Wednesday, December 21, 2005

ตะลุย...แดนปลาดิบ(6)




Pirates of the Caribbean

ไม่ใช่หนังแต่อย่างใด แต่เป็นเครื่องเล่นที่ผม คุณแม่และพี่ชายทั้งสอง กำลังต่อคิวอยู่ครับ เมื่อเข้าไปภายใน จะมีที่นั่งที่ละ 3 คน แต่จะนั่งไม่เต็มก็ได้(เรามาคนเดียว อยากจะนั่งคนเดียวก็ไม่มีใครว่าครับ) โดยต้องยืนรอตามช่องที่กำหนด และมีพนักงานสาวสวยชาวญี่ปุ่น อำนวยความสะดวก

ในนี้มืดมาก เรือแล่นไปเรื่อยๆ(คาดว่าใต้น้ำต้องมีราง) 2 ข้างของผม คือเหล่าโจรสลัดในเรื่อง บ้างก็หัวเราะ บ้างก็กำลังจับสาวๆเป็นตัวประกัน ผมพยายามถ่ายรูปไว้แต่ก็มืดไปหมดเพราะแฟลตไม่ถึงครับ

ระหว่างทางมีเสียงเพลงประกอบโดยตลอด สร้างความตื่นเต้นมาก ที่สำคัญผมว่าเขาทำดีมากๆเลย

ปิดท้ายก่อนออก เราเข้าไปในสงครามของโจรสลัดสองฝ่าย ต่างฝ่ายก็ยิงปืนใหญ่ใส่กันอย่างไม่ลดละ มีเพียงเราที่นั่งดูสงครามอย่างสบายอารมณ์

ออกมา ผมเข้ามาดูที่ร้านขายของที่ระลึก ถ่ายรูปของที่ระลึกสวยๆ เช่น มิกกี้ เมาท์, โดนัน ดักส์ คาดตาโจรสลัด, ตุ๊กตากัปตันฮุคและเหล่าลูกเรือผู้ชั่วช้า ,โมเดลเรือจำลอง ,ปืน และตุ๊กตาหัวกะโหลก เป็นต้น

เราได้ Fast Pass เครื่องเล่น Big Thunder Mountain เวลาเที่ยงกว่าๆ เราถ่ายรูปหมู่ของทัวร์นี้เป็นครั้งแรก โดยมีพี่ภาคินเป็นคนถ่ายให้


Western River Railroad

ระหว่างต่อคิว ผมมองเห็นรถเข็นเด็กอ่อน จอดเป็นระเบียบดี พ่อแม่คงพาลูกๆมาเที่ยว สิ่งที่ผมชอบคือ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการจัดการ

เครื่องเล่นที่เรียกว่า Western River Railroad นั้น คือการนั่งรถไฟลอยฟ้า ในสภาพเปิดโล่ง ชมทัศนียภาพรอบดิสนีย์แลนด์ ระหว่างทางจะมี สัตว์ต่างๆ ซึ่งจำลองได้เหมือนจริง แถมขยับได้ด้วย อีกทั้งยังจำลองชีวิตของชนเผ่าอินเดียนแดงมาให้ได้ชมกัน

คุณน้าผู้ใจดี ถ่ายรูปให้ครบทั้งครอบครัว น่าเสียดายว่ารูปนี้ ไม่ได้เปิดแฟลช เลยมืดไปหน่อย

อยู่บนนี้มองเห็นบรรยากาศด้านล่างได้ชัด ผู้คนเดินขวักไขว่ คนมาเที่ยวที่นี่ คงไม่ต่ำกว่าหมื่นคน ต่อวันแน่นอน

ก่อนครบรอบ ผมยังเห็น เครื่องเล่น Big Thunder Mountain ที่เราจะได้เล่นในอีกไม่ช้าด้วย(ท่าทางน่าตื่นเต้นมาก)


สังเวย แว่นกันแดดกุ๊ชชี่

ระหว่างเข้าห้องน้ำ คุณแม่ทำแว่นกันแดดกุ๊ชชี่ตก ราคาหลายพันบาท เข้าไปถามใครก็ไม่รู้เรื่อง คนส่วนใหญ่ส่ายหน้าอย่างเดียวเพราะฟังภาษาอังกฤษไม่ออก

จึงต้องเป็นหน้าที่ของพี่คนโต ในการไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่า ทุกวันจะมีคนมาแจ้งของหายมาก โดยบริเวณทางออก จะมีศูนย์สำหรับของหายที่มีผู้เก็บได้ ให้ลองไปสอบถามดู

คุณแม่จึงเป็นคนเดียวในตอนนี้ ที่ชักจะไม่ค่อยสนุกสนานเท่าไรแล้ว


ขบวนพาเหรด อลังการ

สังเกตเห็นว่า มีผู้คนจำนวนมากมานั่งรออย่างเป็นระเบียบ คุณภาคินบอกว่าอีก 10 นาที บริเวณนี้จะมีขบวนพาเหรด

เสียงเพลงเริ่มต้นขึ้น ขบวนพาเหรดเริ่มจาก รถเจ้ามิกกี้ เมาท์ผูกโบว์สีชมพู โดยมีนางเอกอย่างเธออยู่บนรถด้วย โบกมือต้อนรับผู้ชม ต่อด้วยรถของเจ้าตุ๊กตาหิมะ จากนั้นเป็นรถของขวัญที่มีมากมายเสียจริงๆ

ต่อมาเป็นคิวรถของเจ้าพลูโต ต่อด้วยหมี เดาว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เป็น หมี พ่อ แม่ลูกน่ะครับ

จากนั้นเป็นรถของเป็ดจอมกวน อย่างโดนัล ดักส์ ต่อด้วยรถของกระรอกที่แสนจะน่ารักอย่าง ชิพ แอน เดล ตามด้วยรถของเจ้าขนมผิงตามนิทานที่เราเคยอ่านกัน

ปิดท้ายขบวนด้วยตัวเอกอย่างมิคกี้ เมาท์ชาย กวางเรนเดียร์ ซันตาคลอสที่มากับตัวละครที่หน้าตาคล้ายเกมลินท์(ตัวนั้นแหละ ผมไม่รู้จักชื่อ แต่รู้แต่ว่ากำลังดังด้วยล่ะ) ไม่นานรถก็หยุดลง

เสียงเพลง ซานต้าคลอส อีส คัมมิ่ง …..เปิดขึ้นอีกครั้ง เหล่าตัวละครบนรถ ต่างลงมาโบกมือ ทักทายผู้ชม สังเกตได้ว่าเด็กๆ ดูจะดีใจมากทีเดียว

ซักพัก ตัวละครได้กลับไปบนรถอีกครั้ง ขบวนรถได้เคลื่อนต่อไป เป็นอันจบการแสดงขบวนพาเหรด


Big Thunder Mountain

เมื่อถึงเวลาเราไปที่ Big Thunder Mountain เครื่องเล่นนี่ คนต่อคิวยาวเหยียด เรามีบัตร Fast Pass แล้ว จึงเดินเข้าไปในช่อง Fast Pass ได้เลย (มีเพียงคุณแม่ ที่ไม่ขึ้นเพราะเครื่องเล่นนี้ออกจะหวาดเสียวเล็กๆ)

ก่อนเข้าเล่น จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจดูความเรียบร้อย เช่นเดิม เครื่องเล่นมีลักษณะ เป็นกระบะ วิ่งบนราง แถวหนึ่ง นั่งได้ 2 คน โดยก่อนเครื่องออก เจ้าหน้าที่จะดึงที่จับลงมา นอกจากจะให้จับไว้แล้ว ยังสามารถป้องกันไม่ให้ร่างกายออกไปด้านนอกด้วย

Big Thunder แล่นไปเรื่อยๆ จนถึงที่สูง(ผมถ่ายวีดีโอไว้) ก่อนจะพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง พร้อมกับเสียงร้อง เสียงหลง ที่เสียวท้องน้อย ของใครหลายๆคน รวมทั้งผมด้วย (พอจะลงมาด้วยความเร็วสูง ผมหยุดถ่ายทันที รีบหาที่ยึด กลัวกล้องกระเด็นตกไป เสียดายแย่เลย) (ส่วนของพี่คนโต ได้ถ่ายวีดีโอไว้ ผมฟังกี่ทีก็ขำทุกที)


อดเข้า บ้านผีสิง

เราเดินหาของรับประทาน แต่ไม่ว่าร้านไหน คนเต็มไปหมด ที่นั่งก็หายากแสนยาก เราจึงตัดสินใจเดินต่อไป หาอะไรๆง่ายกินแทน เลยมาหยุดตรง สิ่งที่เหมือนเครปบ้านเรา แต่สอดไส้ไปด้วยเนื้อไก่ เนื้อหมู เป็นต้น(ระหว่างนั่งกิน ผมสังเกตเห็นสาวญี่ปุ่นมองมาที่ครอบครัวเรา ผมรู้ทันทีว่า คงทึ่งที่สั่งมาเยอะ ก็แต่ละคนตัวใหญ่ๆ กินจุทั้งนั้นนี่นา)

เดินต่อไปเรื่อยๆ เห็นเรือขนาดใหญ่เต็มไปด้วยผู้คน(คงไม่ได้นั่งแน่ๆ) ข้างๆ มีตัวละครอย่าง เจ้าพลูโตและเจ้าหมีสีเทาหน้าตาดูไม่ค่อยฉลาดแถมยังทำท่าง่วงนอนด้วย(เห็นหน้าแล้วขำมาก) เมื่อเจ้าพลูโต มีคนถ่ายเยอะ ผมและพี่ชายจึงพุ่งเป้าไปที่เจ้าหมีสีเทา ถ่ายรูปแล้ว ขำเป็นบ้าเลย

จากนั้น คุณภาคินอยากให้เราไปที่บ้านผีสิง แต่พอไปถึงพบว่า หากต่อคิวต้องรอ 130 นาที(2 ชม กว่า) หาก ใช้ Fast pass ต้องรอเวลา 21.00-21.55(ซึ่งเราก็อยู่บนเครื่องบินแล้ว ในเวลานั้น) พี่ภาคินบอกอีกว่าหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นชอบบ้านผีสิงมาก จึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงต้องต่อคิวนาน

เรายังเดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านเครื่องเล่นหลายอย่าง แต่คงไม่มีเวลาเล่นแล้ว จึงใช้เวลาส่วนนี้ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เครื่องเล่นที่นี่มีมากกว่า 20 อย่าง แถมตอนกลางคืนยังมีขบวนพาเหรด การจุดพลุ และการแสดงอีกมาก หากคราวหน้ามีโอกาส ผมอยากจะอยู่ที่นี่ทั้งวันเลย(จะได้คุ้มๆ)


กัปตัน ฮุค กวนโอ๊ย

ใกล้เวลาแล้ว เราเดินออกมาจนใกล้ถึงทางออก พี่คนโตกับคุณแม่ไปติดต่อเรื่องแว่นตา ส่วนผมและพี่คนกลางเดินเข้ามาดูของที่ระลึก พี่คนกลางหาของซื้อให้แฟน ส่วนผมหาของซื้อให้แฟน(เพลง) ส่วนใหญ่ผมชอบถ่ายรูปของที่ระลึกมากกว่าครับ ที่ร้านนี้มี เจ้าหมีพูห์ มิกกี้ เมาท์ เจ้าตัวหน้าตาคล้ายเกมลินท์ เป็นต้น

ออกมาด้านนอกอีก ผมและพี่คนโต เจอคนค่อมและกัปตันฮุค จึงเข้าไปถ่ายรูป(พยายามหาตัวที่ไม่เด่นและคนถ่ายน้อยครับ ขี้เกียจรอคิว) หลังจากผมถ่ายคนค่อมให้พี่ชายผมเสร็จ ผมก็เข้าไปที่กัปตันฮุค ตัวสูงน่าดูเชียวล่ะ

แต่พอมายืนกับผมก็เท่ากัน ผมเดาว่าคนใส่ชุดนี้คงสูงมากๆเลย แต่กัปตัน ฮุค ก็มีลูกเล่นเยอะ มาขอถ่ายรูป แต่จ้องตาผมไม่ยอมไปมองที่กล้องซะที(เดี๋ยวตบกระโหลกซะเลย) ในที่สุดผมก็ได้ถ่ายสมใจอยาก เมื่อมองต่อไปเรื่อยๆ เจ้ากัปตัน ฮุค นี่แกล้งทุกคนเลย ขนาดเด็กญี่ปุ่นตัวเล็กๆ ยังโดนหยอกโดยการตบหัวเบาๆ(บุคลิกร้ายเหมือนกัปตันฮุคเลยแฮะ)

ผมยืนดูพี่คนโต คุยกับเด็กๆญี่ปุ่น เพราะดูเหมือนอยากถ่ายกับกัปตัน ฮุค แต่ไม่มีคนถ่ายให้ พี่ผมจึงเข้าไปช่วยพวกเธอ


เวลาแห่งความสุข มักจะผ่านไปรวดเร็วเสมอ

พี่ชายผมขออนุญาติเจ้าหน้าที่เดินออกไป เอากระเป๋าที่วางอยู่บนรถบัสและจะกลับเข้ามาใหม่(พี่ชายผมอยากอยู่เที่ยวต่อ ไหนๆก็เสียเงินเข้ามาแล้ว และจะดูเรื่องแว่นตาให้คุณแม่ด้วย)

ส่วนผม พี่คนกลาง คุณพ่อ คุณแม่ ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางไปสนามบินนาริตะแล้ว ผมถอดเสื้อโค้ตที่ใส่อยู่ให้พี่คนโต ใช้ที่นี่(เดิมทีเสื้อตัวนี้คุณพ่อก็ขนมาเพื่อเอามาให้พี่คนโตใส่ที่นี่อยู่แล้ว)

รถบัสแล่นออกจากดิสนีย์แลนด์ ผมเห็นเรือขนาดใหญ่ ยังมี Disney Sea อีกที่หนึ่ง อยู่ใกล้ๆ Disney Land ผมหวังว่า คราวหน้าผมจะต้องมาเที่ยวให้ได้ และยังมีอควอเรี่ยมที่โตเกียว ที่ผมเคยเห็นทางทีวีและหนังสือพิมพ์ รอให้ผมกลับไปค้นหาอยู่

ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูบรรยากาศในญี่ปุ่น คงอีกนานกว่าที่ผมจะได้มาเที่ยวที่นี่อีก ผมนั่งนึกในใจว่า เวลาไม่กี่วันนี้ผมได้อะไรๆมากเหลือเกิน มันเป็นกำไรชีวิตของผมเลย

ที่สนามบินนาริตะ เราขนสัมภาระผ่านเครื่องตรวจ ผ่านขั้นตอนต่างๆ เหมือนเที่ยวมา

ผมลืมหยิบกระเป๋าสะพายให้เขาตรวจ จนเจ้าหน้าที่ต้องเตือน นอกจากนี้ เธอยังถามว่าอะไรในลังกระดาษ ผมตอบไปว่า คือ ผลไม้(ก็ลูกพลับนั่นแหละ) (พอผ่านมาผมแซวกับพี่ว่า bomb) มีเจ้าหน้าที่หันมาด้วย ชักจะเล่นพิเรนท์เกินไปมั้ง ผมเนี่ย ฮ่าๆๆๆ

ตรงนี้ผมซื้อขนมที่ Duty Free พึ่งรู้ว่า ต้องใช้ตั๋วเครื่องบิน(ฺBoarding Pass)ในการซื้อของด้วย


6 ชั่วโมงบนเครื่องที่แสนทรมานใจและทรมานกาย

การท่องเที่ยวของผมในครั้งนี้ เกิดเรื่องที่คนสนุกสนานอย่างผม ต้องหน้าซีด ผิดหวัง อยากจะร้องไห้ ก่อนเครื่องบินขึ้น พี่คนกลางบอกให้หยิบกล้องมาให้ดูหน่อย ปรากฏว่ายังไม่ใช่ SD card ที่ต้องการ เมื่อผมหาดูผมเทกระเป๋าออกมา ไม่พบครับ มันหายไป!!!

ผมนั่งนิ่ง นั่นก็หมายความว่า ตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงขบวนพาเหรดจบ รูปที่ผมถ่ายต้องชวดๆๆๆ ผมเสียดายมาก เพราะจะอีกนานแค่ไหน กว่าผมจะได้กลับไปตรงนั้นอีก ยิ่งมีขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย แทบจะไม่มีสิทธิ์จะได้คืนเลย ยิ่งไม่ใช่บ้านของเราด้วย

คุณพ่อ คุณแม่ ต่างยิ้มๆ ปลอบใจผมว่า ช่างมันเถอะ แต่ผมยังทำใจรับไม่ได้(ราคาไม่เท่าไรครับแต่คุณค่าทางจิตใจนี่ซิ ผมเสียดายรูปมาก มีถ่ายครบทั้งครอบครัวและยังมีขบวนพาเหรดอีก) เพราะเรื่องแบบนี้มันไม่น่าเกิดขึ้น ผมบ่นให้ฟังว่า ให้SD cardหาย ผมยอมให้ Passport ของผมหายไป ยังจะดีซะกว่า การเที่ยวครั้งนี้เกือบจะจบลงด้วยดีแล้วแท้ๆ ผมบ่นกับตัวเองว่า ทำมาดีทุกอย่าง จบไม่สวยเลย

สิ่งนี้อาจเป็นความผิดของผมเอง ที่ไม่ระวังให้ดี ผมร้อนใจอยากจะโทรศัพท์ไปสอบถามพี่คนโตทันที ผมนึกขึ้นได้ว่า เปลี่ยนSD card ก่อนขึ้น Big Thunder Mountain และให้พี่คนโตเปลี่ยนให้ ถ้าไม่ตกที่นั่น ก็อาจจะตกตอนผมถอดเสื้อหนาวให้พี่คนโต ก่อนขึ้นรถบัส ถ้าไม่ตกแถวนั้น สุดท้ายคือบนรถบัส ที่ผมนั่ง

ผมหน้ามุ่ย อาหารมา ก็ฟาดเกลี้ยง อยากจะทานไม่ลงเหมือนกันล่ะ แต่มันหิวนี่ บนเครื่องฉายที่จำได้ก็เรื่อง Polar Express ผมรู้สึกว่า เวลาเราทุกข์ร้อน เวลาผ่านไปช้ามาก ผมเริ่มทรมานเพราะหายใจไม่ออก บางครั้งก็ใช้ปากหายใจแทนบ้าง(อย่างกับดำน้ำแน่ะ) อาจเป็นเพราะว่า ยิ่งสูง บรรยากาศก็เปลี่ยนแปลงก็เป็นได้

ผมเดินมาเจอคุณภาคิน เล่าเรื่องให้ฟัง คุณภาคินให้เบอร์โทรศัพท์ของคุณคุโบตะ และหมายเลขรถบัสฮิราโกะ ผมจึงใจชื้นขึ้น มีความหวัง แม้จะริบหรี่ก็ตาม


เสียงกู่ร้องด้วยความยินดี /บทสรุป

ที่สนามบินดอนเมือง ผมโทรหาพี่คนโต ซึ่งพี่คนโตตกใจเหมือนกันพร้อมพูดว่าเสียดายมาก แต่ก็ไม่ได้อยู่กับเขา ก่อนวางสายพี่คนโตยืนยันว่าได้ใส่ลงไปในกล่องกระดาษลักษณะบางๆที่แกะออกมา

เมื่อกลับมาถึงบ้าน พี่คนกลางถามผมอีกครั้งว่า พี่คนโตบอกว่าอย่างไร พร้อมหยิบกระเป๋าของผมออกมาดูอีกครั้ง ระหว่างที่ผมรดน้ำต้นไม้นั่นเอง พี่คนกลางบอกเจอแล้ว ผมตะโกนลั่นบ้านด้วยความดีใจ มันอยู่ในกระเป๋าของผมนั่นแหละ อยู่ในกระดาษบางๆที่ใส่เมโมรี่ที่ซื้อมาด้วย ที่ผมหาไม่เจอเป็นเพราะกล่องที่เบามาก จนเข้าใจว่าไม่น่าจะมีอะไรอยู่ในนั้นแล้ว (ไม่รอบคอบเอง)

การท่องเที่ยวในทริปนี้ จึงจบลงอย่างสวยงาม พระเอกก็ไม่ตายตอนจบด้วย


บทสรุป

ขอบพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ ที่เปิดโอกาสอันดีงามเช่นนี้ให้ ผมคงกลายเป็นคนโง่อีกครั้ง หากทิ้งโอกาสการไปเที่ยวต่างประเทศอีก

ขอบคุณในความรอบคอบของพี่คนกลางที่มีเสมอมา ที่ช่วยให้ผมกลับโรงแรมถูก และช่วยหาSD cardจนพบด้วย

ครั้งแรกกับการเห็นใบไม้เปลี่ยนสี

ครั้งแรกกับอากาศแสนเย็นยะเยือก ที่-3 องศาเซลเซียส

ครั้งแรกกับการเห็นหิมะ โดยไม่ต้องไปถึงทวีปยุโรปหรือทวีปอเมริกา

ครั้งแรกที่ผมเปลี่ยนทัศนคติ ก่อนนี้ผมยอมรับว่า ผมไม่ชอบในความเป็นชาตินิยมของคนญี่ปุ่นหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษาอังกฤษที่ไม่ยอมใช้ เป็นต้น

แต่การที่ผมได้มาสัมผัสชีวิตของคนที่นี่ แม้ไม่ถึง100 เปอรเซ็นก็ตาม

ผมกลับภูมิใจ ในความสามารถของคนเอเชียอย่างเรา อย่างน้อยเขาก็ไม่เหยียดสีผิว ไม่ดูถูกเราเหมือนชาวต่างชาติบางคนแล้วกัน

ผมรับรู้ถึงความมีน้ำใจของคนที่นี่ จากการแสดงออกทางสีหน้าถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่องเป็นส่วนใหญ่ หลายครั้งผมรู้สึกปลื้ม จนเมื่อนึกถึงภาพต่างๆ น้ำตาก็คลอเบ้า

ผมได้เห็นชีวิตใหม่ๆ วัตนธรรมใหม่ๆ กฏระเบียบของบ้านเมืองเขา อีกทั้งประสบการณ์ที่น่าจดจำ ผมจึงไม่ยอมแพ้ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวที่แสนยาว(น่าจะยาวที่สุด) มาให้ทุกๆคนได้อ่าน เพราะจุดประสงค์หลักของผมในการเขียนทริปไปเที่ยว เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพมากที่สุด ไม่ว่าจะยาวซักกี่หน้า ผมก็จะทำเพราะนั่นเป็นเจตนารมย์ของผม

ผมไม่แปลกใจเลยว่า แม้ความเป็นอยู่ที่แสนจะลำบากของพี่ชายคนโต ไม่มีแม้แต่เบี้ยเลี้ยง หากเปรียบเทียบกับคนอื่นๆที่ได้ทุนมาเรียน แต่พี่ของผมกลับยอมทิ้งรายได้เป็นกอบเป็นกำในอาชีพแพทย์ชั่วคราว เลือกที่จะมาตามหาความฝันในดินแดนแห่งนี้

ผมรู้สึกได้อย่างเต็มเปี่ยมว่า ความรักในประเทศญี่ปุ่นของพี่ชายผม ไม่ต่างไปกับความรักในท้องทะเลของผมเลยแม้แต่น้อย ผมฟันธงได้เลยว่า มันคือแบบเดียวกัน

ความรักแบบนี้สังเกตได้ไม่ยากครับ หากคุณชอบในเรื่องใดๆแล้ว คุณเห็นมัน ใจคุณสั่นไหว ตื่นเต้น ขอหยุดดูก่อน ขอเก็บเงินไปซื้อมาอ่านหน่อย นั่นแหละครับ

พี่คนโตเคยพูดปลอบใจผมเสมอ เวลาผมผิดหวังในการสอบครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ พี่เชื่อว่า แม้เราไม่เก่งในด้านนี้ แต่พระเจ้ามักให้สิ่งอื่นมาทดแทนเสมอจนมีความสมดุล สิ่งที่เราได้มักจะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนหาไม่พบหรือไม่ก็เป็นสิ่งที่คนๆนั้นขาดหายไป จึงตอบคำถามได้ว่า ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบไปซะทุกเรื่อง”

ผมจึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ที่มีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี และไม่มีในสิ่งที่คนอื่นมี

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านที่อุตสาห์ทนอ่านกันจนจบครับ

Phop Payapvipapong
14 Dec 2005
2.47 am




7 Comments:

At 9:30 PM, December 21, 2005, Blogger Kidsya..(>~<) said...

ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ได้แต่ ^____^ แบบนี้ตลอดที่อ่านเรื่องนี้ทุกๆตอนอ่ะนะ

 
At 11:56 AM, December 22, 2005, Anonymous Anonymous said...

วุ่น....... เอาใจช่วยโว้ย.... สู้ต่อไปสักวันต้องเป็นวันของมึง (ขอโทษ ใช้คำไม่สุภาพ ก้อ หัวใจลูกท่งนี่หว่า)

 
At 2:40 PM, December 22, 2005, Anonymous Anonymous said...

อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจอ่าค่ะ ว่าคุณกระสาบมีอะไรที่คนอื่นไม่มี แล้วไม่มีอะไรที่คนอื่นมี ช่วยอธิบายให้ใบมะกรูดฟังด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

 
At 9:23 PM, December 22, 2005, Blogger kasab71 said...

ขอบคุณมากครับ คุณ kidza และ คุณหัวใจลูกทุ่ง

สำหรับคุณใบมะกรูด

คำว่า มีความสุขที่มีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี กับไม่มีในสิ่งที่คนอื่นมี ในความหมายของผมนั้น หมายความว่า

สำหรับเรื่องบางเรื่อง ที่หลายๆคนมักไม่เห็นความสำคัญ อาจมองดูเป็นเรื่องไร้สาระ เช่น ความรักในการท่องเที่ยวของทะเลครับ หรือการมีกลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมกลมเกลียวครับ แม้อาจดูไม่มีประโยชน์เลย ในชีวิตการงาน แต่เป็นเรื่องที่ผมภูมิใจและมีความสุขมาก

ซึ่งคนอื่นๆ อาจมองว่าด้านนี้ไม่เห็นจำเป้นอยู่คนเดียว มีตังค์เยอะ ก้มีความสุขได้ นี่คือ ความสุขของผมที่มีในสิ่งที่คนอื่นไม่มีครับ(บางคนน่ะครับ)

ส่วนกลับกัน คือ ไม่มีในสิ่งที่คนอื่นมี เช่น เงินทองมากมาย หน้าที่การงาน การนับหน้าถือตาในสังคม แม้ผมยังไม่มีในตอนนี้ แต่ในอนาคต คงต้องรอการพิสูจน์

ผมจึงนึกถึงคำสอนของพี่ชายคนโต ตลอดครับ ว่า แม้เราไม่เก่งในด้านหนึ่ง แต่พระเจ้ามักให้สิ่งอื่นๆ ที่ทดแทนมาเสมอครับ

ฟังดูอาจจะงงกว่าเดิม ฮ่าๆๆๆ

 
At 11:16 AM, December 24, 2005, Anonymous Anonymous said...

ไม่ได้ "ทน" อ่านนนะจ๊ะ....ตามมาอ่านเพราะมีความสุขsหนุกหนานที่จะอ่านตะหาก
ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ...ชีวิตนี้ไม่เคย "ทน" อะไรที่ไม่จำเป็นต้อง "ทน" หรอก..จิงป่าวคุณกระสาบ ;)))

ชีวิตคนเราไม่เหมือนกันนะคุณกระสาบ ...เดี๋ยวนี้มนุษย์หมู่มากอาจจะให้ความสำคัญที่วัตถุแล้วก็เปลือกทั้งหลาย...แต่Pouletคิดว่าการเป็นชนกลุ่มน้อยที่เห็นคุณค่าในสิ่งที่มีค่ากับ"จิตใจ" (ของเรานั่นแหละ)เจ๋งกว่าอ่ะ...เปลือกไปก็แค่นั่น..ความสำคัญอยู่ที่แก่นตะหากเนอะ

เล่าเรื่องได้งดงามมากๆค่ะ....เฮ้อออ..น่าจะจับมารวมเล่มซะให้เข็ดเนอะ..สงสัยจะแควนตรึมซะก็ไม่รู้ดิ่...แต่วงการน้ำหมึกนี่ก็เนอะ...ไส้แห้งแบนลีบ..ยิ่งเขียนดีๆยิ่งแห้ง ถ้าติงต๊องไร้สาระล่ะก็..หึ หึ หึ..อย่าให้Pouletแสดงความเป็นแม่มดมากกว่านี้ในที่สาธารณะดีกว่าเนอะ !!! (เอ๊ะ!!...หมายความว่าจะแสดงในที่อันเป็นส่วนตัว ฤ ไงเนี่ย อิ อิ อิ)

ขอบคุณสำหรับความงดงามทั้งหมดที่แบ่งปันกันเสมอค่ะ....เวลาน้อยแค่ไหนก็ตามมาย้อนหลังอ่านอยู่ดีแหละ :)))

Keep on doing ur great job ja !!

 
At 2:20 PM, December 24, 2005, Blogger kasab71 said...

เข้าใจทุกอย่างเลยครับ ก็มันเป็นแบบนั้นจริงๆน่ะครับ

ขอบคุณมากครับผม

 
At 9:54 AM, November 24, 2006, Anonymous Anonymous said...

พี่ชายคนโตของคุณคือคุณ กิตติศักดิ์ พยับวิภาพงศ์ หรือเปล่าคะ พอดีไม่ได้ติดต่อกันนานมากกำลังหาทางติดต่ออยู่พอดียังไงถ้าคุณได้รับ Post นี้ช่วย post ตอบกลับด้วยนะคะ อยากรู้ความเป็นอยู่ของเค้าว่าสุขสบายดีรึเปล่าถ้าเป็นไปได้ขอเมลล์ของเค้าหน่อยนะคะขอบคุณค่ะ จากเพื่อนเภสัช

 

Post a Comment

<< Home