Sunday, August 14, 2011

Singapore...This is my occasion(3)



เดินทะลุ Festive Hotel


ออกจาก Hard Rock Hotel จะมีทางเดินมาที่ Festive Hotel ครับ เป็นอีกโรงแรมใน Resort World แห่งนี้ เราสามารถเดินผ่านเพื่อไปยังจุดอื่นๆได้ ซึ่งจะมีป้ายบอกทาง เช่นไป Casino , ไป Universal Studio เป็นต้น



โรงแรมนี้ เด็กๆน่าจะชอบ เพราะจะตกแต่งด้วยตัวการ์ตูนต่างๆ ดูมีสีสัน ตรง Lobby เปิดหนังเรื่อง Shrek ด้วย

เดินต่อไปจะเป็นทางเดินที่มีร้านขายของ Brand Name เรียกว่า เงินทองไม่รั่วไหล หลังจากที่เล่น Casinoแล้ว(คาดว่าคงจะไหลหมดตัว 555)



ถึงตรงที่มีรูปปั้นช้างตัวใหญ่ ด้านขวามีทางลงไป Casino ถ้าตรงไปก็จะมีทางเดินไปต่ออีก

ถ่ายรูปตรงนี้ซักแป๊บ มีชาวต่างชาติใจดี ช่วยถ่ายรูปให้ เราก็ถ่ายให้เขาด้วย ก็ต้องตอบแทนน้ำใจ ซึ่งกันและกัน

สรุปลงบันไดเลื่อนตรงนี้ครับ อ่าว จะไป Casino หรืออย่างไร?



The Forum


ลงบันไดเลื่อนมา จะมีลานกว้างๆ มีร้านอาหารเยอะมาก เห็นป้ายติดว่า “The Forum” ครับ เอาเป็นว่า ผมเรียกแบบนี้ก่อนนะ

มองเห็นประตูเข้า Casino ทำเป็นเล่นไป คนเข้าเยอะเหมือนกัน 555



เห็นทางเข้า Festive Grand มี Voyage De La Vie ด้วย(เป็นพวกการแสดงโชว์น่ะครับ) ใครสนใจก็ลองมาดูได้



ไปไหนต่อละทีนี้ ใกล้ๆมีลานจอดรถครับ จะเป็นรถส่วนตัว รถ Taxi หรือ รถ Shuttle Bus ก็อยู่ตรงนี้แหละ เราจะต้องหาทางออก ไปในเมือง เพื่อไปห้าง Vivo City

หลังจากเดินถามพนักงานที่ดูแลตรงจุดนี้ เขามีบริการ Shuttle Bus ฟรีครับ ช่วยยกรถเข็นที่เจ้าหลานทัฬห์นอน ขึ้นรถแล้ว ไปกันดีกว่า



Harbourfront Station


นั่ง Shuttle Bus ข้ามสะพาน ออกจากเกาะ Sentosa ได้ไม่นาน ก็มาลงที่ป้ายรถเมล์ ป้ายหนึ่ง มีคนรอรถเมล์เต็มเลยครับ แต่ละคนดูจะมองเราแปลกๆ คงจะรู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ใช่คนแถวนี้ละมั้ง

ห้าง Vivo City นอกจากชั้น 3 จะมี Sentosa Express ที่ข้ามไปเกาะ Sentosa ได้ แล้ว ตรงด้านล่างก็จะเป็นที่ตั้งของรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานี Harbourfront



ราจะไปเดินเล่นกันที่ Orchard Road ครับ ก่อนอื่นก็ต้องซื้อบัตร EZ Link ก่อน เป็นบัตรเติมเงิน สำหรับใช้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินไปยังสถานีต่างๆ ใช้ขึ้นรถเมล์ หรือลงเรือ ก็ได้ ค่อนข้างสะดวกและครบวงจรมากๆ

คนต่อคิวซื้อเยอะเหมือนกัน ซื้อมา 5 ใบ ส่วนเจ้าหลานทัฬห์ ไม่เสียเงิน เพราะความสูงไม่ถึง

ก็ใช้บัตรแตะ เหมือนที่บ้านเรา(ของเขาน่ะ สร้างก่อนของเราครับ มีหลายสาย หลายสี)



ที่ Harbourfront Station เป็นสถานีสายสีม่วง เราจะต้องไปเปลี่ยนสถานีที่ Dhoby Ghaut เพื่อเปลี่ยนเป็นสายสีแดง จึงจะไปลงที่สถานี Orchard ได้



ภายในรถก็ค่อนข้างกว้างครับ แต่คนโดยสารเยอะ เราผ่านสถานี Outram Park , สถานี Chinatown , และสถานี Clarke Quay ก่อนจะมาลงที่สถานี Dhoby Ghaut



Dhoby Ghaut Station


จากที่นั่งมาเมื่อซักครู่ ทำให้เห็นว่า ที่สิงคโปร์ ระบบขนส่งมวลชนเขาดีและครอบคลุมทั่วทั้งเมือง คนจึงนิยมโดยสาร MRT ต่อรถเมล์ ต่อเรือ ต่อ Taxi หรือเดิน แทนที่จะซื้อรถยนต์ ตามท้องถนนรถจึงไม่ติด(หากเทียบกับบ้านเรา) แถมเดินเยอะๆก็ได้ออกกำลังกายด้วย

ค่าโดยสาร MRT ก็ไม่แพงนะครับ ถ้าเป็นรถเมล์ก็ยิ่งถูก เรียกว่า เลือกตามความสะดวก แถมรวดเร็วอีกต่างหาก

ที่สถานี Dhoby Ghaut คนเยอะมากกว่าเดิม ต้องรอประมาณขบวนที่สอง ถึงจะเข้าไปในรถไฟฟ้าได้(เดินหาดีๆนะครับ ว่าป้ายไปลงสายสีแดงอยู่ที่ไหน)



ส่วนในตัวรถไฟฟ้า ดูแล้วป้ายที่มีไฟกำกับตามสถานี ก็เหมือนกับรถไฟฟ้าตู้ใหม่ของบ้านเรา ตอนนี้เลย



Orchard Station


ถึงแล้วครับ สถานี Orchard เป็นทางเชื่อมเข้าห้างได้เลย คนลงสถานีนี้ ก็เยอะใช้ได้อยู่



บนเพดานมีปลาว่ายน้ำด้วยครับ น่าจะเกิดจากเครื่องอะไรซักอย่าง ฉายไปด้านบน ทำให้เกิดภาพขึ้นมา สวยดีนะ

ตรงนี้เขียนว่า ION ORCHARD ครับ เราไม่เข้าไป แต่ขึ้นไปด้านบน ออกสู่ด้านนอกเพื่อไป Orchard Road ดีกว่า



Orchard Road


ขึ้นบันไดเลื่อนมาโผล่บริเวณสี่แยก มาถ่ายรูปดีกว่า ตรงทางออกของรถไฟฟ้า และตึกด้านบนนี้ โครงสร้างสวยดี

มีฝรั่งมาหยุดตรงนี้อยู่หลายกลุ่ม คงจะปรึกษากันว่าจะไปไหนต่อดีนะ



เริ่มเห็นร้านขายของ Brand Name ไม่ว่าจะเป็น Chanel , Dior , Louis Vuitton, Prada คงถูกใจสาวๆ รวมทั้งแม่ ถ้าได้เห็น ท่านก็คงจะชอบมาก ตามสไตล์สาวนักช๊อปปิ้ง

สมกับเป็นถนนคนเดิน เพราะมีคนเดินเยอะไปหมด(เอ้า ก็แน่ซิ) ว่าแต่ ทำไม อาหมวยสิงคโปร์ น่ารักจังเลย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า คนนี้ก็น่ารัก คนนั้นก็น่ารัก



ป้ายนี้ เห็นแล้ว สะดุดตา “Singapore Sling” เป็นเครื่องดื่มครับ ทำให้นึกถึงครั้งที่มาช่วยเพื่อนขายที่งานเกษตร แฟร์ สนุกดีเหมือนกันนะ ในตอนนั้น



คนมาต่อคิวเต็มเลย นี่ คือ ไอติม “King ‘ s Ice Cream” เป็นไอติมรถเข็น คล้ายๆ ที่บ้านเรา ลักษณะเป็นขนมปังประกบแล้วมีไอติมอยู่ตรงกลาง หรือบางทีก็ใช้เวเฟอร์ประกบ ราคาแค่ 1 เหรียญเท่านั้น(เสียดายว่าไม่ได้ลองครับ มัวแต่ถ่ายรูปเลยจะเดินตามพ่อกับพี่ๆไม่ทัน เอาไว้คราวหน้าๆ)

แถวนี้ก็มีห้างตลอดเส้นทาง เรามาหยุดที่ห้าง Takashimaya S.C. ในห้างนี้มีร้านหนังสือที่เราคุ้นตากันดี คือ Kinokuniya ด้วย



Takashimaya S.C.


เดินผ่าน Chanel , Louis Vuitton ขึ้นไปที่ชั้น 4 พี่มุกบอกว่า ร้านดังๆ ด้านนอกคนอาจจะเยอะ เลยมากินด้านในดีกว่า แล้วค่อยเดินต่อ



มาที่ร้าน Tonkichi เป็นร้านหมูทอดสไตล์ญี่ปุ่น เห็นว่ามีสาขาที่เมืองไทยด้วย ผมไม่เคยกินหรอกครับ สั่งแล้วไปเข้าห้องน้ำก่อนดีกว่า พาพ่อไปด้วย



ตามป้าย ห้องน้ำไปทางแผนกกีฬา มีรูป David Villa ด้วย ระหว่างทาง มีร้านอาหารแปลกๆอยู่หลายร้าน หนึ่งในนั้น ชื่อว่า Crystal Jade “ La Mian Xiao Long Bao” เห็นมีคล้ายๆหม้อไฟด้วย แต่จากชื่อ น่าจะเป็นร้านอาหารจีน



กลับมาที่ร้าน Tonkichi ดีกว่า ซ้ายขวา ไม่มีคนไทยเลยครับ ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง “กวน มึน โฮ” ตอนที่พระเอก บอกว่า “ เชื่อดิ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเราหรอก แล้วเรียกลุงมาว่า อาหาร.... มาก แล้วยกนิ้ว ” ไม่แน่นะ อาจมีคนไทยแถวนี้ก็ได้ อย่าลองเลย 555

เจ้าหลานทัฬห์ ร้องไห้ซะแล้ว ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง 555



มีชามเล็กๆและมีงาอยู่ด้านใน เอามาทำอะไรหว่า พี่ณัฐบอกว่า ให้ใช้ไม้ที่วางอยู่ บดงาซะ ทำไปทำมา หอมดีนะ(ดูแล้ว คล้ายๆอาหารนกอยู่เหมือนกัน 555)



เอาน้ำจิ้มใส่เข้าไปในงา มันก็คือ น้ำจิ้มหมูทอดนั่นแหละ แต่อาหารที่มาวางบนโต๊ะของแต่ละคน มันดูคล้ายๆกัน แต่พอลองมาชิม มันต่างกันครับ หมูทอดแต่ละชิ้น ไม่เหมือนกันเลย อร่อยกันคนละแบบ

ไม่ลืมให้แม่ได้ทานด้วย เพราะแม่ คือ คนสำคัญเสมอ



ตะลุย Supermarket ใน Takashimaya S.C.


ออกจากร้าน Tonkichi ใกล้ๆมีร้านอาหารไทยด้วย ชื่อ “Sabai” มองไปในร้าน ชี้ผ่านกระจกเพราะเห็นเรือแบบไทยๆ(คล้ายๆเรือพระที่นั่ง) คนที่มองกลับมาหาและมองไปที่จุดที่ผมชี้ เดาว่าเป็นคนไทยแน่นอนครับ

ปล่อยหลานทัฬห์ เดินบ้าง เดินไม่หยุดเลย ต้องวิ่งไปจับและอุ้มมา ลงลิฟท์ก่อน



มีร้านขนมแปลกๆ ที่มาจากญี่ปุ่นด้วย(จำชื่อร้านไม่ได้ครับ) เดินเข้าไปใน Supermarket มีเครื่องปิ้งไก่ ไฮเทคมาก(น่าจะเป็นไก่สะเต๊ะ)ไม่ต้องใช้มือ ให้เครื่องทำหมดเลย ตั้งแต่ทาน้ำจิ้ม ไปจนถึงปิ้ง



ร้านมีชื่อ ที่เคยได้ยินก่อนมา ต้องนี่เลย “Bee Cheng Hiang” ดูแล้วออกแนวๆ หมูแผ่นบ้านเรา บ้างก็ว่ารสชาดเหมือนกุนเชียงนะ



ไหนมาดูผลไม้บ้าง สตอเบอรี่ลูกใหญ่และสวยดี สัปปะรดก็สวย(4.90 เหรียญ) กล้วยก็สวย ผลไม้คัดมาอย่างดี เหมือนกับตาม Crystal Park น่ะ

ลองศึกษาราคาอาหาร พี่เก่งเรียกให้ผมไปดู ข้าวกล่อง ราคาประมาณ60-70 บาท ถือว่าถูกมากๆ(วันหลังถ้าผมมาเอง คนเดียว อาจจะมาหาของถูกแถวนี้ก็ได้นะ ประหยัดดี ) เราออกไปด้านนอกกันดีกว่า



ตะวันลับขอบฟ้าที่ Orchard Road


แสงสีทองกำลังสวยและค่อยๆมืดลง เป็นสัญญานว่า ราตรีกำลังมาเยือนแล้ว เริ่มมีแสงไฟตามตึกให้เห็นโดยทั่วไป

ผมสังเกตเห็นว่า ไม่ค่อยมีบ้านคนเลย (บ้านเดี่ยวๆ เหมือนที่บ้านเรา) หรือว่าจะไปอยู่ชานเมืองกันหมด พี่เก่งก็บอกว่า “ดูดิ ไม่มีสายไฟฟ้าด้านบนเลย เขาเอาลงใต้ดินหมด” แต่คงต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงครับ ถ้าบ้านเราเอาสายฟ้าลงใต้ดินหมดได้ ก็คงจะดีเหมือนกัน



จะมีปุ่มให้กดสำหรับคนข้ามถนน เกือบทุกแยก ที่ Orchard Road จะมีห้างค่อนข้างหลากหลาย ทั้งหรูหราและธรรมดา จากParagon จนถึงร้านขนาดเล็กอย่าง Seven Eleven ก็มี

คนรอ Taxi เพียบเลยครับ ก็เป็นเวลาเลิกงานด้วยล่ะ



มาแวะที่ห้างๆหนึ่ง เพื่อหาแบตเตอรี่ใส่กล้อง ห้างนี้มี Food Court ด้วย แถมราคาอาหารและรูปร่าง(จากในรูป)ก็ดีมากๆ ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3 เหรียญ – 6 เหรียญ เท่านั้น คนแน่นเกือบทุกโต๊ะ(เจออีกแหล่งล่ะ)



ขากลับคนละเรื่องกับขามาเลยครับ คนน้อยและเรามีที่นั่ง ขึ้นที่สถานี Orchard เพื่อไปเปลี่ยนสายสีม่วงที่ สถานี Dhoby Ghaut และไปลงที่สถานี Harbourfront

ระหว่างทางในสถานี มีนักดนตรีแบบเปิดหมวกด้วย เขาตาบอด มีคำภาษาอังกฤษที่น่าสนใจติดไว้ คือ “I am Human , I do not Object” และมีป้ายว่า อย่าถ่ายรูป คงจะเข้าใจความหมายและความรู้สึกของเขานะครับ



Vivo City


มาถึงที่ Harbourfront เข้ามาที่ห้าง Vivo City มีร้าน National Geographic และร้าน Candy Empire โดยเฉพาะร้านหลัง ก่อนมา เห็นในเว็บ เขาบอกว่า มีจากทั่วโลกเลยครับ จะเอาของหวานจากประเทศไหนล่ะ




มาหาน้ำกินด้านล่าง ให้พ่อนั่งพักไปก่อน มี Food Court ที่ชื่อว่า “Banquet” ลองสำรวจราคาอาหารไม่แพงและดูน่าอร่อยทุกๆอย่าง อยู่ในช่วง 4- 5 เหรียญ เรียกว่า จานเดียวก็อิ่มแล้วละมั้ง ถ้าเป็นแบบในรูปจริงๆนะ

มีร้านก๋วยเตี๋ยว “ Jia Xiang Sarawak Kuching Kolo Mee” ก็น่ากินดี



กินน้ำเก๊กฮวย กับน้ำองุ่นขาว กระป๋องแปลกดี ดับกระหาย



Sentosa Express


ดูตามป้าย ขึ้นมาที่ชั้น 3 ของห้าง ได้เวลาใช้บัตรสีชมพูแล้วครับ เราจะกลับเกาะ Sentosa ด้วย Sentosa Express จะมีทั้งหมด 4 สถานี Sentosa Station @ Vivo City ก็คือ สถานีนี้ ต่อมา ก็ Waterfront Station(resort ต่างๆ) , Imbiah Station(Merlion ตัวใหญ่มาก) และ Beach Station สถานีสุดท้าย

มาแล้วครับ รถสีชมพู ด้านในทาด้วยสีเขียว ดูสะอาดดี เราลงกันที่สถานี Waterfront นะ



ลงบันไดเลื่อนมา พี่มุกแวะเซเว่น ผมเห็นน้ำดื่มหน้าร้าน ราคาถูกจัง 1.90 เหรียญ(ถ้าน้ำแร่ Evian 2.75 เหรียญ)ว่าแต่ไม่กลัวคนขโมยเหรอเนี่ย(อาจเป็นเพราะกฎหมายแรง ผมเดาว่า มีกล้องวงจรปิดด้วยนะ 555)



แสงสี น้ำพุ และลูกโลก Universal Studio!!


เป็นทางผ่านที่จะกลับ Hard Rock Hotel ครับ เรามาตั้งกล้องถ่ายรูปกันที่นี่ มีแสงสี มีน้ำพุ มี Merlion(ที่สิงค์โปร์มีหลายตัวนะ ถ้าตัวจริงๆ ต้องอยู่ริมแม่น้ำ)



หลานทัฬห์ ดูจะมีความสุขมาก เดินไปนู่น มานี่ ต้องคอยดู ไม่ให้ไปกวนคนอื่น อ้าว ไปติดใจกับเจ้าคนใส่ชุดหัวเป็นตัวการ์ตูนซะแล้ว จะว่าไปนักท่องเที่ยวที่มาถ่ายรูปก็เยอะนะเนี่ย ตอนนี้(ส่วนอาหมวยน่ะเหรอ คนที่ขอให้ผมช่วยถ่ายรูปให้ น่ารักดีๆ)



ในขณะที่คนอื่นๆ ที่พักในเมือง ต้องกลับไป จาก Sentosa ถ้าจะมาเที่ยว Universal Studio พรุ่งนี้ก็ต้องมาใหม่ ทำให้ผมเข้าใจว่า การมาพักที่นี่ก็มีข้อดี เพราะไม่ต้องเดินทางมาก ถ้าคิดจะมาเล่นเครื่องเล่นที่ Universal Studio นะ(เรามีพ่อที่อายุมากแล้ว มีเด็กเล็ก และพี่มุกก็ตั้งครรถ์อยู่ด้วย)

เมื่อยขาใช้ได้ครับ พ่อบอกว่าปวดหลัง เราเดินผ่านมาที่ Galleria Luxury and Fashion และผ่าน Festive Hotel ก่อนจะกลับเข้าโรงแรม



Music at Hard Rock Hotel!!!


กลับถึงห้อง ลองมาเปิดทีวีดูซิ ว่ามีอะไรบ้าง เมื่อเปิดดูจะมีข้อความต้อนรับที่หน้าจอ(จองชื่อใคร จะเป็นคนนั้นครับ) สิ่งที่ผมชอบก็คือ ช่องเพลง เพราะเปิดเพลงสากลเก่าๆแนวเดียวกับที่ชอบฟัง บางเพลงคุ้นๆหู แต่ไม่รู้จักชื่อ มีช่องกีฬา มีช่องเกี่ยวกับเครื่องเล่นใน Universal Studio สำหรับวันพรุ่งนี้ด้วย

นวดหลังให้พ่อ สมัยก่อนคงใช้เท้าเหยียบทั้งตัวได้ แต่สมัยนี้ ตัวโตขึ้นเยอะ ไปทำแบบนั้น พ่อไส้แตกแน่ ต้องใช้มือค่อยๆกดลงไป พี่ณัฐเอารูปมาโหลดลง Ipad ด้วย

ไปลองกดน้ำแข็งที่เครื่องทำน้ำแข็งฟรี ดีกว่า อยู่ไม่ไกลจากห้อง น้ำแข็งสะอาด ใส่น้ำเปล่า เย็นสดชื่นดี

อาบน้ำแบบฝักบัว 90 องศา สบายมาก นั่งจดอะไรอีกนิดหน่อย เอารูปแม่มาวางไว้ที่หัวนอน เอา Jacket ของแม่ขึ้นมาใส่ นอนหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน

ยังคิดถึงแม่เสมอนะ

0 Comments:

Post a Comment

<< Home