ตะลุย...แดนปลาดิบ(4)
God Hand
บนรถ พี่ภาคินถามเราว่าหลับสบายดีไหม ผมเชื่อว่าเกือบทั้งหมด พึงพอใจกับโรงแรมและการบริการ และแล้วผมก็รู้จนได้ว่า ตู้ประหลาดข้างๆลิพท์ที่เขียนว่า 1000 เยน นั้น คือการ์ด สำหรับดูทีวีในช่องพิเศษนั่นเอง(ก็พวกหนังโป๊นั่นแหละ)
พี่ภาคินบอกว่าที่นี่ถือว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา เปิดกว้างกว่าบ้านเรามาก มีร้านsex shop ให้เกลื่อน มีร้าน god hand(หัตถ์เทพเจ้า) ไว้สำหรับคนที่เครียดๆ ไปที่ร้าน จะมีสาวมาสำเร็จความใคร่ให้โดยใช้มือ ว่าแล้วเมื่อคนหน้ามุ่ยลงไป ออกมาจากร้าน หน้ายิ้มอารมณ์ดีทุกคน หากเป็นบ้านเรา เป็นเรื่องใหญ่มากแน่ครับ(ไว้โอกาสหน้าผมจะไปสำรวจดูแล้วกัน ฮ่าๆๆ)
วันนี้เราจะผ่านหลายย่าน ไม่ว่าจะเป็น โอวาโอคุโบะ ,กินซ่า(เราจะแวะรับประทานอาหารกลางวันที่นี่), อาซากูซาและชินชูกุ
แวะที่จุดพักรถข้างทาง ข้างหน้าร้านมีถังขยะรูปร่างแปลกตา แยกอย่างเป็นระเบียบ เช่น สำหรับกระป๋อง สำหรับขวดพลาสติก สำหรับกระดาษ
ผมเดินเข้าไปดูในร้าน มีการ์ตูนเรื่องบากิด้วย(ยังไม่อวสานอีกหรือเนี่ย) โดยวิธีอ่านต้องอ่านจากด้านหลัง อย่างที่รู้ๆกัน ข้างๆมีหนังสือเล่มหนึ่ง มีเด็กญี่ปุ่นหน้าใส สวมชุดบิกินี่ เป็นปก ไม่บอกคงรู้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับแฟชั่นนั่นเอง(อะ อะ คิดอะไรกัน)
พี่ชายคนโต โทรเข้าโทรศัพท์ของพี่ภาคินเพื่อสอบถามเวลามาถึง เพราะ เรานัดเจอกัน ที่วัดอาซากูซ่า
พี่ภาคินบอกโปรแกรมต่อไปว่า หลังจากทานข้าวเสร็จ เราจะไปไหว้พระที่วัดอาซากูซ่า แล้วกลับมาชินชูกุเพื่อ ช๊อปปิ้ง โดยจะพาไปที่ร้านซากุรายะ(ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า)
กินซ่า แหล่งสินค้าแบรนเนม
เมื่อเข้าใกล้มหานครโตเกียว รถเริ่มติด เห็นตึกสูงๆมากมาย อุณหภูมิในขณะนี้ 12 องศาเซลเซียส
เราเข้าเขตย่านกินซ่า พี่ภาคินบอกเปรียบได้กับเอ็มโพเรียมหรือที่เกศรพลาซ่าในบ้านเรา มีร้านสินค้าแบรนเนมเต็มไปหมด คงถูกใจสาวๆหลายคนแน่นอน ผู้คนเดินอย่างรีบเร่ง ตามทางเท้าที่ไม่มีสิ่งใดมากีดขวาง ผู้คนยืนรอเพื่อข้ามถนนอย่างเป็นระเบียบ
ถึงจะดูจอแจ แต่ก็ไม่เละเทะแบบบ้านเรา มีที่จอดรถโดยตีเส้นไว้อย่างเป็นระเบียบ แม้กระทั่งในซอยเล็กๆ เห็นสถานีรถใต้ดินที่นี่ด้วย เขียนว่ากินซ่า อาจเป็นเพราะระบบขนส่งมวลชนของเขาดีมาก ผู้คนจึงนิยมเดินทางโดยการเดิน(บ้านเรา เดินแล้วก็ปิดจมูกไป เหม็นควันพิษ ต้องระวังเหยียบขี้หมา เป็นต้น)
ลงมาด้านล่าง อากาศเย็นสบาย เดินข้ามถนน เข้าไปในตึกที่ชั้นใต้ดิน มีร้านบุฟเฟ่เนื้อเกาหลี คล้ายในบ้านเรา ซึ่งเป็นอาหารของเราในบ่ายนี้ ก่อนหน้านั้นพี่ภาคินนัดหมายเวลาไว้ หากใครกินเสร็จเร็วสามารถออกมาช้อปปิ้งได้
ผมเดินเข้าไปตักเนื้อหลากชนิด ใช้สังเกตจากสีเนื้อเอาเพราะภาษาญี่ปุ่นอ่านไม่ออกครับ เลยไม่รู้ว่าอันไหน หมู เนื้อหรือไก่ (แม่ผมไม่ทานเนื้อครับ)
นอกจากนั้นก็ยังมี สลัดผัก ซุบเต้าเจี้ยว ข้าวเปล่า แกงกระหรี่ ปลาทอด เฟรนไฟล์ ติ่มซ่ำ เป็นต้น
ลวกๆ จนไฟลุก ไหม้บ้าง ไม่ไหม้บ้างตามสไตล์อาหารประเภทนี้ แต่จะเปลี่ยนกะทะ คงยากหน่อยเพราะพนักงานไม่เดินให้เห็นเลย(ไม่รู้จะพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่าด้วย)
ซักพักไม่นานคนเต็มร้านเลย คงอธิบายได้ว่าคนญี่ปุ่นชอบอาหารประเภทนี้เหมือนกัน
ผมซัดไอติม ก่อนจะรีบลุกเพราะถึงเวลานัดหมายแล้ว
ผมเห็นความจอแจ ของที่นี่ ชัดเจน หากเลือกได้ผมคงเลือกไปอยู่ตามชนบทมากกว่า เช่น จังหวัดคานางาว่า
พี่ภาคินสอบถามว่า ร้านนี้เป็นอย่างไรบ้าง ผมเห็นด้วยกับหลายๆคน คือ ร้านน่ะดี แต่โปรแกรมกินไม่ควรเป็นมื้อนี้เพราะเสียเวลา กว่าจะปิ้งๆ ย่างๆ เสร็จ ควรจะหาอาหารที่กินง่ายๆและใช้เวลาไม่มาก จะดีกว่า
ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ รมควันธูป ที่วัดอาซากูซ่า
รถแล่นออกจากย่านกินซ่า ลัดเลาะเข้าซอย พี่ภาคินชี้ให้ดูข้างๆแม่น้ำจะมีเตนส์ เรียงรายอยู่ นั่นไม่ใช่ที่อยู่ขอทานแต่เป็นของพวกเด็ก ที่หนีออกจากบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกคนมีเงิน แต่ความคิดขัดแย้งกับทางบ้าน เลยออกมาใช้ชีวิตโดยลำพัง (เด็กไทยอย่าเอาอย่างเชียว สงสารคุณพ่อคุณแม่)
สะพานที่นี่มีเยอะ แต่สีสวยจริง มีทั้งแดง ฟ้า เหลือง เขียว ดูๆไปก็สวยดีครับ
รถจอดข้าง โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง พี่ภาคินอยากพาเข้าไปชมเหมือนกัน เสียดาย เวลาที่มีจำกัด
เลยอดเข้าไปชมข้างในเลย(ยิ่งช้า เราก็จะมีเวลาที่ชินชูกุน้อย) โดยข้างหน้าเราประตูใหญ่ๆสีแดงๆนั้น คือ วัดอาซากูซ่านั่นเอง
ผมว่า ตัดสินใจผิดที่ถอดเสื้อโค้ตออกเพราะยังมีความรู้สึกเย็นๆอยู่
ลูกกลมๆสีแดงสลักอักษรภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงกลางประตู(เรียกว่าอะไรหนอ ผมก็ไม่ทราบด้วยซิ) เดินเข้าไปเรื่อยๆ ผู้คนมากมายจริงๆ พบรูปปั้นและมีน้ำไหลออกมาหลายๆทิศ มีที่ตักน้ำอยู่ใกล้ๆ คุณพ่อบอกว่า นี่คือน้ำศักดิ์สิทธิ์ ใครได้ดื่มก็จะมีความเป็นสิริมงคล ผมดื่มไปเล็กน้อยรสชาติเหมือนน้ำก๊อกที่ญี่ปุ่นทั่วๆไป แต่ความศักดิ์สิทธิ์นี่ซิ ได้ไปเต็มๆแน่
ใกล้ๆกัน มีกระถางธูปอยู่ตรงกลาง มีความเชื่ออีกเช่นกันว่า ใครได้รมควันธูปจะมีความสิริมงคล จึงไม่แปลกใจที่เห็นคนทั้งญี่ปุ่นและต่างชาติ แสดงท่าทางปัดควันให้เข้าสู่ร่างกาย ผมจึงทำบ้างและขอพรไปด้วย
ถึงตรงนี้ผมและพ่อ มองหาพี่ชายคนโตเพราะนัดกันที่กระถางธูปตรงนี้ ไม่นานนักพี่ชายคนโต ก็เดินมาหา ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นั่นก็หมายความว่า เรา 5 คนได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้งหนึ่ง
เราเดินขึ้นไปข้างบนในอาคารหลังหนึ่ง(ที่ประเทศเรา คืออุโบสถครับ) ภายในมีพระพุทธรูปแบบญี่ปุ่น ผมสักการะและขอพรท่าน โดยพยายามไหว้แบบคนญี่ปุ่น(เอามือสองข้างประกบกันแล้วยกขึ้นประมาณศีรษะแล้วก้มหัวแต่ที่บ้านเราออกช้อยกว่ามากครับ) ดูๆไปก็คงเหมือนคนต่างชาติไหว์แบบไทยแหละครับ เพราะไม่คุ้นเคยเท่าไร
ข้างๆมีเซียมซีผมจึงลองเสี่ยง โดยมีพี่ชายคนกลางเสี่ยงด้วย ผลคือ ผมได้ใบที่ทำนายดี(ต้องให้พี่ชายคนโตช่วยหาเพราะอ่านไม่ออกครับ ตาลาย) เขียนว่า regular fortune โดยรวมแล้ว ถือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจะดีขึ้นครับ ผมก็เก็บกลับบ้านแน่นอน ส่วนของพี่คนกลางไม่ดีนัก จึงแขวนไว้ที่นี่(เป็นเคล็ดว่า ถ้าได้ใบไม่ดีก็ต้องแขวนเก็บไว้ครับ)
ลงมาด้านล่าง เราถ่ายรูปต่อ โดยมีพระเอกอีกคน คือ กล้องcanon ของพี่ชายคนโต(หลังจากให้ sony เป็นพระเอกคนเดียวมาหลายวัน) มีขาตั้งกล้อง เลยสามารถกดถ่ายพร้อมหน้าพร้อมตาได้โดยไม่ต้องรบกวนใคร
ใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ สีเหลืองสดครับออกสีทอง ดูสวยงามมาก เดินตรงลึกเข้าไปเรื่อยๆ จะเป็นทางเดินยาว ด้านข้างทั้ง 2 ฟากจะมีของขาย ผู้คนเดินขวักไขว่ บ้างก็หยุดซื้อของ ดูมีชีวิตชีวามาก
เราเดินตรงไปจนถึงอีก 1 ประตู ตรงจุดนี้ผมเข้าใจว่าเป็นจุดที่คนถ่ายรูปกันเยอะ พี่ชายคนโตเลยอยากให้มาถ่ายกันตรงนี้ (ตรงนี้ พี่ชายคนโตได้ขอร้องให้เด็กญี่ปุ่นคนนึงถ่ายรูปให้ด้วย แม้จะถ่ายออกมาได้ไม่ดีนักก็ตาม ขอบใจมากน้อง)
จากนั้นเราเดินกลับเข้ามาเพื่อออกไปยังประตูที่เราเข้า และไปที่รถบัส มุ่งหน้าสุ่ชินชูกุ
แสง สี เสียง ที่ชินชูกุ
พี่ชายคนโต โดยสารไปกับเราด้วย(ข้างหลังที่ผมกับพี่คนกลางนั่ง ยังมีที่เหลืออยู่) ผมเห็นโทรศัพท์ที่พี่คนโตใช้ รูปร่างก็ฝาพับแบบบ้านเรา นอกจากฟังวิทยุ ถ่ายรูปได้แล้ว ก็ยังดูทีวีได้ด้วย (เมื่อไรบ้านเราจะมีนะ)
แม้จะแค่ 5 โมงเย็น แต่มืดเหมือน 2 ทุ่ม เราผ่านโตเกียวโดม สถานที่ที่มักมีการแข่งกีฬาและการแสดงคอนเสริต เมื่อรถมุ่งหน้าต่อไปเรายังได้เห็นสวนสนุกในย่านชินชูกุด้วย มีเครื่องเล่นเจ้าประจำอย่างรถไฟเหาะตีลังกา เป็นต้น
ผมพึ่งทราบจากพี่ภาคินว่า นอกจากการรับประทานปลาของคนญี่ปุ่น ทำให้คนอายุยืนแล้ว ประโยชน์ของการเป็นผู้สูงอายุแล้วยังไม่ยอมตาย คือ รัฐบาลญี่ปุ่นจะจ่ายเงินชดเชยให้ผู้สูงอายุเป็นรายเดือนๆละ 70000 บาท (ฟังแบบนี้แล้ว อยากจะมาเป็นคนแก่ที่นี่ไหมครับ ต้องร้องเพลงว่า ฉันตายไม่ได้ๆๆๆ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นก็เริ่มมีภาระที่หนักมาก ในการจ่ายเงินส่วนนี้ จนกลายเป็นปัญหา)
พี่ชายคนโตเล่าว่า ค่าปรับที่นี่แพงมาก สามารถซื้อรถคันใหม่ได้เลย
เมื่อรถบัสจอด คราวนี้ผมไม่ยอมถอดเสื้อโค้ตอีก เพราะในตอนนี้เมื่อเย็นลง อากาศจะหนาวกว่าเดิมอีก เมื่อลงมาด้านล่าง ผมเห็นตึกมากมาย แสงไฟที่ประดับตามตึก ป้ายโฆษณาต่างๆ เป็นสัญญาณบอกว่า โลกกลางคืนกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
พี่ภาคินจะพาคนอื่นๆไปร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าซากุรายะ ส่วนครอบครัวผมให้เดินตามลำพังได้ เพราะมีไกด์อย่างพี่คนโตแล้ว โดยเรานัดหมายเวลามาพบกัน
ผู้คนมากมายเดินอย่างรีบเร่ง หากใครเดินช้าคงจะดูเป็นตัวประหลาด(มาที่นี่ผมจะดูกลมกลืนเพราะอยู่ในเมืองไทยก็ชอบเดินเร็วอยู่แล้วเพราะความที่ขายาวจนเพื่อนๆบ่นว่า จะรีบเดินไปหา…มึงหรือไง) เห็นคนขี่จักรยานก็มาก ผมต้องกล่าวถึงสี่แยกอีกครั้งเพราะชอบจริงๆกับความเป็นระเบียบในการข้ามถนนและการเคารพกฏของผู้ขับขี่รถยนต์ ที่ต้องหยุดเมื่อเห็นไฟขึ้นสีเขียวแล้วมีรูปคนเดิน ในขณะเดียวกันคนเดินถนนก็ต้องหยุดข้ามเมื่อเห็นไฟแดงแล้วมีรูปคนอยู่เช่นกัน
พี่ชายคนโต พาเดินขึ้นไปบนห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพื่อหาห้องน้ำเข้า(ผมก็ปวดๆเหมือนกัน) ภายในเปิดฮีทเตอร์ผมจึงกลัดกระดุมเพียงเล็กน้อย
ห้างที่นี่จะปิดเวลา 2 ทุ่มตรง ยกเว้นแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปิด 4 ทุ่ม (หากเป็นเมืองไทย การปิดห้างเร็ว มีผลกระทบกับหลายคน และเป็นเรื่องใหญ่มาก)
เรามุ่งหน้าไปแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อดูกล้องดิจิตอล ไม่ใช่จะซื้อเองครับ (เพื่อนของพ่อคราวก่อนมาซื้อแต่ดันทำอุปกรณ์หายหมดเหลือแต่กล้องอย่างเดียวเท่านั้น) ถ้าเป็นที่เมืองไทยคงหาซื้อแยกแบบนี้ยากหน่อย
มีกล้องวางหลายรุ่น หลายยี่ห้อ และทุกรุ่นและทุกยี่ห้อ จะมีตัวกล้องจำลอง ให้คนซื้อ ลองหยิบขึ้นมา เพื่อประกอบในการตัดสินใจ(ดีนะครับ)
เมื่อพี่ชายคนโต หาคนขายพบ ก็เริ่มคุยทันที ผมมองดูอย่างภูมิใจและงง
ภูมิใจที่พี่ชายผมเริ่มปรับตัวได้และคุยอย่างไฟแลบกับคนญี่ปุ่นหลังจากที่ช่วงแรกมีปัญหามาก
งงเพราะฟังไม่รู้เรื่อง ได้ยินที่ฟังออก คือ “ให้”(แปลว่า ใช่) “วินโดว์ xp โตะ” (วินโด xp ) สรุป คือ ได้อุปกรณ์ทุกอย่างครบครับ(หากมาซื้อเอง ไม่มีทางเลยที่จะคุยกับคนขายรู้เรื่อง เพราะไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษกัน)
ผมเข้าใจตรงที่ว่า เหตุใดพี่ชายจึงยินดีมาก เวลามีคนฝากซื้อของ เพราะเมื่อซื้อของให้คนใด คนซื้อก็จะได้เงินตอบแทน อย่างคราวนี้พี่คนโต ได้รับเงิน 200 บาท (สร้างเสริมอาชีพในสภาวะแบบนี้ได้ดี) นอกจากนี้เรายังซื้อ SD card ไว้สำหรับถ่ายในวันพรุ่งนี้ด้วย(จะได้เซ็ทขนาดได้ใหญ่ๆ)
จากนั้น เดินขึ้นไปชั้นบน จะเป็นแหล่งรวมของโทรศัพท์มือถือ ผมชอบมากอีกเช่นกัน ที่มีของจำลองของโทรศัพท์ทุกรุ่น มาวางให้คนซื้อได้ทดลองทาบและตัดสินใจ ส่วนใหญ่คนที่นี่จะชอบใช้โทรศัพท์แบบฝาพับโดยเครือข่ายยอดนิยมที่สุด เปรียบได้กับเอ ไอ เอส บ้านเรา คือ Do Co Mo
เสียดายที่โทรศัพท์ที่นี่ เอาไปใช้ในเมืองไทยได้เพียงบางยี่ห้อเท่านั้น เช่น โวดาโฟน เป็นต้น ส่วนไอ้เครื่องที่ดูทีวีได้หมดสิทธิ์ครับ พนักงานที่นี่เข้ามาสอบถามผม ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มๆ เพราะใบ้กินจ้า ส่วนพี่ชายผมก็กำลังดูเรื่องหูฟังที่ใช้กับโทรศัพท์โวดาโฟนอยู่
ทุกครั้ง ที่มีแขกเดินผ่านไปมา พนักงานชายและหญิงจะพูดคำว่า “อิ ระ ชัย มะ เซะ”(แปลว่ายินดีต้อนรับ) พร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม ผมชอบตรงนี้มากและอยากให้ที่บ้านเรา พนักงานมาถามแขกแบบนี้มากๆ ผมว่าแม้จะพูดซ้ำไป ซ้ำมา แต่ก็ดีกว่าเงียบๆแล้วไม่สนใจแขกครับ
ผมเดินไปแผนกนาฬิกา เพื่อหาซื้อนาฬิกา G-Shock ที่เพื่อนฝากซื้อ แต่ราคาไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ครับเลยไม่ได้ซื้อมา
เดินขึ้นไปด้านบนอีกครั้งแผนกนี้ คอเกมต้องไม่พลาดครับ เพราะมีเกมเพียบ เริ่มจากเครื่อง PSP(เพลย์สเตชั่น พ๊อคเก็ต) เป็นเครื่องเล็กๆ สีดำ มีจออยู่ตรงกลาง ดูหนังก็ได้นา (ราคาถูกกว่าเมืองไทย แน่นอน)
ส่วนพวกแผ่นเกมของ ps 1 ps 2 อันนี้ทำใจได้ครับว่าแพง เพราะบ้านเขาไม่เมีแผ่นก๊อปปี้เหมือนบ้านเรา(พี่ไทยสู้ๆ)
เสียงเพลงไฟนอลแฟนตาซีตอนเคลียร์เปิดอยู่แว่วๆ ผมเห็นเครื่องเล่นเกมอีกแบบ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ลักษณะคือจอยแฟมิคอม แต่มีจอทีวีอยู่ตรงกลาง ผมลองเล่นมาริโอ้สนุกดีครับ เสียแต่ว่าเล็กกระทัดรัดไปจริงๆ
พี่ชายคนโตกลัวคุณพ่อ คุณแม่จะเบื่อ จึงพามาที่เก้าอี้นวด(ฟรี) ผลคือ คุณพ่อ คุณแม่ยกนิ้วทั้งคู่ เพราะความสบายนั่นเอง
สามพี่น้องเดินลงมาด้านล่าง ที่แผนกเสื้อผ้า เสียง “อิ ระ ชัย มะ เซะ” ดังทุกครั้งพร้อมรอยยิ้มเวลาเดินผ่าน ผมยังยืนยันว่า ที่นี่ผมดูไม่ออกว่า ในสายตาคนญี่ปุ่นเขามองผู้หญิงในประเทศอย่างไร คนไหนน่ารัก คนไหนไม่น่ารัก แต่คนต่างชาติแบบผม กลับมองใครก็ดูน่ารักไปหมด พนักงานเก็บเงินเอย พนักงานขายของเอย คนเดินถนนเอย คนขี่จักรยานเอย พนักงานรักษาความปลอดภัยเอย ไปกินอะไรกันมาหนอถึงน่ารัก (หม้อซะ)
เสื้อผ้าที่นี่ ราคาแพงครับ แพงมาก ไม่น่าเชื่อว่าบางยี่ห้อ ที่คนไทยไม่นิยมแต่ที่นี่กลับดังมาก(แพงด้วย) เช่น ยี่ห้อ Champion เป็นต้น
ใกล้ถึงเวลาที่นัดไว้ เราเดินขึ้นไปเรียกคุณพ่อ คุณแม่ ก่อนออกจากห้าง เดินข้ามถนนเพื่อไปยังจุดที่นัดหมาย
คนหาย!!!
ผมชักเบื่อยืนและปวดที่ฝ่าเท้ามาก จึงนั่งรอสมาชิกอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง(คนเดินเข้าก็หน้าตาดีทั้งนั้น) คุยกับพี่ชายถึงการใช้ชีวิตที่นี่(พ่อผมก็ไปซื้อน้ำเปล่ากับโค๊กมาให้ทาน ที่นี่โค๊กถูกกว่าน้ำเปล่าครับ)
เมื่อคุณภาคินเดินมา เป็นจังหวะที่รถบัสมาพอดี เราจึงทราบว่า มีสมาชิกคนหนึ่งหายไปขณะขอปลีกตัวไปซื้อยา ( เธอคือ คุณน้าสาวคนหนึ่งในกลุ่มที่นั่งในกระเช้าเดียวกันกับครอบครัวผม ที่วนอุทยานฮาโกเน่)
เราจึงรอเธอพักใหญ่ โดยทุกคนแม้จะรอนานแต่ก็มีความเห็นอกเห็นใจ เพราะในเวลาแบบนี้ ผู้หญิงตัวคนเดียวมาอยู่ในประเทศที่คนส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษ ไม่ได้จดเบอร์โทรศัพท์คุณภาคินไว้ ไม่มีเบอร์โรงแรมและไม่รู้สถานที่ของโรงแรมนี้ แต่จากการได้ยินว่า ผู้หญิงคนนี้เคยไปเมืองนอกบ่อย เราจึงหวังว่าประสบการณ์ของเธอจะช่วยให้เธอหาทางไปโรงแรมถูก เมื่อได้เวลาเราจึงออกเดินทางไปยัง Sunshine City Prince Hotel(มองในแง่ดีว่า เธออาจไปรอเราที่โรงแรมแล้วก็ได้)
สำหรับผมคิดว่า เหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น คุณน้าที่เหลืออีก 3 คน ควรจะสังเกตให้ดี อย่างน้อยก็ควรไปด้วยกัน แต่อย่างว่าครับ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก โทษใครไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาด้วย
2 Comments:
นั่นไง และแล้วก็เพ้อถึงสาวญี่ปุ่นอีกจนได้ ^___^ สาวไทยคงต้องเสียดุลให้ต่างชาติอีกคนละมั้งเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ
ขอเพ้อหน่อยเถอะครับ ก็สาวญี่ปุ่นน่ารักจริงๆนี่
Post a Comment
<< Home