หมู่เกาะตะรุเตา.....กับวันมหัศจรรย์ของผม(5)
ลงมาที่เกาะหลีเป๊ะ ผมฝากของไว้ที่ Front เดินมาคุยทักทายกับพี่ยิและชาวบ้าน ต่างก็ถามผมถึงการกลับมานอนที่นี่
“สงสัย เธอไม่ไหว้เจ้าที่” พี่สาวคนหนึ่งตอบ
“ผมไหว้นะครับ ไหว้ทุกครั้งเลย” ผมพูด
“เจ้าที่ที่ว่า ก็พี่เองนี่แหละ แหมพี่พูดเล่น ก็เชื่อซะได้” พี่สาวเฉลย
“ภพ เอาข้าวผัดทะเลนะ” พี่ยิถาม
“ได้เลยครับพี่ สบายมาก พี่ครับ ผมขอชูชีพอย่างเดียวนะ ” ผมยิ้มแย้ม ดีใจที่ได้กลับมา
“ฟิน ไม่เอาเหรอน้อง ว่ายสบายกว่านะ”
“ไม่เอาครับพี่ ผมกลัวไปเตะปะการัง”
เอ้า ไปดำน้ำกันดีกว่าครับ บนเรือหางยาว มีผม และนักท่องเที่ยวอีก 5 คน(ผมมาแชร์กับพวกเขาอีกที)ชื่อว่า พี่เก่ง พี่วัฒน์ พี่วา เตาะและนัน ขับรถมาจากอยุธยา พวกเขาใจดีมากครับ แบ่งขนมและน้ำให้ผมด้วย วันนี้แดดดีมาก น้ำใสได้ใจจริงๆ
ร่องจาบัง
จุดนี้เป็นร่องน้ำที่มีชื่อเสียงมากๆ ว่ากันว่า สามารถมองเห็นปะการังอ่อน(Soft Coral) สัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่มักเจริญเติบโตในระดับน้ำลึก แต่ที่นี่ นักดำน้ำแบบ Snorkeling สามารถมองเห็นได้ง่ายๆ ในระดับน้ำตื้นเพียงไม่กี่เมตร
เนื่องจากเป็นร่องน้ำ พี่คนขับเรือจึงต้องโยนเชือกลงไปเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เกาะ(ทุกลำก็ทำเหมือนกันหมดครับ) หากไม่ทำเช่นนั้น กระแสน้ำที่แรงอาจพัดพานักท่องเที่ยวออกไปไกลได้(ต้องไปตามเก็บกันอีกที)
นักท่องเที่ยวที่ร่องจาบังเยอะมากครับ ผมกะว่าขอลงไปยลโฉมปะการังอ่อนให้เห็น แล้วรีบกลับขึ้นมาบนเรือดีกว่า
โอ้โห!! สวยงามมากครับ ในระดับความลึกไม่เกิน 7 เมตร ผมมองเห็นปะการังอ่อนหลากสี ตั้งแต่สีม่วง สีชมพู ผมไปดำน้ำมาในเมืองไทยก็หลายที่ สำหรับการดำน้ำแบบ Snorkeling นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นปะการังอ่อน(Scuba ที่จำได้ เห็นปะการังอ่อนครั้งแรกที่พัทยาครับ ความลึกประมาณ 18 เมตรได้)
ส่วนปลาที่จำได้ คือ ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Buttelflyfish) ส่วนปลาที่ไม่อยากจำ คือ ปลาตีนครับ มากจริงๆ เสียงเจี๊ยวจ้าวไปหมด ผมเลยต้องแหวกออกมานอกเชือก ว่ายกลับไปที่เรือ ก่อนสาวเชือกต่อไปจนถึงเรือ(ขืนไม่ปล่อยเชือก คงไม่ได้กลับเรือครับ รถติดมากๆ 555)
พี่เก่งกับพี่วัฒน์ไม่ได้ลงสน๊อคเกิ้ลครับ คงไม่อยากเจอคนเยอะๆ อีกอย่าง พี่สองคนนี้ เคยมาที่นี่แล้วครับ เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเหมือนผมเท่าไรนัก
มองหาพี่วา พี่เตาะและพี่นัน เมื่อพวกเขาขึ้นมาแล้ว ผมได้น้ำดื่มจากขัน(เย็นๆ) จากพี่วัฒน์ เป็นมิตรภาพระหว่างทางที่ดีจริงๆ ครับ ระหว่างนี้ เรือหางยาวแล่นเพื่อที่ไปดำน้ำยังจุดต่อไป
หลังเกาะหินงาม
น้ำค่อนข้างใสครับ รอบๆมีนักท่องเที่ยวอยู่ไม่เท่าไร อาจเป็นเพราะไปอัดแน่นอยู่ที่ร่องจาบังซะมาก ผมว่ายน้ำเข้าไปในที่ตื้น
ขณะนี้ ผมกำลังว่ายน้ำตามปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) อยู่ในระยะที่ใกล้มาก ห่างเพียงหนึ่งช่วงตัว น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกกลัวผมเลยแม้แต่น้อย ว่ายไปอย่างช้าๆ ดูเหมือนเขาจะทราบครับว่าผมมาเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู
ผมเฝ้าดูเขา ว่ายตามไปอย่างช้าๆ ปกติผมเจอเขาหลายหนในการดำน้ำแบบ Scuba เราค่อนข้างใกล้ชิดกันมาก แต่นี่เป็นการดำน้ำแบบ Snorkeling การได้ใกล้ชิดมากขนาดนี้ ผมถือว่าเป็นเรื่องโชคดีมากๆครับ
ปะการังค่อนข้างสมบูรณ์ มีทั้งปะการังแผ่นตั้งหรือปะการังผักกาด(Coral foliose) ปะการังก้อน(Coral massive) หอยมือเสือ(Giant Clam) หนอนพู่ฉัตร(Christmas tree worm) และดาวทะเล(Star Fish)
ส่วนบรรดา ป. ปลา ก็มีปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish) ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า(Powder-blue Surgeonfish) ปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์(Moon Wrasse) ปลาการ์ตูนส้มขาว(False Clown Anemonefish) และ ปลาสลิดหิน(Damselfish)
เห็นพี่วัฒน์บอกว่าเจอฉลามครับ เลยรีบว่ายไปหาแก ผมเดาว่าคงเป็นฉลามครีบดำ(Blacktip Shark) น่าเสียดายว่าผมไม่เห็นเขาครับ
อยากขึ้นเกาะหินงามครับ ผมไม่เคยขึ้นมาก่อนเลย พี่วัฒน์บอกผมว่าไม่ต้องห่วง ยังไงก็อยู่ในโปรแกรมซึ่งต้องพาไปอยู่แล้ว
เรือแล่นออกไปจากจุดนี้ ไม่นานนัก ผมมองเห็นเกาะหินงามอยู่ด้านหน้าของผมแล้ว
เกาะหินงาม
มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะครับ บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็กำลังเรียงหินที่สีดำดูแปลกตาอยู่ สอบถามจึงได้ความว่า เขากำลังเรียงเพื่อที่จะอธิษฐานต่อเจ้าพ่อตะรุเตาครับ
ผมหยิบรองเท้าแตะลงไปด้วย เพราะเท่าที่ลองเหยียบดู เจ็บเท้าอยู่เหมือนกัน
สำหรับเกาะหินงาม เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงแห่งหนี่งของจังหวัดสตูล เป็นเกาะที่มีแต่หินสีดำเท่านั้น มีเรื่องเล่าว่า หากใครเก็บหินนี้กลับบ้านไป จะถูกคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตา ไม่นานนักต้องนำมากลับคืนทุกรายไป(เหมือนที่สุสานหอยเลยครับ) ของแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะ
ผมลองหยิบหินมาดู สวยงามดีครับ ก้อนกลมๆ มันๆ เลยขอเรียงหินแล้วอธิษฐานดูบ้าง
เวลาหินนี้โดนน้ำ มีแสงแดดมากระทบ ยิ่งทำให้การถ่ายรูปยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ สมชื่อว่าเกาะหินงามจริงๆ
ว่าแล้ว เราไปกันต่อดีกว่าครับ
เกาะหินซ้อน
ผมมองเห็นหินก้อนใหญ่รูปร่างประหลาดอยู่ด้านหน้า หิน 2 ก้อนนี้ ซ้อนกันอย่างน่าอัศจรรย์จนไม่น่าเชื่อว่าจะซ้อนกันได้ แถมยังอยู่มานานโดยไม่ตกซะด้วย
อย่าว่าแต่คนไทยเลยครับ หากเป็นชาวต่างชาติก็คงต้องทึ่งกับปะติมากรรมทางธรรมชาตินี้
เราวนรอบๆ หินซ้อน ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปต่อ
หินซ้อน(บริเวณร่องน้ำ)
เราจอดติดกับเรือหางยาวอีกลำที่ผูกทุ่นไว้อยู่แล้ว โดยพี่คนขับเรือผูกเรือของเราเข้ากับเรือลำนี้ ผมมองเห็นว่า เรืออีกลำมาเที่ยวเป็นครอบครัว ที่สำคัญ ลูกสาวครอบครัวนี้ ผิวขาว น่ารักจริงๆ(เธอสวมเสื้อสีเขียวแก่ เหมือนเสื้อรักษาดินแดน เขียนว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ)
พี่คนขับเรือโยนเชือกไปและบอกให้เกาะเชือกไว้ ผมกระโดดตูมลงไปก่อน ร่างกายแล่นฉิวไปตามแรงน้ำ(กระแสน้ำแรงมากครับ) ผมรีบคว้าเชือกไว้ และสาวไปจนถึงปลายเชือก
หน้าครับ ใบหน้าของผมรู้สึกได้กับมวลน้ำที่มากระทบเลยว่า กระแสน้ำแรงมากๆ ถ้าไม่เกาะเชือกไว้ มีหวังหลุดไปไกลแน่นอน
งามครับ งามสุดๆ งามไม่แพ้กับที่ร่องจาบัง นี่ปะการังอ่อน(Soft Coral) ทั้งนั้นเลย มีทั้งสีม่วง สีแดงและสีชมพู พลิ้วไหวตามกระแสน้ำ ดูพวกเขาคึกคักกันดีจริง
ที่เกาะสุรินทร์ไม่มีปะการังอ่อนมากขนาดนี้(หาได้ซักต้นก็เก่งแล้วครับ) ทางนั้นจะเด่นเรื่องความหลากหลายของสัตว์ทะเลและมีสัตว์ใหญ่ให้ดู หากใครอยากดูปะการังอ่อนน้ำตื้น มาหมู่เกาะตะรุเตาซิครับ ไม่มีผิดหวัง
ส่วนเรื่องนักท่องเที่ยวเตะปะการังอ่อน อย่าห่วงครับ เพราะอยู่ในระดับ 3 เมตรขึ้นไป(คงต้องต่อตัวกัน) หากไม่พบกับปรากฎการณ์ลานีนญ่าซะก่อน ปะการังอ่อนยังอยู่คู่ที่นี่อีกนานแสนนานครับ
ภาพในตอนนี้ คือ ผมอยู่ปลายสุดของเชือกหันหน้าต้านกระแสน้ำ เกาะเชือกสองมือ พร้อมมองดูสัตว์ทะเลด้านล่างอย่างมีความสุข ขณะที่คนอื่นๆค่อยๆสาวเชือกตามมา(ผมไม่อยากรถติดน่ะครับ)
ปลายเชือกที่ผมเกาะอยู่ ด้านล่างมีปลาสิงโต(Common Lionfish)และปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray Eel) ผมเรียกให้เตาะดู ซึ่งมีกล้องดิจิตอลแบบลงน้ำได้ด้วย(แบบไม่ใส่ Housing ที่กำลังบูมน่ะครับแต่ลงได้เพียงไม่กี่เมตรเท่านั้นนะ)
นอกจากนี้ ใกล้ๆผม ยังมีน้องสาวน่ารักคนนั้น เลยเรียกให้เธอดูซะเลย
ปลาอื่นๆ ที่จำได้ คือ ปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish) ครับ
เกาะรอกลอย
แดดกำลังร้อนจัด น้ำทะเลยิ่งดูสวยงาม โดยเฉพาะหาดทรายของเกาะรอกลอย ที่ผมพึ่งมาถึง เรามาแวะทานอาหารกลางวันที่นี่ครับ
ข้าวผัดทะเลกับอากาศที่ร้อนจัด แต่ในหัวใจของผมกลับเย็นชุ่มชื้นด้วยความสุขที่ได้เดินทางมายังท้องทะเลสถานที่ทั้งรักและหลงไหล
พวกพี่ๆ แบ่งไก่ทอดให้ผม ผมจำได้ดีว่าเป็นไก่ทอดสไตล์อิสลามบนเกาะหลีเป๊ะ อยู่ทางไปหาดพัทยานั่นเอง(ถามดูก็ถูกต้องครับ แต่ผมไม่อยากมือเปื้อนน่ะ ต้องจับกล้องเก็บรายละเอียดต่อ เลยได้แต่ขอบคุณ)
ที่นี่นอกจากจะมีเครื่องดื่ม เช่น กาแฟ และอาหารอย่าง มาม่า ไว้บริการแล้ว ด้านหลังมีสะพานไม้เล็ก ๆ หากได้นั่งกินลมชมวิว ก็คลาสสิคดีนะ
ผมเดินขึ้นไปสำรวจด้านบน ซึ่งเป็นจุดชมวิว ทางขึ้นไม่ยากนัก มีชิงช้าอยู่ 1 ตัว(แต่ต้องนั่งอย่างระมัดระวังครับ กลัวตกอีก ถ้าตกล่ะก็ อาจได้ลงไปด้านล่างแน่ครับ) ท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีสดใส วิวบนนี้สวยดีจริงๆ
สำรวจเรียบร้อย ยังมีเวลาครับ ผมกลับไปที่เรือ หยิบหน้ากากและท่อหายใจ ลงไปสำรวจด้านหน้าหาดกัน
หน้าหาดของเกาะรอกลอย
ผมดำผุด ดำว่าย ท่ามกลางแดดที่ร้อนจัด เนื่องจากไม่ใช้ชูชีพ ผมจะมาพักเหนื่อยที่พื้นทรายในที่ตื้นครับ แน่นอนว่าไม่มีปะการังอยู่ตรงนั้น
จำได้ว่า มีปลาอยู่ 2-3 ชนิด ดูจะสนใจในฝ่าเท้าของผมเหลือเกิน(หรือจะเรียกอุ้งเท้าหรือใบพายก็ได้นะครับ 555) ผมเลยเล่นกับพวกเขาซะหน่อย ดูพวกเขาก็สนุกนะครับ สนใจใหญ่เลยล่ะ
ซักพักผมขึ้นมานอนบนหาดทราย ให้น้ำทะเลไหลผ่าน มีความสุขจริงหนอ 555
มองเห็นสมาชิกค่อยๆกลับขึ้นเรือ ผมเริ่มปวดหัวนิดๆ อาจจะตากแดดมากไป กลับขึ้นเรือ อยู่ในที่ร่มแล้วไปยังจุดต่อไปดีกว่าครับ
เกาะผึ้ง(บริเวณร่องน้ำ)
เป็นอีกจุดหนึ่งที่เป็นบริเวณร่องน้ำ(จัดได้ว่ามีเยอะทีเดียวสำหรับทะเลแถบนี้) สังเกตได้จากการที่เราอยู่ระหว่างเกาะสองเกาะ เมื่อหย่อนเชือก และว่ายออกไป จะมีกระแสน้ำเหมือนอีก 2 จุด ที่ลงในวันนี้(ที่ร่องจากบังกับเกาะหินซ้อนน่ะครับ)
หากใครมาในช่วงจังหวะเวลาที่ไม่ดี นอกจากจะต้องต่อสู้กับกระแสน้ำที่แรงแล้ว อาจมีคลื่นแถมมาด้วย น้ำจะขุ่น เมื่อบวกกับเรื่องไม่มีแสงแดด ก็จะยิ่งทำให้มองอะไรก็จะไม่ค่อยเห็น
โชคดีว่า ตอนผมมา ทะเลเรียบไร้คลื่น แดดแรงจัด มีเพียงกระแสน้ำซึ่งมีอยู่บ่อยๆ สำหรับจุดที่เป็นร่องน้ำแบบนี้
เหมือนเดิมครับ ผมโดดตูมลงไป เกาะอยู่บริเวณปลายเชือก มีปะการังอ่อน(Soft Coral) มากมายจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสีม่วง แน่นอนว่าต้องเป็นสกุล Dendronephthya ด้วย ดูพวกเขาเริงร่ามากๆ เลย
ส่วนสัตว์ทะเลที่ผมจดจำได้ มีปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark ’ s Anemonefish) และดาวทะเล(Star Fish) สีม่วงสดครับ
เกาะราวี
มาขึ้นเกาะกันต่อครับ ที่นี่ คือ เกาะราวี และหาดที่ผมกำลังเหยียบและย่างเท้าไปด้านหน้า หาดทรายสีขาวและละเอียด จึงเป็นที่มาของชื่อหาดที่ว่า “หาดทรายขาว”
ถึงตอนนี้ ผิวหนังของผมเริ่มมีอาการแสบแล้ว การที่ไม่ยอมทาโลชั่นกันแดด แถมยังสวมเสื้อผ้าบางๆ ทำให้เริ่มเห็นผล(อย่าทำแบบผมเลยครับ ทาทุกครั้งที่ออกแดดนะ)
หลายคนสวมชูชีพว่ายออกไปสำรวจแนวปะการัง แต่ผมเลือกที่จะเดินถ่ายรูป สำรวจเกาะให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า แล้วค่อยลงสำรวจใต้น้ำก็ยังไม่สาย
ที่นี่มีเส้นทางศึกษาแนวปะการังด้วยครับ(ใต้น้ำ) ทำให้ผมนึกถึงที่อ่าวช่องขาด อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งมีทำไว้เช่นกัน(ปัจจุบัน อ่าวช่องขาด กลายเป็นอดีตไปแล้วครับ หลังคลื่นยักษ์สึนามิพัดผ่าน แต่หลายคนก็มีความทรงจำดีๆกับที่นั่นนะ) นักท่องเที่ยวจะได้ความรู้เรื่องชีวิตในแนวปะการังและรู้จักสัตว์ทะเลเพิ่มมากขึ้นด้วย
สำหรับภาพที่นักท่องเที่ยวคุ้นตาเมื่อนึกถึงเกาะราวี คงหนีไม่พ้นภาพที่นิตยสารทั้งหลายนิยมถ่าย นั่นคือ ซากต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ริมหาด บวกกับวิวทะเลที่สวยงามด้านหลัง เข้ากันได้ดีทีเดียวล่ะ
มองเห็นแผงโซลาร์เซลล์ที่นี่ ทำให้ผมจำได้ว่า หมู่เกาะตะรุเตา มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ด้วย(เคยเห็นออกทีวีครับ) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเลย
มีกลุ่มนักท่องเที่ยวเพียบเลยครับ ผมหนีดีกว่า กลับไปที่เรือ หยิบชูชีพ หน้ากาก ลงไปสำรวจด้านล่างกัน
“สงสัย เธอไม่ไหว้เจ้าที่” พี่สาวคนหนึ่งตอบ
“ผมไหว้นะครับ ไหว้ทุกครั้งเลย” ผมพูด
“เจ้าที่ที่ว่า ก็พี่เองนี่แหละ แหมพี่พูดเล่น ก็เชื่อซะได้” พี่สาวเฉลย
“ภพ เอาข้าวผัดทะเลนะ” พี่ยิถาม
“ได้เลยครับพี่ สบายมาก พี่ครับ ผมขอชูชีพอย่างเดียวนะ ” ผมยิ้มแย้ม ดีใจที่ได้กลับมา
“ฟิน ไม่เอาเหรอน้อง ว่ายสบายกว่านะ”
“ไม่เอาครับพี่ ผมกลัวไปเตะปะการัง”
เอ้า ไปดำน้ำกันดีกว่าครับ บนเรือหางยาว มีผม และนักท่องเที่ยวอีก 5 คน(ผมมาแชร์กับพวกเขาอีกที)ชื่อว่า พี่เก่ง พี่วัฒน์ พี่วา เตาะและนัน ขับรถมาจากอยุธยา พวกเขาใจดีมากครับ แบ่งขนมและน้ำให้ผมด้วย วันนี้แดดดีมาก น้ำใสได้ใจจริงๆ
ร่องจาบัง
จุดนี้เป็นร่องน้ำที่มีชื่อเสียงมากๆ ว่ากันว่า สามารถมองเห็นปะการังอ่อน(Soft Coral) สัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่มักเจริญเติบโตในระดับน้ำลึก แต่ที่นี่ นักดำน้ำแบบ Snorkeling สามารถมองเห็นได้ง่ายๆ ในระดับน้ำตื้นเพียงไม่กี่เมตร
เนื่องจากเป็นร่องน้ำ พี่คนขับเรือจึงต้องโยนเชือกลงไปเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เกาะ(ทุกลำก็ทำเหมือนกันหมดครับ) หากไม่ทำเช่นนั้น กระแสน้ำที่แรงอาจพัดพานักท่องเที่ยวออกไปไกลได้(ต้องไปตามเก็บกันอีกที)
นักท่องเที่ยวที่ร่องจาบังเยอะมากครับ ผมกะว่าขอลงไปยลโฉมปะการังอ่อนให้เห็น แล้วรีบกลับขึ้นมาบนเรือดีกว่า
โอ้โห!! สวยงามมากครับ ในระดับความลึกไม่เกิน 7 เมตร ผมมองเห็นปะการังอ่อนหลากสี ตั้งแต่สีม่วง สีชมพู ผมไปดำน้ำมาในเมืองไทยก็หลายที่ สำหรับการดำน้ำแบบ Snorkeling นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นปะการังอ่อน(Scuba ที่จำได้ เห็นปะการังอ่อนครั้งแรกที่พัทยาครับ ความลึกประมาณ 18 เมตรได้)
ส่วนปลาที่จำได้ คือ ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Buttelflyfish) ส่วนปลาที่ไม่อยากจำ คือ ปลาตีนครับ มากจริงๆ เสียงเจี๊ยวจ้าวไปหมด ผมเลยต้องแหวกออกมานอกเชือก ว่ายกลับไปที่เรือ ก่อนสาวเชือกต่อไปจนถึงเรือ(ขืนไม่ปล่อยเชือก คงไม่ได้กลับเรือครับ รถติดมากๆ 555)
พี่เก่งกับพี่วัฒน์ไม่ได้ลงสน๊อคเกิ้ลครับ คงไม่อยากเจอคนเยอะๆ อีกอย่าง พี่สองคนนี้ เคยมาที่นี่แล้วครับ เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเหมือนผมเท่าไรนัก
มองหาพี่วา พี่เตาะและพี่นัน เมื่อพวกเขาขึ้นมาแล้ว ผมได้น้ำดื่มจากขัน(เย็นๆ) จากพี่วัฒน์ เป็นมิตรภาพระหว่างทางที่ดีจริงๆ ครับ ระหว่างนี้ เรือหางยาวแล่นเพื่อที่ไปดำน้ำยังจุดต่อไป
หลังเกาะหินงาม
น้ำค่อนข้างใสครับ รอบๆมีนักท่องเที่ยวอยู่ไม่เท่าไร อาจเป็นเพราะไปอัดแน่นอยู่ที่ร่องจาบังซะมาก ผมว่ายน้ำเข้าไปในที่ตื้น
ขณะนี้ ผมกำลังว่ายน้ำตามปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) อยู่ในระยะที่ใกล้มาก ห่างเพียงหนึ่งช่วงตัว น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกกลัวผมเลยแม้แต่น้อย ว่ายไปอย่างช้าๆ ดูเหมือนเขาจะทราบครับว่าผมมาเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู
ผมเฝ้าดูเขา ว่ายตามไปอย่างช้าๆ ปกติผมเจอเขาหลายหนในการดำน้ำแบบ Scuba เราค่อนข้างใกล้ชิดกันมาก แต่นี่เป็นการดำน้ำแบบ Snorkeling การได้ใกล้ชิดมากขนาดนี้ ผมถือว่าเป็นเรื่องโชคดีมากๆครับ
ปะการังค่อนข้างสมบูรณ์ มีทั้งปะการังแผ่นตั้งหรือปะการังผักกาด(Coral foliose) ปะการังก้อน(Coral massive) หอยมือเสือ(Giant Clam) หนอนพู่ฉัตร(Christmas tree worm) และดาวทะเล(Star Fish)
ส่วนบรรดา ป. ปลา ก็มีปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish) ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า(Powder-blue Surgeonfish) ปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์(Moon Wrasse) ปลาการ์ตูนส้มขาว(False Clown Anemonefish) และ ปลาสลิดหิน(Damselfish)
เห็นพี่วัฒน์บอกว่าเจอฉลามครับ เลยรีบว่ายไปหาแก ผมเดาว่าคงเป็นฉลามครีบดำ(Blacktip Shark) น่าเสียดายว่าผมไม่เห็นเขาครับ
อยากขึ้นเกาะหินงามครับ ผมไม่เคยขึ้นมาก่อนเลย พี่วัฒน์บอกผมว่าไม่ต้องห่วง ยังไงก็อยู่ในโปรแกรมซึ่งต้องพาไปอยู่แล้ว
เรือแล่นออกไปจากจุดนี้ ไม่นานนัก ผมมองเห็นเกาะหินงามอยู่ด้านหน้าของผมแล้ว
เกาะหินงาม
มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะครับ บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็กำลังเรียงหินที่สีดำดูแปลกตาอยู่ สอบถามจึงได้ความว่า เขากำลังเรียงเพื่อที่จะอธิษฐานต่อเจ้าพ่อตะรุเตาครับ
ผมหยิบรองเท้าแตะลงไปด้วย เพราะเท่าที่ลองเหยียบดู เจ็บเท้าอยู่เหมือนกัน
สำหรับเกาะหินงาม เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงแห่งหนี่งของจังหวัดสตูล เป็นเกาะที่มีแต่หินสีดำเท่านั้น มีเรื่องเล่าว่า หากใครเก็บหินนี้กลับบ้านไป จะถูกคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตา ไม่นานนักต้องนำมากลับคืนทุกรายไป(เหมือนที่สุสานหอยเลยครับ) ของแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะ
ผมลองหยิบหินมาดู สวยงามดีครับ ก้อนกลมๆ มันๆ เลยขอเรียงหินแล้วอธิษฐานดูบ้าง
เวลาหินนี้โดนน้ำ มีแสงแดดมากระทบ ยิ่งทำให้การถ่ายรูปยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ สมชื่อว่าเกาะหินงามจริงๆ
ว่าแล้ว เราไปกันต่อดีกว่าครับ
เกาะหินซ้อน
ผมมองเห็นหินก้อนใหญ่รูปร่างประหลาดอยู่ด้านหน้า หิน 2 ก้อนนี้ ซ้อนกันอย่างน่าอัศจรรย์จนไม่น่าเชื่อว่าจะซ้อนกันได้ แถมยังอยู่มานานโดยไม่ตกซะด้วย
อย่าว่าแต่คนไทยเลยครับ หากเป็นชาวต่างชาติก็คงต้องทึ่งกับปะติมากรรมทางธรรมชาตินี้
เราวนรอบๆ หินซ้อน ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปต่อ
หินซ้อน(บริเวณร่องน้ำ)
เราจอดติดกับเรือหางยาวอีกลำที่ผูกทุ่นไว้อยู่แล้ว โดยพี่คนขับเรือผูกเรือของเราเข้ากับเรือลำนี้ ผมมองเห็นว่า เรืออีกลำมาเที่ยวเป็นครอบครัว ที่สำคัญ ลูกสาวครอบครัวนี้ ผิวขาว น่ารักจริงๆ(เธอสวมเสื้อสีเขียวแก่ เหมือนเสื้อรักษาดินแดน เขียนว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ)
พี่คนขับเรือโยนเชือกไปและบอกให้เกาะเชือกไว้ ผมกระโดดตูมลงไปก่อน ร่างกายแล่นฉิวไปตามแรงน้ำ(กระแสน้ำแรงมากครับ) ผมรีบคว้าเชือกไว้ และสาวไปจนถึงปลายเชือก
หน้าครับ ใบหน้าของผมรู้สึกได้กับมวลน้ำที่มากระทบเลยว่า กระแสน้ำแรงมากๆ ถ้าไม่เกาะเชือกไว้ มีหวังหลุดไปไกลแน่นอน
งามครับ งามสุดๆ งามไม่แพ้กับที่ร่องจาบัง นี่ปะการังอ่อน(Soft Coral) ทั้งนั้นเลย มีทั้งสีม่วง สีแดงและสีชมพู พลิ้วไหวตามกระแสน้ำ ดูพวกเขาคึกคักกันดีจริง
ที่เกาะสุรินทร์ไม่มีปะการังอ่อนมากขนาดนี้(หาได้ซักต้นก็เก่งแล้วครับ) ทางนั้นจะเด่นเรื่องความหลากหลายของสัตว์ทะเลและมีสัตว์ใหญ่ให้ดู หากใครอยากดูปะการังอ่อนน้ำตื้น มาหมู่เกาะตะรุเตาซิครับ ไม่มีผิดหวัง
ส่วนเรื่องนักท่องเที่ยวเตะปะการังอ่อน อย่าห่วงครับ เพราะอยู่ในระดับ 3 เมตรขึ้นไป(คงต้องต่อตัวกัน) หากไม่พบกับปรากฎการณ์ลานีนญ่าซะก่อน ปะการังอ่อนยังอยู่คู่ที่นี่อีกนานแสนนานครับ
ภาพในตอนนี้ คือ ผมอยู่ปลายสุดของเชือกหันหน้าต้านกระแสน้ำ เกาะเชือกสองมือ พร้อมมองดูสัตว์ทะเลด้านล่างอย่างมีความสุข ขณะที่คนอื่นๆค่อยๆสาวเชือกตามมา(ผมไม่อยากรถติดน่ะครับ)
ปลายเชือกที่ผมเกาะอยู่ ด้านล่างมีปลาสิงโต(Common Lionfish)และปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray Eel) ผมเรียกให้เตาะดู ซึ่งมีกล้องดิจิตอลแบบลงน้ำได้ด้วย(แบบไม่ใส่ Housing ที่กำลังบูมน่ะครับแต่ลงได้เพียงไม่กี่เมตรเท่านั้นนะ)
นอกจากนี้ ใกล้ๆผม ยังมีน้องสาวน่ารักคนนั้น เลยเรียกให้เธอดูซะเลย
ปลาอื่นๆ ที่จำได้ คือ ปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish) ครับ
เกาะรอกลอย
แดดกำลังร้อนจัด น้ำทะเลยิ่งดูสวยงาม โดยเฉพาะหาดทรายของเกาะรอกลอย ที่ผมพึ่งมาถึง เรามาแวะทานอาหารกลางวันที่นี่ครับ
ข้าวผัดทะเลกับอากาศที่ร้อนจัด แต่ในหัวใจของผมกลับเย็นชุ่มชื้นด้วยความสุขที่ได้เดินทางมายังท้องทะเลสถานที่ทั้งรักและหลงไหล
พวกพี่ๆ แบ่งไก่ทอดให้ผม ผมจำได้ดีว่าเป็นไก่ทอดสไตล์อิสลามบนเกาะหลีเป๊ะ อยู่ทางไปหาดพัทยานั่นเอง(ถามดูก็ถูกต้องครับ แต่ผมไม่อยากมือเปื้อนน่ะ ต้องจับกล้องเก็บรายละเอียดต่อ เลยได้แต่ขอบคุณ)
ที่นี่นอกจากจะมีเครื่องดื่ม เช่น กาแฟ และอาหารอย่าง มาม่า ไว้บริการแล้ว ด้านหลังมีสะพานไม้เล็ก ๆ หากได้นั่งกินลมชมวิว ก็คลาสสิคดีนะ
ผมเดินขึ้นไปสำรวจด้านบน ซึ่งเป็นจุดชมวิว ทางขึ้นไม่ยากนัก มีชิงช้าอยู่ 1 ตัว(แต่ต้องนั่งอย่างระมัดระวังครับ กลัวตกอีก ถ้าตกล่ะก็ อาจได้ลงไปด้านล่างแน่ครับ) ท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีสดใส วิวบนนี้สวยดีจริงๆ
สำรวจเรียบร้อย ยังมีเวลาครับ ผมกลับไปที่เรือ หยิบหน้ากากและท่อหายใจ ลงไปสำรวจด้านหน้าหาดกัน
หน้าหาดของเกาะรอกลอย
ผมดำผุด ดำว่าย ท่ามกลางแดดที่ร้อนจัด เนื่องจากไม่ใช้ชูชีพ ผมจะมาพักเหนื่อยที่พื้นทรายในที่ตื้นครับ แน่นอนว่าไม่มีปะการังอยู่ตรงนั้น
จำได้ว่า มีปลาอยู่ 2-3 ชนิด ดูจะสนใจในฝ่าเท้าของผมเหลือเกิน(หรือจะเรียกอุ้งเท้าหรือใบพายก็ได้นะครับ 555) ผมเลยเล่นกับพวกเขาซะหน่อย ดูพวกเขาก็สนุกนะครับ สนใจใหญ่เลยล่ะ
ซักพักผมขึ้นมานอนบนหาดทราย ให้น้ำทะเลไหลผ่าน มีความสุขจริงหนอ 555
มองเห็นสมาชิกค่อยๆกลับขึ้นเรือ ผมเริ่มปวดหัวนิดๆ อาจจะตากแดดมากไป กลับขึ้นเรือ อยู่ในที่ร่มแล้วไปยังจุดต่อไปดีกว่าครับ
เกาะผึ้ง(บริเวณร่องน้ำ)
เป็นอีกจุดหนึ่งที่เป็นบริเวณร่องน้ำ(จัดได้ว่ามีเยอะทีเดียวสำหรับทะเลแถบนี้) สังเกตได้จากการที่เราอยู่ระหว่างเกาะสองเกาะ เมื่อหย่อนเชือก และว่ายออกไป จะมีกระแสน้ำเหมือนอีก 2 จุด ที่ลงในวันนี้(ที่ร่องจากบังกับเกาะหินซ้อนน่ะครับ)
หากใครมาในช่วงจังหวะเวลาที่ไม่ดี นอกจากจะต้องต่อสู้กับกระแสน้ำที่แรงแล้ว อาจมีคลื่นแถมมาด้วย น้ำจะขุ่น เมื่อบวกกับเรื่องไม่มีแสงแดด ก็จะยิ่งทำให้มองอะไรก็จะไม่ค่อยเห็น
โชคดีว่า ตอนผมมา ทะเลเรียบไร้คลื่น แดดแรงจัด มีเพียงกระแสน้ำซึ่งมีอยู่บ่อยๆ สำหรับจุดที่เป็นร่องน้ำแบบนี้
เหมือนเดิมครับ ผมโดดตูมลงไป เกาะอยู่บริเวณปลายเชือก มีปะการังอ่อน(Soft Coral) มากมายจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสีม่วง แน่นอนว่าต้องเป็นสกุล Dendronephthya ด้วย ดูพวกเขาเริงร่ามากๆ เลย
ส่วนสัตว์ทะเลที่ผมจดจำได้ มีปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark ’ s Anemonefish) และดาวทะเล(Star Fish) สีม่วงสดครับ
เกาะราวี
มาขึ้นเกาะกันต่อครับ ที่นี่ คือ เกาะราวี และหาดที่ผมกำลังเหยียบและย่างเท้าไปด้านหน้า หาดทรายสีขาวและละเอียด จึงเป็นที่มาของชื่อหาดที่ว่า “หาดทรายขาว”
ถึงตอนนี้ ผิวหนังของผมเริ่มมีอาการแสบแล้ว การที่ไม่ยอมทาโลชั่นกันแดด แถมยังสวมเสื้อผ้าบางๆ ทำให้เริ่มเห็นผล(อย่าทำแบบผมเลยครับ ทาทุกครั้งที่ออกแดดนะ)
หลายคนสวมชูชีพว่ายออกไปสำรวจแนวปะการัง แต่ผมเลือกที่จะเดินถ่ายรูป สำรวจเกาะให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า แล้วค่อยลงสำรวจใต้น้ำก็ยังไม่สาย
ที่นี่มีเส้นทางศึกษาแนวปะการังด้วยครับ(ใต้น้ำ) ทำให้ผมนึกถึงที่อ่าวช่องขาด อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งมีทำไว้เช่นกัน(ปัจจุบัน อ่าวช่องขาด กลายเป็นอดีตไปแล้วครับ หลังคลื่นยักษ์สึนามิพัดผ่าน แต่หลายคนก็มีความทรงจำดีๆกับที่นั่นนะ) นักท่องเที่ยวจะได้ความรู้เรื่องชีวิตในแนวปะการังและรู้จักสัตว์ทะเลเพิ่มมากขึ้นด้วย
สำหรับภาพที่นักท่องเที่ยวคุ้นตาเมื่อนึกถึงเกาะราวี คงหนีไม่พ้นภาพที่นิตยสารทั้งหลายนิยมถ่าย นั่นคือ ซากต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ริมหาด บวกกับวิวทะเลที่สวยงามด้านหลัง เข้ากันได้ดีทีเดียวล่ะ
มองเห็นแผงโซลาร์เซลล์ที่นี่ ทำให้ผมจำได้ว่า หมู่เกาะตะรุเตา มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ด้วย(เคยเห็นออกทีวีครับ) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเลย
มีกลุ่มนักท่องเที่ยวเพียบเลยครับ ผมหนีดีกว่า กลับไปที่เรือ หยิบชูชีพ หน้ากาก ลงไปสำรวจด้านล่างกัน
1 Comments:
ไปเที่ยวน่าสนุกจังครับ :)
Post a Comment
<< Home