Singapore...This is my occasion(9)
กินข้าวมันไก่อิ่มแล้ว ได้เวลาเดินขยับขยาย ย่อยอาหารซะหน่อย ในซอยนี้มีร้านอาหารไทยอยู่หลายร้านครับ หนึ่งในนั้นก็ชื่อว่า “Jai Thai” ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1999 เห็นภาพอาหารหน้าร้าน ก็คิดถึงอาหารไทยขึ้นมาทันที(ขนาดจากมาไม่กี่วันเองนะ 555) แสดงว่า ธุรกิจอาหารไทยไปได้ดี ทั่วโลกจริงๆ
ผ่านหัวมุมก็มาเจอ Raffles Hotel(ที่บอกว่าราชา Superstar เพลง Pop เคยมาพักนั่นแหละ) ดูจากภายนอก ยังดูไม่ออกเลยครับว่าจะหรูหราขนาดไหน (ทรงตึกมันดูคล้ายๆตะวันตกนะ)
ตึกสูงเยอะไปหมด สมกับเป็นเมืองแห่งธุรกิจ เดินข้ามถนน ต่อด้วยการก้าวย่างไปบนทางเท้า สังเกตได้ว่าเส้นทางค่อนข้างสะอาดมาก แผงลอยขายของไม่มี ขยะก็ไม่มี
ด้านหน้าเป็นตึก Raffles City เดินเข้าไปตากแอร์ด้านในดีกว่า ที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าครับ
เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย แล้วเดินต่อ ออกมาเจอสถานีรถใต้ดิน สถานี City Hall เผื่อใครจะนั่งมาแถวนี้นะ
หน้าตาถังขยะ ตรงจุดนี้เป็นแบบ Recycling Bins แยกกระดาษ ขวดแก้ว พลาสติค และกระป๋อง มี Hotline สายด่วนให้ติดต่อด้วยนะ(ห้ามใส่อาหารและของเหลวลงไปนะครับ)
S.E.X. in the City ไม่ใช่ชื่อหนังนะ แต่เป็นร้านขายอุปกรณ์ทางเพศนั่นแหละ ทำสีได้เด่นมาก ถ่ายรูปเก็บไว้ดูเฉยๆ สำหรับบ้านเรายังไม่ได้เปิดกว้างขนาดนี้ครับ
ที่นี่ Peninsula Plaza Shopping Center เดินเข้าไปดู มีร้านขายกล้อง ทั้ง Canon และ Olympus ดูแล้วน้ำลายไหล สวยๆทั้งนั้น แต่ไม่มีตังค์ซื้อหรอก เก็บเงินไว้ไปดำน้ำเหมือนเดิมแหละ(อีก 2 เดือนเองน่ะ 555)
รถไม่ค่อยติดเท่าไร สงสัยยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน อันนี้น่าจะเป็นธนาคารครับ แบบว่าไม่เคยเห็นเลยถ่ายรูปมาดู ยี่ห้อ “POSB” มีเครื่องหมายบริการเป็นรูป ลูกกุญแจ ด้านในมีตู้เอทีเอ็มด้วยล่ะ
ใกล้ๆก็มี “Funan Digital Life Mall” ฟังชื่อก็พอจะเดาได้นะครับ เป็นสถานที่ขายอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งหลาย
ระหว่างรอพี่ชายทำธุระ สำรวจดูดีกว่า ตรงนี้มีอะไรบ้าง เริ่มจากหัวมุมนี้ เป็นถนนที่ชื่อว่า “North Bridge Road”
เดินเลี้ยวซ้ายก็มี Counter ของ Air Asia มีไปเมืองไทย ด้วยนะ (ลง หาดใหญ่ ด้วย)
ร้านของทอดที่มีชื่อเสียงอย่าง “ Old Chang Kee” ที่เคยเห็นจากในเว็บ ก็อยู่ตรงหัวมุมนี่ด้วย
เรามาดูราคาสินค้ากันดีกว่า สำหรับใครอยากจะดื่มน้ำอัดลมใน 7 –eleven โค๊ก(ขวดพลาสติค)ราคา 1.60 เหรียญสิงคโปร์(พี่ชายคนโตบอกให้เข้าไปดูครับ)
ถ้าเป็นกระป๋อง ยิ่งถูกกว่าเดิม(ตู้กดน้ำอัตโนมัติ) ทั้งโค๊กและเซเว่นอัพ ราคา 1.10 เหรียญสิงคโปร์ เท่านั้น!!!
เข้ามาเดินเล่นที่ห้าง Funan ดีกว่า บรรยากาศคล้ายๆพันธ์ทิพย์ พลาซ่า หรือไม่ก็ Forjune ที่บ้านเรา นั่งกินน้ำและขนมที่ร้าน “Jollibean” รสชาดแปลกๆ พิกล ก็ทำมาจากถั่วเหลืองไง ทำเป็นไม่คุ้น 555
จากนั้นเดินออกมาที่ป้ายรถเมล์ พี่มุก กางแผนที่ออก พี่เก่ง พี่ณัฐ ช่วยดูเส้นทาง เราจะพาพ่อไปไหว้พระที่วัด ย่าน China Town ครับ (พูดถึง เราไปเที่ยวกันมาก็หลายที่ ซึ่งดูแล้วพ่อก็คงมีความสุขมากๆ ถ้าทริปนี้ได้ไปวัดและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดสิริมงคล) สำหรับผม แน่นอนว่า อยากจะไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุณแม่ด้วย)
โหนรถเมล์ไป China Town กัน!!
แค่ดูป้ายรถเมล์ก็มึนแล้วครับ มีตั้งหลายเลข แล้วจะไปสายไหนดีล่ะ แต่ว่ารถเมล์ที่ผ่านมา นอกจากภาษาจีนก็จะมีภาษาอังกฤษด้วยนะ มาประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษด้วย ก็ดีแบบนี้แหละ
จริงๆจะนั่ง Taxi ก็ได้ แต่บัตร Easy Link มันใช้กับรถเมล์ได้ด้วยนะ อุตส่าห์ซื้อมาแล้ว ก็ควรใช้ให้คุ้ม ขึ้นประตูหน้า แล้วแตะบัตร ก่อนลงก็แตะอีกครั้ง(ประตูกลาง) แค่นี้ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีกระเป๋ารถเมล์เลย(บ้านเรา ถ้ามีแบบนี้ก็คงดี แถมคนขับก็ไม่ได้ขับซิ่ง ตีนผีแบบบ้านเราด้วย)
พ่อนั่งข้างๆหญิงชาวสิงคโปร์ อายุไม่น่าต่างกันมากนัก เห็นฟุดฟิดฟอไฟ ภาษาอังกฤษ ด้วย ฟังจับใจความได้ว่า มาเที่ยว แล้วนี่ก็ลูกชาย ลูกสะใภ้ หลานชาย ส่วนภริยาก็ ..... นั่นแหละครับ แล้วก็เล่าไปเรื่อยว่า คนนั้นคนนี้เป็นยังไง พ่อก็พูดตามสไตล์ของแก จะได้ไม่เหงาด้วย
แม้ผมยังไม่ได้มีโอกาสได้เป็นพ่อคน แต่ก็รู้ได้ว่า ความเป็นพ่อและแม่นั้น สิ่งที่ภาคภูมิใจ ก็คือ ลูกๆทุกคนเป็นคนดี ดังเช่นที่ผมเห็นเสมอ เวลาพ่อกับแม่ เล่าให้เพื่อนๆฟัง เกี่ยวกับลูกของตน
รถเมล์ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ พี่มุกชี้ให้ดูว่า ตรงนั้น คือ Clark Quay เป็นจุดท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ มีร้านอาหารอยู่หลายร้านเลยล่ะ
จากนั้นไม่นาน เราก็มาถึง China Town แล้วครับ
China Town at Singapore!!
ตึกอะไรหว่า อยู่ตรงข้ามถนน สีเขียวสลับเหลือง เขียนว่า Five Star Tours ดูแล้วน่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ส่วนตึกด้านบน สังเกตจากห้องเล็กๆ มีผ้าตากหน้าห้อง มีคอมเพรสเซอร์แอร์ ก็น่าจะเป็นแฟลตหรือคอนโด ที่อยู่อาศัยครับ จะว่าไป มาสิงคโปร์ไม่ค่อยเห็นที่พักที่เป็นบ้านเดี่ยวๆ แบบบ้านเราเลยนะ
เดินไปเรื่อยๆ พ่อแวะร้านยาจีนครับ เห็นว่าเพื่อนร่วมงานฝากซื้อ แล้วที่นี่ก็ขายไม่แพงซะด้วย
นั่น Temple Street แสดงว่าใกล้มาถึงล่ะ วัดแรกที่จะไปเป็นวัดฮินดู(ก็วัดแขกนั่นแหละ) ชื่อจะค่อนข้างยาวหน่อย ระหว่างทาง ผ่านร้านอาหาร ร้านของทอด Old Yang Kee ร้านขายของริมทางและผ้าสีแดง กับโคมไฟ เป็นสัญลักษณ์ที่เรามักคุ้นตาในย่านคนจีน
Sri Mariamman Temple
ถึงแล้วครับ บนกำแพงด้านบน จะมีวัวอยู่ด้วย สถาปัตยกรรมและลวดลายนั้นสวยงามมาก แต่หากเข้าไปด้านในแล้ว เขาห้ามถ่ายรูปนะครับ ใครอยากถ่ายก็ต้องจ่ายเงินเป็นค่าบำรุงวัดเล็กๆน้อยๆ
วัดศรีมารีอัมมันนี้เป็นวัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ด้วยนะ เราเข้าไปภายในวัด ก่อนจะอธิษฐานขอพร เดินรอบๆ มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะดีครับ บ้างก็ว่าคล้ายๆวัดแขกสีลม(ที่บ้านเรา) บังเอิญว่า ผมก็ไม่เคยไปวัดแขกสีลม เลยไม่แน่ใจว่าจะคล้ายกันมากน้อยแค่ไหน
ออกมาด้านนอก เจอเด็กนักเรียนเดินผ่าน มีทั้งผิวดำ ผิวเหลือง ผิวขาว สมกับเป็นเมืองที่ผสมผสาน หลายวัฒนธรรม หลากหลายเชื้อชาติจริงๆ
จากวัดศรีมารีอัมมัน เป้าหมายต่อไป คือ วัดพระเขี้ยวแก้ว หรือ Buddha Tooth Relic Temple เราเดินผ่าน Smith Street ไม่นานนักก็ถึงแล้ว
แต่ก่อนถึง มีร้านขายพวงกุญแจครับ ราคาถูกด้วย ขอซื้อติดไม้ติดมือไปฝากคนที่เมืองไทยก่อน
Buddha Tooth Relic Temple
วัดนี้เป็นที่เคารพสักการะจากชาวสิงคโปร์ที่นับถือศาสนาพุทธ ภายในสวยงามมาก ด้านในมีเจ้าแม่กวนอิม คุณแม่ผม ท่านนับถือเจ้าแม่กวนอิมอยู่แล้ว ดีจังได้พาแม่มาที่นี่
มีพระประจำปีเกิดด้วยครับ น่าสนใจไม่น้อยเลย ผมเดินถ่ายรูปรอบๆ มีมุมถ่ายรูปค่อนข้างมาก จนมาเห็นสิ่งที่มีลักษณะคล้ายโหลแก้วกลมๆ ด้านในมีแสงไฟสว่างไสวจากเปลวเทียน ข้างขวดแก้วก็มีติดชื่อด้วย หลังจากที่พี่ชายไปถามเจ้าหน้าที่ของวัด สิ่งนี้ คล้ายๆการอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับน่ะครับ
เราเขียนชื่อแม่ติดที่ขวดแก้วนี้ ผลัดกันถือ ตั้งจิต อธิษฐาน ก่อนที่จะนำไปวางในสถานที่ที่จัดไว้
อยู่ๆ น้ำตาก็คลอเบ้า ผมรู้สึกคิดถึงเธอมากจริงๆ ครับ
ที่ด้านบน มีลิพท์ขึ้นไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วได้ ลองขึ้นไปดูดีกว่า มาถึงทั้งที่ ไม่ขึ้นไปได้อย่างไร
นมัสการพระเขี้ยวแก้ว – ท่าไหว้แบบแปลกๆ
ขึ้นมาด้านบน จะมีห้องโล่งๆ ปูด้วยพรมดูสะอาดตา มองเห็นคนนั่งสมาธิอยู่ด้วย ในห้องนี้มีพระเขี้ยวแก้วอยู่ในตู้กระจก ซึ่งทางวัดห้ามถ่ายรูปครับ
นมัสการเรียบร้อย ผมมองเห็นชายคนหนึ่ง(น่าจะเป็นชาวสิงคโปร์นะ) สวมชุดสีขาว และทำท่าทางซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง เดาได้ว่าเป็นการไหว้นั่นแหละ เพียงแต่มันแปลกมากๆครับ เพราะมันไม่ใช่การกราบพระเหมือนที่เราเคยเห็นๆกัน
แปลกอย่างไร เขายืนขึ้น พนมมือขึ้นเหนือหัว ทำปากเหมือนอธิษฐานอะไรซักอย่าง แล้วก้าวเท้ามาด้านหน้า พร้อมกับมือที่พนมนั้น และยืดออกไป
จากนั้นก็คุกเข่าลง ยังคงยืดมือที่พนมนั้นไปด้านหน้า ก่อนจะล้มตัวนอนคว่ำ ในขณะที่มือที่พนมก็ยังอยู่ และยังคงยืดออกไป และนิ่งแบบนั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนและซ้ำกลับท่าเดิม
เออ งง ครับ ไม่เคยเห็นเลยแฮะ แต่สิ่งที่ชายคนนี้ทำ ไม่ใช่ทำแบบเล่นๆ มันมีความหมายครับ เพียงแต่เราไม่คุ้นเคยเท่านั้นเอง เป็นวัฒนธรรม ของศาสนาพุทธในอีกประเทศหนึ่งน่ะ
ด้านนอกห้องก็มีขายของที่ระลึกด้วย ขากลับลงลิพท์ก็เจอ 2 สาวชาวสิงคโปร์ น่ารักไม่เบาเลยล่ะ 555
เลือกซื้อของที่ระลึก China Town
เราเดินทะลุออกมาด้านหลัง มีร้านขายของที่ระลึกเยอะมาก มีหลายแบบ แถมราคาไม่แพง มิน่าล่ะ ทำไมถึงบอกว่า มาหาของที่ระลึก ต้องมาที่ China Town
ถนนเล็กๆตรงนี้ มีร้านขายของตลอดริมสองฝั่ง ที่สำคัญในหลายๆร้าน คนขายพูดภาษาไทยได้ด้วย(เอากับเขาซิ 555)
“ผมคนสิงคโปร์ แต่พูดไทยได้นิดหน่อย มีลูกค้าชาวไทยมาซื้อของเยอะน่ะ” พ่อค้าชาวสิงคโปร์กับสำเนียงแปร่งๆ แต่ฟังแล้วเข้าใจ
ผมเลือกของร้านนั้น แล้วไปร้านนี้ต่อ อะไรจะให้เยอะขนาดนั้น เยี่ยมเลย(จะได้เอาไปแจกหลายๆคนครับ)
กระหายน้ำจัง ดื่มน้ำหน่อยดิกว่า สำหรับน้ำอัดลมกระป๋อง ถูกที่สุด ต้องมาที่ไชน่า ทาวน์ เลย(ราคาประมาณ 60-90 เซ็นต์ ไม่ถึง 1 เหรียญด้วย) (หากใครทราบว่ามีขายถูกกว่านี้ บอกผมหน่อยนะ จะได้เก็บไว้เป็นข้อมูลท่องเที่ยวครับ)
เอาล่ะ เรียก Taxi ได้เวลากลับไป Check-in ที่ Marina Bay Sands Hotel แล้วครับ
Check-in at Marina Bay Sands Hotel
อัตรา Taxi ของที่นี่ นอกจากจะคิดตามระยะทาง และดูตามประเภทของรถแล้ว ช่วงเวลาก็มีความสำคัญครับ หากเป็นชั่วโมงเร่งด่วน แบบคนเลิกงานเย็นๆ ดังเช่นที่ผมเรียกมานี้ จะมีค่าบริการชารจ์เพิ่มด้วยนะ
ได้ Key Card มาแล้ว พนักงานพาขึ้นมา ด้านบน ว่าแต่ลิพท์ที่นี่เปลี่ยนชั้นได้เร็วมากจริงๆ
ยิ่งอยู่ชั้นบนมากเท่าไร ก็ยิ่งราคาแพงกว่าชั้นล่างๆครับ
เราได้ห้อง 3590 ตอนติดต่อเป็นสองห้องครับ แต่ด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบ เขาให้ห้องใหญ่เลย(ราคาน่าจะเท่าเดิมนะ) ภายในห้องก็แบ่งเป็นห้องเล็กๆหลายห้อง (ดีซะอีก จะได้อยู่ด้วยกันทั้งหมดนะ)
รอพนักงานมาส่งกระเป๋า ตอนนี้ลองสำรวจห้องดู หรูหรา ดีมาก ไหนออกไปดูวิวด้านนอกหน่อย
มองเห็นทะเลและเรือที่ลอยอยู่มากมาย เห็นสิ่งก่อสร้างที่กำลังเกิดขึ้น สมกับเป็นเมืองใหม่จริงๆนะเนี่ย
ภายในห้อง มีเตียง มีห้องรับแขก มีทีวี มีห้องน้ำ มีตู้เย็น มีเครื่องชงกาแฟ มีเครื่องถ่ายเอกสาร(เอาเข้าไป มีด้วยนะเนี่ย 555)
ลองเปิดทีวีดูซิ เฮ้ย ต้องเป็นพี่มุกแน่ๆ ที่ใช้ชื่อผมในการจอง เพราะมันขึ้นชื่อผมนะ กับคำกล่าวต้อนรับของทางโรงแรม ตกใจเหมือนกัน แต่ขอบคุณนะครับพี่ 555
ว่ากันว่าดาดฟ้าของที่นี่ มีสระว่ายน้ำ และวิวสวยมากด้วย ขอไปยลโฉมเป็นบุญตาหน่อยแล้วกันนะครับ
0 Comments:
Post a Comment
<< Home