ่งได้)

ลงไปกินอาหารเช้าที่ห้องอาหาร Bayern restaurant กว่าจะหาห้องอาหารพบต้องใช้เวลาพอสมควรเพราะที่นี่มีห้องอาหารมากกว่า 3 ร้าน(คนมากินอาหารตอนเช้ามึนตายล่ะ ห้องอาหารเยอะเหลือเกิน)

ผมยังติดใจน้ำแอ๊ปเปิ้ลและปลาซาบะเมื่อวานนี้ที่ Fujinoboukaen Hotel เช้านี้จึกตักมากินอีกแม้จะสู้เมื่อวานไม่ได้ก็ตาม นอกนั้นก็มีซุปเต้าเจี๊ยว ไส้กรอก ขนมปัง เป็นต้น แต่กินยังไม่ทันคุ้ม ก็ต้องรีบไปเพราะใกล้ถึงเวลานัดหมายแล้ว(ไม่ทันได้ครึ่งท้องเลย)

เดินไปที่ตู้โทรศัพท์ พี่คนกลางกดโทรศัพท์หาพี่คนโตว่าถึงไหนแล้ว เพราะเรานัดหมายกันที่นี่ ในวันนี้เราจะไปดิสนีย์แลนด์ด้วยกัน ปรากฏว่าถึงสถานี Ikebukuro แล้ว แต่ยังหาทางออกไม่ถูก จึงบอกว่าให้ไปกันได้เลยแล้วไปเจอกันที่ดิสนีย์แลนด์(เหมือนผมกับพี่คนกลางเมื่อวานนี้ และไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะพี่คนโตก็ไม่ค่อยได้มาแถวนี้ด้วย)

ออกมาด้านนอก อากาศเย็นได้ที่จริงๆ เอาสัมภาระเข้าที่ใต้ท้องรถแล้ว ผมช่วยพนักงานของโรงแรมขนลูกพลับญี่ปุ่น 10 กว่ากล่องที่คุณภาคินสั่งมาขึ้นรถ เพราะไว้ด้านล่างอาจจะทำให้เสียง่าย

ผมลงมาด้านล่างอีกครั้งเพื่อถ่ายรูปโรงแรม โชคดีที่พี่คนโตมาถึงพอดี เราจึงขึ้นรถไปด้วยกัน


ออกเดินทางสู่ ดิสนีย์แลนด์

พี่ภาคินบอกจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที จะถึงที่หมาย ผมคุยกับพี่ๆถึงเรื่องราวเมื่อวานนี้ เกี่ยวกับสายรถไฟที่มากจนน่าปวดหัว ซึ่งพี่ๆต่างก็เห็นด้วย

พี่ภาคินบอกว่า หากเปรียบเทียบดิสนีย์แลนด์ที่ฮ่องกงกับญี่ปุ่นนั้น ที่นี่ทำดีกว่ามากๆ จากนั้นแกก็อธิบายต่อว่าประเทศญี่ปุ่นเมืองใหญ่ที่สุด คือ โตเกียว รองลงมา คือ โยโกฮาม่า โอซาก้าและนาโกย่า

ผมถ่ายรูปต้นไม้เปลี่ยนสีสวยๆ เช่นเคย จากนั้นผมเห็น คนกำลังต่อคิวยาวเหยียดในเวลาเช้าแบบนี้ ผมจึงถามพี่คนโตซึ่งได้รับคำตอบว่า เป็นคนต่อคิวเข้าร้านปาจิงโกะ ถามว่าเข้าทำไม เพราะต้องการได้รางวัล โดยพวกเขามารอที่ตู้ที่คิดว่ารางวัลจะออก หลังจากเสร็จสิ้นเมื่อคืนแล้ว โดยหากคนข้างหน้าได้รางวัลก็จะออกอาการเซ็งไปตามๆกันและไปที่ตู้อื่นเพื่อรอรางวัลต่อไป (ก็ไม่ต่างกับการพนันบอล หรือการเสี่ยงโชคด้วยการซื้อล๊อตเตอรี่น่ะครับ)

ขยายต่อว่า การเล่นปาจิงโกะที่นี่ ในตอนเช้าจะมีหนังสือออกมา โดยมีเกจิทั้งหลายมาวิเคราะห์ว่าตู้ไหน น่าจะออก ตู้นี้ออกไปแล้วไม่น่าจะออกอีก เป็นต้น(เรื่องจริงนะครับ วิเคราะห์แบบฟุตบอลเปี๊ยบ ผมยังขำๆเลย มีด้วยเหรอเนี่ย)

ไม่นานนัก รถบัสแล่นมาถึงดิสนีย์แลนด์ สวนสนุกในฝันของใครหลายๆคน


Welcome to Disneyland

ที่นี่สร้างมา 20 กว่าปีแล้ว เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์จึงมีคนมาเที่ยวเยอะแม้กระทั่งคนญี่ปุ่นเองก็ตาม ผมเห็นรถจอดยาวเหยียด(แม่เจ้าโว้ย ทำไมเยอะจัง)

อากาศในวันนี้เย็นสบาย(แต่ก็ต้องสวมเสื้อหนาวอยู่ดี) ผมมองเห็นรถไฟฟ้า หน้าต่างมีรูปมิกกี้ เมาท์วิ่งผ่านไป จึงต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย

พนักงานสาวหน้าตาน่ารัก คอยตรวจกระเป๋าที่ทางเข้าด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ตรวจเสร็จเธอก็ขอบคุณโดยพูดว่า “อาริงาโตะ โกไซมัส”(ขอบคุณมากๆ)

ถึงตรงนี้คุณภาคินกำลังซื้อตั๋วอยู่ ผมก็ถ่ายรูปบรรยากาศไปเรื่อยๆ คนทยอยมากันเยอะเลย โดยตั๋วตกใบละประมาณ 1800 บาท(การซื้อเป็นกลุ่มย่อมได้ราคาถูกกว่า)

เมื่อผ่านประตูเข้าไปเห็นตัวละครต่างๆในดิสนีย์ เช่น มิคกี้เมาท์ โดนัน ดักส์ ปีเตอร์แพน เป็นต้น โดยมีคนจำนวนมาก ยืนรอถ่ายรูปคู่อยู่ พี่คนโตบอกว่า หากมีโอกาสอยากมาทำงานพิเศษที่นี่ โดยมาทำเป็นตัวละครสวมชุดนี่ ท่าจะดี พี่คนกลางเสริมว่า เขาไม่เรียกว่าสมัครงานแต่จะเรียกว่า มาแคสติ้ง เพราะเขาถือว่าทุกคนที่นี่ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง

เดินเข้าไปเรื่อยๆ เห็นต้นสนขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยไฟคริสมาต์ บ่งบอกบรรยากาศคริสมาต์ที่กำลังมาถึงอย่างดี เมื่อเดินทะลุออกไปสิ่งแรกที่เห็นคือปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า

คุณภาคินนัดหมายเวลาที่เจอกัน และแนะนำเครื่องเล่น ที่ต่อคิวไม่นาน ในเวลาที่มีน้อยเช่นนี้ จากนั้นคุณภาคินให้แต่ละกลุ่มหาตัวแทนมา 1 คนเพื่อไปเอาบัตรของคนในกลุ่มไปปั้ม Fast Pass ที่เครื่องเล่น Big Thunder Mountain (fass pass คือ สิทธิพิเศษ เมื่อเราปั้มบัตรแล้ว เราสามารถไปเล่นเครื่องเล่นอื่นๆก่อนได้ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดเราสามารถ มาเล่นที่เครื่องเล่นนั้นๆได้ทันที โดยไม่ต้องต่อคิวอีก โดยเข้าช่อง Fast Pass นับว่าเป็นวิธีการที่ดีจริงๆครับ โดยใน 1 เครื่องเล่นสามารถใช้ Fast Pass ได้แค่ครั้งเดียวนะครับ)

คุณพ่อเอาบัตรของครอบครัวไปทำ Fast Pass ให้ เพราะเครื่องเล่นตรงนี้คุณพ่อเคยเล่นแล้ว ครั้งมาที่นี่

4 Comments:

At 1:07 AM, December 21, 2005, Blogger sweetnefertari said...

กรี๊ด........ตอน 5 แล้วรึ

อ่านไม่ทันจริงๆจ๊ะกระสาบ

ขอเวลาเจ๊นิดนึงนะ

ไม่นานหรอก คาดว่าหลังปีใหม่คงจบ (นานไปมะ)


...

ปล.

กระสาบบ้าน้ำลายมากจ๊ะ

 
At 2:58 PM, December 21, 2005, Blogger Kidsya..(>~<) said...

^________^ ฮ่ะฮ่า รู้ละ!!! จ้า

 
At 3:11 PM, December 21, 2005, Anonymous Anonymous said...

หนุกดีจริงๆค่ะ...มาอ่านในเวลา(ควรจะ)ทำงานเนี่ย...ยิ่งหนุกเพิ่มทวีคูณ ม่ะมีใครหาญกล้ามาว่าซะด้วยดิ่ ;b

...ไม่ต้องบอกเรื่องเล่าสนุกแล้วเนอะ ฮู้ๆกันอยู่..แต่จะบอกเรื่องฝีมือถ่ายรูปอ่ะจ้ะ...that's COOL !!...จะชวนให้ไปอยู่ในดงคนถ่ายรูปด้วยกันก็เกรงจะไม่ไปน่ะซิ :D

 
At 8:19 PM, December 21, 2005, Blogger kasab71 said...

ตามสบายครับเจ๊ อ่านนานๆก็ได้ นะ ไม่มีใครว่าหรอก

ผมบ้าน้ำลายจริงๆแหละครับ กว่าจะโม้เสร้จ สุดแสนจะภูมิใจเลยครับ

ถ่ายรูปเหรอ ผมว่ากล้องคงช่วยแหละครับ ผมไม่ได้เก่งถ่ายรูปขนาดนั้นหรอกครับ แค่ถ่ายบ่อยๆน่ะ ฮ่าๆๆ

sony cybershot t11 ครับผม ทำให้ถ่ายสวยงามแบบนี้

 

Post a Comment

<< Home