Sunday, October 23, 2005

แต้มฝันของเด็กหนุ่มที่.....เกาะหมาก(2)


สาวกัดสีผม ช่างพูด

บนรถโดยสารไปแหลมงอบ ผมได้เจอสาวกัดสีผมคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง ดูเธอเป็นคนช่างพูด ช่างถามอย่างมาก สังเกตจากที่เธอถามเรื่องเรือกับคนขับรถ ผมแนะนำให้เธอไปเรือเฟอรรี่ เพราะจะนั่งสบายกว่ามาก เท่าที่ทราบคร่าวๆ เธอมาหาเพื่อนที่เกาะช้าง ผมชื่นชมเธอในใจ เพราะเธอเดินทางมาด้วยตัวคนเดียว

ภรรยาของพี่คนขับรถ อุ้มอะไรมาซักอย่าง พอมาดูใกล้ๆ เจ้าตัวนั้นกระโดดลงมาที่ผม นึกว่าลูกหมา ไม่ใช่ครับ มันคือลูกลิง ที่สำคัญดูจะติดพี่เขามากด้วย

เจ้าของลิงเล่าให้ฟังว่า พบเจ้าลูกลิงติดมากับอวน จึงเอามาเลี้ยงไว้ โดยคาดว่า มันน่าจะหลุดจากแม่ของมัน

ระหว่างรถแล่นอากาศยามเช้า เย็นมาก ด้วยลมที่แรง ทำเอาผมสั่นๆเหมือนกัน

เฮ้ย พี่ พูดจริงเหรอ!!

รถมาถึงแหลมงอบ ตอนตี 4 ผมพบกับคุณป้าและพี่สาวคนหนึ่ง คอยบริการเรื่องเรือให้นักท่องเที่ยว พี่สาวได้พูดคำๆหนึ่ง ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก

“เกาะกูดซีทราน เขาไม่วิ่งนี่วันนี้” เธอพูด

ผมยังยืนยันกับเธอว่า ผมได้คุยทางโทรศัพท์เมื่อวาน ซึ่งได้รับคำตอบว่าเรือออกเวลา 9 โมงเช้า แต่เธอบอกว่า ตอนนี้ที่ติดต่อ ยังไม่มีใครอยู่ คงต้องรอเวลาให้เขาตื่นมาเสียก่อน

ที่แหลมงอบ ผมได้มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกในรอบหลายปี การเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเวลามาเที่ยวทะเลนั้น ยากกว่าการเห็นพระอาทิตย์ตกเสียอีกเพราะเรามักจะตื่นไม่ทัน แม้บางครั้งจะตั้งใจมากก็ตาม นอกจากนี้รอบๆก็ยังมีป้าย “สุดแผ่นดินตะวันออก” สำหรับให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันด้วย

ผมนั่งคุยกับป้า แกเล่าให้ฟังว่า ลูกชายจบปริญญาโท กำลังเรียนต่อเอกในด้านวิทยาศาสตร์(เกี่ยวกับการเพราะพันธุ์เชื้อโรค) ที่มหาวิทยาลัยบูรพา แถมได้ทุนด้วย ผมรู้สึกดีใจกับคุณป้า ในการประสบความสำเร็จของลูกชาย

นอกจากนี้แกยังเล่าให้ฟังว่า อีกไม่นานร้านอาหาร ที่เป็นทั้ง ที่ติดต่อเรือแห่งนี้ จะต้องย้ายไปอีกที่หนึ่งเพราะหมดสัญญาเช่า เพราะเทศบาลให้เช่าต่อเพียง 1 ปี ซึ่งผมก็แนะนำแกว่า อย่าให้มีเรื่องถึงขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะยุ่งยากแถมไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกเท่าไรนัก(ว่าไปตามสิทธิ์ของเรา แต่หากเราถูก เราก็ควรจะต่อสู้)

คุณป้าขอตัวไปตลาดเพื่อซื้อของ เป็นเวลาเดียวกับผมที่เริ่มจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง


ความชัวร์เป็นเหตุ

ผมโทรไปที่เกาะกูดซีทรานอีกครั้ง เป็นเบอร์มือถือ โชคดีที่มีคนรับ ผมต้องตกใจจนตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าตาแบบ จิม แครี่ ใน The Mask เมื่อได้ยินว่า

“ วันนี้เรือไม่ได้วิ่งนะคะ”

ที่ผมพูดกับเธอเมื่อวานนั้น ต้องโทษที่ผมไม่ถามให้รู้เรื่องเอง เลยสอบถามแค่ราคา กับเวลา นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าชัวร์ให้มาก จะโดนแบบผมไม่ใช่น้อย(โชคชั้นหนึ่ง)

ถึงตอนนี้ผมต้องดิ้นรนเต็มที่ เพื่อจะไปถึงเกาะหมากให้ได้ เพราะไม่อยากเสียเวลาถึงบ่ายสามโมง

ทราบคร่าวๆ ว่าให้ลองไปสอบถามที่ท่าเรือด่านเก่า อาจยังพอมีทาง


มาช้าไปนิดเดียว ไอ้หนุ่ม!!

ผมเห็นยังมีเวลา จึงเดินเท้าหลายร้อยเมตร ไปไหว้เสด็จเตี่ย(กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) ถนนแถวนี้ ช่างสวยงาม เงียบสงบ น่าจะมีถนนแบบนี้ รถน้อยๆ ในกรุงเทพ(จะได้เปิดโอกาสให้แบตแมน ออกล่าเหยื่อ)(ติดคุกนะ ติดคุก)

ผมเห็นป้ายของเรือเกาะกูดเอ็กเพรซ มีบริการเรือไปเกาะหมากด้วย มีเบอรมือถือ ผมจึงลองสอบถามดู ได้รับคำตอบว่า ที่ด่านเก่า ไม่มีเรือไปเกาะหมาก ส่วนเรือของพี่เขา งดให้บริการวันจันทร์ถึงวันพฤหัส(เจ้าตัวอยู่จันทบุรี) แต่พี่ยังอุตสาห์ช่วยเหลือโดยแนะนำให้ลองไปถาม ที่ท่าเทียบเรือกรมหลวงชุมพร ที่อยู่ตรงข้างหน้าผมนี่แหละ จะมีเรือให้บริการในรอบ 11 โมง

ระหว่างเดินผ่านสะพานไปท่าเรือ น้ำลดจนเห็นปลาตีน ผมยังดื่มด่ำบรรยากาศอย่างใจเย็น ในใจคิดว่า ดีแล้วที่มาคนเดียว เพราะหากมากันหลายคน ผมคงถูกด่าเพราะความชัวร์แถมพาเพื่อนมาลำบาก ไอ้ผมลำบากคนเดียวคงไม่เท่าไรหรอก(สนุกออกเป็นรสชาด ไอ้คนเขียนถ้าจะโรคจิต)

เมื่อถึงท่าเรือกรมหลวงชุมพร ตาของThe Mask ถลนออกมาจากเบ้าอีกรอบ เพราะเรือรอบ 11 โมงนั้นซ่อมอยู่ (โชคชั้นสอง)

แถมก่อนผมจะมาไม่ถึง 5 นาที (พี่แกพูดพลางชี้ไปด้านหน้า) มีชาวต่างชาติกระเป๋าหนัก เหมาเรือไปเกาะหมากเรียบร้อย หากผมมาทัน ก็แค่จ่ายค่าน้ำมันให้เขาเล็กน้อย(เท่ากับค่าโดยสารเรือเร็ว) แล้วไปกับเขา

“พี่เห็นน้องเดินมาด้วย ที่แบกกระเป๋าใหญ่ๆใช่ไหม”

“ครับ พี่”

ผมคิดในใจว่า หากผมไม่เดินไปไหว้เสด็จเตี่ยก่อน แล้วมาท่าเรือทันที ผมคงได้ไปในรอบเช้าทัน โอกาสของผมจึงหมดลงด้วยประการฉะนี้ จะให้ผมเหมาเรือไปคงไม่ไหว เพราะราคาเฉียดหมื่นครับพี่น้อง(ตายดีกว่า)

ผมขอติดรถพี่คนขับรถแสนใจดี มาส่งผมบริเวณแหลมงอบอีกครั้งหนึ่ง


น้ำใจ หลั่งไหล ช่วยเด็กหนุ่ม

ผมได้เจอกับพี่สาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหลานคุณป้า เมื่อเธอทราบเรื่องของผม เธอพยายามช่วยเหลือโดยมีอีกหนทาง คือ นั่งเฟอรรี่ไปเกาะช้าง แล้วนั่งเรือที่อุทยาน จะมีไปเกาะหมากวันละเที่ยว เวลา 9 โมงเช้า

แต่แล้ว หากผมได้นั่งเรือในรอบ 8 โมง ก็ไม่ทันอยู่ดี เพราะต้องต่อรถไปอีก เธอจึงพยายามโทรสอบถามให้ หนทางที่พี่เขาคุยกัน คือ ผมต้องจ่ายตังค์ประมาณ หนึ่งพันกว่า (นักท่องเที่ยวหลายๆคนจะต้องรอผมเพียงคนเดียว)

แน่นอนว่า ผมปฎิเสธ เพราะอาจจะทำให้การเดินทางครั้งนี้ถูกไฟดูดตายได้(ช๊อต เงินครับเงิน) ครั้นจะเหมาก็อย่างที่เคยกล่าวไปแล้ว แพงมากๆ

อย่างไรก็ตามผมยังไม่หมดความพยายาม แม้จะทิ้งไปหลายครั้ง ผมจำได้ว่า เพื่อนผมที่เรียนอยู่หอการค้า คุณพ่อทำงานอยู่ที่ท่าเรือ เธอยังเคยบอกผมว่า มาเที่ยวเมื่อไรให้บอก จึงลองโทรศัพท์ไปสอบถาม แต่แล้วความหวังพังทลายเพราะเธอติดต่อไม่ได้ แถมเบอร์คุณพ่อ ก็ติดต่อไม่ได้เช่นกัน

ผมยังดิ้นรนอีกเฮือก โทรไปที่หมู่บ้านชาวประมงบางเบ้า ที่เกาะช้าง เพราะทราบว่าที่นั่นเป็นอีกแห่งที่ มีเรือนำนักท่องเที่ยวไปยังเกาะต่างๆ ซึ่งผมต้องวัดดวงเหมือนกันคือ ต้องรอเรือที่มาจากเกาะหมากซึ่งไม่แน่ใจว่าจะมีหรือไม่(อาจไม่มีก็ได้)

ผมจึงนั่งลงอย่างสงบ ยอมรับชะตากรรมว่า ผมจะเดินทางไปเกาะหมาก เวลา บ่าย 3 โมง

……………

ขอกินข้าวก่อนล่ะ กบในท้องมันร้อง

แม่ครัวมาทำงานแล้ว ผมสั่งกระเพราหมูไข่ดาว มาประทังความหิว พร้อมหยิบหนังสือ “ใต้ทะเลมีความรักภาค 3 ตอนหลังคลื่นอันดามัน” ของ อ ธรณ์ มาอ่าน

ผมคิดไว้ว่า จะนั่งรอที่นี่ เพราะการนั่งรถไปเที่ยวที่อื่นซึ่งมีระยะทางไกล ยิ่งผมไม่ได้เอารถส่วนตัวมา จึงเป็นการสิ้นเปลือง

ที่ร้าน มีเจ้าร๊อตไวเลอร์ที่เชื่อง(หรือเปล่า) อยู่ 1 ตัว ผมรับรู้ถึงน้ำหนักของมันได้อย่างดี เวลามันเดินชนโต๊ะไม้ เพราะมันทำให้โต๊ะหนักๆเคลื่อนไหวได้

พี่ๆที่ร้านเห็นผมนั่งหลับ จึงแนะนำให้ผมไปนอนที่เปลยวนใต้ร่มไม้ ข้างๆหาดหิน ผมจึงไม่ลังเลที่จะไปนอน

นั่งถ่ายรูปเด็กน้อย ริมหาดหิน ซึ่งเป็นเด็กแถวๆนี้นี่แหละครับ ผมก็อ่านหนังสือต่อ ก่อนจะหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย



ดีจัง เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้ไปล่ะ

11 โมงกว่า ผมตื่นมาอย่างงัวเงีย แต่ก็รู้สึกพึงพอใจ ที่ฆ่าเวลาได้เยอะ อีกไม่กี่ชั่วโมง ผมจะได้ไปเกาะหมากจริงๆน่ะเหรอ ถึงตอนนี้ผมอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลยครับ (ช่วยไม่ได้นะครับ)

หันไปที่ร้านอาหาร มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะเชียว ซึ่งแน่นอนว่า ไปเกาะช้างกันทั้งหมด(เกาะหมากจะมีใครบ้ามาเร็วแบบผมล่ะครับ)

ผมเปลี่ยนมานั่งที่ร้านเช่นเดิม ฝากท้องไว้กับทางร้านอีกครั้ง(ไม่ได้คลอดเด็ก) บ่ายนี้เป็นผัดเปรี้ยวหวานกุ้งราดข้าว

ผมเดินมาซื้อตั๋วเรือ หลานสาวคุณป้าบอกผมว่า

“หายไปไหนมา นึกว่าจะถอดใจกลับไปซะแล้ว”

“ไม่มีทางครับพี่ ใครจะถอดใจง่ายๆ ผมไปนอนมาครับ ตรงเปลยวนนี่เอง”

การซื้อตั๋วไปกลับ ย่อมถูกกว่าการซื้อเที่ยวเดียว อีกอย่างตั๋วกลับก็ไม่มีวันที่ เราจะกลับเมื่อไรก็ย่อมได้ ผมจึงไม่ลังเลที่จะซื้อตั๋วไป-กลับ

แดดร้อนเปรี้ยงๆ แต่ฝนก็ยังตกเฉยเลย ผมภาวนาขอให้หยุดเร็วๆ ผมอยากจะไป จนใจจะขาดแล้วเอย(เพลง)


ได้ยินเสียงจากสวรรค์

“ไปเกาะหมากใช่ไหม เตรียมตัวได้เลยครับ” เสียงสวรรค์มาหาผมซะที

ก่อนไป ผมขอบคุณพี่ๆ ที่อุตสาห์ช่วยเหลือ คนต่างถิ่นอย่างผม แม้มันอาจดูธรรมดาสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับผมน้ำใจของคนที่นี่ ก็ทำให้ผมประทับใจได้แล้ว



Go Go Neptune!!

รถโดยสารพาผมและนักท่องเที่ยว มายังท่าเทียบเรือกรมหลวงชุมพร เมื่อเช้านี้ น้ำยังแห้งอยู่เลยแต่ในตอนนี้น้ำกลับเต็มเปี่ยมเพราะฝนที่ตกลงมา

เรือโดยสารของผมวันนี้ เป็นเรือประมงดัดแปลง ชื่อเนปจูน วิ่งสลับกับอีกลำที่ชื่อโลมา(ตรงกับนิตยสารท่องเที่ยวเลยครับ) โดยเป็นเรือ 2 ชั้น ภายในนอกจากผู้โดยสารไปเกาะหมาก ก็ยังขนของสด (เป็นต้น) ไปยังเกาะด้วย(หากใครนึกไม่ออก นึกถึงเรือหาปลา 2 ชั้น ง่ายๆครับ)

ในเรือมีทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มากันเป็นครอบครัวและยังมีชาวบ้านที่เกาะหมากอีกด้วย

ข้างๆผมเป็นหนุ่มสาวชาวต่างชาติคู่หนึ่ง ผมเริ่มคุยกับพวกเขาจึงทราบว่าเป็นชาวเยอรมัน ผู้ชายชื่อ Ingo ผู้หญิงชื่อ Claudia มาเที่ยวเกาะหมากเป็นครั้งแรก ผมแปลกใจมากที่เขารู้จักที่นี่ พวกเขาบอกว่าดูจากในอินเตอเน็ต อยากได้ที่สงบๆ ผมยินดีกับพวกเขามาก ว่าเลือกสถานที่ถูกต้องแล้ว(เจ้าของประเทศบางคนยังไม่รู้จักเลย)

ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้ผมดีใจมากๆ คือ Ingo เป็น Instructor ที่เขาหลัก ส่วน Claudia เป็น Divemaster ผมจึงคุยกับพวกเขาได้อย่างสนุกสนาน จนบางทีก็รู้สึกประหลาดใจว่า ผมสื่อสารกับพวกเขาได้มากขนาดนี้เชียวหรือ(เรื่อง Grammar อีกเรื่องนะครับ)

หากผมได้นั่งเรือมารอบเช้า ก็คงไม่ได้รู้จักกับพวกเขา นี่อาจเป็นสิ่งที่กำหนดมาแล้วก็ได้ ผมจึงไม่ควรเสียดายเวลาที่ผมมาถึงเกาะช้า แต่ควรจะเสียดายโอกาสหากไม่ได้รู้จักพวกเขามากกว่า ขอบคุณเสด็จเตี่ยครับ

ผมยังได้รู้จักครอบครัวของพี่บุ๋มและสามี(แกมาขอยืมนิตยสารท่องเที่ยวจากผม) ที่ยกขบวนมาจากปทุมธานี ลูกสาวสาม ลูกชายหนึ่ง ลูกสาวแก หน้าตาน่ารักจนผมก็แอบมองๆอยู่เหมือนกัน(เจ้าตัวเล็กสุด ซนน่าดูเลย)

นอกจากนี้ผมยังได้รู้จักกับพี่คนหนึ่ง แกพูดให้ผมฟังเกี่ยวกับการพัฒนาเกาะหมากในอนาคต ผมชื่นชมในความคิดของแก แม้แกจะเรียนหนังสือไม่สูง แต่ความคิดนั้น น่าทึ่งมากกว่าคนที่จบสูงๆบางคนเสียอีก

ระหว่างทางไปเกาะหมากผมได้ชมพระอาทิตย์ตกด้วย จึงไม่พลาดที่จะถ่ายรูป

3 Comments:

At 4:43 PM, October 23, 2005, Anonymous Anonymous said...

หนุกจริงๆจ้า......
เหมือนเกาะติดการเดินทางไปด้วยจริงๆ
เขียนต่อเน้ออออออ...ตามมาอ่านตลอดๆอยู่แล้ว

วันนี้ไปกราบพระแก้วมรกต+ทำบุญมา
แบ่งบุญให้นะจ๊ะ :0)))

 
At 1:13 AM, October 24, 2005, Blogger sweetnefertari said...

ตาแฉะจริงๆด้วย

 
At 2:46 AM, October 25, 2005, Blogger kasab71 said...

ครับผม ขอแบ่งส่วนบุญบ้างครับ เอ้ย ไม่ใช่เปรต


ตาแฉะ แน่ครับ มันยาวน่ะ

 

Post a Comment

<< Home