Friday, May 09, 2008

หมู่เกาะตะรุเตา.....กับวันมหัศจรรย์ของผม(2)







แดดกำลังแรง เรือค่อยๆ เทียบท่าเกาะตะรุเตา ผมเห็นอ่าวพันเตมะละกา ความรู้สึกบอกว่า เป็นอ่าวที่สวยงามมากครับ

หากนักท่องเที่ยวคนใดไม่ลงที่นี่ เรือเมล์จะวิ่งต่อไปที่เกาะหลีเป๊ะ ส่วนผมมีเวลาน้อย แวะในวันแรกที่มา ดีกว่าขากลับแน่นอนครับ

เนื่องด้วยตะรุเตาเป็นเกาะใหญ่ ทำให้แม้คนจะเยอะแต่ก็ไม่แออัด เท่าที่สังเกตดูเป็นแบบนั้นครับ

ผมจ่ายเงินค่าเข้าอุทยานแห่งชาติ(หากจ่ายที่นี่ ก็ไม่ต้องจ่ายอีกแล้วครับ) พร้อมฝากของไว้กับเจ้าหน้าที่ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมง ผมก็ต้องกลับมารอที่นี่ เพื่อรอเรือรอบต่อไปจากปากบารา โดยสารต่อไปที่เกาะหลีเป๊ะ(หากพลาดเที่ยวนี้ ไม่แคล้วต้องนอนที่เกาะตะรุเตาแน่ครับ 555)

เดินตรงเข้าไปที่ร้านสวัสดิการของทางอุทยาน หาซื้อน้ำดื่มและขนม เจ้าหน้าที่แนะนำให้ทานมาม่าก็ได้(น้ำร้อนมีพร้อม) เพราะร้านอาหารคนอาจจะเยอะ แล้วผมมีเวลาน้อยด้วย ได้มาม่า ขนมปังไส้สัปปะรด ไมโลและชาเขียวรดน้ำผึ้ง ทำให้พละกำลังกลับมาอีกครั้งครับ

เสียเวลาไม่นาน ผมเดินตรงเข้าไปด้านหลัง เดินตามป้ายเพื่อขึ้น “จุดชมวิวผาโต๊ะปู”

แต่ต้องถามอยู่หลายคนครับ เพราะทางขึ้นจะแอบซ่อนอยู่หลังบ้านพักนี่เอง (มีแต่ป้ายหลบภัยคลื่นยักษ์สึนามิทั้งนั้นเลย)

“ ขึ้นไปตอนนี้ ไม่ร้อนเหรอคะ” เจ้าหน้าที่สาวถาม

“ไม่เป็นไรครับ ผมมีเวลาน้อยน่ะ เดี๋ยวก็ไปแล้ว”




เส้นทางเดินไม่ยาก ไม่ลาดชันเท่าไร แถมเงียบดีด้วย ระหว่างทางมีลิงออกมาต้อนรับ ที่สำคัญเข้าใกล้ผมมาก คงคิดว่าผมจะมีอะไรให้ทานละมั้ง(เข้าใกล้แบบนี้ ก็โดนถ่ายรูปซะ)

เดินต่อไปจะมีทางเดินคล้ายถ้ำ(เหมือนที่อ่าวไร่เลย์ จ. กระบี่) เดินต่อไปจะมีสะพานไม้ ถึงตอนนี้ ผมเหงื่อท่วมตัว ร้อนจริงๆ แต่จุดหมายที่ผมอยากเห็นอยู่อีกไม่ไกลแล้วนะ

มองเห็นศาลาอยู่ด้านบน ในที่สุดผมก็มาถึงจุดชมวิวผาโต๊ะปู แล้ว

วิวสวยมากครับ เห็นแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง(อากาศก็ดีมากด้วย) มองไปด้านล่างเห็นอ่าวพันเตมะละกาเชื่อมกับคลองพันเตมะละกาที่มีป่าชายเลนอยู่ใกล้ๆ เห็นที่ทำการของอุทยานอยู่ด้านล่าง

“เฮ้ย” หัวผมเกือบขมำครับ ระหว่างถ่ายรูป เดินถอยหลัง ผมสะดุดหินก่อนหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บนพื้นของศาลา คาดว่าอาจมีความเชื่อหรือต้องเป็นหินที่ศักดิ์สิทธิเพราะมีเศษเหรียญและแบ๊งค์ 20 อยู่ด้านในด้วย(ต้องยกมือไหว้ว่าเราไม่ได้ลบหลู่นะ)

เมื่ออยู่คนเดียว อยากถ่ายรูปตัวเองจะทำอย่างไร นอกจากใช่ท่าเบสิคแล้ว การตั้งเวลาถ่ายก็ถือว่าช่วยได้ดีครับ มีอยู่รูปนึงพอดีมากๆเลย

พักเหนื่อยซักพัก ลงดีกว่า เพราะอยากจะไปถ่ายรูปที่อ่าวพันเตมะละกา ก่อนที่จะเตรียมตัวรอเรือเพื่อไปเกาะหลีเป๊ะ

ขากลับ เร็วกว่าขาขึ้นครับ(ทำไมเป็นแบบนั้น) อาจเป็นเพราะ ทางลงสบายกว่า แถมไม่ต้องหยุดถ่ายรูปเท่าไรด้วย

โชคดีจริงๆครับ เพราะตอนลงมา ผมสวนกับกลุ่มนักท่องเที่ยว(ไม่ต่ำกว่า 20 คน) กำลังเดินขึ้นจุดชมวิว ขืนผมมาช้ากว่านี้ ศาลาด้านบนคงเล็กไปถนัดตา และคงถ่ายรูปลำบากอยู่เหมือนกัน

นักท่องเที่ยวที่สวนทาง หลายคนถามผมว่า อีกไกลไหม ผมยิ้ม ตอบว่า ไม่ไกล และชี้ให้ดูเหงื่อเป็นหลักฐาน ว่าร้อนดีครับ 555

เดินเข้าไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่นี่มีนิทรรศการด้วยครับ ทั้งประวัติความเป็นมาของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา เต่าสต๊าฟ และจระเข้น้ำเค็มสต๊าฟ(อันนี้ ขนาดมีแต่กระดูกยังน่ากลัวเลยครับ) สมัยก่อนมีคนพบจระเข้ที่ถ้ำจระเข้ สมัยนี้เขาว่าไม่มีแล้ว(คราวหน้าลองไปพิสูจน์กันครับว่ามีจริงหรือเปล่า)

เดินออกมาด้านหน้าจะมีพระบรมราชานุสาวรีย์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อยู่ด้วย ผมสักการะท่าน ก่อนที่จะเดินออกไปถ่ายรูปต่อ

ตั้งกล้องบนโต๊ะที่ทำจากขอนไม้เพื่อถ่ายรูป(ใช้แทนขาตั้งกล้อง ภาพจะได้ไม่สั่นไหว) ไม่นานนัก ผมดิ้นเป็นเจ้าเข้า เพราะมดกัดเต็มขาเลยครับ(ถ้าเป็นน้องมดกัดจะไม่บ่นซักคำเลยล่ะ 555)

ที่อ่าวพันเตมะละกาในเวลานี้ แม้แดดจะร้อน แต่ผมกลับไม่ร้อน(ร้อนไม่กลัว กลัวไม่ร้อนครับ) ตรงกันข้าม กลับเพลิดเพลินซะมากกว่า ชายหาดทอดยาว สีขาว ทรายละเอียดดี ไม่แปลกใจว่า ในปี 2549 เหตุใดหาดนี้ จึงติดอันดับหาดน่าเที่ยวและมีระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมอยู่ในขั้นดีด้วย

ย้อนกลับมาใกล้ๆ ท่าเทียบเรือ เกาะตะรุเตา จะมีคลองพันเตมะละกาที่สวยงามอยู่ด้วย ถ้ามีเวลา พายคายัคเข้าไปด้านในป่าชายเลน คงสนุกไม่น้อยครับ

บริเวณร่องน้ำ ใกล้ๆ ท่าเรือ น้ำสะอาดน่าเล่นแต่ มีป้ายห้ามเล่นน้ำ นั่นเป็นเพราะว่า บริเวณนี้มีร่องน้ำวนนั่นเอง

ผมขอกระเป๋าจากเจ้าหน้าที่คืน รีบเปลี่ยนรองเท้าเป็นร้องเท้าแตะแทน เพราะรองเท้ากัด เจ็บเท้ามากครับ ระหว่างนี้ก็นั่งรอเรือเมล์ จนกระทั่งเรือมาถึง

เห็นคุณลุงถือเบ็ดตกปลาลงมา ท่าจะมาตกปลาเป็นแน่ ทำให้นึกถึงเรื่องที่เคยทราบมาว่า แถวนี้มีการจับสัตว์น้ำได้อย่างเสรี ไม่ผิดกฎหมาย ทำให้ปลาใหญ่ๆ เช่น ปลาหมอทะเล หายไป(เฮ้อ)

คราวหน้า ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ผมจะไปที่อ่าวตะโล๊ะวาว เพื่อเข้าไปดู จุดชมประวัติศาสตร์ สถานที่ที่ใช้คุมขังนักโทษ เพราะเคยอ่านในนิตยสาร ATG ว่ากันว่า แถวหาดตะโล๊ะวาว หาดตะโล๊ะอุดัง สวยงามและบรรยากาศดีด้วยครับ

ใครจะว่าอย่างไรผมไม่ทราบ แต่ในความคิดของผม เกาะตะรุเตาไม่ใช่เพียงแค่ทางผ่านอีกต่อไป ที่นี่มีดีกว่าที่เห็นแน่นอนครับ(จุดดำน้ำก็มี เห็นมีคนนั่งเรือออกไป Snorkelครับ ถึงแม้ว่าจะไม่มากเท่าแถวเกาะอาดัง-หลีเป๊ะก็ตาม)

บนเรือ คนเยอะจนหาที่นั่งแทบไม่ได้ สุดท้ายผมได้ที่นั่งบริเวณใกล้ๆด้านหน้าเรือครับ



ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง มองเห็นเกาะหลีเป๊ะและเกาะอาดัง ผมยังสับสนในด้านความคิดอยู่ ใจหนึ่งก็อยากขึ้นเกาะหลีเป๊ะก่อน เพื่อติดต่อการดำน้ำแบบ Scuba อีกใจหนึ่งก็อยากไปเกาะอาดังเพราะกลัวว่า หากมืดแล้วจะกางเต๊นส์ลำบาก รีบไปหาที่พักก่อนน่าจะดีกว่า

มีเรือหางยาว รอรับนักท่องเที่ยวอยู่หลายลำครับ มีทั้งไปเกาะอาดังและเกาะหลีเป๊ะ แน่นอนว่าราคาต่างกัน เพราะระยะทางต่างกันเล็กน้อย หากไปเกาะหลีเป๊ะ เสีย 50 บาท หากนั่งไปเกาะอาดัง จะเสียประมาณ 100 บาท(ข้อมูลจากพี่นาครับ)




ผมเดินลงไปท้ายเรือ ในขณะที่หลายคนหยุดนิ่ง เพราะมากับทัวร์ก็ต้องรอไปพร้อมๆกัน(นี่ล่ะครับ ผมถึงชอบมาเองไง) ในใจก็ยังไม่ทราบว่า ผมจะไปที่ไหนเนี่ย แต่ขาน่ะเดินไปแล้วครับ(เสี่ยงดวง)

ท้ายสุด หวยมาออกที่เกาะหลีเป๊ะครับ บนเรือหางยาว มีชาวต่างชาติกับ Gear Bag ใบใหญ่(ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ภายในมีศพ เอ้ย มีอุปกรณ์ดำน้ำแน่ๆ เขามาดำน้ำแบบ Scuba ครับ)

ชาวต่างชาติกลุ่มนั้นบอกว่า Go to Pattaya beach แปลเป็นไทยว่า ไปหาดพัทยา(ไม่ต้องแปลก็ได้ เด็กยังแปลได้เลยไอ้น้อง) ส่วน หนุ่มสาวชาวไทย ที่นั่งใกล้ๆผม เป็นคนแถวนี้นี่เอง มาพักที่หลีเป๊ะ รีสอร์ท พอทราบว่า ผมมาคนเดียว ก็แปลกใจกันใหญ่(ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับพี่ หากผมเดินทางแบบนี้ แล้วไม่มีความสุข ผมจะมาทำไมล่ะครับ 555)



เรือถึงหาดพัทยา มีคนเดินเล่นเยอะแยะเลยครับ หลังจากจ่ายค่าเรือ เดินไปเจอ เด็กเจ้าถิ่น ผมถามเด็กเจ้าถิ่นว่า

“ติดต่อร้าน Scuba ได้ที่ไหนครับ”

“เดินตรงไป ทางโน้นเลยครับ ตรงธงน่ะ”

ระหว่างที่ผมเดินไป ก็สวนกับชายคนหนึ่ง หน้าตาคุ้นๆ ชายคนนี้มีเอกลักษณ์ที่ผมมีสีขาว นี่มันพี่ขุน นี่หว่า!!!(ผมเจอพี่ขุนครั้งแรก ทริปอันดามันเหนือเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาครับ “ติดตามเรื่อง อันดามันเหนือ...สวรรค์แห่งการดำน้ำ”)

“พี่ขุน มาดำน้ำเหรอครับพี่”

“อ้าวภพ มาทำอะไรที่นี่เนี่ย”

พี่ขุนมาดำน้ำกับเรือ โชคศุลี(เรือที่ผมพึ่งไปมาเมื่อปีใหม่) ตอนนี้คงอยู่ในช่วงเวลาเดินเล่นบนเกาะ ก่อนที่จะลง Night Dive

ผมถามพี่ขุนเกี่ยวกับร้านดำน้ำบนเกาะ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนพี่ขุนที่เดินมาด้วยกันว่า หากผมต้องการ Leader ที่เป็นคนไทย และราคาไม่แพง มีอยู่หนึ่งที่ คือ Asia Resort เดินทะลุซอยด้านหน้าไปก็จะถึง

ผมขอบคุณเพื่อนพี่ขุนที่ช่วยเหลือ ก่อนจากกัน พี่ขุนบอกว่า อาจจะเจอพี่โอ๋กับพี่นิ้มก็ได้(2 คนนี้ ก็เจอกันบนเรือโชคศุลี เมื่อปีใหม่ครับ) เพราะพึ่งเดินเข้าไปในซอยเมื่อซักครู่




บริเวณธง ที่เด็กคนนั้นแนะนำมา ผมเดินเข้าไปมีร้านดำน้ำอยู่ 1 ร้าน มีหญิงสาวชาวไทยคอยอำนวยความสะดวก เมื่อผมสอมถามรายละเอียด ไม่มี Leader เป็นคนไทย ราคาก็ค่อนข้างแพงด้วย(สาเหตุที่ผมไม่อยากได้ Leader เป็นชาวต่างชาติเพราะ ในบางเรื่องอาจจะสื่อสารไม่เข้าใจ 100 เปอร์เซนต์ ไม่ได้กลัวฝรั่งหรอกครับ)

ของก็หนัก แสงก็เริ่มมืดลง ผมเห็นชาย 2 คน หน้าตาคุ้นๆ

“พี่นิ้ม พี่โอ๋”

“เฮ้ย ภพ มาทำอะไรที่นี่”

แกหาว่าผมบ้าครับ มาFun Dive คนเดียว แต่แกคงไม่ทราบว่า ผมเคยไปมาหลายที่แล้วครับ ไม่ใช่ว่าเก่งอะไรครับ แต่การดำน้ำอย่างเคร่งครัดและปลอดภัยนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่สุด(ขอดำแบบธรรมดา ไม่เก่งกาจ แต่ดำได้ยาวนาน ทุกๆปี ไม่มีปัญหา แบบนี้ดีกว่าครับ) อีกอย่างเวลาของแต่ละคนก็ว่างไม่เหมือนกันซะด้วยซิ

ก่อนจากกัน พี่โอ๋ ยังพูดติดตลกว่า ให้ผมขึ้นไปกินข้าวบนเรือด้วยกัน แล้วว่ายน้ำกลับมา(พี่ครับ ผมตายก่อนถึงเกาะแน่ๆ 555)

เส้นทาง มีทางแยกเยอะมาก เริ่มงงแล้วครับ ผมถามชาวบ้านบนเกาะตลอดเส้นทาง ทุกคนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ยินดีที่จะช่วยเหลือ

เดินตรงเข้ามา ผ่านต้นมะพร้าวที่สูงใหญ่ ผมมาถึงที่ Asia Resort ซึ่งตั้งอยู่ที่หาดชาวเลแล้วครับ

ผมเห็น Dive shop อยู่ด้านขวามือ มีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่ง นั่งคุยกับชาวไทย หลังจากเดินไปติดต่อที่ Front ให้แน่ใจแล้ว ผมก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง

“ที่นี่ มี Leader คนไทยครับ(ก็พี่เองนี่แหละ) ราคาตามนี้เลยน้อง” พี่ยิ หนุ่มมาดเข้ม สไตล์ชาวใต้อธิบาย

“ดีครับพี่ ขอผมวางกระเป๋าก่อนนะครับ” ผมวางสัมภาระ ร่างกายเหงื่อชุ่มไปหมดทั้งตัว

ราคาถูกกว่าที่อื่นตั้งเท่าตัว เพียงแค่แบกแท๊งค์ ไปดำน้ำบนเรือหางยาว สบายมากครับ ผมมีประสบการณ์แบบนี้แล้วด้วย ไม่ได้ลำบากอะไรเลย

พี่ยิแนะนำให้ผม กางเต๊นส์นอนที่นี่ เสียค่าใช้สถานที่และห้องน้ำ 100 บาทให้กับทางรีสอร์ท จะสะดวกมากกว่าที่ผมจะไปนอนที่เกาะอาดัง ไม่ต้องนั่งเรือมาที่นี่ตั้งแต่เช้าด้วย

ผมมองดูสถานที่ก็โอเคครับ อีกอย่างนี่มืดแล้ว ผมก็เหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน




พรุ่งนี้ พี่ยินัดผม เวลา 9 โมง ให้มาลองอุปกรณ์ แกจะพาผมไปดำน้ำที่เกาะอาดังและเกาะยาง(ผมบอกพี่ยิว่า ที่ไหนผมก็ไปครับพี่ แถบนี้ผมไม่เคยมาดำเลยน่ะ)

ว่าแล้วเดี๋ยวจะมืดจนมองไม่เห็น ผมไปกางเต๊นส์ก่อนดีกว่าครับ

รอบๆ มีคนอื่นกางเต๊นส์อยู่บ้าง ผมหาที่พอเหมาะ แม้จะกางไม่ค่อยเรียบร้อย(ข้างนึงของเต๊นส์ลอยขึ้นจากพื้น) ผมไม่อยากใช้สมอบกครับ เวลาย้ายจะลำบากแม้จะทำให้เต๊นส์แข็งแรงก็เถอะ อีกอย่าง กระเป๋าใบใหญ่ที่อยู่ในเต๊นส์ก็จะช่วยยึด ไม่ให้เต๊นส์ปลิวได้ครับ

กางเสร็จไม่นาน มีคนเดินมาทักว่า

“กางตรงนี้ ไม่กลัวลูกมะพร้าวตกใส่หัวหรือครับ”

ผมแหงนหน้าไปด้านบน จริงแฮะ ถ้าลูกมะพร้าวตกใส่หัวขึ้นมา ผมคงสลบเหมือด ไม่ได้ดำน้ำแน่ๆเลย (ย้ายที่ดีกว่าครับ)

ดันวางของกระจายทั่วเต๊นส์ เลยต้องหยิบออกมาทั้งหมด ยกเต๊นส์ย้ายไปอยู่อีกที่ซึ่งอยู่ใกล้ๆ แต่ปลอดภัยจากลูกมะพร้าวแน่ๆ 555(ไม่มีไฟฉายแย่แน่ครับ โชคดีเตรียมไฟฉายมา)

อาบน้ำ ชะล้างร่างกาย น้ำเย็น สดชื่น สบายดีจริงๆครับ

ลองโทรหาส้มกับจูนดีกว่า(พวกเธอนอนที่เกาะหลีเป๊ะทั้ง 3 วัน คืนแรกนอนเต๊นส์ อีก 2 คืน นอนรีสอร์ทครับ)

ส้มกับจูนบอกว่า ไกด์บริษัททัวร์จะพาพวกเธอไปเที่ยวที่หาดพัทยา ผมคิดว่าอาจเจอกันก็ได้ ผมจะไปหาข้าวกินแถวนั้นเหมือนกัน ว่าแล้วผมถือไฟฉายเดินตัดออกไปตามทางเดิมที่เดินมาเมื่อซักครู่

โอย งงครับ ผมถามชาวบ้านหลายคน ว่า หาดพัทยาไปทางไหน เพราะหลายครั้งผมเดินหลงเข้าไปในหมู่บ้านของชาวเล แต่คุณป้า คุณลุง ก็ยินดีช่วยเหลือ(คงมีคนเคยหลงแน่ๆครับ)

ซักพักผมก็เดินกลับมาทางเก่า(อย่างกับเขาวงกตเลย 555 ) เรียกว่า เส้นทางนี้ หากใครมาเป็นครั้งแรก แล้วคุ้นเคยในเวลาอันรวดเร็วถือว่าเก่งมากครับ

ระหว่างเดินไปในความมืด นักท่องเที่ยวหลายคนก็มีเพียงกระบอกไฟฉาย ผมได้ยินเสียงหญิงสาว คุ้นๆ ว่าผมรู้จักนะ

“ส้มหรือเปล่าน่ะ”




“อ้าว พี่ป๋อ มาได้ไงเนี่ย(ไม่ใช่ชื่อผมหรอกครับ แต่เธอเห็นว่า ผมผิวคล้ำเหมือน ณัฐวุฒิ สะกิดใจ ผมเลยเรียกเธอว่า พอลล่า เรียกจูนว่า อั้ม 555)”

“ก็เสียงของส้มน่ะ ดังมากเลยล่ะ 555”

ผมต้องกลายร่างเป็นตากล้องให้สองสาว ว่าแต่หิวข้าวจริงๆครับ

ถึงหาดพัทยา ผมขอตัวสองสาวไปทานข้าว พวกเธอบอกว่า อย่ากินให้เยอะมากเพราะเดี๋ยวจะทานโรตีไม่ไหว(พวกเธอชวนกินโรตีต่อครับ แต่ว่า กระเพาะผมใหญ่กว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว สบายมาก)

เดินหาซักพัก ผมมาหยุดที่ร้านอาหารของบันดา รีสอร์ท แต่คนเยอะพอสมควร เลยเดินไปถามดีกว่า

“สั่งอาหาร จานเดียว ราดข้าว นานไหมครับ”

“ไม่นานค่ะ”

รอบๆ มีแต่คนมาเป็นครอบครัว ไม่ก็เป็นกลุ่มหนุ่มสาว น่าแปลกว่า คนต่างชาติน้อยกว่าคนไทยแฮะ( จริงๆแล้ว ปกติชาวต่างชาติเยอะครับ แต่พวกเขาทราบว่า ช่วงเทศกาล คนจะมาเที่ยวเยอะ เลยขึ้นไปอยู่บนฝั่งกัน แล้วจะกลับมาใหม่ช่วงหมดเทศกาล)

ไม่นานนัก น้ำแตงโมปั่น กระเพราทะเลราดข้าว และกุ้งผัดน้ำพริกเผาราดข้าว ก็มาอยู่ด้านหน้าผม

“เอ้า มาถูกได้ไงเนี่ย” ผมแปลกใจเมื่อเห็นส้มกับจูน

“ก็เดินมา รู้ว่าต้องอยู่ร้านนี้แน่ๆ” พวกเธอตอบ

ไม่นานนัก ผมก็อิ่มหนำสำราญ เราไปที่ร้านโรตีต่อกันเลยดีกว่า

“ซ่า เสียงนักท่องเที่ยวเปียกน้ำ”

เราเดินผ่านบาร์แห่งหนึ่ง(อยู่หัวมุมของซอยที่ทะลุไปหาดพัทยา) นักท่องเที่ยวหลายคน รวมทั้งผม ส้มและจูน เปียกเพราะน้ำที่ชาวต่างชาติราดลงมาพร้อมเสียงเฮฮา

ผมหงุดหงิดเล็กน้อย โชคดีว่ากล้องของจูนมีฝาเลนซ์ปิด ส่วนของผมมีกระเป๋าป้องกันไว้

เมื่อผมเห็นนักท่องเที่ยวชาวไทยกลุ่มหนึ่ง มีกล้อง SLR ผมรีบบอกเรื่องดังกล่าวเพราะเป็นห่วงว่ากล้องราคาแพงๆ อาจจะพังได้ง่ายๆ ซึ่งพวกเขาก็ขอบคุณผมมาก เดินกลับไปอีกทางเลยครับ




เราแวะซื้อ Post card ผมจำได้ว่าก่อนมาจูน(Diarycs)อยากให้ส่งไปให้ และมีรุ่นน้องที่เคยส่งมาให้ผมด้วย อืม หาซื้อส่งหน่อยดีกว่า

เจ้าของร้านมีพี่สาวคนสวย กับชายผิวเข้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นกันเองมากครับ ผมเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์สาดน้ำเมื่อซักครู่

“อ๋อ บาร์ตรงนั้นใช่ไหม สงกรานต์ มีทุกปีล่ะคะ ฝรั่งเขาเล่นสงกรานต์กัน”

ผมสงสัยว่า เคยมีคนขึ้นไปต่อยกับฝรั่งไหมเนี่ย ได้รับคำตอบว่าส่วนใหญ่คนโดนสาดก็จะไม่ว่าอะไร อย่างมากสุดแค่ถามว่า เอาน้ำอะไรมาสาดเท่านั้น

พอนึกว่า ถือว่าสนุกในช่วงสงกรานต์ ก็ทำให้พอให้อภัยกันได้ครับ 555(ผมว่า อาจมีใครเลือดร้อนก็ได้นะ เอาเป็นว่า ใครไปเที่ยวเกาะหลีเป๊ะช่วงสงกรานต์ ถ้าไม่อยากเปียก ระวังจุดนั้นไว้ให้ดีนะครับ)

ผมยังไม่มีอารมณ์เขียน Post card กะว่า กลับไปถึงที่พักค่อยเขียน วันรุ่งขึ้นค่อยมาส่งก็ได้(ที่ร้าน มีแสตมป์ขายและสามารถส่งได้ที่นี่ครับ นอกจากนี้ยังมีกาแฟและ internet บริการด้วย)

ที่ร้านโรตี คนเยอะจริงๆครับ แต่ด้านในยังเหลือที่นั่งอยู่ แต่ละคนที่มากินโรตี เขาคัดหน้าตากันมาหรือเปล่า ทำไมถึงหน้าตาดีกันทั้งนั้นเลยล่ะ (โอ้ แม่เจ้า สวยๆทั้งนั้น)

สิ่งหนึ่งที่ผมสะดุดตา คือ ลูกสาวร้านนี้ หน้าใส ผิวขาว ดูน่ารักดีครับ ผมคิดในใจว่า คนมากินที่ร้านเยอะแบบนี้ ต้องมีโดนแซวกันบ้างล่ะนะ

ระหว่างรอโรตีมา ผมเดินไปซื้อ Post card เพิ่มให้จูน แวะร้านขายของชำชื่อว่า “Poo beach shop” เพื่อซื้อน้ำดื่มและสบู่(เมื่อซักครู่ อาบน้ำแล้วทำตกไปครับ ซื้อใหม่เลยดีกว่านะ)

ดื่มน้ำเปล่าจนอิ่มครับ พอโรตีมาเลยกินได้เล็กน้อย บวกน้ำผลไม้(น้ำส้ม) วันนี้อากาศร้อน ผมได้ดื่มน้ำน้อยด้วยเลยกระหายอย่างมาก

ใกล้ๆ มีกลุ่มไกด์ท่องเที่ยว กลุ่มหนึ่ง ผมได้ขอร้องให้พวกเขาถ่ายรูปให้เราด้วย

ระหว่างทางเดินกลับ ทางยังคงมืดเหมือนเดิม(ใครไปเที่ยวเกาะหลีเป๊ะ อย่าลืมพกไฟฉายไปด้วยนะ ได้ใช้แน่ๆ) ผมว่าถ้าผมอยู่ซัก 1 อาทิตย์ จะไม่หลง และจำทางได้อย่างแน่นอนครับ

หลังจากส่งสองสาวเข้าที่พักเรียบร้อย(พวกเธอพักที่อันดามันรีสอร์ทครับ ใกล้ๆ เอเชีย รีสอร์ท นั่นแหละ) ระหว่างทางต้องระวังให้ดีครับ เพราะหลายคนก็นอนกันริมหาด ผมว่าเย็นสบายดีนะ ยุงก็ไม่มี (ถ้าไม่กลัวของหายกับฝนตกนะครับ)

ทำไมวันนี้ไม่มีลมเลยหนอ พูดจบเท่านั้นล่ะครับ ลมพัดมาทันที น่าอัศจรรย์ดีแท้

ว่าจะไปดูบอลครับ(แมนยู เจอกับ อาร์เซนอล) แต่เปลี่ยนใจ นั่งเขียน Post card ดีกว่า

ฝนทำท่าจะตกครับ ผมย้ายผ้าที่ตากไว้เข้าเต๊นส์ ไม่นานนักมีคนมาถามว่า เมื่อซักครู่มีใครเอาผ้ามาตากไว้ตรงนี้

“ผมเองครับพี่”

“นั่นไม่ใช่ที่ตาก นั่นสายไฟนะน้อง”

อะ จึ๋ย!!! ผมคิดในใจ โชคดีนะเนี่ย ที่ผมไม่ถูกไฟช๊อต

ไม่นานนัก ฝนก็ตก แน่นอนว่า คนที่นอนข้างนอกลำบากแน่ๆ แต่คนที่นอนด้านในอย่างผมก็ใช่ว่าจะสบายครับ เพราะมีน้ำสาดเข้ามาในเต๊นส์บ้าง แต่ผมก็ไม่สนครับ เปียกที่เท้า ยังดีกว่าเปียกที่หัว นอนซักพักเดี๋ยวก็เช้าแล้ว รีบพักผ่อนดีกว่านะ

0 Comments:

Post a Comment

<< Home