Friday, August 19, 2005

ฝรั่งเศส เปลี่ยนแปลงชีวิตผม


สมัยเรียนมัธยมต้น เกรดเฉลี่ยของผมตกไปอยู่ที่ 1.61 (เลขก็ 0 , อังกฤษก็ 0 ) การบ้านก็ลอกเพื่อนๆตลอด จึงมีปัญหามากพอสมควรเพราะเรียนวิทย์-คณิต(โปรแกรม 1)ก็คงไปไม่รอด หากเรียน ศิลป-คํานวณ(โปรแกรม 2)ก็คงไม่รอดเช่นกัน

ทางเลือกของผมที่ดีสุดในตอนนั้น คือ เรียน ศิลป-ฝรั่งเศส(โปรแกรม 3 ) ทั้งนี้เพราะการเรียนภาษาฝรั่งเศสทุกคนเริ่มต้นใหม่พร้อมกันหมด ผมจึงหวังว่าจะช่วยทําให้การเรียนของผมดีขึ้น

วันแรกของการเรียน ผมกลับมานั่งทบทวนบทเรียนทันที พร้อมท่องศัพท์ ผัน Verb ไปเรื่อยๆทุกๆวัน ช่วงแรก ผมยอมทํางานหนักซึ่งผลที่ได้ คือ ผมเริ่มมีความรู้มากกว่าเพื่อนๆ ที่เรียนมาพร้อมกัน จนกระทั่งเกรดเฉลี่ยของผม ขึ้นมาที่ 3.2

ผมดีใจมากๆ ต้องขอบคุณ ครู สุมล ชมภูนิช ที่คอยสั่งสอนภาษาฝรั่งเศสและทําให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองได้

ถึงแม้ว่าความเก่งกาจภาษาฝรั่งเศสของผม จะเทียบกับเด็กคนอื่นที่เรียนตาม รร ชั้นนำต่างๆ ไม่ได้ แต่นั่นที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต ที่ทําให้ผมไม่กลับไปเป็นเด็กคนเดิม ที่เคยลอกการบ้านเพื่อนเป็นประจําและไม่ใส่ใจในการเรียน

ความฝันของผมอีกข้อหนึ่ง คือ การได้ไปศึกษาต่อยังประเทศฝรั่งเศสแต่พอเริ่มโตๆขึ้นๆ ผมก็เริ่มหยุดไล่ตามมัน เนื่องจากว่าบ้านผมไม่มีเงินที่จะส่งไปศึกษาต่อได้(ถึงมี ก็ขอไม่ได้ครับ) หนทางที่จะทําให้ผมไปได้ คือ ได้ทุนหรือส่งเสียเงินด้วยตนเอง

และยิ่งเมื่อผมพบสิ่งที่รักมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ ทะเล ฝันเป็นมนุษย์กบลงไปหาเพื่อนร่วมโลกจนขวนขวายเก็บเงินไปเรียนนั้น ความฝันเรื่องฝรั่งเศสซึ่งถือเป็นเรื่องรอง ก็เริ่มจะหายไปจากหัวสมองของผมในทันที

จนกระทั่งผมได้รับหนังสือ Study in France with Edufrance จากเพื่อนคนหนึ่ง ทําให้ผมเริ่มตั้งมั่นอีกครั้ง แต่ไม่นานก็เหมือนเดิมและผมก็ทิ้งโอกาสหลายๆครั้งๆแล้วครั้งเล่า

ไม่นานมานี้ ผมได้พูดคุยกับสาวน้อย(ร้อยชั่ง) จากแดนไกล เธอเป็นคนจุดประกายไฟในตัวผมที่ดับลงไปแล้วอีกครั้ง ทําให้ผมอยากจะทําฝันให้เป็นจริงขึ้นมา

วันนี้ผมเดินเข้าไปในห้อง เห็นหนังสือเล่มนี้วางอยู่ ซึ่งนานแล้วที่ผมไม่ได้เปิดมันอ่านขึ้นอีก ผมตัดสินใจหยิบมันขึ้นอ่านอีกครั้ง ในครั้งนี้ผมรู้เรื่องมากกว่าเดิม อาจเป็นเพราะมีสมาธิในการอ่านมากขึ้น จากที่เคยอ่านแค่ผ่านๆ

ทําให้ผมรู้เรื่องราวต่างๆมากขึ้น เช่น ที่ฝรั่งเศสจะใช้สกุลเงินยูโร ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2545 เป็นต้นมา(ยกเว้น อังกฤษ เดนมาร์กและสวีเดน) มิน่าผมไม่ค่อยได้ยินใครพูดถึงสกุลเงินฟรัง อีกเลย

นอกจากนี้ผมยังรู้มากขึ้นอีกหลายเรื่อง เช่น คนต่างชาติอย่างเรา หากเข้าไปศึกษาต้องมีบัตรต่างด้าวหรือที่เรียกว่า Titre de Sejour(ต้องมีอั๊กซองเตกืที่ e ด้วยนา ไม่มี font ฝรั่งเศสเสียด้วย)

ผมคิดในใจว่า หนังสือดีๆ มีไว้กับตัวแต่ไม่ใช้ประโยชน์จากมันเท่าที่ควร ที่สําคัญผมทิ้งโอกาสไปมาก หากลองยื่นใบสมัครดูบ้าง ผมอาจจะโชคดีก็ได้(ใครจะไปรู้)

ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่า จะทําฝันข้อนี้ให้เป็นจริงอีกให้ได้เหมือนที่ผมเคยทําได้ครั้งเรียน Scuba แม้ฝันครั้งนี้จะไม่ง่ายเท่าคราวก่อนก็ตาม

ถึงแม้ว่า มันอาจไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน อาจใช้เวลาหลายปีหรืออาจไม่เกิดขึ้นเลย แต่ผมก็จะพยายามต่อไป

หากฝันของผมเป็นจริงได้ คงต้องขอบคุณสาวจากแดนไกลผู้นั้น ที่เป็นแรงบันดาลใจ(แรพเตอร์) (จะจบแล้วยังลาวอีก)ให้ผมแบบที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมอีกครั้งก็ได้นะ

11 Comments:

At 11:51 PM, August 19, 2005, Anonymous Anonymous said...

อ้าว..เหรอ..
ดีแล้วล่ะที่หาแรงบันดาลใจเจอ
...
สาวจากแดนไกลคนนั้นน่ะ
อยู่ที่ไหนเหรอ
ถ้าอยู่ฝรั่งเศสจะได้เป็นเพื่อนกัน
....
ยูโร ทำให้ของแพงขึ้นมาก (เค้าบอกมา)
แม้จะมาฝรั่งเศสไม่ทันตอนที่เค้าใช้เงินฟรังก์
แต่จากการพูดคุยและอ่านหนังสือ รวมทั้งสังเกตสังกาดู
คนฝรั่งเศสจะบ่นๆๆ เสมอเรื่องของแพงเพราะยูโร
อาจจะเป็นเพราะว่า ไม่สามารถลดทอนได้ต่ำกว่า หนึ่ง ซองตีมก็เป็นได้
แต่เงินฟรังก์สามารถทำได้
ตอนนี้ในร้านต่างๆเอง ยังคงต้องราคาของเป็นฟรังก์แสดงไว้
อัตราการเทียบเคียง คือ หนึ่งฟรังก์ มีค่าเท่ากับ 6.55957
อย่างไรก็ดี มีเรื่องน่าแปลกอีก
คือยูโร ที่ เยอรมัน จะซื้อของได้เยอะกว่ายูโรฝรั่งเศส
ทั้งนี้ เพราะ ราคาของที่เยอรมัน ไม่มีลงท้ายเป็นเลขคู่และคี่ ที่ไม่ใช่ "ห้า"
เหรียญซองตีม "หนึ่ง" และ "สอง" จึงหายาก
เป็นที่ยากลำบากของนักสะสมเหรียญยูโร
พอๆกับการหาเหรียญจากฟินแลนด์ หรือ ประเทศต่างๆในยุโรปเหนือ
....
การ์ด เด เซจู / titre de séjour
มีชื่อง่ายๆว่า "บัตรต่างด้าว"
มีประโยชน์มาก
เพราะถือเป็น พาสปอร์ตฝรั่งเศสแบบเทียมๆ
คือถือเป็นใบผ่านทางเข้าทุกประเทศที่คนฝรั่งเศสสามารถเดินเข้าได้ ไม่เฉพาะแต่ในประเทศข้อตกลง เชนเกน Schengen (หากเขียนผิด ก็ขออภัย)เช่น อิตาลี สเปน
แต่ยังรวมถึงประเทศในแถวๆ อียิปต์ ตูนิเซีย มารอก แถวๆบ้านเกิดซีดาน หรือจะเป็น กัวตาลูป มาตินิก หรือ เฟรนช์ กิอานา (ที่เค้าเพิ่งไปยิงจรวดไง)
เหตุผลไม่มีอะไร
คือเค้ามีข้อตกลงพิเศษ หรือ เป็นดินแดนอาณานิคมฝรั่งเศสไง
จึงถือเป็นข้อควรตักตวงการท่องเที่ยว
ในการอยู่ในดินแดน เฮกซากอน แห่งนี้
....
อ้อ เกือบลืม
คนฝรั่งเศสจะพิมพ์งานโดยใช้ font คอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า Times New Roman ขนาด สิบสอง
อย่าลืมเปลี่ยนฟ้อนท์ หากต้องพิมพ์อะไร
ตอนส่งใบสมัครนะ

 
At 12:23 AM, August 20, 2005, Anonymous Anonymous said...

การเดินทางมาเรียนต่อเปลี่ยนชีวิตผมไปมาก
ถ้าใครเล่นเอ็มเอสเอ็นกะผม คงเห็นว่า ตลอดสัปดาห์ที่แล้ว ผมใช้ชื่อว่า "ทนสุข กับสิ่งที่เลือกไม่ได้"

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆนะครับ

เมื่อเลือกมาแล้ว มันต้องมา ต้องอยู่ มันถอยไม่ได้แล้ว ถ้าถอย คือถอยจริงๆ ก็คือต้องรับกรรม ว่าเราจะมีรอยแผลแห่งความพ่ายแพ้ตลอดชีวิต

คุณมีเวลาแค่ก่อนเครื่องบินปิดประตูเท่านั้นครับ เพื่อการตัดสินใจ

ปารีส ฝรั่งเศส ไม่ใช่จังหวัดขอนแก่นที่จะไปๆมาๆได้

การต่อสู้กับตัวเอง การปรับตัว เป็นสถานการณ์ที่โหดร้าย

ชีวิตนักเรียนนอกไม่ใช่เรื่องสนุก ในกรณีของนักเรียนทุน ที่ไม่มีเงินถุงเงินถัง

ไม่ได้ขับรถเฉิดฉายอย่างในหนัง

เราอยู่ในสภาพที่ต้องอดทนทุกอย่าง

อากาศหนาวเย็นที่เราไม่เคยพบเจอ
หนาวขนาดที่เดินแล้วคิดอะไรไม่ออก เพราะสมองแข็ง

การเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าถิ่น
ผมเคยซื้อนมลดราคา แต่คนขายคิดราคาเต็ม แล้วหันไปพูดกับเพื่อนว่า "ไอ้หมอนี่คนต่างชาติมันไม่รู้เรื่องหรอก" (แต่เราเสือกฟังออก)

ผมเคยไปซื้อทีวีมา ระหว่างทางถูกฝรั่งมาชวนคุย ถามว่าซื้อที่ไหน มีใบเสร็จไหม ผมฟังเขาคุยกันเองแล้ว เหมือนเขาไม่เชื่อว่าผมซื้อมาเองจริงๆ

เคยถูกเพื่อนต่างชาติถามว่า เมืองไทยกินหมาไหม หมาอร่อยป่าว เอารูปน้องหมาของเราให้ดู ดันถามหน้าตาเฉยว่า "แล้วลื้อฆ่ากินไปหรือยัง เจ้าเหลืองอ้วนเนี่ย"

เด็กวัยรุ่นแต่งตัวดี มากับแฟน เห็นผมเป็นคนเอเชียตัวเล็กๆ (?) ก็เดินหน้าด้านมาขอเงินเอาดื้อๆ เหมือนจะโชว์พาวกับแฟนว่าฉันกดเอทีเอ็มจากกระเป๋าตังค์คนเอเชียก็ได้

ผมโดนเรือดกัด แพ้จนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เจ้าของที่พักโบ้ยว่า เป็นเพราะคนไทยสกปรก จนขนาดขู่ว่าจะเอาสาธารณะสุขมาเล่นงาน มาดามแกก็จัดการเพียงแค่เรียกบริษัทมาจัดการฉีดยาขนานแรงสุด ให้เฉพาะห้องคนไทยทุกห้อง

และไม่สนใจว่าข้าวของเราจะเสียหาย ใช้การไม่ได้หรือไม่

หลายเรื่องครับ กระทั่งครูหรือเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนบางคนก็ไม่ให้เกียรติเรา ถ้ารู้ว่าเราขอเงินเขามาเรียน

แน่นอน และเมื่อถึงเวลาจะเข้ามหาวิทยาลัย ความเคีรยดอีกแบบก็จะเข้ามาแทนที่

คือความหวดกลัวถึงก้นบึ้งของจิตใจ

เฮ้ย ทีวีพูดมา ฉันยังฟังไม่รู้เรื่องเต็มร้อยเลย นี่ต้องไปฟังเลคเชอร์เนี่ยนะ

ผมเครียดจนถึงขนาดหมกตัวอยู่กับห้องไม่ออกไปไหนทั้งอาทิตย์ เพราะกลัวฝรั่ง ไม่กล้าพุดกับฝรั่ง ก็มีมาแล้ว

ทุกคน, แม้แต่สาวน้อยร้อยชั่งคนนั้นก็เคยพบปัญหานี้

ผมไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมเคยมีนักเรียนทุนกระโดดตึกตาย ไม่เฉพาะทุนหนึ่งอำเภอหรอก ทุน ก.พ. ทุนรัฐบาลฝรั่งเศส กลับไปเป็นบ้า หรือไม่บ้าแค่เกือบๆ กลายดเป็นโรคกลัวฝรั่งก็มาก หรือมีโรคร้ายเพราะการตรากตรำกลับบ้านไปฝากแม่ด้วย

ผมไม่ได้มาเบรกความฝัน

แต่ผมอยากให้ใคร่ครวญว่า ชัยชนะหรือความสำเร็จของคุณ ไม่ได้เริ่มที่เมื่อเขาประกาศให้ทุน

แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งความทุกข์ ที่เราต้อง "ทนสุข"

ก็ขอบอกเอาไว้

Vouloir ce n'est pas toujours pouvoir, vouloir c'est encore vouloir et falloir

Si non, Au revoir !!!

 
At 12:25 AM, August 20, 2005, Anonymous Anonymous said...

อีกคำที่คนแก่อยากสอน,

อย่าให้คนอื่นมาเติมน้ำมันให้เรา

รถเรา เติมเอง วิ่งเอง หมดก็หมดเอง

 
At 12:39 AM, August 20, 2005, Blogger kasab71 said...

กาดร เดอ เซจู กับ ติดเตรอ นี่เหมือนกันนี่เอง ว่าจะถามอยู่พอดี

อ๋อ เฟรน กิอาน่า วันนั้นก็ดูครับ ตื่นเต้นจัง

ขอบคุณสําหรับคําแนะนําครับ ที่ยาวดี เหมือนเดิม(ไม่ได้ว่า นา )


ขอบคุณ พี่บุญชิตมากครับ ที่เข้ามาให้ความเห็น

ผมเข้าใจดีกับความลําบากในต่างแดน แม้จะเป็นนัก

เรียนทุนก็ตาม ทั้งคนดูถูก คนอันตพาล เหยียดหยาม

คนเอเซียต่างๆนา ซึ่ง คงไม่มีที่ไหนที่สุขใจเท่าบ้านเราจริงๆ

แต่ความเครียด ความลําบากที่ว่า ก็แค่เคยได้ยินครับ

หากไม่ไปเอง คงไม่อาจรู้ได้เท่าคนที่ประสบ

แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมอยากค้นหา ซึ่งมันท้าทายความสาม

รถของเราและฝึกความอดทนได้ดี


ความยินดี ความเทห์ มันอยู่ตอนเพื่อนๆมาส่งแหละ

ครับ พอเข้าไปนั่น คือ เราต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง

เป็นคําสอนที่ดีมากครับพี่

 
At 12:46 AM, August 20, 2005, Blogger kasab71 said...

เป็นอีกคําสอนที่ดีครับ

รถเรา วิ่งเอง เติมเอง

สู้ด้วยตัวเองครับ

ขอบคุณอีกครั้ง

 
At 7:19 AM, August 20, 2005, Blogger Lex Luthor said...

วันก่อนที่เจอกัน มึงก็พูดถึงเรื่องนี้แล้วครั้งนึง ก็ขอเอาใจช่วยตามฝันไปนะกระสาบ

 
At 10:12 PM, August 20, 2005, Blogger kasab71 said...

merci beaucoup aom

 
At 1:01 PM, August 21, 2005, Anonymous Anonymous said...

ฝรั่งเศษไม่รู้จะช่วยน้องยังไง
พัทยาไปเมื่อไหร่จะโทรตามครับ

ตาป้อม

 
At 12:05 AM, August 22, 2005, Blogger kasab71 said...

ขอบคุณครับพี่ป้อม อยากดําน้ำจัง

 
At 9:51 AM, August 22, 2005, Anonymous Anonymous said...

Bonjour jaaaaaaaaaaaa,
นี่แหละ ทักทายแบบฝรั่งเศสปนเศษฝรั่งแบบนี้นะจ๊ะ..
เรียนภาษาฝรั่งเศสตั้งแต่เด็กนานโน้นนู้น เพราะเป็นวิชาบังคับของโรงเรียน...นั่นแหละนะ เรียนๆไปรวม 5 ปี แล้วก็เป็นได้แค่เศสฝรั่ง.....ก็เวลาเรียนน่ะ ชอบแอบเขียนรูปแทนที่จะอ่าน อา เบ เซ เด ไงล่ะ

เป็นเรื่องเซ่อซ่าประจำตัวด้วยแหละ เพราะเกือบเป็นคนเดียวในครอบครัวใหญ่ๆที่ภาษาฝรั่งเศสเห่ยสุดๆ :-(

เล่าเรื่องนี้ก็เพราะจะบอกว่า เสนอตัวอย่างแย่ๆให้เห็นชัดๆไงคะ....ดังนั้น ใส่ใจและพยายามเข้าค่ะ ทบทวนเรื่อยๆใช้ภาษาให้เยอะๆเดี๋ยวดีเอง....ไม่มีอะไรยากเกินที่เราจะตั้งใจไปให้ถึงเนอะ

มีเรื่องสาระพัดเกี่ยวกับเมืองนั้น ทั้งหนุกหนาน หัวใจบานเบิก ทั้งเซ่อซ่าหน้าแตกเพล้ง !!!!...ถ้าจะช่วยอะไรได้บ้างก็บอกมาค่ะ เต็มที่....บอกกันหลังไมค์นะ

อิ อิ เผื่อวันหน้า ไปดำน้ำสิมิลัน แล้วเผลอแพล๊บๆไปเดินต้านลมหนาวเอามือซุกกระเป๋ามองโตตัวเบิ้มๆสวนกันไปมาริมแม่น้ำ ... ดีป่ะ ;-b

 
At 9:26 PM, August 22, 2005, Blogger kasab71 said...

ขอบคุณมากนะครับ คุณ poulet ภาษาคงดีกว่าผมแน่ เพราะเรียนตั้ง 5 ปีแน่ะ

หวังว่าคงมีโอกาสได้ไปเจอกันตอนดําน้ำครับ สิมิลันก็ยังไม่ได้ไปเลยหนอ

คุณลุง ฝันไกลแน่นอนว่ะ มึงก็พยายามเต็มที่ล่ะ

 

Post a Comment

<< Home