Thursday, July 26, 2012

บินลัดฟ้าเยือนยุโรปที่...อังกฤษ(1)


“เดือนพฤศจิกายน พ่อจะพาไปเที่ยวยุโรปนะ ที่ทำงานพ่อเขาจัดไปอังกฤษกัน” เป็นเสียงของพ่อที่บอกผมล่วงหน้าหลายเดือน

“โห ยุโรป เลยเหรอพ่อ” ผมคิดในใจ ชาตินี้ยังไม่เคยคิดเลยครับ ว่าจะมีโอกาสได้ไปเมื่อไร เนื่องจากเงินที่ผมเก็บไว้สำหรับเที่ยว แค่เอาไปดำน้ำก็หมดแล้ว ปีนึงก็คงไปได้แค่ครั้งเดียว ถามกี่ครั้ง ผมก็คงเลือกดำน้ำก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นโอกาสจะได้ไป คงไม่มีในช่วงนี้

แม้ในใจจะอยากไปอยู่เหมือนกัน แต่ผมพึ่งกลับจากการดำน้ำที่ช่องแคบ Lembeh ประเทศอินโดนีเซีย ได้แค่ 1 อาทิตย์ ต้องจากบ้านไปอีกแล้วเหรอ (ต่อมอยากเที่ยว มันได้ถูกใช้ไปหมดเรียบร้อยในทริป Lembeh เนื่องจากอัดอั้นมานานนั่นเอง)

เรื่องค่าใช้จ่ายพ่อออกให้ครับ(แต่ก็เถอะ มันมากอยู่เหมือนกันนะ) ยิ่งตอนนี้น้ำกำลังคลืบคลานเข้ามาในบ้าน พ่อก็เครียดทุกวัน เพราะเริ่มจะเดินทางไม่สะดวก รถเข้าบ้านไม่ได้ ต้องนอนที่ทำงานในที่สุด จนบางทีผมก็บอกพ่อว่ายกเลิกการเดินทางได้ไหม ห่วงบ้าน คงไม่มีกระจิตกระใจที่จะเที่ยว เลื่อนไปก่อนเถอะ

เอาไงดี ผมเข้าใจว่า พ่อก็ไม่อยากไปหรอก แต่จ่ายเงินไปแล้วนี่ คงไม่ได้คืนแน่ เพราะทริปยังไปต่อได้ ถ้าผมดื้อดึงพ่อก็คงเสียเงินไปฟรีๆ อยู่บ้านก็เครียด ทำให้ผมนึกถึงคำพูดพี่ชายคนโตว่า

“ ก็ถือว่าพาพ่อไปเที่ยวแก้เครียดละกัน เดี๋ยวทางนี้พี่ช่วยดูต่อ ก่อนไปก็ช่วยพี่ยกของขึ้นชั้นสองหน่อย เผื่อน้ำมาเร็ว พี่จะย้ายของไม่ทัน”

เป็นอันตกลงตามนั้นครับ จะว่าไปแล้ว คนที่ควรจะได้ไปอังกฤษในทริปนี้ ไม่ใช่ผมหรอกครับ แต่เป็นคุณแม่ต่างหาก ที่ผ่านมา พ่อมักจะเดินทางไปต่างประเทศโดยมีแม่ตามไปด้วยเสมอๆ (ถ้าผมจะได้ไปต้องไปพร้อมๆกันทุกคนน่ะ เช่น ไปมาเลเซีย ไปฮ่องกง ไปญี่ปุ่น เป็นต้น)

แต่ผมรับปาก และได้ให้คำมั่นสัญญากับคุณแม่ไว้เรียบร้อย ในช่วงที่มีโอกาสดูแลท่านอยู่ว่า

“แม่ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลพ่อ ต่อจากแม่เอง”

....................................................................................

ก่อนเดินทาง นอกจากเรื่องวีซ่า แล้ว ก็ช่วยกับพี่ชายคนโตยกของขึ้นที่สูง ถือว่า ทำอะไรที่ทำได้ไปก่อน ที่เหลือคงต้องลุ้นโชคชะตา วาสนา แล้วกัน

ผมเตรียมข้อมูลการท่องเที่ยวในประเทศอังกฤษ ไว้บ้าง ทั้งแผนที่รถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อที่จะให้ทราบว่า เราไปจะไปที่ไหนกันบ้าง ยังไงก็เป็นประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ คงไม่มีอะไรที่น่าห่วงมากนัก

การเดินทางเยือนยุโรปครั้งแรก ของผม กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ยังไง ผมก็ไม่ลืมที่จะพาคุณแม่ไปด้วยเหมือนเคยครับ


8 พฤศจิกายน 2554


เปลี่ยนกางเกงขาสั้น ใส่รองเท้าแตะไปก่อน เดินลุยน้ำออกมาจากบ้านพร้อมกับสัมภาระ จนมาถึงหน้าปากซอย ขณะนี้ระดับน้ำที่ถนนสูงระดับฟุตบาทแล้ว 

ขนของขึ้นรถโดยมีลูกน้องพ่อมารับ ออกไปตามเส้นทางที่ไม่มีน้ำท่วมขัง แล้วขึ้นทางด่วน ปรากฎว่า รถติดมากครับ เพราะมีรถของผู้คนที่มาจอดหนีน้ำ เต็มทางด่วนไปหมด มีบางคันเห็นได้ชัดเลยว่า ถูกชนด้วย(เอ้า ซวยจริง)

ลงทางด่วน จนถึงที่ทำงานพ่อ พ่อโล่งใจ(นึกว่าจะออกจากบ้านมาไม่ได้ซะแล้ว) ที่ต้องออกมาแต่เช้า ทั้งๆที่เดินทางช่วงกลางคืนเพราะจากที่ทำงานพ่อ ไปสนามบินสุวรรณภูมิสะดวกกว่า และยังไม่ใช่พื้นที่ที่น้ำมาถึงครับ

ล้างเท้า เปลี่ยนกางเกงขายาว เตรียมรองเท้าผ้าใบไว้ ไหนดูรายชื่อ สมาชิกที่เดินทางไปซิ มีใครที่รู้จักบ้าง มีทั้งเพื่อนพ่อ ลูกน้องพ่อ ซึ่ง หลายๆคนพาลูก พาหลานไปด้วย มีรุ่นราวคราวเดียวกับผม ประมาณ 4-5 คน แน่ะ(สาวๆก็ไป 4 คน แล้ว)

เช็คอุณหภูมิที่อังกฤษตอนนี้ 10 องศาเซลเซียส (สำหรับผมถือว่าหนาวมากเลยล่ะ) เนื่องจากเป็นคนไม่ไปภูเขา สัมผัสอากาศหนาวเท่าไรนัก(ครั้งล่าสุดที่เจออากาศหนาวแบบนี้ ก็ครั้งตอนไปญี่ปุ่นทั้งครอบครัว ปากสั่นเลยครับ คราวนี้ก็เตรียมเสื้อมาในระดับนึง แต่ไม่รู้จะพอไหม 555)

แต่ที่แน่ๆ ดันเตรียมเสื้อแขนสั้นมา(พ่อบอก เอามาแต่เสื้อแขนยาวก็พอ แขนสั้นไม่จำเป็นเลย) ไม่ทันแล้วครับ สะบายดี หลวงพระบางซะด้วย(เพื่อนมันซื้อมาฝาก ไม่เคยไปหรอก) แต่ผิดงานหรือเปล่าเฮีย เฮียไปอังกฤษแต่ใส่เสื้อหลวงพระบางไป 555

เราออกเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิกันดีกว่าครับ ไปรถตู้ โดยมีลุงธวัชชัย ป้ามัย อาอ๊อด น้าโอ๋ น้าหน่อย น้าอุไร อีกคันมีลูกน้องพ่อที่มาขึ้นรถที่นี่ด้วย ส่วนที่เหลือก็ไปเจอกันที่สนามบินเลย

 

พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ!


การท่องเที่ยวเป็นกรุ๊ปทัวร์แบบนี้ ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันนะครับ จึงต้องมารวมกันก่อนที่ Row Q และรอสมาชิกคนอื่นๆ ที่ยังเดินทางมาไม่ถึง

 

พ่อแนะนำผมให้รู้จักกับลูกน้องพ่อ ก็ยกมือไหว้ และสวัสดี คุณอา คุณน้า เหล่านั้น ป้ามัยแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนป้ามัยและลูกสาวของเธอ ชื่อเจน (ดูแล้วน่าจะอายุไล่เลี่ยกับผมนะ)

อีกคนก็ลูกสาวของลูกน้องพ่อ ชื่อน้องอ๋อม

 

เห็นได้ชัดเลยว่า พ่อมีความสุขมาก ที่อยู่ท่ามกลางลูกน้องและเพื่อน อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุย ทำให้ผมรู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิด ที่มาเป็นเพื่อนพ่อ นอกจากนี้ผมก็ยังได้อานิสงส์ ไปด้วย พ่อมีความสุข ผมก็มีความสุขไปด้วย และยังจะได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆในต่างแดนอีก

สำหรับครั้งสุดท้ายที่มาทัวร์แบบนี้ ย้อนไป 8 ปีที่แล้ว ตอนไปญี่ปุ่นกับครอบครัวครับ

 

ทางกรุ๊ปทัวร์เขาแจกเอกสาร ข้อมูลการท่องเที่ยวอังกฤษ(จริงๆผมก็ Print มาเองชุดนึงด้วยนะ หาข้อมูลเอง เผื่อจะมีข้อมูลที่เราอยากรู้แล้วทางทัวร์ไม่ได้มีให้น่ะ)

นอกจากนั้นก็เป็นซองพลาสติค ในนั้นมีปากกา ใบ Immigration ที่ถูกเขียนไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว รอให้เจ้าของเขียนลายเซ็นต์(Signature) เพียงอย่างเดียว(ก็สะดวกดีครับ)

ไปแลกเงินมาเพิ่มอีก 40 ปอนด์ รวมแล้วเอาไปใช้ส่วนตัว(140 ปอนด์) หลายๆคนอาจคิดว่าเหตุใดเอาไปน้อยจัง(ผมพึ่งกลับมาจากการดำน้ำที่ Lembeh Strait ดังนั้น จึงไม่ค่อยมีตังค์ซักเท่าไร อะไรแพงมากจริงๆก็คงไม่ซื้อครับ ดูของที่สมราคาดีกว่า) (ไอ้ชูฮวย ซึ่งอยู่อังกฤษมานาน บอกผมว่า ไปร้าน Lilly White ที่ Piccadilly Circus นะ มีชุดกีฬาถูกๆ) ส่วนผมน่ะ อยากไปเหยียบสนาม Emirates Stadium ของสโมสร Arsenal มากๆ แต่ไม่รู้จะได้ไปไหม มากับเขาก็ต้องไปกับเขาแหละ

ก่อนมารวมกับกลุ่ม ผมเจอเพื่อนด้วยครับ เป็นเพื่อนเรียนนิติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยปริญญาตรีแล้ว เธอชื่อ นิ กำลังจะไปอินเดียกับรุ่นพี่(เห็นว่าไปแสวงบุญ) ก็ไปกับทัวร์นี่แหละ

ตอนนี้สมาชิกเริ่มมากันครบแล้ว เดินไปอย่างพร้อมเพรียง โหลดกระเป๋า ใช้เวลาพอสมควร เพราะมาเป็นกลุ่มก็ต้องไปด้วยกัน วันนี้คนเดินทางออกนอกประเทศก็แน่นพอดูล่ะ

ฝนก็มาด้วย ไม่ได้เจอตั้งนานแล้ว(โอ้ ยังกับนางแบบเลยนะ) เราถ่ายรูปหมู่รวมกันที่รูปปั้นยักษ์นี้ ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปที่จุด ต่อไป

 

Immigration


สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เราจะไปลงไปเปลี่ยนเครื่องที่ Abu Dhabi (ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เดินทางด้วยสายการบิน Etihad เวลา 2 ทุ่ม

ใช้เวลาไม่นานมากครับ ผ่านตรงจุดนี้ก็ไป จุดตรวจสัมภาระขึ้นเครื่อง ถอดสิ่งของที่เป็นโลหะทั้งหมด รวมทั้งหัวเข็มขัดที่เป็นเหล็กด้วย 

 

Auntie Anne's เติมพลัง!


แต่ละคนก็แยกย้ายกันเดิน ก่อนจะไปรอตรง Gate ขึ้นเครื่อง พ่อบอกให้อะไรทานรองท้องก่อน แม้บนเครื่องจะมีอาหารแจกก็เถอะ เลยเลือกร้านที่คนน้อยๆ หน่อย ทานง่าย ก็แฮมเบอร์เกอร์ นี่แหละครับ(เห็นน้องอ๋อมกับคุณแม่ก็มาทานร้านนี้ด้วย) 

เดินต่อไปหยุดที่ร้านน้ำหอม พ่อจะซื้อครับ(ยังไม่ทันเดินทางไปไหน ก็ซื้อซะแล้ว 555 ) ที่นี่เจออาอ๊อดน้าโอ๋ ฝนกับหลานอาอ๊อด( เห็นว่า ชื่อน้องพลอย) ดูเด็กมากครับ เด็กมัธยมหรือเปล่าเนี่ย 555 พนักงานถามว่ามีบัตรลดไหม พ่อไม่มีบัตรลด อาอ๊อดก็เลยหยิบบัตรลดมาให้ด้วย

กลับมาถามอีกรอบ พ่อกลัวจะนำของเหลวขึ้นเครื่องไม่ได้ครับ เนื่องจากอยู่ในปริมาณที่น้อย พนักงานบอกว่าเอาขึ้นเครื่องได้

ไปที่ Gate แล้วรอซักครู่ใหญ่ๆ มองเห็นนักบินและแอร์โฮสเตส หน้าตาฝรั่ง เดินลงไป(ไม่ค่อยคุ้นเท่าไร เพราะเคยเดินทางแต่ในเอเชียนี่นา) 

นั่งรอกันอีกนิด ถ่ายรูปกันอีกหน่อย ก่อนเจ้าหน้าที่จะเรียก Priority ขึ้นก่อน(คนสูงอายุก็จะได้ขึ้นก่อนครับ) เอาล่ะ ไปขึ้นเครื่องกันดีกว่า

 

Welcome to Etihad Airways


เครื่องก็ดูใหม่ดีครับ มีจอมอนิเตอร์ด้วย สายการบินนี้เริ่มบินตั้งแต่ปี 2546 (ก็หลายปีแล้วนะ แต่ผมพึ่งได้ยินชื่อเมื่อไม่นานนี้เองครับ) (นึกออกล่ะ มาได้ยินตอนเป็นสปอนเซอร์ที่หน้าอกเสื้อของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้)

 


นั่งกับพ่อ และคุยกับน้าหน่อย เธอก็พึ่งเสียคุณพ่อไปครับ เอารูปคุณพ่อมาด้วย (ก็เหมือนผมที่ติดรูปคุณแม่มาเหมือนกัน) คุยกันจนเครื่องขึ้น น้าหน่อยจะมีข้อมูลการท่องเที่ยวทริปนี้เยอะ เพราะเป็นคนประสานงานในหลายๆเรื่อง มีอะไรที่อยากทราบ ผมก็จะถามเธอครับ 

 

แอร์โฮสเตส แจกอาหาร หลังจากทานเสร็จแล้ว ก็ขอลองเล่นจอมอนิเตอร์หน่อย เห็นคนอื่นๆเขาดูหนัง เล่นเกมกัน เราก็เอาบ้างซิ

555 อะไรเนี่ย จอพังครับ(เฉพาะที่นั่งของผมและของน้าหน่อยนะ) ลองบอกแอร์โฮสเตสหลายรอบละ ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขซะที(สงสัยเราจะค้างจ่ายค่าเครื่อง 555) เลยเปิดหนังให้พ่อดู กับคุยกับน้าหน่อยไปพลางๆ จนผมหลับไป

เราใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพ ไปยัง เมือง อาบูดาบี ประมาณ 6 ชั่วโมง ครับ

Thursday, July 19, 2012

Lembeh Strait...มหัศจรรย์แห่ง Muck Dive(11)


ที่กดน้ำบนเรือนี่ ใช้มือกดเอา แบบปั้มลม ก็โอเคนะครับ สะดวกดี ไม่ต้องยกให้เหนื่อย



เตรียมตัวเก็บของได้ ของรีสอร์ท คืนไป ของส่วนตัวเก็บไว้ มีเท่านี้แหละครับ

 

ระหว่างรอ นักดำน้ำไต้หวันและฝรั่ง ไปถ่ายรูปที่หัวเรือหน่อย มางวดนี้ไม่เจอฉลาม เพราะแถบนี้ คงมีแต่ตัวเล็ก และสัตว์ประหลาดหายาก(แต่อาจจะมีก็ได้) ยังไงดูฉลามตัวนี้ไปก่อนละกัน

 

วิวภูเขาไฟกับเมฆ ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง

 

มี Sailfish กระโดดด้วยครับ ผมหันไปดูไม่ทัน

 

ทุกคน ขึ้นมาหมดแล้ว มุ่งหน้ากลับ Bastianos กันครับ



กลับมาจัดของสำหรับกลับวันรุ่งขึ้น ถ่ายรูปในห้องพัก ห้องที่ไม่ได้หรูหรานัก 

 

แต่อยู่สบาย หลับสนิททุกคืน อาจเพราะความเหนื่อย

 

หรือไม่ก็ตามปกติ ตอนอยู่บ้าน ผมนอนกับพื้น ไม่ได้นอนเตียงก็ได้นะ

 

รับประทานอาหารกลางวัน เจอพี่ชัยกับพี่ตุ๊ก อีกครั้ง เป็นสองสามีภรียา ที่เที่ยวบ่อยจริงๆ ไปดำน้ำมาหลายที่ เที่ยวบกก็มากอยู่ ถือเป็นตัวอย่างการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า

 

มาเก็บบรรยากาศรอบๆที่พักต่อ

 

มีมุมไหนที่ยังไม่ได้ดูบ้าง มีบริการนวดด้วยแฮะ

 

อันนี้ห้องสำหรับทำกล้อง ประกอบ Housing ก่อนจะออกไปดำน้ำครับ

 

ส่วนอันนี้ Dive Shop

 

กลับห้องมาอาบน้ำจัดของต่อ เจอหนังสือแล้วครับ ก็ว่าอยู่หายไปไหนเล่มนึง

 

เช็คข่าวที่ Wifi ตรง Front น้ำมาถึงที่บ้านหรือยังเนี่ย แถวไหนท่วมแล้วบ้าง สถานการณ์เริ่มแย่ลง เพราะน้ำก็คลืบคลานเข้ามาเรื่อยๆครับ

 

มาดูอาหารเย็นมื้อกันหน่อย เริ่มจากสปาเก็ตตี้

 

หมูครับ อร่อยดี

 

ปลาเผาครับ ถามๆดูเหมือนจะเป็น Jack Fish นะ

 

Japan Cucumber สงสัยว่าเป็นแตงกวาญี่ปุ่น เพราะไม่เหมือนที่กินที่บ้านเลย

 

ปิดท้ายด้วยผลไม้

 

ถ่ายรูปสามสาวอินโดนีเซีย อ่านหนังสือ Lembeh ที่พึ่งเจอ ว่ามีจุดไหนที่ไปมาแล้วบ้าง

ผมบอกพี่ชัยและพี่ตุ๊ก ว่า พรุ่งนี้ผมจะดู Terminal ที่สนามบินชางฮีให้ว่า พอมาจากนามบินมานาโด แล้ว ต้องเดินไปทางไหน จึงจะถึง Gate

นัดแนะเวลาเรียบร้อย พรุ่งนี้เรือมารับแต่เช้า

 

พรุ่งนี้เย็นต้องกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งละ อย่าลืมตั้งนาฬิกาปลุกด้วย

เดี๋ยวจะไม่ได้กลับบ้าน 555

 

26 ตุลาคม 2554


กลัวเหมือนกันว่าจะตกเรือ ได้ยินเสียงนาฬิกาก็รีบลุกทันที

ขึ้นมากินข้าว ขนมปัง มาม่า คอนเฟรค ก่อนจะ Check-out ห้อง อำลาทุกคนทั้งพี่ชัยและพี่ตุ๊ก

ครูตุ๋ม พี่ตา พี่หมอพี พี่แดง หยก พี่บิ๊ก และกลุ่มมนุษย์กบไทย 

 

ซึ่งครูตุ๋มแนะนำว่า อย่าลืมเตรียมเงินไปจ่ายค่าภาษีสนามบิน ที่สนามบินมานาโด ด้วย

 

ได้เวลากลับ ฝนเลยตกหนัก!


เรือผิดเวลาไปมาก ทำไมยังไม่มารับเสียที อย่าลืมว่า พอขึ้นฝั่ง ยังต้องขึ้นรถไปอีกเป็นชั่วโมง ไปสนามบินมานาโด เดี๋ยวผมจะตกเครื่องบินเอานะ

 

ลองบอกเจ้าหน้าที่ เขากำลังเร่งให้อยู่ โอเคมาละ ไปเลยเพ่

 

อยู่มาหลายวัน ดำน้ำสะดวกทุกวัน ฝนตกแค่ช่วงกลางคืน ตอนนี้ฝนตกหนักจนมองไม่เห็นทางละ

ฝนสาดมาข้างๆผม อารมณ์ที่กลัวจะไม่ได้กลับบ้าน ผมมองเห็นน้ำใจจากลุงชาวอินโดนีเซีย และพนักงานสาว กับ ไอ้หนุ่มร่างอ้วนที่ตากฝนขับเรือ บอกให้ผมขยับเข้าไปอีกด้าน รอยยิ้มเช่นนี้ แม้จะเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่อบอุ่นมาก

 

เหลือเชื่อว่า พอถึงฝั่ง ท้องฟ้าเปิด ฝนหยุดง่ายๆไปซะแบบนั้น

 

เมืองท่า Bitung คึกคัก


ขามา มาตอนช่วงเย็น พอขากลับคราวนี้มาเช้าๆ สายๆ ผมเลยได้มีโอกาสเห็นบรรยากาศของตลาดที่นี่ และวิถีชีวิตของชาวท้องถิ่น

ร้านขายซีดี กับเพลงที่เปิดสบายๆ สนุกๆ สไตล์อินโดนีเซีย ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่รู้ว่าจังหวะมัน สนุกมาก เต้นได้เลย 555

ผมกลายเป็นคนผิวขาวไปเลยนะ เพราะชาวท้องถิ่นผิวจะคล้ำกว่าผมหมด แต่จริงๆ ก็กลมกลืนเหมือนกัน หากผมจะแปลงร่างเป็นคนท้องถิ่นบ้าง ค่อนข้างจะเนียนทีเดียวล่ะ(เพราะดำน้ำมาหลายวัน ก็ดำขึ้นไปอีก) 

 

ยังคงยืนรอ ต่อไป รถยังไม่มาซะที คันแล้วคันเล่า ผมถามพนักงานสาวว่า ผมจะไปถึงทันไหม เพราะไม่อยากตกเครื่อง เธอบอกว่า ไม่ต้องห่วง เพราะเคยมีคนมาช้ากว่าผม และทางรีสอร์ทโทรศัพท์ไปที่สนามบินให้รอ(ซึ่งเขาก็คงมี Limit ในการรอน่ะครับ) เอาเป็นว่าผมไม่อยากอยู่ในกรณีนั้น 

จะคุยกับใครก็ไม่ได้ เพราะแถวนี้ดูจะพูดภาษาท้องถิ่นกันหมด ผมรออย่างกระวนกระวาย ซึ่งพนักงานสาวเธอก็พยายามโทรศัพท์ตามคนขับให้ผมอยู่ครับ

 

Bye Bye Bitung / See You Again!

คนขับมาแล้ว รอมานานล่ะ ผมขอบคุณพนักงานสาวคนนั้น ที่ช่วยเหลือ ก่อนจะขึ้นรถ มุ่งหน้าสู่เมือง มานาโด

ถนนหนทาง เป็นถนนเล็กๆ มีเด็กนักเรียนเดินผ่าน ส่วนมากจะเดินเท้าเปล่ากัน

ซึ่งดูแล้ว แต่ละคนมีความสุขกันดีนะ 

ในขณะที่ผม นั่งเกร็งว่าเมื่อไรจะถึง (แม้จะอุ่นใจว่าอยู่ในรถแล้ว) เพราะคนขับก็ขับแบบปลอดภัยดีมากๆ

 

Manado Airport!


เร็วกว่าที่คิดครับ ผมมาถึงสนามบินมานาโดแล้ว 5555 (ดีใจมาก) ผมขอบคุณลุงคนขับที่ช่วยถือของลงมา 

รีบเดินหา Flight แล้วไป Check-in ผมบอกเจ้าหน้าที่ว่า เช็คทรูนะ กระเป๋าไปลง Bangkok เลยครับ เจ้าหน้าที่บริการดีมาก

ผมเดินมาจ่าย Airport Tax กับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง โอ้ว น่ารักซะด้วย แสดงหนังได้เลยนะเนี่ย เป็นดาราหรือเปล่าครับ 555



เศรษฐีร้าน Souvenir Shop


ตอนนี้ผมมีเงินเหลือ 150,000 (รูเปี๊ย) นะ (ไม่ใช่บาท) อยากจะใช้ให้หมดครับ จะได้ไม่ต้องเหลือกลับไปแลก พ่อก็บอกว่าให้ใช้ให้หมดด้วย

ซื้อไรดี เสื้อซักตัวละกัน(หา Lembeh ไม่มี) มีแต่ Bunaken กับ Manado ก็ต้องเลือกอันหลังครับ (Bunaken ไว้ค่อยกลับมาซิ) และก็ขนมคุ๊กกี้ของคนท้องถิ่น รูปร่างประหลาดเล็กน้อย แต่ก็น่าลอง ถือว่าอุดหนุนคนท้องถิ่นด้วย ครบพอดีเป๊ะ 150,000 หมดภายในเวลารวดเร็ว 555



Immigration, Go to Changi Airport


มาต่อแถว Immigration ก่อนจะขึ้นเครื่อง เริ่มเห็นฝรั่งหลายคน บางคนมาดำน้ำแน่ๆ บางคนดูแล้วน่าจะมาเดินป่า มองเห็นคนไทยอีก 3 คน นั่งอยู่ด้วย



ขึ้นเครื่องดีกว่า รอบๆฝนตก คงอีกนานกว่าจะได้กลับมาอีกนะเนี่ย



พนักงานบนเครื่องแจกอาหาร กินเรียบเพราะความหิว(ไม่เหมือนขามาแล้วครับ คราวนี้ท้องไส้ผมดีมาก)

เหมือนขากลับจะเร็วเหมือนกัน ถึงสนามบิน Changi แล้ว

 

Speed เร็วกว่านรก


มีเวลาไม่มาครับ เพราะเครื่องกำลังจะขึ้นแล้ว ออกมาตรง F (ที่ขามานอนหนาว ขดตัวเป็นงูนั่นแหละ)

ดูที่หน้าจอมินิเตอร์ ก่อนจะก้าวยาวๆ ไม่มีเวลาดูอะไรทั้งนั้น เพราะสนามบินที่นี่ก็กว้างอยู่ กว่าจะไปถึงที่ E (สำหรับขาออกจากประเทศ) ผมก็ต้องวิ่ง เพราะมัน Last Call แล้ว !

ขนาดไม่ได้เถลไถลที่ไหนเลยนะ 555



ยิ้มพิมพ์ใจ –สวัสดีครับ!


รอดแล้ว 555 พนักงานตรวจที่เครื่อง 2 คน คนผิวดำ เห็น Fin ที่ผมสะพาย เลยถามว่า

“คุณไปดำน้ำมาเหรอครับ ค่าใช้จ่ายแพงไหม”

ผมตอบว่า ใช่ บอกค่าใช้จ่ายคร่าวๆ เป็นเงินไทย ดูเขาจะทราบด้วยครับ ก่อนจะลงท้าย เขายกมือไหว้ผมแล้วบอกว่า

“สวัสดีครับ”

ผมยิ้ม และไม่ลืมที่จะสวัสดีเขา ตอบกลับเช่นกัน 



Let ‘ s go to Bangkok!

เป็นครั้งแรกที่ใช้เวลา Transit เครื่อง เร็วที่สุด สำหรับอาหารมื้อนี้ ก็ฟาดเรียบ อร่อยด้วย

มีภาพยนต์ใหม่ๆดู หลายเรื่อง เลือกที่ชอบได้เลย

ขากลับใช้เวลาเร็วมาก (ทั้งๆที่มันก็เท่ากันนั่นแหละ)

กลับมาเจอโลกแห่งความจริง และแก้ไขปัญหาที่จะเจอต่อไป



บทส่งท้าย


จบแล้วครับ สำหรับทริปดำน้ำที่สนุกสนานและตื่นเต้นมาก สำหรับผม และหวังว่าท่านผู้อ่านก็คงเห็นเสมือนกับที่ผมเห็นด้วย แม้จะใช้เวลาเขียนนานถึง 9 เดือน แต่เพราะผมมีภารกิจเยอะ ก็หวังว่าจะได้สาระและความสนุก ไม่มากก็น้อยนะครับ

ช่องแคบเลมเบห์ เป็นอีกสถานที่ในดวงใจ แม้จะไม่มีปะการังสวยๆ ทรายสีดำปนโคลนก็ตาม แต่สัตว์ทะเลที่นี่หายาก ทั้งนั้น 

ผมไม่แปลกใจแล้วว่า เหตุใด ช่างภาพฝีมือดีหลายคน ถึงกลับมาที่นี่ครั้งแล้ว ครั้งเล่า มันเป็นแบบนี้นี่เอง

ขอบคุณ คุณแม่ที่คุ้มครองผม ให้เดินทางปลอดภัย ขอบคุณคุณพ่อ ที่เปิดโอกาสให้ผมทำในสิ่งที่ชอบ

ขอบคุณพนักงาน Bastianos Lembeh Resort ทุกคนที่อำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี

ขอบคุณกลุ่มมนุษย์กบไทย และมิตรภาพใหม่ๆที่นั่น

ขอบคุณพี่ยา พี่ตุลย์ วันหลังไปดำน้ำกันอีกนะพี่

ขอบคุณพี่ปุ๊ย พี่ปิ่น พี่อ๋อ และพี่ๆอีกหลายคนที่ให้ข้อมูลก่อนมาที่นี่

และขอบคุณท่านผู้อ่าน ทุกๆท่าน

แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้านะครับ




Phop Payapvipapong

4 July 2012 

03.37 Pm 




How to Get There?



1) การเดินทางไปช่องแคบเลมเบห์ ไม่มีสายการบินแบบรวดเดียวถึงนะครับ ต้องใช้ 2 ต่อ เพราะไฟล์เช้าจากสนามบินชางฮี(Changi) ไปเมืองมานาโด(Manado) เช้ามาก จึงไม่สามารถออกจากกรุงเทพไฟล์เช้า เพื่อไปขึ้นเครื่องได้ทัน จึงต้องนอนค้างคืนที่สิงคโปร์ 1 คืน หรือไม่ก็นอนที่สนามบินเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เมื่อถึงมานาโด ก็มีรถมารับ นั่งต่อไปอีก 2 ชั่วโมง กว่าๆ ก็จะถึงเมืองท่า Bitung


2) สำหรับสายการบิน การโดยสาร สิงคโปร์แอร์ไลน์ ต่อด้วย Slik Air ก็ค่อนข้างสะดวก เพราะอยู่ใน Terminal เดียวกัน แถมเช็คกระเป๋าทีเดียว ถึงมานาโดได้เลย แต่ถ้าขามา ใช้สายการบิน Air Asia แล้วมาต่อ Slik Air นอกจากจะอยู่คนละ Terminal แล้ว ต้องโหลดกระเป๋าออกมาเพื่อเช็คเข้าไปใหม่อีก แถมราคาก็ไม่แน่ว่าจะถูกกว่าเสมอไปทุกครั้ง ในบางครั้งเอเจนซี่ อาจจองตั๋วได้ถูกกว่า หากเป็นช่วงโปรโมชั่น ยังไงก็ลองติดต่อดูก่อนครับ


3) สามารถติดต่อ ร้านดำน้ำของไทย มีจัดทริปไปช่องแคบเลมเบห์ เกือบทุกปี เพราะที่นี่ดำน้ำได้ตลอดปี ส่วนใครไม่สะดวกก็อาจจะไปเองได้ โดยให้ทางร้านดำน้ำของไทย ติดต่อทางรีสอร์ทให้(ถ้าไปคนเดียวก็จะถูก Charge ค่าห้องเพิ่มครับ หากราคาพอรับได้ ก็ลุยได้เลย)


4) ควรแลกเงินเป็นรูเปี๊ย เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ที่สนามบิน ติดราคารูเปี๊ยไว้ ไม่ต้องแลกมากก็ได้ เพราะอาจจะไม่มีอะไรต้องใช้เยอะเท่าไรนัก แต่ถ้าจะแลกเป็นยูเอสดอลลาร์ เอาไว้สำรองก็ดี(เผื่อจะรับ) สนามบินชางฮีก็อาจใช้ยูเอสดอลล่าได้ด้วย แต่บางร้านก็ต้องแลกเป็นสิงคโปร์ดอลล่าด้วย ถึงจะรับ แต่ที่รีสอร์ท รับเงินยูโรครับ จึงต้องแลกเงินยูโรไปด้วย (งงมะ ค่าเงินหลายสกุลเหลือเกิน 555)


5) หากมีข้อสงสัย สอบถามได้นะครับ ยินดีช่วยเหลือ