Monday, October 10, 2005

หนังสือเล่มหนึ่ง



หากการอ่านหนังสือ เปรียบได้กับ การจีบสาว ผมคงเป็นคนที่อ่านหนังสือน้อยมากๆ

ไม่ใช่ ว่าผมกลัวความผิดหวัง หากแต่ผม เลือกที่จะอ่านหนังสือมากไป ต่างหาก ซึ่งผมคิดว่า หนังสือที่ดี ต้องสามารถคุยกับเรารู้เรื่อง

เช่นกัน เราก็พร้อมที่จะเปิดใจให้หนังสือด้วย ถึงจะสามารถอยู่กับเธอได้นานๆ

บ่อยครั้ง ที่ผมอ่านหนังสือ แต่กลับไม่ทราบเลยว่า เธอคิดเช่นใดกับผม ซึ่งถือเป็นเหตุผลสำคัญ ในความรัก

ครั้งล่าสุด ในขณะเป็นนักศึกษา ผมได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งผมพบเธอวางตกอยู่ ลักษณะคว่ำ ไว้ที่หน้ากลาง มีปกใสๆ ห่ออยู่ ในห้องสมุด

ผมหยิบหนังสือ ขึ้นมาอ่านก่อนเป็นอันดับแรก โดยไม่สนใจปกหนังสือเท่าไรนัก ซึ่งพบว่า เนื้อหาสาระ ข้างใน มีสิ่งที่น่าสนใจ หลายๆอย่าง ผมประทับใจมาก ไม่ใช่ว่าเธอเป็นหนังสือราคาแพง มียี่ห้อ แต่หลังจากที่ได้คุยกัน ผมชอบเพราะความที่เธอ เป็นเธอต่างหาก

ไม่นานนัก ผมถึงได้มีโอกาสเห็นหน้าปกของหนังสือ ที่มีพลาสติกใสๆ ห่อ แม้จะไม่อาจเห็นความสวยงามของปกได้ชัดเจน ผมได้เห็นว่า ไม่ขี้เหร่ ครั้นจะแกะปกออกมา บรรณณารักษ์ คงจะต้องต่อว่าผมและไม่ให้ผม เข้ามาในที่แห่งนี้อีกแน่นอน

บรรณณารักษ์บอกผมว่า ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ไม่ค่อยมีใครเข้ามามาก แต่ถ้าเปิดเทอม คงมีผู้คน เข้ามามากขึ้น

ก่อนเดินกลับ แกยังแซวผมเลยว่า ทําไม ถึงชอบอ่านหนังสือเล่มนี้นัก ไม่เบื่อหรือไง ยังมีอีกหลายๆเล่มที่ดีกว่ามาก

ผมตอบกลับด้วย สีหน้ายิ้มแย้มว่า ผมเลือกหนังสือ ที่สามารถคุยกับผมได้รู้เรื่อง แม้ยังมีหนังสืออีกมากมายที่อาจจะเหมาะกับผมมากกว่าก็ตาม

ผมไม่ได้เลือกที่สิ่งนั้นเพราะเหมาะกับผมที่สุด แต่ผมเลือกตามความรู้สึกของผม ว่า สิ่งนั้นน่าจะอยู่กับผมได้และทําให้ผมมีความสุข ที่สําคัญ ผมสามารถทำให้เธอมีความสุขได้ด้วย

ท้ายสุดบรรณณารักษ์บอกผมว่า ถ้าเธออยากไปกับผม ก็พร้อมที่จะให้ผมเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้

หลังจากวันนั้น ผมเหมือนคนบ้า ที่นั่งคุยกับเธอทุกๆคืน ในห้องสมุด(แน่นอน เธอคุยกับผมเช่นกัน) หลายๆครั้ง ใช้ระยะเวลานาน ติดต่อกันหลายชั่วโมง

มันเหมือนกับว่า ระยะเวลาไม่ใช่อุปสรรค เพราะยิ่งคุย ก็ยิ่งมีเรื่องราวมากขึ้นๆ

แม้ผมจะนอนดึก แต่ผมกลับมีความสุข ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เพราะกล้าพูดได้เลยว่า ผมไม่เคยมีความสุข ในการอ่านหนังสือครั้งไหน เท่าครั้งนี้มาก่อน

ยิ่งเปิดมาก ยิ่งรู้มาก และยิ่งมีความสุข อาจเป็นเพราะ การมองโลก ในแง่ดีของผมเกินไป แค่เห็นเธอคุยกับผมมากๆ ก็ไปคิดเองต่างๆนาๆ

จนเมื่อมหาลัยเปิดเทอม ผมยังเข้ามาในห้องสมุด เพื่ออ่านหนังสือเล่มนี้

แต่เธอเริ่มไม่คุยกับผมเหมือนเดิม ซึ่งจริงๆ อาจเพราะเธออยากพักผ่อน มีเวลาส่วนตัวบ้าง เพราะเธอเองก็มีภาระหน้าที่ ในการให้บริการข้อมูล กับนักศึกษาที่ต้องการนำความรู้ไปส่งคุณครู

วันหนึ่งผมจึง ถามเธอ แม้คำตอบแรกที่ว่า “เราแตกต่างกันมาก” หากเป็นคนอื่นๆ คงเข้าใจ แต่สำหรับผมที่เป็นคนเข้าใจอะไรได้ยากอยู่แล้ว หากไม่พูดชัดเจน มักจะมีปัญหาชวนสงสัยเสมอ

เธอจึงบอกตรงๆ ว่า เธอไม่ชอบผมแล้ว ซึ่งตอนแรก เธอคิดว่า ผมกับเธอจะเดินไปด้วยกันได้ แต่ไปๆมาๆ เมื่อเปิดมากขึ้น เธอจึงทราบว่า สิ่งที่เธอไม่ชอบ คือตัวผมนั่นแหละ ไม่ใช่องค์ประกอบรอบตัวผมแต่อย่างใด

ความรู้สึกผม แม้พูดกับเธอว่า ไม่เป็นไร แต่ภายในใจ ย่อมเจ็บปวด เปรียบดังหนุ่มที่โดนสาวหักอก ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น

อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยเสียดายเวลาที่ได้คุยกับเธอเลย กลับรู้สึกยินดี ที่เธอได้เปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างในตัวผมในทางที่ดีขึ้น

ไม่ว่า เหตุผล ที่เธอไม่ชอบผมจะเป็นเช่นใด ผมกลับคิดว่า เป็นสิ่งที่ดีแล้ว เพราะเธอคงมีโอกาส ที่จะได้พบเจอ ผู้อ่านได้ดีกว่าผม และที่สำคัญ เจ้าของที่ครอบครองเธอ จะต้องทำให้เธอมีความสุขมากกว่าผมแน่นอน

จากนี้ไป ผมคงไม่มีโอกาสได้เข้าไปคุยกับเธอในห้องสมุดบ่อยๆเหมือนเดิม แต่คงหาเวลา ที่จะเข้าไปหาเธอ ในยามที่เธอว่าง และเธอพร้อมจะคุยกับผมด้วย

แม้การคุยกัน ความรู้สึกจะไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของผมอยู่

และจะเป็นตลอดไปด้วย

ขอขอบคุณ

กอลฟ์(เอกชัย เหลืองวิจิตต์) เพื่อนซี้ที่มหาลัย ที่ช่วยให้ข้อคิดที่ดีกับผม

ปูโกก (อิทธิชัย ลีเลิศยานนท์) เพื่อนโอวี แห่งบ้านสีเขียว สมาชิกพรรคมาหาใคร แห่งซอยโชคชัยร่วมมิตร ที่ช่วยให้ผมสบายใจขึ้น

ชูฮวย(อภิพงศ์ พงศ์เสาวภาคย์) เพื่อนโอวีแห่งบ้านสีฟ้า หัวหน้าสาขาพรรคมาหาใคร แห่งซอยรวมโชค เพื่อนซี้ที่สุด ที่ช่วยให้ผมหยุดฟุ้งซ่าน และเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอๆ

และขอขอบคุณหนังสือทุกเล่ม ที่ช่วยให้ผมมีความสุขตลอดมา

10 Comments:

At 3:44 AM, October 10, 2005, Anonymous Anonymous said...

This comment has been removed by a blog administrator.

 
At 8:12 PM, October 10, 2005, Blogger อัศว์ณุต แสงทองดี said...

ส่วนตัวของผม เคยอ่านหนังสือเนื้อหาคล้ายอย่างนี้มาแล้ว แต่คนเขียนคนละคนแน่นอน ไม่งั้นเดี๋ยวผมถูกตีตาย คนเขียนของผม เป็นผู้หญิงใต้ ช่วงแรกๆ เขียนได้สนุกสนาน แสนจะโรแมนติก จนผมอิน แล้วอ่านอย่างบ้าคลั่ง(ขอยกคำพูดคุณบุญชิต มาอินหน่อยนะ) ไม่ลืมหูลืมตา ผมเปิดอ่านทางเน็ตด้วย ตั้งแต่หัวค่ำ ยันสว่างคาตา ผมอ่านมาเรื่อยสักพักหนึ่ง ผู้เขียน จำต้องย้ายแผ่นดินที่อยู่ไปเขียนที่เมืองนอก สงสัยสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมผิดแปลกไป เธอกลับหยุดเขียนให้ผมเฉยๆ งั้นแหละ ผมสงสัย แล้วเนื้อหา ช่างไม่น่าชื่นชมอีกต่อไป ผมสอบถามไปยังผู้เขียนว่าจะเขียนให้ผมอีกไหม เธอบอก"เรามีรสนิยมต่างกัน" ก็หยุดเขียนไป ผมแน่กว่าครับ ผมทิ้งหนังสือไปเลย ไม่อง ไม่อ่าน อีกต่อไป

สงสัยจะมาจากการที่ผมไม่อ่านคำนำและสารบัญให้ดีเสียก่อน ตอนนี้ จึงแน่ใจว่า อ่านหนังสือชีวิตเป็นแล้ว

ขอบใจนะกะสาบทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ได้

 
At 10:41 PM, October 10, 2005, Anonymous Anonymous said...

...อาหารสำหรับปัญญา น่าจะมีประโยชน์ที่สุด เมื่อผู้เสพย์..รู้จักตัวเองดีเสียก่อนว่าจะเสพย์อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์...ได้มากที่สุด....

ขอบคุณมากๆสำหรับข่าวคราว ปลา 3 นะคะ..จริงๆอยากจะไปซื้อให้ได้...แต่ไม่แน่ใจค่ะ.. ชีวิตมีอะไรให้ทำและต้องทำหลายอย่าง มากกว่าไปวิ่งตามปลาน่ะ(ก็รู้ๆอยู่เนอะ)...ช่วงนี้มีเรื่องเก่าแต่เล่าใหม่มาในชีวิต คือต้องดูแลเรื่องเกี่ยวกับรูปภาพต่างๆมากขึ้นเยอะเลย ... ไว้จะเล่าให้ฟังหลังไมค์แล้วกันจ้า... ;b

 
At 11:09 PM, October 10, 2005, Blogger kasab71 said...

ขอขอบคุณ พี่บุญชิตมากครับ

ผมคงไม่ให้อารมณ์ เสน่หา ทําให้ผมอ่านหนังสือแบบรีบๆเหมือนเคย

เพราะบทเรียนมันสอนอะไรเยอะเลย (ตั้งหลายคน แล้วก็ไม่จำ ฮ่าๆๆ)

แต่ที่แน่ๆ คือ ผมก็ยังคงความเป็นตัวของตัวเองอยู่

รอวันที่ผม ได้เจอหนังสือที่เข้ากับผมได้ และพร้อมจะให้ผมเป็นเจ้าเข้า เจ้าของเธอ โดยเธอชอบผม ที่ผมเป็นผมจริงๆ

ซึ่งกาลเวลา คงต้องเป้นเครื่องพิสูจน์


ให้คนอื่น อ่านบ้าง ยืมบ้าง น่ะดีแล้วครับ เราไม่มีสิทธิ์ ที่จะไปข่มเขาโค ให้กินหญ้า

ถ้าวัวไม่อยากกิน

ไปบังคับใคร ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องการเช่นกันครับ


อืม เที่ยง

เป้นคำตอบได้ว่า คงต้องอ่านหนังสือให้เป้นนั่นแหละนะ

คงต้องให้ประสบการณ์ช่วยสอน

ซักวันจะเก่งขึ้น

 
At 11:12 PM, October 10, 2005, Blogger kasab71 said...

ขอบคุณครับ ปลาไม่หนีไปไหนแน่

อ ธรณ์ แกรอ เพื่อน้องธรรธอยู่

วันนี้พึ่งอ่าน เด็กชายลำไส้สั้น น้ำตาคลอเลย ไว้อ่านจบ จะมาเล่าในบลอคครับ

รอดูภาพสวยๆเช่นกันครับ

 
At 4:12 PM, October 11, 2005, Anonymous Anonymous said...

แวะมาอีกหนค่ะ เห็นเรื่องเด็กชายฯ..เป็นหนังสือที่ทั้งสะเทือนใจ ทั้งปลื้มใจในความรัก+ความเข้มแข็งของครอบครัวนะคะ....ไปวันเปิดตัวด้วยแหละ เห็นน้องธรรธแล้วนับถือในความสู้จริงๆ ตัวนิดเดียวเอง แต่พลังความรักในครอบครัวก็บันดาลกำลังใจได้มากมาย...

อ่านไปนิดเดียวก็ร้องไห้แล้ว...สมกับวันนั้นอาจารย์ถามว่าอ่านใต้ทะเลฯแล้วร้องไห้ไม๊? ก็ตอบว่า โหหห..ร้องซิคะ 'จารย์หัวเราะ 555555...บอกว่า "งั้นอ่านเล่มนี้แล้วเสร็จแน่"!!!...จริงซะด้วยซิ !

...ลองไปดูรูปตรงที่linkไว้ให้ที่ชื่อนี่ก็ได้ค่ะ bgเดียวกันแหละ แต่อันนี้เพื่อนฮังการเรียนเปิดไว้แล้วลากเข้าไปรวมกลุ่มค่ะ...

 
At 10:55 PM, October 11, 2005, Blogger kasab71 said...

ขอบคุณครับ ผมน้ำตาคลอเลยล่ะครับ สงสารน้องธรรธจัง

เป้นการต่อสู้ ของพ่อและแม่ ที่ทรมานใจ ทุกวันจริงๆ

ดูแล้วครับ ขอบคุณมากๆ

 
At 5:38 AM, October 15, 2005, Blogger sweetnefertari said...

มีหนังสืออยู่เล่มนึง ที่ตั้งใจว่าจะค่อยๆอ่านอยู่เหมือนกัน เป็นหนังสือแนวท่องเที่ยวผจญภัย ศิลปินด้วย แต่พอเจอหนังสือดีเลยใจร้อนเร่งอ่านไปนิด อยากรู้ตอนจบเร็วๆ จบเห่เลยทีนี้

เฮ่อ...ทั้งที่ตอนแรกก็อ่านกันมาดีๆน่ะนะ ไม่น่าเลยคนแต่งดันมาอ้างอิง คาลิล ยิบรานได้ก็ไม่รู้ เค้าว่า

...จงรักกันและกัน แต่อย่าสร้างพันธะแห่งความรัก และขอให้ความรักนั้น เหมือนห้วงสมุทรอันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างฝั่งวิญญาณของเธอทั้งสอง

จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากันกินจากก้อนเดียวกัน
จงร้องและเริงรำด้วยกันและจงมีความบันเทิง แต่ขอให้แต่ละคนมีโอกาสอยู่โดดเดียว
ดังเช่นสายพิณนั้น ต่างก็อยู่โดดเดี่ยว แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน

จงมอบดวงใจ แต่มิใช่อีกฝ่ายหนึ่ง เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้น ที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้
และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่ทว่าอย่าใกล้กันนัก เพราะว่าเสาของวิหารนั้นก็ยืนอยู่ห่างกัน
และต้นโพธิ์ ต้นไทร ก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงากันและกันได้...

แล้วหนังสือก็หายไป แห้วเลย เจอหนังสือรักอิสระ

ทุกวันนี้หันไปอ่านหนังสือเล่มอื่นแล้ว แต่ก็ยังเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้ในใจจดจำแต่เนื้อหาเรื่องราวที่ดีๆ นึกถึงทีไรก็ยังยิ้มได้ น่าแปลกที่หนังสือเล่มนี้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคนอ่านใหม่เลย ไม่เข้าใจ...อ่านยากจริง

 
At 10:56 PM, October 15, 2005, Blogger kasab71 said...

อืม เห็นด้วยครับ รีบร้อนไป บางทีอาจจะไม่ดีเหมือนกัน

ท่าทางจะคล้ายๆผมละมั้ง(หรือเปล่าหนอ)

มีสิ่งดีๆ ไว้จดจำเสมอ เป็นเรื่องที่ดีครับ

ยังไง หากเจอกันก็คุยกันได้

คงต้องรอให้คนที่อ่านง่ายกว่า มาอ่านละมั้ง ผมเชื่อว่าเขาอ่านไม่ยากครับ เพียงแต่อาจจะสื่อสารได้ไม่ทันและไม่ตรงกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เราไม่เก่งจนอ่านเขาไม่ออก

ขอบคุณในความเห็นครับ ขอต้อนรับจ้า ที่มาเยี่ยมชม

 
At 8:45 PM, October 16, 2005, Blogger sweetnefertari said...

อืม...อย่างที่นายว่าแหละ อ่านนะอ่านได้ แต่ "จังหวะ" ไม่ได้มั๊ง(โทษมันซะงั๊น55)

 

Post a Comment

<< Home