สิปาดัน....มหัศจรรย์ทะเลเซเลเบส(2)
Arrive Kuala lumpur Airport – Welcome to Malaysia!!!!
คนเยอะจริงๆครับ เดินถือสัมภาระลงบันไดมา มีป้ายเยอะแยะเลย บ้างก็เป็นภาษาอังกฤษ บ้างก็เป็นภาษามาเลเซีย(งง) ในใจนึกแต่ว่าจะรีบไปเอากระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่อง ขอให้ยังอยู่นะ ไม่ใช่ไปอยู่สนามบินย่างกุ้งล่ะ ถึงคราวซวยแน่ๆ
เส้นทางไม่ยากนัก เพราะ พอลงจากเครื่องบิน ทุกคนจะเดินตามกันเป็นระเบียบเหมือนมด(ไม่มีรถมารับเหมือนที่เมืองไทย) มีเส้นทางให้เดินตามทาง รอบๆ มองเห็นพนักงานของ Air Asiaหลายคนสวมยูนิฟอร์มสีแดง บ้างก็ขนกระเป๋า บ้างก็ขับรถขนของ
แวบแรก นึกถึงที่เจี๊ยบบอกเหมือนกันว่าที่นี่เหมือนสถานีขนส่งหมอชิตบ้านเรา คือ มีคนค่อนข้างเยอะมาก จ๊อกแจ๊กจอแจ อยู่เหมือนกัน
เดินไปเรื่อยๆ เข้าสู่อาคาร เออ! ลืมไปเลยครับ ผมมาที่นี่ มันนอกประเทศไทย พอจะเข้าประเทศเขา ก็ต้องมาสู่ขั้นตอนการตรวจ Passport เรากลายเป็นคนต่างประเทศในประเทศของเขาไปแล้ว ฉะนั้นผมต้องเดินไปที่ช่อง Foreign Passport คิวยาวหลายช่องเลยครับ หาแถวที่สั้นที่สุด ต่อคิวก่อนเลย
เสียงโทรศัพท์คุ้นๆ ของผมนี่เอง เป็นเสียงข้อความเข้าเยอะไปหมด เครื่องนี้เอาไปต่างจังหวัดประจำ เปิดRoaming ไว้ ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ให้พ่อยืมไปใช้ที่แอฟริกาใต้ ที่เอามาก็เพื่อโทรกลับบ้านเท่านั้นเอง SMSแจ้งให้ทราบถึงเครือข่ายโทรศัพท์ที่นี่ อัตราค่าบริการในการโทร จำได้ว่าที่เมืองไทย พนักงาน One 2 Call บอกให้ผมหาเครือข่ายที่ชื่อว่า “Maxis” มาคราวนี้ไม่ได้หยิบ I-Phone ของขวัญที่แม่ซื้อให้มาครับ กลัวหาย กลัวเครื่องตกพื้น กลัวโดนน้ำทะเล ทั้งๆที่ทราบดีกว่า ระหว่างทางมี Internet ให้เล่นฟรี ระหว่างที่รอเปลี่ยนเครื่องทั้งสองสนามบินและที่พักทั้งสองสถานที่ที่จะไปถึง
ถึงคิวตรวจ Passport แล้ว(อ่อใบ Immigration ด้วย) พนักงานตรวจคนเข้าเมืองคนนี้ แต่งตัวชุดด้านในสีขาวเหมือนพยาบาล ด้านนอกสวมเสื้อสีน้ำเงินทับไว้ ตรวจเสร็จเรียบร้อยก็ยิ้มแย้มและขอบคุณเธอด้วย
ยืนดูป้ายก่อน ไปทางไหนละที่นี่ ด้านซ้ายตัน ก็ต้องทางขวาเดินต๊อกๆ หาป้ายก่อนเลย ไปเอาสัมภาระให้ได้ เห็นคุณป้าพนักงานทำความสะอาดของสนามบิน ยังต้องเหลียวมอง ไม่ใช่อะไรครับ พอมาต่างเมืองแบบนี้ มีสิ่งที่น่าสนใจเยอะ ทั้งภาษา วัฒนธรรม การแต่งกาย เป็นต้น
ร้านขายของเล่นหรือเปล่า สวยดีครับ ร้านขายเครื่องสำอางค์ พนักงานสาว(ขาว) หน้าตาดี จะยกกล้องมาถ่ายรูปร้านก็.... ไปเอากระเป๋าก่อนดีกว่า เจอแล้วคำว่า “Baggage” ลงบันไดเลื่อนตรงนี้คงจะมาถูกทางล่ะ
ร้าน Duty Free แม่ชอบแน่ๆเลยแบบนี้ เจอแล้วครับ สายพานลำเลียงสัมภาระ เราก็ดูว่าสายการบินของเรา FD 3571 อยู่ตรงไหนก็รอ และเฝ้ามองกระเป๋าที่ผ่านมาให้ดีๆ
กระเป๋าสีน้ำเงินมาเรียบร้อย ยกออก หารถเข็นหน่อย มีเครื่องทุ่นแรงก็ต้องใช้ครับ แบกไปตลอดแบบนี้ หลังพังพอดี เข็นไปเรื่อยๆสบายๆ อีกหลายชั่วโมงกว่าเครื่องจะออกนะ
เข้าห้องน้ำนิดนึง แต่ไม่มีใครเฝ้าของครับ ก็มาคนเดียวแบบนี้ ทำไงล่ะ แป๊บเดียว เอง
เข็นรถเข็นตามทางมาเรื่อยๆ ดูป้ายและสายการบินในจอมอนิเตอร์ แต่ก็ยังไม่เจอสายการบินที่จะไปตาเวาครับ เดินต่อไป เดินต่อไป ก่อน คงยังไม่ถึง
มีร้านอาหารเยอะตรงนี้ กะว่าดูเรื่องสายการบินให้เรียบร้อย ค่อยมาหาของกิน นอกจากMcdonald ‘s ที่บ้านเราก็มี เห็นร้านแปลกๆ ที่ชื่อว่า “Marrybrown” แต่อาหารก็สไตล์เดียวกันครับ(ดูเมนูแปลกๆเยอะ)แต่ คนเพียบเลย นะ
ขวามือ มีบริการ Taxi (เฮ้ย ไม่ใช่แล้วผิดทาง ) เลี๊ยวซ้าย เดินตรงไปเรื่อยๆ มีพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่หลายคน เออ! จะถามดีไหมวะ ยังก่อน ยังก่อน
ได้ยินเสียงพูด ขวาซ้ายเยอะไปหมด แต่ไม่ใช่ภาษาไทยซักราย หน้าตาก็เหมือนคนไทยครับ เพราะออกแนวเอเชีย ถ้าผิวคล้ำก็คนมุสลิม ผิวขาวก็ออกแนวคนจีน แต่ทำไมขาวจังเลย น่ารักด้วย
เจอจอคอมพิวเตอร์สำหรับ Self Check in ด้อมๆมองๆอยู่ซักแป๊บ เอาวะ ก็เหมือนตอนขามานี่ล่ะ ไม่น่าจะยาก ลองกดดู มีให้เลือกภาษาไทยด้วย อะไรจะสะดวกขนาดนั้น
กดหมายเลขการจอง จากที่ Print ใน Internet ก็จะขึ้นชื่อของผมมา บอกเสร็จสรรพว่า เครื่อง Kuala Lumpur ไป Tawau สายการบินอะไร กี่โมง ว่าแล้วก็ Print ออกมา ระบบก็ Random ที่นั่งของผมเรียบร้อย(ปลอดภัยแล้วเว้ย) แต่ยังครับ ผมควรจะดูจากจอมอนิเตอร์ด้วยว่า สายการบินผมอยู่ไหนจะได้อุ่นใจยิ่งขึ้น
เดินออกไปจุดเดิม ยืนตั้งนานก็ยังไม่เจอ เหม็นบุหรี่เว้ย คงไม่ใช่มั้งตรงนี้ เดินกลับไปทางเดิมดีกว่า เอ่อ ชักแปลกๆ คงต้องถามทางแล้วล่ะ
เจ้าหน้าที่มาเลเซียคนนี้บอกว่า ที่ผมเดินมาน่ะถูกแล้ว เอ้าเดินกลับไปใหม่!!!
ทำไมถึงเจอแต่ Domestic วะ ลองไปถามสาวที่ช่องแอร์เอเชีย ดีกว่า คุยไปคุยมา ผมสับสนเอง ที่หาไม่เจอน่ะ เป็นงูคงโดนฉกตายไปแล้ว มันก็อยู่ตรงที่เดินผ่านมา วนไปวนมานี่แหละ ผมลืมไปว่า เดินทางจากกัวลาลัมเปอร์ไปตาเวา มันสายการบินในประเทศนะ ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ 5555 (เธอบอกว่า Yes , Tawau is domestic!!!)
ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ ว่าแล้วก็ขอบคุณเธอ เดินไปดูที่จอยักษ์ เจอแล้ว AK 5154 ค่อยสบายใจหน่อย
เดินไปหาพนักงานรักษาความปลอดภัย จะถามว่า ไอ้ Gate ของผมมันเปิดกี่โมง ก็ชัดเจนว่า “1 Hour Before Departure” ตอนแรกยังงงๆครับ เพราะสำเนียงมาเลเซีย ภาษาอังกฤษ บางทีก็ฟังยาก แบบว่าของมันไม่เคยมาก่อน เขาเลยย้ำให้ฟังอีกที ก็ชัดเจนๆ
Live at LCC Terminal
สถานที่ที่ผมอยู่ตรงนี้เรียกว่า LCC Terminal เป็นสถานที่สำหรับสายการบิน Low cost Airline พูดถึงก็ดีนะครับ ลืมไปว่า Air Asia เขาเป็นใหญ่ในมาเลเซียนี่นา ดูจากพนักงานต่างๆ ดูพร้อมและบุคลากรก็เยอะดี
ยังไม่ถึงเวลากินข้าว ผมหาที่นั่งรอนิดนึง เก้าอี้ไม่มีก็นั่งกับพื้นนี่แหละ ปรับเวลาที่โทรศัพท์ก่อน เดี๋ยวผมงง ว่า ที่นี่เวลาเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมงนะ
กำลังจะโทรศัพท์หาพ่อ จะบอกว่าถึงกัวลาลัมเปอร์แล้ว พ่อโทรมาพอดีครับ แบบนี้ปลายทางก็เสียเหมือนกัน อัตราเท่าไรก็แล้วแต่ผู้ให้บริการ
ได้เวลาแล้วครับ ไปดูดีกว่า ว่ามีอะไรกินบ้าง เดินเข็นรถเข็นไป เห็นป้ายแปลกดีครับ Taxi บ้านเรา ที่นี่เรียกว่า “Teksi” นะ
เดินผ่านไปหนึ่งรอบก่อนกลับมาที่ร้าน Taste of Asia นอกจากจะดูว่าในร้านมีอะไรกินบ้าง ผมอยากกินข้าวมากกว่าก๋วยเตี๋ยวครับ อยู่ท้องดี ที่สำคัญคำนวนราคาด้วย(ราคาที่นี่จะเป็นริงกิต เราเอา 10 คูณก็จะเป็นราคาในเมืองไทย) แพงมากไปก็ไม่ไหว แล้วรถเข็นใหญ่แบบนี้ เวลากินข้าวจะทำอย่างไรล่ะ กระเป๋าหาย ฟินหาย ขึ้นมา ไม่ขำเลยนะ จึงต้องหาที่นั่งที่วางรถเข็นแล้ว มองเห็นตลอดเวลาครับ(จะได้ชารจ์โดยเร็ว ถ้ามีหัวขโมยขึ้นมา รวบที่ข้อเท้า เอาไหล่เข้า แล้วบิดให้ล้มเหมือนแทคเกิลในรักบี้เลยเป็นยังไง 555)
อืม ราคากาแฟ มีป้ายอยู่ แต่ไม่ดื่มครับ ปกติก็ไม่ดื่มอยู่แล้ว แค่รอที่นั่งว่าง แล้วก็คำนวนราคาไปเรื่อยๆ มองเห็นน้ำแร่ 1.50 ริงกิต เป็นเงินไทยก็ 15 บาท อืม กินข้าวเสร็จมาซื้อน้ำตรงนี้ดีกว่า
พอชาวต่างชาติหญิงชาย คู่นี้ลุก ผมเสียบเลยครับ(ต่อที่นั่งนะ ไม่ได้เอามีดเสียบ) ที่นั่งอยู่ติดนอกร้าน เอารถเข็นไปวาง ก็อยู่ในสายตา สอดส่องได้ ไม่เกะกะมาก เหมือนกับบางคน ที่เอารถเข็นเข้าไปในร้าน เวลาเดินคนอื่นก็จะลำบากเหมือนกัน
พวกข้าวแกงก็น่ากินดีครับ ไม่เหมือนข้าวแกงในเมืองไทย แต่ละอย่างก็ดูแปลกตา แต่คนต่อคิวเยอะจัง จ่ายเงินอีกก็ยาว มีเป็นเหมือนไก่ทอดราดข้าว ว่างอยู่ ก็เลยลองดู
“Chicken Riceๆๆๆ” เสียงเชื้อเชิญลูกค้าของพนักงาน
หลังจากถามราคาเรียบร้อย 10 ริงกิต พนักงานคนนี้ถามว่าผมจะเอาเผ็ดไหม ซึ่งผมบอกว่าไม่
ได้มาแล้วครับ แต่ต้องไปต่อคิวจ่ายเงินอยู่ดี คิวด้านหน้าผม เจ๊หยี(อันนี้ตั้งเอง) กินข้าว 1 จาน กับน้ำ 1 แก้ว ไม่น่าจะเกิน 200 บาท แต่ดันจ่ายบัตรเครดิตครับ ผมก็คิดๆในใจว่า ดูไม่ค่อยเยอะ น่าจะพกเงินก็ได้ เป็นเมืองไทยไม่น่าจะได้ครับ ถึงได้ก็คงมีคนทำน้อยและคงมีเสียงด่าตามมา 555
พอมาถึงคิวผม ทั้งหมด 9.90 ริงกิต ให้ไป 10 ริงกิต ทอนมา 10 เซน ข้าวจานนี้ราคาประมาณ 90 กว่าบาทครับ มีไก่ที่ผอมๆ แต่ถ้าเจอตรงเนื้อเน้นๆก็อร่อยนะ บวกกับถั่วงอกรากซอสเผ็ดนิดๆ ก็อร่อยดีมาก
เจอสองสาวเข้ามา ดูมีอายุนิดนึง เหมือนจะหาที่นั่ง ผมเสร็จพอดี ก็เลยลุกให้ พวกเธอขอบคุณ ไปหาน้ำกิน 1.50 ริงกิต ดีกว่า ว่าแล้วหาที่จอดรถเข็น เข้าห้องน้ำแบบรีบไปรีบมา
เดินมา สวมแว่นแล้วมองชัดขึ้น ช่องโหลดกระเป๋าไปตาเวาสายการบินของผม ยังไม่เปิดนี่นา ลองถามพนักงานรักษาความปลอดภัย 2 คน ด้านหน้านี่ดีกว่า ว่าจะเปิดกี่โมง เขาให้คำแนะนำอย่างดี ผมยกดูนาฬิกาที่ Dive computer เลยงงๆ เพราะที่ Dive computer ยังไม่ได้ปรับเวลา เขาเห็นก็เลยถามว่ามาจากไหน เราบอกว่ามาจากประเทศไทย ซึ่งพนักงานรักษาความปลอดภัยบอกว่า ตอนนี้ช่องนั้นยังปิดอยู่ อีกซัก 50 นาที ให้มาเช็คอินได้
นั่งรอๆๆ มาเห็นที่กระเป๋า ป้ายเจ้าปัญหายังติดอยู่เลยครับ แกะออกดีกว่า นับว่าโชคดีมาก ที่กระเป๋ามาถูกสนามบินนะ
ระหว่างรอเวลาก็เบื่อๆอยู่ครับ เพราะไม่มีอะไรทำ มองของสวยๆงามๆบ้าง เดินไปถ่ายรูปร้านอาหารเมื่อกี้ และ เลยไปดูหนังสือพิมพ์ของมาเลเซียด้วย
It ‘ s time to check-in
ได้เวลาซะที ดีใจมากๆ เข็นกระเป๋าเข้าไป ผ่านเครื่องสายพาน มองเห็นป้าแก่ๆ ด้านหน้า ถุยน้ำลายลงพื้นสนามบินหน้าตาเฉย เลยนึกๆถึงพื้นที่เรานั่งเมื่อกี้ คงจะมีน้ำลายบ้างเปล่าวะ 555 (แย่ครับแบบนี้ คนไทยเราไม่ทำแน่นอน)
เจ้าหน้าที่เอาสติ๊กเกอร์มาติดที่ฟินของผมด้วยครับ เป็นอันว่า Security Check เรียบร้อย
แถวยาวๆจริงๆ มองดูหันไปทางไหนก็ไม่มีคนไทยครับ คนถือ Gear Bag แบบดำน้ำยังไม่มี มีแต่คนมาเลเซียที่จะกลับบ้าน มีอยู่คนหนึ่งอยู่ด้านหลังผม เข็นรถมีสัมภาระยื่นออกมาโดนผม 1 ที อืม คงไม่รู้มั้ง 2 ที เออ ก็คงไม่รู้ 3 ที อะไรเนี่ย แต่ว่าไม่เป็นไรๆ ให้อภัยๆ เราก็ไม่ได้เสียหายอะไร เขาก็อาจจะไม่รู้จริงๆก็ได้
คนด้านหน้าเหมือนจะมาเป็นกลุ่ม เขาก็ให้ผมลัดคิวไปก่อน
พอถึงคิว ยื่นเอกสาร เจ้าหน้าที่บอกให้ผมไปช่อง R3-R5 ผมงงครับ ต่อแถวถูกด้วย ก็นี่ไง ไปตาเวา เลยไปตามที่เธอบอก มีจอทีวีเขียนว่า “Baggage Drop Counter” ก็ยิ่งงง ไม่เห็นมีเขียนว่าไปตาเวา หรือกระเป๋าเราน้ำหนักเกินเหรอ ก็ไม่น่าจะใช่ ผมบอกเจ้าหน้าที่ว่า เธอบอกให้ผมมาช่องนี้(คนน้อยมาก ช่องนี้) เธอพยักหน้า ดูเอกสารผมตรวจแป๊บเดียว ตั๋วก็ออกมา(เฮ้ย ทำไมง่ายจัง) พร้อมบอกให้ผมไป Gate ได้เลย
ถึงตอนนี้ ผมก็ยังงงอยู่ครับ ว่า ที่ต่อแถวไป มันผิดตรงไหน(ใครทราบก็บอกด้วยนะครับ)
เดินเข็นรถไปตามทาง ดูป้าย Departure และ Gate P 3 ว่าไปทางไหน
ก่อนจะสละรถเข็น(เหมือนสละเรือ) เดินผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งพูดว่า
“สวัสดีครับ” (งง พูดภาษาไทยได้ด้วย)
“อ้าวคนไทยเหรอครับ” ผมถามเพราะไม่คิดว่าจะมีคนไทยอยู่ตรงนี้
ไม่ได้คุยอะไรมากครับ แต่อาจเป็นคนไทยที่มาทำงานที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ก็เป็นได้นะ
เอาสัมภาระผ่านเครื่องตรวจ รวมทั้งกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ ผ่านฉลุยก็มานั่งรอหน้า Gate P 3 ดูๆก็ยังไม่มีคนไทยอีกนั่นแหละ คนดำน้ำยิ่งไม่มี แต่ก็มีที่นั่ง โอเค ดีกว่าเมื่อกี้ นั่งหลับดีกว่า .....
ตื่นมาคนเพียบเลยครับ รอบๆมีแต่คนมาเลเซียนั่งเต็มไปหมด มีทีวีด้วย แต่เหมือนรายการเกี่ยวกับการเมืองมีคนกล่าวสุนทรพจน์ ลุงแก่สองคนก็คุยกัน(เหมือนสภากาแฟ) ข้างๆ ผม มีสาว Sexy กับ ไอโฟน 4 ดูท่าทางจะซื้อไปฝากใครซักคนที่ตาเวา(ฝากผมก็ได้นะครับ 555)
Gate เปิดแล้ว ทุกคนต่อคิวกันเป็นระเบียบ เข้าห้องน้ำก่อนดีกว่า(ตั้งนานก็ไม่เข้า) พอมาต่อคิว ได้ยินกลุ่มคนจีน มองที่ฟินด้านหลังผม(บอกแล้วว่าเด่นมากครับ คงมีน้อยคนที่จะแบกฟินขึ้นเครื่อง ) แล้วพูดคำว่า
“Celebes Sea”
ผมเดาได้ว่า ต้องคุยกันและคิดว่าผมจะไปที่นี่แน่ๆ(ถูกเผงเลย)
เดินจนถึงคิวคนตรวจชาวมาเลเซีย พูดอะไรซักอย่างครับ จับใจความได้ว่า ผมมี Passport อยู่ที่ตัวไหม ผมบอกมี เขาก็บอกว่า เขาเช็คตั๋วของผมเรียบร้อยแล้วนะ(อืม ถ้าคนมาเลเซีย ก็ส่งตั๋วกับบัตรประชาชนครับ เราไม่มีบัตรประชาชนที่นี่ นี่นา)
เดินออกไปเรียงแถวตามระเบียบ ดูเหมือนฝนจะตกนิดหน่อยครับ แต่ถึงขั้นน้อย ไม่รู้อากาศที่สิปาดันจะเป็นไงบ้าง มานี่ผมเหมือนวัดดวงเหมือนกันนะ แต่มาถึงขนาดนี้ ไม่กลัวอะไรแล้ว
ก่อนขึ้นเครื่อง พนักงานตรวจชาวมาเลเซียถามผมว่า มาจากเมืองไทย ใช่ไหม ผมก็ว่าใช่(งงๆว่ารู้ได้ไง หรือที่ตั๋วมี ก็ไม่มีนี่หว่า หรือว่าคนไทย หลังๆอาจจะมาตาเวากันเยอะขึ้นก็ได้ โดยเฉพาะไปดำน้ำ)
การรอคอยของผม คืบหน้ามาเรื่อยๆ เจ้าเครื่องบิน Air Asia ด้านหน้านี่ จะพาผมไปเมืองตาเวา จำได้ว่าพี่หมอJeafish บอกผมว่า นั่งเครื่องข้ามทะเล อย่างไกลเลยล่ะ ภพ
0 Comments:
Post a Comment
<< Home