Wednesday, March 28, 2012

Lembeh Strait...มหัศจรรย์แห่ง Muck Dive(1)


งานมหกรรมดำน้ำ TDEX 2011 (Thailand Dive Expo) ที่ผ่านพ้นไป นอกจากผมจะได้พบกับเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆในวงการดำน้ำแล้ว ก็เดินดูทริปดำน้ำตามปกติ ให้พอเป็นไอเดียว่าจะไปไหนดี

หนึ่งในสถานที่ที่ผมตั้งมั่นว่า อยากจะไปดำน้ำ(หลังจากปีก่อนได้ไปสิปาดัน ประเทศมาเลเซียมาแล้ว) ก็คือ ช่องแคบ Lembeh ประเทศอินโดนีเซียครับ (ถ้าได้ไปก็เป็นทริปดำน้ำต่างประเทศ ครั้งที่ 2 ล่ะ)

อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า ผมเหลือดำน้ำแค่ปีละ 1 ครั้ง ก็เลยอยากจะไปดำน้ำต่างประเทศ ไปยังสถานที่ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไป ซึ่งในแต่ละจุดดำน้ำก็มีระบบนิเวศวิทยาที่แตกต่างกันเสียด้วยซิ

ผมได้ข้อมูลจากหลายๆท่าน ต้องขอขอบคุณ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ ทั้งพี่แคท Pipat จากบูท Sea Paradise ที่ผมมักจะอุดหนุนหนังสือภาพสัตว์ทะเลบ่อยๆ และ Lembeh ก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่เห็นจากหนังสือแล้ว อยากไปจนตัวสั่น , พี่อ๋อจากบูท Scubajam , พี่หนึ่ง พี่ปุ๋ม พี่วิท พี่ปุ๋ย จาก Dumnam.com , พี่ต้อม พี่เอฟ จาก บูทนิวัช(ตอนนี้เปลี่ยนเป็น DiveDD แล้วนะ) ที่กรุณาให้ตัวกระจายแฟลชที่ติดกับ Housing ที่ผมทำหายไปที่เกาะคาปาลัย ทริปสิปาดันที่ผ่านมา , ครูจุ๋ม ครูตุ๋ม พี่อำนาจ จากมนุษย์กบไทย , พี่หนอม Dive leader และพี่ Pui จาก Dive info นอกจากนี้ ก็ขอบคุณอีกหลายๆท่าน ที่ไม่ได้กล่าวถึงนะครับ

เวลา ผมได้แล้ว ติดอยู่ที่ว่าสู้ราคาไม่ไหว เอาไงดีกว่า ในที่สุดก็เจอทางสว่างซะที่ครับ ผมได้เจอพี่ปุ๊ย ร้าน Dive info

“ทริปวันปิยะ พี่ไป Anilao ไปกับพี่ไหมภพ” พี่ปุ๊ยชวน

“ผมอยากไป Lembeh มากกว่าครับพี่ พี่มีทริปไหมครับ หรือส่งผมไปคนเดียวก็ได้นะ” ผมตอบอย่างมุ่งมั่น

สูตรเดิมอีกแล้วครับ แบบว่า ติดใจจากทริปสิปาดันละมั้ง เวลาของผมไม่เหมือนคนอื่นๆ ว่างไม่ตรงกัน ไปคนเดียวก็คล่องตัวดี

“ส่งไปได้จ๊ะ ภพอยากไปวันไหนบอกพี่เลย พักที่ Bastianos Lembeh Resort นะ” เคยได้ยิน ชื่อรีสอร์ทมาแล้วครับ เพราะทริปของมนุษย์กบไทย ก็จะไปที่นี่แหละ ช่วงเวลาเดียวกัน แต่เขาไปกันหลายวันครับ มากกว่าผมเยอะ (แม้ในใจก็อยากไปพัก Kasawari Lembeh Resort เหมือนกัน พี่แคทก็เชียร์ด้วย เอาไว้โอกาสหน้าก็ยังมีนะ)

จากห้องแอร์ ผมขอลดค่าใช้จ่าย ให้เหลือแค่ห้องพัดลมครับ ส่วนจะโดนชาร์จเรื่องนอนคนเดียว ก็อยู่ในราคาที่รับได้ จำนวนวันเหมาะสม ไปครับพี่ 555

พอใกล้ถึงวันเดินทาง ก็เหมือนว่า มีความทุกข์ซ่อนอยู่ในใจ บ้านเรากำลังประสบภัยน้ำท่วมครับ และบ้านผมก็น้ำเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เอาไงดีล่ะ แต่ถ้าไม่ไปก็ เอ่อ.... จ่ายเงินทางรีสอร์ทไปแล้วด้วยซิ

ทั้งพ่อกับพี่ชายก็บอกให้ไปผ่อนคลายเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ ดังนั้น ก่อนไป ผมช่วยพี่ชายขนของขึ้นที่สูง เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไว้ก่อน

สำหรับ ช่องแคบ Lembeh มันพิเศษยังไง จะมีสัตว์เล็กๆแปลกๆเยอะ ที่บ้านเราไม่มี หรือถ้ามีก็อาจจะหายากมาก ทรายสีดำจากภูเขาไฟนี่แหละ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันมีอะไรซ่อนอยู่ แม้ปะการังจะสู้บ้านเราไม่ได้ก็ตาม

การเดินทางไม่ได้ต่างไปจากตอนไปสิปาดันเลย ต้องต่อเครื่องบิน 2 ต่อ แถมนั่งนานกว่าอีก ผมต้องไปนอนค้างที่สนามบินชางฮี(Changi Airport) ประเทศสิงคโปร์ 1 คืน(นอนค้างในตัวเมืองก็ได้ครับ แต่ว่าอยากประหยัดค่าที่พักน่ะ) ในรุ่งเช้าผมจะต้องต่อเครื่องไปลงเมืองมานาโด(Manado) ประเทศอินโดนีเซีย

เป็นครั้งแรกที่ผมใช้บริการจองตั๋วเครื่องบินผ่าน Agency ครับ เป็นเพื่อนพี่ปุ๊ย อยู่ในวงการดำน้ำเหมือนกัน ชื่อพี่ปิ่นแห่ง Agenta Travel พี่ปิ่นอำนวยความสะดวกและให้คำปรึกษาดีมาก ทำให้ผมทราบว่า ในบางครั้งการจองตั๋วเครื่องบินเดินทางแบบ Low Cost Airline หลายต่อ ไม่ได้ถูกที่สุดเสมอไป ในบางครั้ง การจองผ่าน Agency รวดเดียวก็อาจจะถูกกว่าก็ได้(ซึ่งต้องไม่ใช่ Low Cost Airline) เหมือนเช่นในครั้งนี้ ที่ผมเดินทางหลายต่อ(ไปจองแยกในเว็บ ราคาแพงกว่าน่ะ) ต้องขอขอบคุณพี่ปิ่น มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

พี่ปุ๊ยบอกว่า จะมีผู้หญิง 2 คน คนหนึ่งอยู่ที่สิงคโปร์อยู่แล้ว กับอีกคนมาจากประเทศไทย จะไปดำน้ำในทริปนี้ด้วย(ซื้อทริปมาจาก Dive info เหมือนกัน)

การเดินทางครั้งใหม่ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

อาจจะมีอันตรายข้างหน้าที่รอผมอยู่ แต่ผมก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผมยังพาแม่เดินทางไปด้วยเสมอๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน คราวนี้ไปดำน้ำ ดูสัตว์ทะเลตัวเล็กๆนะแม่

หากพร้อมแล้ว เราเดินทางไปพร้อมกันเลยครับ




20 ตุลาคม 2554


เครื่องบินออก 3 ทุ่ม ไม่ต้องรีบร้อน ยังมีเวลาจัดของและช่วยพี่ชายย้ายของหนีน้ำ ผมเลือก Flightสุดท้ายเพราะ เมื่อไปถึงก็ไปหาที่นอนเลย ไปนอนข้างนอกก็เสียค่าใช้จ่ายด้วยน่ะ(ลองสอบถามพี่ๆหลายๆท่านที่ไปดำน้ำที่นี่ บางคนก็เลือกนอนสนามบินครับ แสดงว่าไม่ได้มีแต่ผมคนเดียวนะ 555)

กระเป๋าพร้อม(ยี่ห้อ North Face เอากระเป๋าที่พี่ชายคนกลางกับพี่สะใภ้ซื้อให้ไป เขาว่ากันน้ำได้ด้วย) Fin พร้อม กล้องและ Housing พร้อม หน้ากากพร้อม Dive Computer พร้อม Passport พร้อม แลกเงินมาพร้อม สัมภาระโหลดใต้เครื่อง 1 ใบ อีก 2 ขึ้นเครื่อง ส่วนอุปกรณ์ดำน้ำที่เหลือ ใช้เช่าเอาครับ คุ้มกว่า เพราะไม่ได้ดำน้ำบ่อยนัก

มีเวลากินข้าวเย็นกับพ่อ แล้วพ่อขับรถมาส่งที่ Airport Link สถานีมักกะสัน ด้วย ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเลิกงานพอดี ประกอบกับมีฝนตกด้วย ลืมคิดไปเลย ไม่ได้ขึ้นต้นสาย(สถานีพญาไท) นี่หว่า แย่แล้วโว้ย!



ติดฝูงชน เสี่ยงตกเครื่องที่ Airport Link สถานีมักกะสัน!!


เอาแล้ว ยังไปไม่ถึงไหน ก็มีเรื่องตื่นเต้นซะนี่ ถ้าตามปกติ ผมจะสามารถเข้าไปในรถไฟฟ้าได้ง่ายๆ แต่นี่เป็นช่วงเวลาเลิกงาน ที่วันนี้ คนเยอะมากกว่าปกติ เพราะคนส่วนมากได้จอดรถส่วนตัวหนีน้ำกัน ทั้งบนทางด่วน ตามตึก นั่นก็หมายความว่า คนส่วนมาก ใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้น!

ต่อคิวไป เดี๋ยวก็ถึงคิวผม ไม่น่าจะมีอะไรนะ รอบแรกไม่ได้ รอบต่อมาอีก 20นาที เอาล่ะวะ

เอ่อ เข้าไม่ได้ครับ ไม่ใช่ว่าผมช้า แต่สัมภาระของผมพะรุงพะรัง มีกระเป๋าใหญ่ 1 ใบ เป้สะพานหลัง 1 และFin(ตีนกบ) สะพายไหล่ขวา อีก 1 ทำให้ผมเดินเข้าไปด้านในยากกว่าธรรมดา เพราะคนเข้ากรูไป (1 ประตูที่คนต่อคิวก็มีหลายแถวครับ) ทำไงดีละ ไม่อยากตกเครื่องด้วย

รอบ 2 ผ่านไปแล้ว เอาไงดี ผมจะลองไปซื้อตั๋วแบบ Express ทีเดียวถึงสนามบินเลยดีไหม หรือลงไปเรียก Taxi ดี หรือจะลองดูอีกซักตั้ง แต่ผมต้องรีบเบียดเข้าไป และเก็บพื้นที่กระเป๋าให้มากที่สุด

20นาที ผ่านไป ผมจะต้องสู้หน่อยนะ คราวนี้

เบียดเข้าไปครับ อยู่ห่างจากหน้าประตูเล็กน้อย กระเป๋าใหญ่วางที่พื้น นอกนั้นนิ่ง ขยับไปไหนไม่ได้เลย แต่เบาใจได้ว่า ผมไม่น่าจะตกเครื่องแล้วโว้ย 555(ดีใจมาก) แต่คนนี่ซิ แน่นแท้หลายเลย

คนน้อยลงเมื่อถึงสถานีรามคำแหงครับ ค่อยมีที่หายใจหน่อย แต่ Fin สีเหลืองค่อนข้างเด่นเลยล่ะ ไอ้เด็กคนนี้ก็มองอย่างสงสัย ว่าพี่คนนี้จะไปไหนเนี่ย



ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ!


โอ้เอ้ไม่ได้แล้ว หยิบรถเข็น เอากระเป๋าวาง สายการบิน SQ981 อยู่ Row ไหนหว่า มองหาซิ อ้าวอยู่ตรงนั้นนี่เอง

เริ่มคุ้นเคยกับสายการบิน Singapore Airline เพราะพึ่งใช้บริการครั้งแรกเดือนกรกฎาคม แต่เวลา Check-In ครั้งนี้ ไม่เหมือนคราวที่แล้วครับ เพราะจะเป็นการ Check Through หมายความว่า กระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่องจะไปส่งที่เมืองมานาโด ประเทศอินโดนีเซียเลย ผมไม่ต้องถือไป ถือมา ตอนอยู่ที่สนามบินชางฮี ประเทศสิงคโปร์ มีแต่เพียงของที่ขึ้นเครื่องเท่านั้น(สบายกว่าครับ ถ้ามา Low Cost ผมต้องลากกระเป๋าไปมา ทุกใบและตอนเช้าที่จะไปลงมานาโด อันนั้นไม่มี Low Cost ไปถึงนะ หากจองแยก ก็อย่างที่ผมบอกครับ แพงกว่าและลำบากกว่าด้วย)(หากเป็นช่วงมีโปรโมชั่น จองกับ Agency ก็ถูกกว่าได้นะ)



ตั๋วออกมาจะมี 2 ใบ ครับ ลงสิงคโปร์ กับลงมานาโด แบบนี้ก็ดีซิ ตอนเช้าผมไม่ต้อง Check-In ใหม่ ก็แค่ไปที่ Gate ให้ทันเวลาเท่านั้น บอกเจ้าหน้าที่ว่าขอ Long Leg Seat นะ เจ้าหน้าที่บอก เดี๋ยวดูให้)

ถึงตอนนี้ก็เขียนใบ Immigration ครับ พอมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว สบายล่ะ นึกๆดู เอ่อ ไปสิงคโปร์ผมไม่ต้องยื่นนี่ ผมไม่ได้ออกไปนอกสนามบิน ก็เอาไว้สำหรับผ่านด่านตรวจ ของประเทศไทยด้วย

เรื่องแลกเงิน แลกมาก่อนหน้านี้แล้วครับ ประเทศอินโดนีเซียใช้เงินสกุลรูเปียห์ แลกทีนึกว่าตัวเองเป็นเศรษฐี กินข้าวทีอาจต้องใช้เงินเป็นแสน(รูเปียห์)ก็ได้ 555 อีกสกุลที่แลกไปด้วย คือ ยูโร ครับ ที่รีสอร์ทรับเงินยูโรด้วย

ผ่านด่านตรวจ Passport เข้ามา ผ่านอีกจุดหนึ่ง ถอดอุปกรณ์ที่เป็นโลหะ( เช่น เข็มขัด) ให้เจ้าหน้าที่ตรวจ แล้วค่อยมาแต่งตัวใหม่นะ

D 2 อยู่ไหนละเนี่ย รีบเดินเข้า คราวก่อนที่ไปสิปาดัน ไกลมากๆ กว่าจะถึง Gate แต่คราวนี้ เฮ้ย ใกล้จัง เกือบเดินเลยแล้ว 555

ค่อยยังชั่วหน่อย มีเวลาโทรหาพ่อ โทรหาพี่ ก่อนจะขึ้นเครื่อง แต่คนดูน้อยมากๆครับ(ก็แน่ล่ะ)

เจ้าหน้าที่ เรียกขึ้นเครื่องแล้ว ไปกันเถอะ




Welcome to Singapore Airline!


กลับมาสายการบินนี้อีกครั้ง ได้ Long Leg Seat จริงๆด้วยครับ(ยืดขาสบายล่ะ) แถมข้างๆก็ว่าง ไม่มีคนนั่ง




หยิบหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก มาอ่าน ข่าวน้ำท่วม พาดหัวใหญ่ น้ำยังไม่ถึง กทม ครับ แต่ตอนผมกลับมาจะถึงหรือเปล่า ภาวนาให้ไม่มีอะไรก็แล้วกัน



อย่าเครียดเลย อย่าไปคิดถึงมัน กินข้าวแก้เครียด เครื่องออกล่ะ แอร์โฮสเตสถามว่าจะรับอะไรดี อะไรดีหว่า มื้อเย็นแบบนี้ต้อง “Fish” ซิ ย่อยง่าย โอ้ อร่อย

ตรงนี้นั่งสบายก็จริง แต่ห่างไกลทีวีนะ ก็คงต้องเลือกซักอย่าง ว่าจะนั่ง ยืดขา สบาย หรือดูทีวี

ลองเข้าห้องน้ำบนเครื่อง (ครั้งแรก) ก็สะดวกดีครับ

นอนดีกว่า เพลียๆเหมือนกัน พักเอาแรงไว้ก่อนนะ ก่อนนอนก็สวดมนต์ให้การเดินทางครั้งนี้ปลอดภัย




Welcome to Changi Airport!


เครื่องบินถึงสนามบินชางฮี เวลา เที่ยงคืน ยี่สิบห้านาที (ตามเวลาท้องถิ่น) เร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง(เมืองไทยก็ ห้าทุ่ม ยี่สิบห้านาทีนะ) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง



หากมา Air Asia ผมจะต้องนั่งรถไฟฟ้าต่อมาอีก เพราะเครื่อง Slik Air (ของสิงคโปร์) ที่จะขึ้นอยู่ Terminal นี้ครับ ) นั่งๆนอนใน Terminal นี้ แหละ



ใช้ Internet ก่อนเลยเป็นอันดับแรก เพื่อติดต่อที่บ้าน ตู้แบบนี้ Survey มาแล้ว ตั้งแต่ทริปสิงคโปร์ ฟรีด้วย ใช้ไป ใช้มา เข้าไม่ได้ซะ(โชคดี ส่งข้อความไปแล้ว) ที่กทม เตือนครั้งที่ 2 แล้วด้วย แถวๆรามอินทรา โอ้ เครียด

ใช้โทรศัพท์ด้วยดีกว่า ลองโทรไปที่บ้าน พี่ชายกับพ่อออกมา Survey แถวจุดเตือนว่า น้ำมาถึงไหนแล้ว ยิ่งทำให้ผมคิดมากเข้าไปใหญ่

ไม่คิดๆ ลองเดินดูภายในดีกว่า หาที่นอนด้วย



ตรงร้านกาแฟ หาที่นั่งพักหน่อย มีสัญญานฟรี Wi Fi ด้วยครับ เข้าจากโทรศัพท์ได้เลย ไม่ต้องใช้ Password ด้วย(ครั้งนี้ผมเอาไอโฟน 3 G ที่แม่ซื้อให้มาด้วย เผื่อในยามฉุกเฉิน แม้จะกลัวหาย ก็เถอะ)

ตอนนี้ ตีสองกว่าแล้ว ดูตารางสายการบินซิ สายการบิน Slik Air เที่ยวบิน MI 274 Gate F 33 นะ ออก 09.25 นาที (เมืองไทยก็ 08.25 นาที)



มีน้ำดื่มด้วย กระหายน้ำมากๆ ไปนั่งรอหน้า Gate ดีกว่าครับ ผมกลัวจะตื่นสาย เอาของสำคัญวาง เอาปลั๊กมาชาร์จโทรศัพท์ ต้องเอาหัวปลั๊กแบบพิเศษมาด้วย เพราะที่สิงค์โปร์ ปลั๊กจะเป็นอีกแบบครับ(ตรงนี้ สัญญาน Wifi ไม่ถึงนะ แย่เลย)



ลองนอนดู นอนไม่หลับครับ นั่งเอาหลังชนกระจก เอาของสำคัญไว้ที่มือ กอดไว้ให้มั่น กลัวมีคนมาขโมย นอกจากยุงกัด อากาศยังหนาวมาก (หนาวกว่าปกติ) เสื้อหนาวก็ไม่ได้เอามา(ใครจะไปรู้ว่ามันจะหนาวขนาดนี้) มีความรู้สึกว่า ปวดท้อง ครั่นเนื้อ ครั่นตัว เหมือนจะไม่สบายแล้วล่ะครับ








Wednesday, March 21, 2012

Singapore...This is my occasion(11)

Mustafa Department Store!


เราเข้ามาดูในห้างดีกว่าครับ ว่ามีอะไรบ้าง ห้างมุสตาฟาเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว ที่ผมเปิดเจอในเว็บไซด์ก่อนมาด้วย ว่ากันว่าคนไทยมาเที่ยวก็ต้องมาแวะที่นี่ด้วยล่ะ



ด้านล่างมีเครื่องใช้ไฟฟ้า อีกด้านหนึ่งก็มีช๊อคโกแลค เห็นยี่ห้อ Toblerone และมียี่ห้ออื่นๆอีกมากมาย ราคาไม่แพงครับ ใครจะซื้อไป

ฝากก็มาดูได้(ติดใจ White Chocolate ของ Toblerone เป็นการส่วนตัวครับ หวานดี แต่หวานมากกินบ่อยๆก็ไม่ดี 555)



เครื่องดื่มก็ไม่แพงนะ กระทิงแดงก็มี น้ำขวดหลายรสชาด ราคาตกราวๆ 1 เหรียญสิงคโปร์ เท่านั้น



มาชั้นบนกันบ้างครับ มีขายรองเท้า มีให้เลือกเยอะเลย ทั้งรองเท้าคัชชู รองเท้ากีฬา ลองพลิกดู บางคู่ก็เป็น Made in Indonisia ครับ(ค่าแรงน่าจะถูกนะ) ราคาบางคู่ใช้ได้ แต่คุณภาพนี้ ต้องลองสวมดู ใช้ดูครับ ผมไม่ได้ซื้อน่ะ

มีกระเป๋า อุปกรณ์เดินป่า คนเดินไม่ค่อยจะมีเลยนะ เดินไปอีกฟากดีกว่า มีกระเป๋าเดินทางกับแผนกยา ดูใหญ่เชียวครับ ระหว่างเดินคุณจะเพลิดเพลินกับเสียงเพลง(แขก) ทำนองสนุกๆ ฟังไป ฟังมา เริ่มจะสนุกไปด้วยล่ะ



พ่อซื้อเสื้อเอาไว้ใส่ทำงานครับ ลองเดินไปอีกด้าน เสื้อผ้าเยอะจริงๆ มีหลายแบบ หลายชนิด หลายช่อง เดินไม่ดีก็หลงได้เลยนะ(ตอนเดินหากันนี่ เล่นเอาเมื่อยครับ เพราะโทรศัพท์ติดต่อกันก็ไม่มี 555)



มาดูครีมเปลี่ยนสีผมของผู้หญิงกันหน่อย เห็นพรีเซ็นเตอร์หน้าตาแปลกๆ แต่พอนึกถึงหนังแขก ที่พระเอก นางเอก หลบตามเสา ร้องเพลง แอบกันไป แอบกันมา ก็เริ่มคุ้นละ 555



นางแบบบางคนก็เหมือนคนสิงคโปร์ครับ แต่ที่แน่ๆ พรีเซ็นเตอร์แชมพู คนนี้ คุณนุ่น วรนุช ดาราไทยของเรา แน่นอน



เห็นป้ายเกี่ยวกับพวกลักเล็กขโมยน้อย ในฐานะนักกฎหมายก็ต้องขอดูหน่อย เคยได้ยินว่ากฎหมายสิงคโปร์โทษแรงเหมือนกัน ป้ายนี้บอกได้ดีเลยครับ(มองไปแว๊บๆ เห็นละ กล้องวงจรปิด)



มาดูมุมยาสีฟันบ้าง Darlie เอย Colgate เอย ก็มีแตกต่างจากบ้านเรานะ เช่น เรื่องภาษา , เรื่อง Design เป็นต้น



มาดูรองเท้าแตะ อันนี้มีแนว พื้นเป็นรูปคีย์บอร์ด คงจะนวดเท้าน่าดูเลย

ไปวิ่งจับหลานทัฬห์ ก่อนครับ เผลอแป๊บเดียว ไปรื้อรองเท้าออกมาซะแล้ว 555



สำหรับรองเท้าของผมนี่ เข้าขั้นหมดสภาพ หลังจากเดินมาอย่างยาวนานในทริปนี้ ปากเปิดไปหมด ส้นจะหลุดหมดแล้ว



ลงมาชั้นล่าง รอพี่มุกไปทำเรื่องคืนภาษี ลองสังเกตรอบๆ อ๋อ นี่เอง มีป้าย Little India แสดงว่าอยู่แถวๆนี้ นี่แหละ (ย่านนี้เลยละมั้ง) ร้านอาหารแนวอินตะระเดียก็มากอยู่นะ

เราโบกแท๊กซี่ กลับโรงแรมไปเอากระเป๋ากันดีกว่า เดี๋ยวจะไปขึ้นเครื่องไม่ทันครับ



ไปเอากระเป๋าที่โรงแรม / ไปสนามบินชางฮี


คุณลุง NG CHOW HWEE เล่าให้ฟังว่า อีกไม่กี่วัน ที่นี่จะมีงาน EXPO เกี่ยวกับกล้องถ่ายรูป ให้ลองมาเดินดู เพราะราคาถูกมาก บางรุ่นพันต้นๆ ก็มี บางรุ่นไม่ถึงพัน(สงสัยจะไม่ไหวครับลุง ราคาน่าสนใจมาก แต่ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน)

คนขับ Taxi คนนี้ก็เป็นหนึ่งในหลายๆคนขับ ที่ไปเที่ยวเมืองไทยบ่อยๆ จนมีเพื่อนๆ อยู่ที่นั่นมากมาย



ถึง Marina Bay Sands Hotel หยิบกระเป๋า แล้วโบก Taxi ไปต่อโลด

คุณอา คนขับ ขาไปสนามบินนี้ ดูจะสนใจเรื่องการเมืองไทยครับ เขาก็คิดไปอีกแนวนึงนะ ก็ว่ากันไป





หยิบกระเป๋าใส่รถเข็นมาเช็คอิน ผมมองเห็น Free Internet ด้วย เป็นตู้ให้เล่นฟรีครับ จดจำไว้ เพราะอีก 3 เดือนต้องมาที่นี่ นอนสนามบินด้วย เผื่อจะใช้ติดต่อทางบ้าน ได้



ขึ้นเครื่องล่ะ ลองเล่นเกม Hangman ดีกว่า ก็ได้ประโยชน์ดี



บทส่งท้าย


เสร็จสิ้น การเดินทางเรื่องยาวอีก 1 เรื่อง ใช้เวลาเขียน 8 เดือนแน่ะ กว่าจะเสร็จ(ต้องขออภัยทุกท่านด้วยครับ)


สำหรับประเทศสิงคโปร์ ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของใครอีกหลายๆคนในช่วงวันหยุดยาว อาจเป็นเพราะเดินทางง่าย ไม่ต้องขอวีซ่า การเดินทางก็สะดวก และมีสิ่งที่น่าสนใจมาก ในการผสมผสานหลายๆวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน

สำหรับผม ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี อีกครั้ง ในการได้มาเยือนต่างแดน ขอขอบคุณ คุณพ่อ ที่ให้โอกาสผมในการมาเที่ยวครั้งนี้ เป็นรางวัลในการสอบไล่ได้ เป็นเนติบัณฑิตที่แสนล้ำค่า ขอบคุณพี่ๆ ทั้งสอง พี่สะใภ้ และเจ้าหลานจอมซน ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและทำให้ทริปนี้มีแต่ความสุข

และที่ลืมไม่ได้เลย สำหรับคุณแม่ ที่คอยอยู่เคียงข้างผมตลอดมา และตลอดไป หวังว่าทริปนี้จะสนุกนะครับแม่ ขอบคุณครับ

ขอบคุณท่านผู้อ่าน ที่ติดตามอ่านจนจบ

แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าครับ



Phop Payapvipapong

20-03-2012

1.16 AM




How to get there?


1) การเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ ปัจจุบันมีหลายสายการบิน เช่น Air Asia , Sigapore Airline ,Thai Airway เป็นต้น วางแผนการเดินทางล่วงหน้า ก็ประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้อีก

2) ถึงสนามบินจะมีให้เลือกหลายเส้นทาง ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน รถโดยสารสาธารณะ รถ Taxi ลองเลือกดูตามความสะดวกครับ

3) สำหรับบัตรเครื่องเล่นใน Universal Studio จองผ่าน Internet ก็สะดวกดี เพราะถ้าเป็นช่วงวันหยุดอาจจะต้องต่อคิวซื้อตั๋ว คิวยาวเหมือนกันนะ ใครอยากเล่นเครื่องเล่นเยอะๆ นานๆ แนะนำให้อยู่เป็นวันนะครับ

4) มีที่พักให้เลือกมากมายในสิงคโปร์ การเดินทางก็แสนสะดวก ทั้งรถโดยสาร และรถไฟฟ้าใต้ดิน หากเดินทางทั้ง 2 อย่างนี้ อย่าลืมบัตร Easy Link นะครับ หากยังอยู่ในโปรโมชั่น กลับไปใหม่ ก็ยังไปใช้ต่อได้

5) เรื่องอาหารและน้ำ มีให้เลือกหลายแบบ หลายราคา ลองศึกษาดู น้ำกระป๋อง ถูกที่สุดผมเจออยู่ที่ China Town ส่วนอาหารก็มีหลายสถานที่นะ แต่เมนูจะแปลกๆตา จนน่ากินไปหมดเลย (ของฝากก็ลองมาดูที่ China Town นะครับ ราคาไม่แพง)

Saturday, March 17, 2012

Singapore...This is my occasion(10)



On the top floor at Marina Bay Sands Hotel!


ลิฟท์ที่นี่เร็วจริงๆ เผลอแป๊บเดียวก็มาอยู่ชั้นบนสุดซะแล้ว เดินออกมาจะพบด่านของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะคอยเช็คว่าเราเป็นแขกของโรงแรมหรือไม่ ห้องหมายเลขอะไรและอยู่ชั้นไหน



วิวสระว่ายน้ำนี่สวยจริงๆ ด้านหลัง คือ ตึกในยามเย็น มีดวงอาทิตย์ ดวงกลม สีส้มอยู่ด้วย มองจากตรงนี้ดูเสียวนะ สำหรับคนลงไปว่ายน้ำไม่กลัวตกลงไปหรือไง 555



มีเก้าอี้นอน ริมสระว่ายน้ำ มีเครื่องดื่มคอยให้บริการ มีต้นไม้สวยๆ มีบิกินี่ เอ้ย 555 พอที่จะทำให้บรรยากาศในตอนนี้ ดีมากๆ แม้จะมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กและแขกที่มาเล่นน้ำบ้างก็เถอะ(อีกฝั่งของสระน้ำ มีจากุซชี่ด้วยนะ)



ทำให้ผมมีความคิดที่อยากจะลงเล่นน้ำเหมือนกัน อาจจะเป็นวันพรุ่งนี้ ก่อนจะ Check-Out ก็ได้ ในความเป็นจริงผมไม่ได้อยากเล่นสระว่ายน้ำ เวลามาเที่ยวแบบนี้หรอก

แต่จะอีกนานแค่ไหนล่ะ กว่าผมจะได้มีโอกาสดีๆ แบบนี้ ที่จะกลับมาพักที่นี่ได้อีก



ถ่ายรูปซะเพลินเลยครับ ชั้นบนสุดนี้ก็อยู่บริเวณรูปเรือ ที่มองจากด้านล่างนั่นแหละ แต่กว้างมากจริงๆ มีร้านอาหารด้วยนะ



เดินมาเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เป็นลานกว้างๆ สำหรับชมวิวและถ่ายรูป หากใครไม่ใช่แขกของโรงแรมก็จะต้องเสียค่าบริการครับ ถึงจะขึ้นมาตรงจุดนี้ได้ (ไม่แน่ใจว่าประมาณ 20 เหรียญสิงคโปร์หรือเปล่านะ ลองเช็คกันอีกทีนะครับ)



มองไปด้านล่าง เห็น Singapore Flyer ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนที่ทำงานที่สิงคโปร์ มันบอกว่า “มึงไม่ต้องขึ้นหรอก ไปหาตึกสูงๆแล้วชมวิว ได้อยู่นานกว่าด้วย” เออ ท่าจะจริงๆ แฮะ จุดชมวิวตรงนี้ก็สวยมากซะด้วย



มีร้านขายของที่ระลึกด้วยครับ เผื่อใครจะสนใจ พ่อซื้อเสื้อด้วย แกฝากผม 1 ตัวครับ มี 2 สี คือ สีเหลืองกับสีดำ ผมรู้ดีว่า พ่ออยากได้สีเหลืองมากกว่า จึงเลือกอีกสีครับ



แสงสีส้มกำลังจะหายไป และสิ่งที่มาแทนที่ ก็คือ ราตรี กับแสงไฟตามตึก ให้บรรยากาศที่คลาสสิคไปอีกแบบ



เราเดินกลับย้อนมาที่เดิม เพื่อลงไปด้านล่าง เดินผ่าน CASINO ออกไปทาง Hotel and Skypark / Coach Terminal พี่มุกบอกว่า มีการแสดง แสง สี เสียง ด้านนอกนี้ด้วย(ชมฟรีครับ)



มีบ่อน้ำพุ เป็นน้ำวน ใหญ่โตดี แต่ไฮไลท์จริงๆ อยู่ที่การแสดงน้ำพุ ตรงนี้ต่างหาก




What a Wonderful World!!!


เขาเปิดเพลงนี้พอดี What a Wonderful World ของ Louise Armstrong เพลงก็เพราะ แถมการแสดงน้ำพุก็มีลูกเล่นเยอะทีเดียว น้ำพุเต้นระบำไปมา พร้อมกับสีของไฟที่ฉายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ทีเด็ดมากกว่านั้น ก็เป็นรูปคนที่ถูกฉายไปกลางน้ำพุ สาวคนนี้เป็นใครก็ไม่รู้ล่ะ คงเป็นดาราที่สิงคโปร์ แต่เสียงหวานมาก กับเพลง What a Wonderful World นี้

มีนกบินด้วย ทำได้ไงเนี่ย ปิดฉากได้สวยงาม เสียดายจบเร็วไปหน่อย ถ้าได้ดูตั้งแต่ต้นก็คงจะดี ใครผ่านไป-ผ่านมา ก็ลองมาชมกันครับ

ดูจบแล้ว ผมอยากไปอีกที่หนึ่งที่สร้างมาก่อนที่นี่ คือ น้ำพุที่ตึก SUNTEC CITY เราโบกรถ TAXI ไปสองคันครับ แต่ต้องต่อคิวตามระเบียบนะ



Fountain Of Wealth At SUNTEC CITY


อ้าว อยู่ไหนละเนี่ย TAXI มาส่งที่ตึกจริงๆ ครับ แต่ตรงนี้มีตั้งหลายตึกนะ ไปถามเจ้าหน้าที่สาวคนนี้ดีกว่า เธอชี้ไปด้านนึงครับ แต่น้ำเสียงและสีหน้านี่ แบบนี้ไม่ต้องบอกก็ได้เจ๊



น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง(ชมฟรีเหมือนกัน) อยู่ตรงวงเวียนที่รถวิ่งเลยครับ ก็เดินระวังๆนิดนึง เพราะรถวิ่งเร็ว ส่วนใครจะสะดวกดูด้านบน หรือลงไปดูล่าง ก็ตามสบายครับ แต่ผมต้องหาพี่คนกลางกับพี่สะใภ้และเจ้าหลานจอมซนก่อน ไม่นานก็เจอ อยู่ด้านล่างนี่เอง



ที่นี่จะแตกต่างจากที่ดูเมื่อซักครู่ ลักษณะน้ำพุจะกระจายเป็นเส้นเล็กๆ สลับไปด้วยแสง สี และเปิดเพลงตามไปด้วย มีตัวอักษรด้านในน้ำพุ แต่จะอยู่ภายในวงแหวนขนาดใหญ่นี่ล่ะ(เพลงจะเปิดแนวๆวัยรุ่นนะ แต่ผมไม่รู้จักด้วยครับ อาจจะหาได้ตามคลื่น 105.5 บ้านเราก็ได้)



นั่งดีกว่า ถ่ายรูปไปด้วย มองไปด้านนี้ก็ใกล้กับ CONRAD ด้วยครับ น่าจะเป็นโรงแรมนะ



น้ำพุจบ จะมีทางเดินให้เข้าไปใกล้ๆได้ ก็เดินวนรอบพร้อมกับเอามือแตะน้ำด้วย มาทั้งที่ ก็ลองทำตามข้อมูลท่องเที่ยว เผื่อจะมั่งคั่งกับเขาบ้าง 555

หิวครับ ไปหาของกินดีกว่า ฝากท้องไว้กับร้าน Crystal Jade ที่อยู่บริเวณตึกนี่แหละ

ถึงเวลาเดินกลับ มุดตึกนั้น ลงตึกนี้ ถ้าไปตามถนนอย่างเดียวก็อาจจะไม่ปลอดภัยนัก ในการข้ามถนนซึ่งมีรถที่วิ่งผ่านอย่างรวดเร็ว ระหว่างทาง มีร้านอาหารไทย ชื่อ Tawandang (ตะวันแดง) ด้วยนะ

ออกมายังตึกที่เป็น Art Gallery ตอนแรกผมเข้าใจว่ากำลังจะกลับโรงแรมกัน ยังครับ พี่ๆพามาถ่ายรูปที่ Merlion ตัวจริง เสียงจริง ต่างหาก

ระหว่างเดินไปริมแม่น้ำ มีทางเดินเล็กๆ แต่สวยมาก ตั้งกล้องถ่าย Marina Bay Sands Hotel ในระยะไกล ในยามค่ำคืน ก็สวยดีเหมือนกัน



Merlion ตัวจริง!!!


อยู่ที่นี่มาหลายวัน เจอ Merlion ไปแล้ว ก็ที่ Resort World สำหรับที่นี่ ในสวนก็ยังมีตัวปลอมอีกตัวนะ(ตัวเล็กๆ ในสวน 555)



มาดูตัวจริงบ้างดีกว่า แม้จะตัวไม่ใหญ่เท่าที่ Resort World แต่รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของ Original(เว่อร์ล่ะ) 555 เอาเป็นว่า ถ่ายกลางคืนก็ดูสวยไปอีกแบบ มีแสงไฟแถมมาด้วย



คนดูน้อยลงกว่าเมื่อหัวค่ำ(มองจากชั้นบนของโรงแรมครับ) ถึงตอนนี้ แต่ละคนก็เริ่มเมื่อยขาบ้างแล้ว สังเกตได้จากเมื่อขึ้นรถ Taxi รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ แอร์เย็นด้วย

คืนนี้ ผมนอนที่โซฟาด้านนอก นอนดึกด้วยแหละ ก็เขียนอะไรไปเรื่อย เปิดทีวีดูบ้าง อีกอย่างให้พ่อกับพี่คนโตเขานอน น่าจะสบายกว่า

ว่าแต่แอร์หนาวจริงๆ ต้องนอนขดเป็นงูเท่านั้น เอาเสื้อแม่ขึ้นมาสวม คงจะช่วยให้อบอุ่นดี



20 กรกฎาคม 2554


วันสุดท้ายของการเดินทางแล้ว คืนนี้ก็ต้องกลับไปนอนที่เมืองไทยแล้วครับ เวลาผ่านไปรวดเร็วจริงๆ



ลงมาซัด Breakfast ก่อน กินให้หายเหี้ยนไปเลย ปลาดิบ ซาลาเปา ขนมจีบ ฮะเก๋า ไส้กรอก ครัวซองทาเนยถั่ว เพราะเป็น Brad Pitt ใน Meet Joe Black 555

แต่จะกินมากจนพุงกาง ก็ลืมไปว่า เดี๋ยวต้องไปเล่นน้ำที่สระชั้นบนนี่นา เดี๋ยวจุก ไหนๆก็ไหนๆ ผมพลาดเมื่อวานนี้ สระว่ายน้ำ ที่ Hard Rock Hotel (ได้อย่าง เสียอย่าง ยังไงก็ได้ไปถ่ายรูป Merlion ที่ Imbiah station ด้วยน่ะ)



Swimming on the top floor!


โอกาสดีๆแบบนี้คงหาไม่ง่ายนักครับ ลองเล่นน้ำที่นี่ดีกว่า คนไม่ค่อยเยอะด้วย



จะมีพนักงานคอยเตรียมผ้าเช็ดตัวไว้ให้ สามพี่น้องลุย ส่วนพ่อนั่งดู แกคงไม่อยากอาบน้ำอีกรอบครับ พยายามชวนแล้ว ยังไงก็ไม่ลง



สังเกตว่า ตรงปลายสระ ที่ดูเสียวจนจะตกตึกนั้น จริงๆ ยังมีส่วนที่ยื่นไปอีกพอสมควร ไม่ใช่ว่าหลุดจากสระนี้ไปจะต้องตกตึกในทันที ก็ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีอยู่แล้ว (ยังมีช่องสำหรับให้เจ้าหน้าที่เดิน แต่ไม่ให้แขกไปเดินนะ หลุดไปจากตรงนี้ล่ะก็ ลาก่อน)



ว่ายไปกลับซักรอบนึง แข่งกันดำน้ำ ว่ายน้ำ แต่ผมแพ้ประจำ แม้จะเป็นคนเดียวใน 3 พี่น้องที่เรียนดำน้ำแบบ Scuba Diving แต่ก็ไม่ใช่คำตอบว่าจะต้องกลั้นหายใจได้นานกว่า และว่ายน้ำเร็วกว่าคนอื่นๆนะ 555



Check-Out!


กระเป๋าฝากที่โรงแรมก่อนได้ครับ ขากลับที่จะไปสนามบินค่อยมาเอา มี 4 สาว ในชุดสีขาว มานั่งเล่นไวโอลินให้ฟัง คนสุดท้ายเล่น เชลโล่ ฟังแล้วเคลิ้มตามนะ

พี่มุก จะพาไปกินบัก กุ๊ด เต๋ ครับ อยู่แถวๆ ย่านเกลัง นอกจากข้าวมันไก่ เมื่อวันก่อน บัก กุ๊ด เต๋ ก็ถือว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่เหมือนกัน แต่ปกติผมก็ไม่กินนะ แต่ก็พอกินได้แหละ



คุณอา NG AH HAU จะเป็นคนขับ Taxi พาไปครับ เหมือนจะต้องขับออกไปนอกเมืองเลย ระหว่างทางเจอป้ายที่เป็นภาษาไทย เขียนในไซด์งานก่อสร้างว่า “ ถ้าดีแล้วค่อยทำ ถ้าไม่ดีคิดว่าอันตรายก็ไม่ต้องทำ” หรือจะเป็นกฎหมายนะ

ส่วนใหญ่บ้านคนจะอยู่บนตึก เราลอดอุโมงค์จนมาถึงร้านบัก กุ๊ด เต๋



NG AH SIO Pork Ribs Soup Eating House!


นั่นเป็นชื่อเต็มๆ ของร้านครับ อธิบายถึงชื่อร้านและประเภทของอาหาร บัก กุ๊ด เต๋(Bak Kut Teh) คนแน่นร้านเลย คงเป็นร้านที่มีชื่อเสียงจริงๆนั่นแหละ

พนักงานสาวท่าทางทะมัดทแมงเข้ามาใช้ปากกาจิ้มๆที่เครื่องอิเล็กทรอนิกซ์ พร้อมกับผ้าเย็น เจ้าหลานจอมซนก็นั่งนิ่งแต่โดนดี เพราะพ่อมันเปิดการ์ตูนให้ดู



ปาท่องโก๋ จานแรก ตามด้วย ผัดผักกาดขาวมีกระเทียมเจียวโรย และบัก กุ๊ด เต๋ ที่เป็นเนื้อหมูติดกระดูกในน้ำซุป ทานกับข้าวสวยร้อนๆ (พริบตาเดียวก็เหลือแต่จานเปล่า ส่วนผมจะกิน 2 อย่างแรกมากหน่อยครับ)



เพิ่มพลังเรียบร้อย เดินเท้าไปยังห้างมุสตาฟา ผ่านถนน Rangoon ระหว่างทางผ่านร้านขายของชำ ซึ่งก็คล้ายๆกับบ้านเรา ป้ายห้ามจอดรถ ป้ายกดสัญญานรอข้ามถนนซึ่งอันนี้แจ๋วดี ซึ่งมี 3 ระดับ คือ Do not Cross , Cross with Care และ Do not Start to Cross



สำหรับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่อยู่ย่านนี้ คือ สถานี Farrer Park ครับ เผื่อใครจะแวะมาแถวนี้นะ

เดินผ่านถนน Kitchener มองเห็นร้าน Internet อัตราค่าบริการ ชั่วโมงละ 2 เหรียญสิงคโปร์ครับ



เห็นตึกที่มีพรีเซ็นเตอร์เป็นคนมุสลิมเป็นสัญญานว่า

เรามาถึงห้างมุสตาฟา แล้วครับ