ดำน้ำพัทยา แบบ…มิได้นัดหมาย(2)
ขึ้นมาด้านบน ผมถามเรื่องสัตว์ทะเลหลายอย่าง รวมทั้งสิ่งผิดปกติที่ Regulator ครูปรีชาบอกว่า ผมไม่ยอมบอก จะได้ดูให้ในขณะนั้น(แกลองหายใจดู ก็ได้นะครับ อาการยังไม่ออกมั้ง แต่ผมไม่อุปทานแน่ ไดฟ์หน้าผมจะใช้ Octopus ลงเป็นตัวจริงแน่นอนล่ะ 555 อย่างกับการแข่งกีฬาแน่ะ ตัวจริง ตัวสำรอง )
พี่หญิงอ้อ เจอเพื่อนเก่าของผม ปลาผีเสื้อกลางคืนด้วยครับ(Seamoth) จริงๆ ผมจำได้ว่า ถ้าออกจากบริเวณหัวเกาะไป มีโอกาสเจอพวกเขาและสัตว์แปลกๆอีกเยอะครับ(ปีที่แล้วตอนมาทดสอบไดฟ์คอมพิวเตอร์ที่นี่ ลงไปชั่วโมงครึ่งครับ จำได้ดีเลย ปวดฉี่ด้วย 55)
มารับประทานอาหารกลางวันกันดีกว่า ส่วนใหญ่ไปกับพี่ป้อม ผมเคยทานแต่อาหารของเรือพี่ตุ๋น ซึ่งอร่อยอยู่แล้ว มาคราวนี้ อาหารดูเหมือนว่าจะไม่อร่อยครับ แต่ว่า อย่าพึ่งติ หากท่านยังไม่ได้ชิม(รูปไม่สวย จูบก็อาจหอมได้ ในขณะที่รูปสวย จูบอาจจะไม่หอม แปลเอาเองนะครับ เจ้าสำนวนจริงๆ 555)
กระเพราเนื้อใส่หน่อไม้(เผ็ดเล็กน้อย) ดูจะถูกใจผมมากที่สุด เมนูอร่อยกว่าตามเรือหรูๆอีกครับ(เรื่องอาหารมันก็พูดยากนะ แต่ละคนชอบไม่เหมือนกันหรอก) ยังไงก็ไม่กล้าทานเยอะครับ เต็มที่จานเดียว เดี๋ยวลงไดฟ์ต่อไปจะโอ๊ก อ๊าก ได้
ต่อไปนี้ก็เป็นรายการเป่าเค๊กให้ครูปรีชา(เมื่อวานนี้วันเกิดของแก) ผมโชคดีมาในวันนี้พอดี เ ลยทันงานนี้ครับ เค๊กเขียนว่า All Diver ด้วย เท่ดี เหมาะสำหรับนักดำน้ำจริงๆ ครับ
ครูปรีชาบอกให้ผมเตรียมตัว ไดฟ์ต่อไปเราจะลงดำที่เรือหลวงกูด พูดถึงเรือกูด ผมเคยมาดำครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน(ที่มาทดสอบไดฟ์คอมนั่นแหละครับ) แต่แทบมองไม่เห็นตัวเรือเลยครับ เพราะกระแสน้ำแรงจนตัวปลิวออกมา
“อย่าปล่อยเชือกนะภพ ค่อยๆไต่เชือกลงไป ถึงตัวเรือค่อยปล่อยเชือก” ครูปรีชาบอก
เอาล่ะครับ นี่ถือว่าเป็น Match ล้างตา คราวนี้ผมไม่ยอมปลิวเหมือนเดิมแน่ๆ
Dive 2 สัมผัสความงามของเรือหลวงกูด!!!
ผมใช้ Octopus อย่างที่บอกไว้ คราวนี้หายใจสดชื่น ไม่มีน้ำเข้าเรคกูเลเตอร์ให้กวนใจ ผมค่อยๆจับเชือกลงไป พร้อมกับเคลียร์หูอย่างช้าๆ และประณีตที่สุด(ใครจะไปก่อนผมหลีกทางให้เลยครับ เพราะแต่ละคนใช้เวลาเคลียร์หูช้า-เร็ว ไม่เท่ากัน เอาความปลอดภัยดีกว่านะ)
การจับเชือกควรจะจับแล้วปล่อย อย่าจับแล้วรูดลงมานะครับ เพราะที่เชือกมีเพรียงเยอะแยะเลย ถ้าจับแบบรูด เพรียงบาดมือคงไม่สนุกเป็นแน่แท้
ลงมาจนถึงความลึกประมาณ 25 เมตร(คราวนี้รู้สึกว่าเคลียร์หูได้อย่างดี ทำอย่างช้าๆ ทำไม่ได้ก็ตีขาขึ้นมานิดนึง กว่าจะถึงที่ความลึกเท่านี้ ผมทำหลายทีเหมือนกันครับ) ผมปล่อยเชือกและว่ายตามครูปรีชาไป
ตัวเรือกูด มีเพรียงเกาะเต็มไปหมดครับ ทำให้ดูยิ่งเก่า ถัดจากเชือกมานิดนึง เลี้ยวมาอีกนิด ผมก็เจอปลาตัวแรกครับ นี่คือ ปลาแมงป่องเกล็ดเล็ก(Tassled Scorpionfish) พรางตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีมากครับ แทบจะกลมกลืนกับตัวเรือเลยล่ะ ปลาแมงป่องชนิดนี้พบได้บ่อยในทะเลอันดามัน มีพิษบริเวณโคนก้านครีบครับ
ต่อมาเป็นปลาวัวหนาม Fan-bellied leatherjacket(Filefish) ตัวใหญ่กว่าที่เกาะสากครับ สีก็แปลกๆด้วย
ผมกำลังมองตัวเรือจากด้านบน บางจุดก็ต้องตีขาออกมาด้านนอกเพราะอาจชนกับตัวเรือได้ เรือกูดดูใหญ่และขลังดีครับ แม้จะไม่เก่าแก่เท่าเรือจมสุทธาทิพย์แต่ผมก็มีประวัติของเรือหลวงกูดมาฝากทุกท่านด้วย
พี่หญิงอ้อ เจอเพื่อนเก่าของผม ปลาผีเสื้อกลางคืนด้วยครับ(Seamoth) จริงๆ ผมจำได้ว่า ถ้าออกจากบริเวณหัวเกาะไป มีโอกาสเจอพวกเขาและสัตว์แปลกๆอีกเยอะครับ(ปีที่แล้วตอนมาทดสอบไดฟ์คอมพิวเตอร์ที่นี่ ลงไปชั่วโมงครึ่งครับ จำได้ดีเลย ปวดฉี่ด้วย 55)
มารับประทานอาหารกลางวันกันดีกว่า ส่วนใหญ่ไปกับพี่ป้อม ผมเคยทานแต่อาหารของเรือพี่ตุ๋น ซึ่งอร่อยอยู่แล้ว มาคราวนี้ อาหารดูเหมือนว่าจะไม่อร่อยครับ แต่ว่า อย่าพึ่งติ หากท่านยังไม่ได้ชิม(รูปไม่สวย จูบก็อาจหอมได้ ในขณะที่รูปสวย จูบอาจจะไม่หอม แปลเอาเองนะครับ เจ้าสำนวนจริงๆ 555)
กระเพราเนื้อใส่หน่อไม้(เผ็ดเล็กน้อย) ดูจะถูกใจผมมากที่สุด เมนูอร่อยกว่าตามเรือหรูๆอีกครับ(เรื่องอาหารมันก็พูดยากนะ แต่ละคนชอบไม่เหมือนกันหรอก) ยังไงก็ไม่กล้าทานเยอะครับ เต็มที่จานเดียว เดี๋ยวลงไดฟ์ต่อไปจะโอ๊ก อ๊าก ได้
ต่อไปนี้ก็เป็นรายการเป่าเค๊กให้ครูปรีชา(เมื่อวานนี้วันเกิดของแก) ผมโชคดีมาในวันนี้พอดี เ ลยทันงานนี้ครับ เค๊กเขียนว่า All Diver ด้วย เท่ดี เหมาะสำหรับนักดำน้ำจริงๆ ครับ
ครูปรีชาบอกให้ผมเตรียมตัว ไดฟ์ต่อไปเราจะลงดำที่เรือหลวงกูด พูดถึงเรือกูด ผมเคยมาดำครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน(ที่มาทดสอบไดฟ์คอมนั่นแหละครับ) แต่แทบมองไม่เห็นตัวเรือเลยครับ เพราะกระแสน้ำแรงจนตัวปลิวออกมา
“อย่าปล่อยเชือกนะภพ ค่อยๆไต่เชือกลงไป ถึงตัวเรือค่อยปล่อยเชือก” ครูปรีชาบอก
เอาล่ะครับ นี่ถือว่าเป็น Match ล้างตา คราวนี้ผมไม่ยอมปลิวเหมือนเดิมแน่ๆ
Dive 2 สัมผัสความงามของเรือหลวงกูด!!!
ผมใช้ Octopus อย่างที่บอกไว้ คราวนี้หายใจสดชื่น ไม่มีน้ำเข้าเรคกูเลเตอร์ให้กวนใจ ผมค่อยๆจับเชือกลงไป พร้อมกับเคลียร์หูอย่างช้าๆ และประณีตที่สุด(ใครจะไปก่อนผมหลีกทางให้เลยครับ เพราะแต่ละคนใช้เวลาเคลียร์หูช้า-เร็ว ไม่เท่ากัน เอาความปลอดภัยดีกว่านะ)
การจับเชือกควรจะจับแล้วปล่อย อย่าจับแล้วรูดลงมานะครับ เพราะที่เชือกมีเพรียงเยอะแยะเลย ถ้าจับแบบรูด เพรียงบาดมือคงไม่สนุกเป็นแน่แท้
ลงมาจนถึงความลึกประมาณ 25 เมตร(คราวนี้รู้สึกว่าเคลียร์หูได้อย่างดี ทำอย่างช้าๆ ทำไม่ได้ก็ตีขาขึ้นมานิดนึง กว่าจะถึงที่ความลึกเท่านี้ ผมทำหลายทีเหมือนกันครับ) ผมปล่อยเชือกและว่ายตามครูปรีชาไป
ตัวเรือกูด มีเพรียงเกาะเต็มไปหมดครับ ทำให้ดูยิ่งเก่า ถัดจากเชือกมานิดนึง เลี้ยวมาอีกนิด ผมก็เจอปลาตัวแรกครับ นี่คือ ปลาแมงป่องเกล็ดเล็ก(Tassled Scorpionfish) พรางตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีมากครับ แทบจะกลมกลืนกับตัวเรือเลยล่ะ ปลาแมงป่องชนิดนี้พบได้บ่อยในทะเลอันดามัน มีพิษบริเวณโคนก้านครีบครับ
ต่อมาเป็นปลาวัวหนาม Fan-bellied leatherjacket(Filefish) ตัวใหญ่กว่าที่เกาะสากครับ สีก็แปลกๆด้วย
ผมกำลังมองตัวเรือจากด้านบน บางจุดก็ต้องตีขาออกมาด้านนอกเพราะอาจชนกับตัวเรือได้ เรือกูดดูใหญ่และขลังดีครับ แม้จะไม่เก่าแก่เท่าเรือจมสุทธาทิพย์แต่ผมก็มีประวัติของเรือหลวงกูดมาฝากทุกท่านด้วย
“เรือหลวงกูดเป็นเรือประเภทเรือยกพลขึ้นบกขนาดกลาง ( LSM : landing Ship, Medium) ขนาดระวางขับน้ำปกติ ๕๑๓ ตัน เต็มที่ ๙๑๒ ตัน ความยามตลอดลำ ๖๑.๕ เมตร กว้าง ๑๐.๕๑ เมตร กินน้ำลึกเต็มที่ ๑.๒๗ เมตร ติดตั้งอาวุธ ปืน ๔๐ มม. โบฟอร์ส ๑ กระบอก และปืนกล ๒๐ มม.เออลิคอน ๔ กระบอก เครื่องจักรใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ๑,๘๐๐ แรงม้า จำนวน ๒ เครื่อง สองเพลาใบจักร สามารถขับเคลื่อนเรือให้แล่นได้ความเร็วสูงสุด ๑๓.๕ นอต มีรัศมีทำการไกลสุดถึง ๒,๕๘๐ ไมล์ กำลังพลประจำเรือในอัตราประกอบด้วย นายทหาร ๘ นาย , พันจ่า ๖ นาย , จ่า ๓๐ นาย และพลทหาร ๒๔ นาย
ประวัติความเป็นมา เรือลำนี้เดิมชื่อ USS EXNO (LSM 333) ต่อที่อู่ Pullman Works เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา วางกระดูกงูเมื่อ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๘๗ ต่อมารัฐบาลไทยได้ซื้อมาในราคา ๒๓๕,๐๐๐ เหรียญ ตามโครงการช่วยเหลือทางทหาร โดยมีพิธีรับมอบที่อ่าวซูบิค ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๘ และได้ขึ้นระวางประจำการในกองทัพเรือไทยเมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ เรือหลวงกูดได้เคยปฏิบัติภารกิจที่สำคัญ เช่น การลำเลียงกำลังทหาร และสนับสนุนการสับเปลี่ยนกำลังทหารไทยในระหว่างสงครามเกาหลี, การลำเลียงกำลังทหาร และยุทโธปกรณ์ทางทะเล , ปฏิบัติการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบก , การออกลาดตระเวนตามแนวชายแดนทางทะเล และยังเป็นเรือฝึกสำหรับนักเรียนนายเรือ , นักเรียนจ่า ตลอดจนนักเรียนหลักสูตรพิเศษต่าง ๆ เช่น หลักสูตรนักประดาน้ำ กรมสรรพาวุธทหารเรือ ฯลฯ
จากการปฏิบัติภารกิจเพื่อรับใช้ชาติและราชนาวีมานานถึง ๕๗ ปี จนตัวเรือมีสภาพผุกกร่อนและทรุดโทรมมาก ไม่คุ้มค่าต่อการซ่อมคืนสภาพ กองทัพเรือจึงได้อนุมัติปลดระวางประจำการ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฏาคม ๒๕๔๗
ที่ตั้งในการนำเรือหลวงกูด ลงสู่ท้องทะเล เพื่อจัดทำเป็นอุทยานใต้ทะเลเฉลิมพระเกียรติ ฯ
บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสาก ตำบลที่ ละติจูด ๑๒ องศา ๕๗.๑ ลิปดาเหนือ ลองติจูด ๑๐๐ องศา ๔๘.๑ ลิปดาตะวันออก (แบริ่ง ๐๓๔ ระยะ ๑,๐๐๐ หลา จากเกาะสาก) ความลึกประมาณ ๓๓ เมตร”(ข้อมูลจาก http://www.navy.mi.th/
มาต่อดีกว่าครับ ครูปรีชาชี้ให้ผมดูปูตัวหนึ่ง สีตุ่นๆ(อีกแล้ว) กลมกลืนกับตัวเรือได้ดีเลยล่ะ ผมมองแหงนไปด้านบน ฝูงปลาเยอะมากครับ ใครจะไปเชื่อว่าภาพแบบนี้ที่พัทยาก็มี ไม่ได้มีที่เกาะเต่าอย่างเดียวนะ
ส่วนปลาชนิดอื่นเท่าที่จำได้ ก็มีปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish) และปลาปริศนาที่รูปร่างคล้ายปลาการ์ตูนปานดำตัวใหญ่ๆ(ใหญ่มาก) ไม่ได้อยู่ในที่ที่มีดอกไม้ทะเล เจอหลายทีแล้วแต่ยังไม่รู้จักชื่อ เสียง เรียงนามเลยครับ
ช่วงไต่เชือกขึ้นมาและทำ Safety stop ครูปรีชาหยิบเรคกูเลเตอร์ที่เสียของผมไปลองหายใจ พร้อมใช้ปากกาจิ้มให้ผมดูว่า มีฟองอากาศออกมาทางปุ่มกด
ขึ้นมาครูปรีชาจัดการใช้ไขควงซ่อมเรคกูเลเตอร์ครับ(ประมาณว่ามีตัวหนึ่งที่ไม่ดี ทำให้เวลาหายใจจะมีน้ำไหลเข้าไปครับ) ซ่อมไม่นานนัก ก็เสร็จเรียบร้อย
ฝนทำท่าว่าจะตกในช่วงเย็น ในขณะที่ในช่วงเช้าอากาศดีมากๆ(ช่วงนี้ที่พัทยาเป็นแบบนี้อยู่หลายวันครับ ไม่ต่างอะไรจากกรุงเทพเลย) ครูปรีชาพานักเรียนใหม่ไปดำที่เกาะครกต่อ จุดนี้ผมก็ยังไม่เคยลงครับ แต่วันนี้เอาแค่นี้ดีกว่า(ประมาณว่าหายอยากแล้ว 555) ถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆ ก็แล้วกัน
เรือมาถึงที่ท่าเรือแหลมบาลีฮายในช่วงเย็นๆ มีรถกองถ่ายภาพยนต์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ด้วยครับ ว่าแต่ถ่ายทำฉากไหน ต้องไปพิสูจน์กันในภาพยนต์นะ
ขนของลงจากเรือดีกว่าครับ ผมมองเห็นเด็กน้อยลูกชาวประมงและป้า(คาดว่าน่าจะเป็นป้าเต้า เจ้าของเรือหรือเปล่านะ) ป้าเดินมาพร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ส่วนเด็กน้อยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานของป้า โดยถือทุ่นสีส้มกลับบ้านด้วย
ขากลับโชคดีที่ว่าไม่ต้องกลับรถทัวร์ครับ ติดรถพี่หญิงอ้อกลับกรุงเทพ ถึงรวดเร็วจริงๆเพราะแกขับรถเร็วเหมือนกันนะ(สาวๆ ขับรถเร็วแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าเนี่ย 55)
เป็นอันจบสองไดฟ์ในหนึ่งวัน กับการดำน้ำแบบง่ายๆ ที่พัทยา ซึ่งก็ทำให้ผมได้เจอกับมิตรภาพใหม่ๆอีกครั้งหนึ่ง
ผมชอบทะเลตั้งแต่แรกเห็น แม้ฝนจะตก แดดจะออก ทะเลจะคลั่งหรือพบเจอประสบการณ์ที่น่ากลัว ผมไม่เคยเข็ดและขยาดกับทะเลครับ ตรงกันข้ามกลับยิ่งรักและยิ่งชอบทะเลมากขึ้นและมากขึ้นทุกวัน
การดำน้ำช่วยให้ชีวิตของผมมีความสุข มีสมาธิ ได้เห็นโลกใหม่ๆ และผมจะพยายามนำมาถ่ายทอดให้ทุกท่านได้อ่านครับ
และนี่ก็เป็นอีกครั้ง สำหรับประสบการณ์ดำน้ำเรื่องยาว พบกันใหม่ทริปหน้านะครับ
Phop Payapvipapong
1 Aug 2008
04.14 PM
1 Comments:
ขอบคุณมาก ๆ นะครับ สำหรับบทความดีๆ
Post a Comment
<< Home