Wednesday, March 28, 2012

Lembeh Strait...มหัศจรรย์แห่ง Muck Dive(1)


งานมหกรรมดำน้ำ TDEX 2011 (Thailand Dive Expo) ที่ผ่านพ้นไป นอกจากผมจะได้พบกับเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆในวงการดำน้ำแล้ว ก็เดินดูทริปดำน้ำตามปกติ ให้พอเป็นไอเดียว่าจะไปไหนดี

หนึ่งในสถานที่ที่ผมตั้งมั่นว่า อยากจะไปดำน้ำ(หลังจากปีก่อนได้ไปสิปาดัน ประเทศมาเลเซียมาแล้ว) ก็คือ ช่องแคบ Lembeh ประเทศอินโดนีเซียครับ (ถ้าได้ไปก็เป็นทริปดำน้ำต่างประเทศ ครั้งที่ 2 ล่ะ)

อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า ผมเหลือดำน้ำแค่ปีละ 1 ครั้ง ก็เลยอยากจะไปดำน้ำต่างประเทศ ไปยังสถานที่ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไป ซึ่งในแต่ละจุดดำน้ำก็มีระบบนิเวศวิทยาที่แตกต่างกันเสียด้วยซิ

ผมได้ข้อมูลจากหลายๆท่าน ต้องขอขอบคุณ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ ทั้งพี่แคท Pipat จากบูท Sea Paradise ที่ผมมักจะอุดหนุนหนังสือภาพสัตว์ทะเลบ่อยๆ และ Lembeh ก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่เห็นจากหนังสือแล้ว อยากไปจนตัวสั่น , พี่อ๋อจากบูท Scubajam , พี่หนึ่ง พี่ปุ๋ม พี่วิท พี่ปุ๋ย จาก Dumnam.com , พี่ต้อม พี่เอฟ จาก บูทนิวัช(ตอนนี้เปลี่ยนเป็น DiveDD แล้วนะ) ที่กรุณาให้ตัวกระจายแฟลชที่ติดกับ Housing ที่ผมทำหายไปที่เกาะคาปาลัย ทริปสิปาดันที่ผ่านมา , ครูจุ๋ม ครูตุ๋ม พี่อำนาจ จากมนุษย์กบไทย , พี่หนอม Dive leader และพี่ Pui จาก Dive info นอกจากนี้ ก็ขอบคุณอีกหลายๆท่าน ที่ไม่ได้กล่าวถึงนะครับ

เวลา ผมได้แล้ว ติดอยู่ที่ว่าสู้ราคาไม่ไหว เอาไงดีกว่า ในที่สุดก็เจอทางสว่างซะที่ครับ ผมได้เจอพี่ปุ๊ย ร้าน Dive info

“ทริปวันปิยะ พี่ไป Anilao ไปกับพี่ไหมภพ” พี่ปุ๊ยชวน

“ผมอยากไป Lembeh มากกว่าครับพี่ พี่มีทริปไหมครับ หรือส่งผมไปคนเดียวก็ได้นะ” ผมตอบอย่างมุ่งมั่น

สูตรเดิมอีกแล้วครับ แบบว่า ติดใจจากทริปสิปาดันละมั้ง เวลาของผมไม่เหมือนคนอื่นๆ ว่างไม่ตรงกัน ไปคนเดียวก็คล่องตัวดี

“ส่งไปได้จ๊ะ ภพอยากไปวันไหนบอกพี่เลย พักที่ Bastianos Lembeh Resort นะ” เคยได้ยิน ชื่อรีสอร์ทมาแล้วครับ เพราะทริปของมนุษย์กบไทย ก็จะไปที่นี่แหละ ช่วงเวลาเดียวกัน แต่เขาไปกันหลายวันครับ มากกว่าผมเยอะ (แม้ในใจก็อยากไปพัก Kasawari Lembeh Resort เหมือนกัน พี่แคทก็เชียร์ด้วย เอาไว้โอกาสหน้าก็ยังมีนะ)

จากห้องแอร์ ผมขอลดค่าใช้จ่าย ให้เหลือแค่ห้องพัดลมครับ ส่วนจะโดนชาร์จเรื่องนอนคนเดียว ก็อยู่ในราคาที่รับได้ จำนวนวันเหมาะสม ไปครับพี่ 555

พอใกล้ถึงวันเดินทาง ก็เหมือนว่า มีความทุกข์ซ่อนอยู่ในใจ บ้านเรากำลังประสบภัยน้ำท่วมครับ และบ้านผมก็น้ำเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เอาไงดีล่ะ แต่ถ้าไม่ไปก็ เอ่อ.... จ่ายเงินทางรีสอร์ทไปแล้วด้วยซิ

ทั้งพ่อกับพี่ชายก็บอกให้ไปผ่อนคลายเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ ดังนั้น ก่อนไป ผมช่วยพี่ชายขนของขึ้นที่สูง เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไว้ก่อน

สำหรับ ช่องแคบ Lembeh มันพิเศษยังไง จะมีสัตว์เล็กๆแปลกๆเยอะ ที่บ้านเราไม่มี หรือถ้ามีก็อาจจะหายากมาก ทรายสีดำจากภูเขาไฟนี่แหละ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันมีอะไรซ่อนอยู่ แม้ปะการังจะสู้บ้านเราไม่ได้ก็ตาม

การเดินทางไม่ได้ต่างไปจากตอนไปสิปาดันเลย ต้องต่อเครื่องบิน 2 ต่อ แถมนั่งนานกว่าอีก ผมต้องไปนอนค้างที่สนามบินชางฮี(Changi Airport) ประเทศสิงคโปร์ 1 คืน(นอนค้างในตัวเมืองก็ได้ครับ แต่ว่าอยากประหยัดค่าที่พักน่ะ) ในรุ่งเช้าผมจะต้องต่อเครื่องไปลงเมืองมานาโด(Manado) ประเทศอินโดนีเซีย

เป็นครั้งแรกที่ผมใช้บริการจองตั๋วเครื่องบินผ่าน Agency ครับ เป็นเพื่อนพี่ปุ๊ย อยู่ในวงการดำน้ำเหมือนกัน ชื่อพี่ปิ่นแห่ง Agenta Travel พี่ปิ่นอำนวยความสะดวกและให้คำปรึกษาดีมาก ทำให้ผมทราบว่า ในบางครั้งการจองตั๋วเครื่องบินเดินทางแบบ Low Cost Airline หลายต่อ ไม่ได้ถูกที่สุดเสมอไป ในบางครั้ง การจองผ่าน Agency รวดเดียวก็อาจจะถูกกว่าก็ได้(ซึ่งต้องไม่ใช่ Low Cost Airline) เหมือนเช่นในครั้งนี้ ที่ผมเดินทางหลายต่อ(ไปจองแยกในเว็บ ราคาแพงกว่าน่ะ) ต้องขอขอบคุณพี่ปิ่น มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

พี่ปุ๊ยบอกว่า จะมีผู้หญิง 2 คน คนหนึ่งอยู่ที่สิงคโปร์อยู่แล้ว กับอีกคนมาจากประเทศไทย จะไปดำน้ำในทริปนี้ด้วย(ซื้อทริปมาจาก Dive info เหมือนกัน)

การเดินทางครั้งใหม่ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

อาจจะมีอันตรายข้างหน้าที่รอผมอยู่ แต่ผมก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผมยังพาแม่เดินทางไปด้วยเสมอๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน คราวนี้ไปดำน้ำ ดูสัตว์ทะเลตัวเล็กๆนะแม่

หากพร้อมแล้ว เราเดินทางไปพร้อมกันเลยครับ




20 ตุลาคม 2554


เครื่องบินออก 3 ทุ่ม ไม่ต้องรีบร้อน ยังมีเวลาจัดของและช่วยพี่ชายย้ายของหนีน้ำ ผมเลือก Flightสุดท้ายเพราะ เมื่อไปถึงก็ไปหาที่นอนเลย ไปนอนข้างนอกก็เสียค่าใช้จ่ายด้วยน่ะ(ลองสอบถามพี่ๆหลายๆท่านที่ไปดำน้ำที่นี่ บางคนก็เลือกนอนสนามบินครับ แสดงว่าไม่ได้มีแต่ผมคนเดียวนะ 555)

กระเป๋าพร้อม(ยี่ห้อ North Face เอากระเป๋าที่พี่ชายคนกลางกับพี่สะใภ้ซื้อให้ไป เขาว่ากันน้ำได้ด้วย) Fin พร้อม กล้องและ Housing พร้อม หน้ากากพร้อม Dive Computer พร้อม Passport พร้อม แลกเงินมาพร้อม สัมภาระโหลดใต้เครื่อง 1 ใบ อีก 2 ขึ้นเครื่อง ส่วนอุปกรณ์ดำน้ำที่เหลือ ใช้เช่าเอาครับ คุ้มกว่า เพราะไม่ได้ดำน้ำบ่อยนัก

มีเวลากินข้าวเย็นกับพ่อ แล้วพ่อขับรถมาส่งที่ Airport Link สถานีมักกะสัน ด้วย ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเลิกงานพอดี ประกอบกับมีฝนตกด้วย ลืมคิดไปเลย ไม่ได้ขึ้นต้นสาย(สถานีพญาไท) นี่หว่า แย่แล้วโว้ย!



ติดฝูงชน เสี่ยงตกเครื่องที่ Airport Link สถานีมักกะสัน!!


เอาแล้ว ยังไปไม่ถึงไหน ก็มีเรื่องตื่นเต้นซะนี่ ถ้าตามปกติ ผมจะสามารถเข้าไปในรถไฟฟ้าได้ง่ายๆ แต่นี่เป็นช่วงเวลาเลิกงาน ที่วันนี้ คนเยอะมากกว่าปกติ เพราะคนส่วนมากได้จอดรถส่วนตัวหนีน้ำกัน ทั้งบนทางด่วน ตามตึก นั่นก็หมายความว่า คนส่วนมาก ใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้น!

ต่อคิวไป เดี๋ยวก็ถึงคิวผม ไม่น่าจะมีอะไรนะ รอบแรกไม่ได้ รอบต่อมาอีก 20นาที เอาล่ะวะ

เอ่อ เข้าไม่ได้ครับ ไม่ใช่ว่าผมช้า แต่สัมภาระของผมพะรุงพะรัง มีกระเป๋าใหญ่ 1 ใบ เป้สะพานหลัง 1 และFin(ตีนกบ) สะพายไหล่ขวา อีก 1 ทำให้ผมเดินเข้าไปด้านในยากกว่าธรรมดา เพราะคนเข้ากรูไป (1 ประตูที่คนต่อคิวก็มีหลายแถวครับ) ทำไงดีละ ไม่อยากตกเครื่องด้วย

รอบ 2 ผ่านไปแล้ว เอาไงดี ผมจะลองไปซื้อตั๋วแบบ Express ทีเดียวถึงสนามบินเลยดีไหม หรือลงไปเรียก Taxi ดี หรือจะลองดูอีกซักตั้ง แต่ผมต้องรีบเบียดเข้าไป และเก็บพื้นที่กระเป๋าให้มากที่สุด

20นาที ผ่านไป ผมจะต้องสู้หน่อยนะ คราวนี้

เบียดเข้าไปครับ อยู่ห่างจากหน้าประตูเล็กน้อย กระเป๋าใหญ่วางที่พื้น นอกนั้นนิ่ง ขยับไปไหนไม่ได้เลย แต่เบาใจได้ว่า ผมไม่น่าจะตกเครื่องแล้วโว้ย 555(ดีใจมาก) แต่คนนี่ซิ แน่นแท้หลายเลย

คนน้อยลงเมื่อถึงสถานีรามคำแหงครับ ค่อยมีที่หายใจหน่อย แต่ Fin สีเหลืองค่อนข้างเด่นเลยล่ะ ไอ้เด็กคนนี้ก็มองอย่างสงสัย ว่าพี่คนนี้จะไปไหนเนี่ย



ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ!


โอ้เอ้ไม่ได้แล้ว หยิบรถเข็น เอากระเป๋าวาง สายการบิน SQ981 อยู่ Row ไหนหว่า มองหาซิ อ้าวอยู่ตรงนั้นนี่เอง

เริ่มคุ้นเคยกับสายการบิน Singapore Airline เพราะพึ่งใช้บริการครั้งแรกเดือนกรกฎาคม แต่เวลา Check-In ครั้งนี้ ไม่เหมือนคราวที่แล้วครับ เพราะจะเป็นการ Check Through หมายความว่า กระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่องจะไปส่งที่เมืองมานาโด ประเทศอินโดนีเซียเลย ผมไม่ต้องถือไป ถือมา ตอนอยู่ที่สนามบินชางฮี ประเทศสิงคโปร์ มีแต่เพียงของที่ขึ้นเครื่องเท่านั้น(สบายกว่าครับ ถ้ามา Low Cost ผมต้องลากกระเป๋าไปมา ทุกใบและตอนเช้าที่จะไปลงมานาโด อันนั้นไม่มี Low Cost ไปถึงนะ หากจองแยก ก็อย่างที่ผมบอกครับ แพงกว่าและลำบากกว่าด้วย)(หากเป็นช่วงมีโปรโมชั่น จองกับ Agency ก็ถูกกว่าได้นะ)



ตั๋วออกมาจะมี 2 ใบ ครับ ลงสิงคโปร์ กับลงมานาโด แบบนี้ก็ดีซิ ตอนเช้าผมไม่ต้อง Check-In ใหม่ ก็แค่ไปที่ Gate ให้ทันเวลาเท่านั้น บอกเจ้าหน้าที่ว่าขอ Long Leg Seat นะ เจ้าหน้าที่บอก เดี๋ยวดูให้)

ถึงตอนนี้ก็เขียนใบ Immigration ครับ พอมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว สบายล่ะ นึกๆดู เอ่อ ไปสิงคโปร์ผมไม่ต้องยื่นนี่ ผมไม่ได้ออกไปนอกสนามบิน ก็เอาไว้สำหรับผ่านด่านตรวจ ของประเทศไทยด้วย

เรื่องแลกเงิน แลกมาก่อนหน้านี้แล้วครับ ประเทศอินโดนีเซียใช้เงินสกุลรูเปียห์ แลกทีนึกว่าตัวเองเป็นเศรษฐี กินข้าวทีอาจต้องใช้เงินเป็นแสน(รูเปียห์)ก็ได้ 555 อีกสกุลที่แลกไปด้วย คือ ยูโร ครับ ที่รีสอร์ทรับเงินยูโรด้วย

ผ่านด่านตรวจ Passport เข้ามา ผ่านอีกจุดหนึ่ง ถอดอุปกรณ์ที่เป็นโลหะ( เช่น เข็มขัด) ให้เจ้าหน้าที่ตรวจ แล้วค่อยมาแต่งตัวใหม่นะ

D 2 อยู่ไหนละเนี่ย รีบเดินเข้า คราวก่อนที่ไปสิปาดัน ไกลมากๆ กว่าจะถึง Gate แต่คราวนี้ เฮ้ย ใกล้จัง เกือบเดินเลยแล้ว 555

ค่อยยังชั่วหน่อย มีเวลาโทรหาพ่อ โทรหาพี่ ก่อนจะขึ้นเครื่อง แต่คนดูน้อยมากๆครับ(ก็แน่ล่ะ)

เจ้าหน้าที่ เรียกขึ้นเครื่องแล้ว ไปกันเถอะ




Welcome to Singapore Airline!


กลับมาสายการบินนี้อีกครั้ง ได้ Long Leg Seat จริงๆด้วยครับ(ยืดขาสบายล่ะ) แถมข้างๆก็ว่าง ไม่มีคนนั่ง




หยิบหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก มาอ่าน ข่าวน้ำท่วม พาดหัวใหญ่ น้ำยังไม่ถึง กทม ครับ แต่ตอนผมกลับมาจะถึงหรือเปล่า ภาวนาให้ไม่มีอะไรก็แล้วกัน



อย่าเครียดเลย อย่าไปคิดถึงมัน กินข้าวแก้เครียด เครื่องออกล่ะ แอร์โฮสเตสถามว่าจะรับอะไรดี อะไรดีหว่า มื้อเย็นแบบนี้ต้อง “Fish” ซิ ย่อยง่าย โอ้ อร่อย

ตรงนี้นั่งสบายก็จริง แต่ห่างไกลทีวีนะ ก็คงต้องเลือกซักอย่าง ว่าจะนั่ง ยืดขา สบาย หรือดูทีวี

ลองเข้าห้องน้ำบนเครื่อง (ครั้งแรก) ก็สะดวกดีครับ

นอนดีกว่า เพลียๆเหมือนกัน พักเอาแรงไว้ก่อนนะ ก่อนนอนก็สวดมนต์ให้การเดินทางครั้งนี้ปลอดภัย




Welcome to Changi Airport!


เครื่องบินถึงสนามบินชางฮี เวลา เที่ยงคืน ยี่สิบห้านาที (ตามเวลาท้องถิ่น) เร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง(เมืองไทยก็ ห้าทุ่ม ยี่สิบห้านาทีนะ) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง



หากมา Air Asia ผมจะต้องนั่งรถไฟฟ้าต่อมาอีก เพราะเครื่อง Slik Air (ของสิงคโปร์) ที่จะขึ้นอยู่ Terminal นี้ครับ ) นั่งๆนอนใน Terminal นี้ แหละ



ใช้ Internet ก่อนเลยเป็นอันดับแรก เพื่อติดต่อที่บ้าน ตู้แบบนี้ Survey มาแล้ว ตั้งแต่ทริปสิงคโปร์ ฟรีด้วย ใช้ไป ใช้มา เข้าไม่ได้ซะ(โชคดี ส่งข้อความไปแล้ว) ที่กทม เตือนครั้งที่ 2 แล้วด้วย แถวๆรามอินทรา โอ้ เครียด

ใช้โทรศัพท์ด้วยดีกว่า ลองโทรไปที่บ้าน พี่ชายกับพ่อออกมา Survey แถวจุดเตือนว่า น้ำมาถึงไหนแล้ว ยิ่งทำให้ผมคิดมากเข้าไปใหญ่

ไม่คิดๆ ลองเดินดูภายในดีกว่า หาที่นอนด้วย



ตรงร้านกาแฟ หาที่นั่งพักหน่อย มีสัญญานฟรี Wi Fi ด้วยครับ เข้าจากโทรศัพท์ได้เลย ไม่ต้องใช้ Password ด้วย(ครั้งนี้ผมเอาไอโฟน 3 G ที่แม่ซื้อให้มาด้วย เผื่อในยามฉุกเฉิน แม้จะกลัวหาย ก็เถอะ)

ตอนนี้ ตีสองกว่าแล้ว ดูตารางสายการบินซิ สายการบิน Slik Air เที่ยวบิน MI 274 Gate F 33 นะ ออก 09.25 นาที (เมืองไทยก็ 08.25 นาที)



มีน้ำดื่มด้วย กระหายน้ำมากๆ ไปนั่งรอหน้า Gate ดีกว่าครับ ผมกลัวจะตื่นสาย เอาของสำคัญวาง เอาปลั๊กมาชาร์จโทรศัพท์ ต้องเอาหัวปลั๊กแบบพิเศษมาด้วย เพราะที่สิงค์โปร์ ปลั๊กจะเป็นอีกแบบครับ(ตรงนี้ สัญญาน Wifi ไม่ถึงนะ แย่เลย)



ลองนอนดู นอนไม่หลับครับ นั่งเอาหลังชนกระจก เอาของสำคัญไว้ที่มือ กอดไว้ให้มั่น กลัวมีคนมาขโมย นอกจากยุงกัด อากาศยังหนาวมาก (หนาวกว่าปกติ) เสื้อหนาวก็ไม่ได้เอามา(ใครจะไปรู้ว่ามันจะหนาวขนาดนี้) มีความรู้สึกว่า ปวดท้อง ครั่นเนื้อ ครั่นตัว เหมือนจะไม่สบายแล้วล่ะครับ








0 Comments:

Post a Comment

<< Home