Monday, August 24, 2009

อยุธยา...ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์








ช่วงหลังมานี้ หลายท่านอาจจะเห็นว่าผมมีแต่ทริปบก แล้วทะเลล่ะ เบื่อแล้วหรือ? จริงๆไม่ใช่ครับ สัตว์ทะเลและการดำน้ำยังคงเป็นที่หนึ่งในใจของผมอยู่วันยังค่ำ เพียงแต่ช่วงนี้ไปไหนมาไหนลำบาก แม้จะมีคุณพ่อคอยดูแลคุณแม่อยู่ในวันอาทิตย์ แต่คุณพ่อก็หัวเข่าไม่ค่อยดี หากออกไปก็ควรต้องรีบกลับ ฉะนั้น ทริปเช้า-ไป เย็น-กลับ จึงค่อนข้างเหมาะและไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก

อีกอย่างเจ้าเพื่อนของผมชุดนี้ ก็ไม่ได้เรียนดำน้ำแบบ Scubaกันซะด้วย แต่เล่นกล้อง DSLR ครับ พวกนี้ก็อยากฝึกฝีมือ สั่งสมประสบการณ์ ผมก็ชอบถ่ายรูป เอามาเขียนเรื่องราวประกอบการเดินทางน่ะ

สายรกอยากไหว้พระที่อยุธยาครับ ส่วนผมก็ช่วยมันหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวและร้านอาหารในจังหวัด ต้องรับหน้าที่ Navigator ไปโดยปริยาย อีกอย่าง บ้านคุณยายของผมก็อยู่ที่อยุธยา เรียกว่า ผมมาบ่อยที่สุดในบรรดาเพื่อนๆที่ไปกัน อีกสองคนก็คนหน้าเดิม ปูโกกกับชูฮวย นั่นเอง

กรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร ผมชอบคำนี้ครับ ฟังแล้ว บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของกรุงเก่าแห่งนี้ ที่อดีตเคยเป็นราชธานีที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างดี ปัจจุบันก็มีโบราณสถานมากมาย และแน่นอนว่าชาวต่างชาติชอบมาที่นี่ นักถ่ายภาพหลายท่านก็ชอบเช่นกัน

ออกเดินทางกันดีกว่าครับ


23 สิงหาคม 2552

9 โมงเช้า ทุกคนมารอสายรกที่รถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีลาดพร้าว พาหนะวันนี้ ก็คือ Honda City ที่ไปตลาดน้ำดำเนินสะดวกมาเมื่อทริปก่อนนั่นเอง

นัดขอตัง(ชื่อเพื่อนครับ) ที่วัดพนัญเชิง ช่วง 11 โมง ขอตังเป็นนักเรียนวชิราวุธรุ่น 70 บ้านขอตัง อยู่ อ. วังน้อย ครับ เป็นฟาร์มเลี้ยงไก่ ชื่อ “กรรณสูตฟาร์ม”

ตรงมาทางสายรังสิตครับ ผ่าน ม. ธรรมศาสตร์ ม. กรุงเทพฯ คุยกันเพลิน จนลืมออกซ้าย ผลคือ ตรงไปทางสระบุรี(เอ้า ซวยแล้ว) ที่ขับรถก็ไกล ลองโทรถามขอตัง มันบอกว่า ตรงมาได้ จะผ่านบ้านของมันเลย จะมีทางออกขวา กลับไปสายเอเชียได้

Navigator อย่างผม เลยโดนไปหนึ่งดอกครับ(ตอนมากับพ่อก็เคยขับเลยไปทีแล้ว ไม่จำ 555)

แต่ไม่แวะบ้านขอตังครับ(เดี๋ยวจะยาว 555) ใช้เวลาสิบนาที จากตรงนั้น ก็มาถึง จ. อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อนแล้ว

เราจะไปที่วัดใหญ่ชัยมงคลก่อนครับ ด้านหน้า เป็นเจดีย์วัดสามปลื้ม ออกซ้ายได้เลย จะมีป้ายบอกทางครับ ก็ไปทางเดียวกับวัดพนัญเชิงนั่นแหละ

เปลี่ยนแผนนิดหน่อยครับ ให้ขอตังมาเจอที่วัดใหญ่ชัยมงคลแทน


วัดใหญ่ชัยมงคล

“เข้าทางนี้เลยครับ” ชายชราผู้หนึ่ง หยิบกรวยและโบกรถให้

“ค่าจอดรถเท่าไรครับ ลุง” ผมถาม

“แล้วแต่จะให้เลยครับ” ผมหยิบธนบัตรใบละ 20 ให้ลุง ด้วยความสงสัยจึงถามว่า

“ลุงอายุเท่าไรแล้วครับ”

“ 73 แล้ว”

โห แข็งแรงมากครับ แดดก็ร้อนแบบนี้ ผมไม่แปลกใจแล้วล่ะ แต่ก็น่าชื่นชมลุงคนนี้อยู่เหมือนกัน ที่ดูแลสภาพร่างกายได้ดีมากๆ

ที่วัดนี้ สันนิษฐานว่าสมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ. 1900

มีกรุ๊ปทัวร์มาลงที่นี่เยอะครับ จำได้ว่าผมเคยมาหลายครั้ง ตอนอยู่โรงเรียนก็มาทัศนศึกษา ตอนมากับครอบครัวก็มาไหว้ที่นี่ ตอนตังเก(ชื่อเพื่อนครับ) บวช ก็มาบวชที่วัดนี้

มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติครับ มีเด็กๆมาทัศนศึกษาด้วย เข้าไปซื้อดอกไม้ ธูปเทียน ไหว้พระ ปิดทอง ก่อนแล้วกัน

พระนอนอยู่ด้านหลังครับ แต่ผมและเพื่อนไม่ได้ไป(แล้วจะบอกทำไมเนี่ย) เห็นวิวเจดีย์ ด้านหน้า นี่ล่ะ ใช่เลย แดดออกค่อนข้างดี ฟ้าเป็นฟ้า สวยมากๆ

ด้านข้าง มีโลเกชั่น พระประธานนั่งเรียงกัน ดูสวยดี ผมกับปูโกกขึ้นไปด้านบนเจดีย์ครับ ชูฮวยกับสายรกถ่ายรูปอยู่ด้านล่าง มีบันไดเดินขึ้นไป มีนักท่องเที่ยวขึ้นไปกันเยอะ(ฝรั่ง ญี่ปุ่น ก็เยอะ ขาว น่ารักทั้งนั้น เอ้ย เดี๋ยวจะเป็นบาปครับ การมาวัดก็เหมือนกับการไปศาล ควรจะมาด้วยมือที่สะอาดและบริสุทธิ์นะ 555)

ด้านบนมีให้ปิดทองพระประธานครับ ตรงกลางเป็นช่องขนาดใหญ่ มีตะแกรงเหล็กกั้น(คงกลัวคนตกลงไป) มีคนโยนเหรียญลงไปด้วย ผมก็โยนนะ เพื่อความเป็นสิริมงคล หลุมมีความลึกหลายเมตร แต่ยังพอเห็นที่ก้นหลุมครับ

ออกมา เลี้ยวไปด้านซ้าย มองลงไปด้านล่าง เห็นซากปะหรักหักพัง และมีพระประธานสีขาว

ลงไปด้านล่างกันดีกว่า

ถ่ายรูปรอบๆ ได้หนึ่งรอบ ขอตังก็มาครับ เราจอดรถไว้ที่นี่ ไปรถขอตังกันทั้งหมด กินข้าวเที่ยงเสร็จค่อยกลับมาเอารถที่วัด

ขอตังขับรถพามาทางที่ไปพระราชวังบางประอิน ผ่านตลาดโก้งโค้ง(เห็นแว่บๆว่า พี่เหมียว Beautycat พึ่งไปมา) ขอตังบอกว่า เวลาซื้อของต้องก้ม เลยเรียกว่าตลาดโก้งโค้ง(โห ขนาดคนธรรมดายังต้องก้ม แล้วผมจะเหลือเหรอเนี่ย ขนาดตลาดดอนหวาย ยังต้องก้มซะเมื่อยหัว หัวจะชนหลอดไฟเอา 555)

นี่ครับ ร้านนี้เลย ชื่อร้าน “ยางเดี่ยว” (ขับรถมาเองคงไม่รู้แน่ครับ อยู่ไกลเหมือนกัน) นอกจากจะติดริมแม่น้ำแล้ว ทีเด็ดอยู่ที่กุ้งแม่น้ำ ที่อร่อย สด เต็มปาก มีมันกุ้งเยิ้มๆ ที่สำคัญ ร้านนี้หั่นผ่าซีกด้วยครับ กินง่าย ถูกใจคนไม่ชอบแกะกุ้ง แต่ชอบกินกุ้ง นอกจากนี้ หอยจ้อก็กรอบอร่อยจนแทบไม่ต้องใช้ฟันกัด ใช้เพดานปากทับก็น่าจะละลายแล้ว(เห็นภาพไหมครับ 555) ฉู่ฉี่ปลาก็ค่อนข้างอร่อย เสียดายว่าผมไม่ชอบกินเผ็ด เพื่อนก็ลืมสั่ง ก็เลยสะอึกตามสภาพ ปิดท้ายที่ขนมถ้วย ที่รสชาด หวานมัน อร่อย

ถึงเวลาจ่ายเงิน ขอตังไม่ยอมให้พวกเราจ่ายครับ จะเลี้ยงท่าเดียว ให้เงินก็ไม่ยอม สุดท้ายขอตังบอกว่า “ถ้าพวกมึงให้เงิน ก็กลับเองนะ” เท่านั้นแหละครับ ก็คงต้องยอมมัน ขอตังบอกว่า ไว้คราวหน้าค่อยเลี้ยง(เอาร้านอาหารญี่ปุ่นที่ตึกแกรมมี่ดีไหม) เห็นว่า ร้านนี้แพงมากครับ (ฉลาดนะมึง 5555)

ขอบคุณขอตังมา ณ ที่นี้ด้วย คราวหน้า จะมากินกุ้งแม่น้ำอีกแล้วกัน ขอบใจมากเพื่อน

ขอตังขับมาส่งที่วัดใหญ่ชัยมงคลครับ ช่วงบ่ายขอตังมีธุระต้องไปทำต่อ มาวันนี้ก็เพื่อมากินข้าวกับเพื่อนโดยเฉพาะเลย(เห็นก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีกหน้าวัด น่ากินดีครับ เอาไว้คราวหน้า)

ร้อนมากๆครับ ในรถไม่ต้องพูดถึง แทบจะสุก ต้องรอซักพักจึงขึ้นไป เป้าหมายต่อไป คือ วัดพนัญเชิงครับ ที่มีตำนานเจ้าชายสายน้ำผึ้งกับเจ้าแม่สร้อยดอกหมากนั่นแหละ

ก่อนเข้าวัด ระหว่างทาง มีแม่ค้าขายปลาค่อนข้างเยอะ ลองแวะถาม ทราบว่าให้ไปปล่อยในวัดก็ได้ มีกระดาษมาให้ดูว่า ปล่อยสัตว์อะไร มีความหมายว่าอย่างไร เพื่อนๆเลือกปลาครับ ต่างชนิด ต่างความหมาย ผมเลือกหอยขม เพราะมีความหมายในเรื่อง เจ้ากรรม นายเวร ผมจะปล่อยมันเพื่อให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เข้ามาหาคุณแม่และครอบครัวของผมน่ะ


วัดพนัญเชิง

ร้อนมากๆครับ เสื้อผมเหม็นไปด้วยกลิ่นเหงื่อ(ยังไม่ได้ซื้อโรล ออน ครับ ช่วงนี้หมดพอดี ไว้กลับบ้านไปค่อยซื้อ) โชคดีไม่มีผู้หญิงมานะ ไม่งั้นผมเกรงใจแย่ 555
คนมาที่วัดเยอะเลยครับ พวกเรามุ่งหน้าไปที่ท่าน้ำก่อน เพื่อหาสถานที่ปล่อยปลา แต่ไม่ว่าจะไปท่าไหน ก็มีแต่ปลาใหญ่ท่าเดียว(ขยายครับ มีแต่ปลาใหญ่เจ้าถิ่น ปล่อยไปก็อร่อยเหาะซิ แทนที่จะได้บุญกลับได้บาปแทน 555)

กว่าจะได้ท่าน้ำที่เหมาะสม ก็แวะเข้าไปจุดที่ 5 แน่ะ แต่ดูแล้ว ปลอดภัย ไร้ปลาใหญ่ แต่ต้องเดินไกลนิดนึง

ปล่อยเสร็จเรียบร้อย เดินกลับมาสักการะเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ตึกนี้สวยครับ ตกแต่งสไตล์จีน ภายในมีองค์จำลองเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ตามประตูประดับประดาด้วยศิลปะ ค่อนข้างสวยงามทีเดียว

.ใกล้ๆมีให้สักการะ เจ้าแม่กวนอิม เจ้าพ่อกวนอู ขนาดเทพฮัวโต๋ยังมีเลยนะ(ใครที่เคยอ่านสามก๊ก นวนิยายจีน คงจะรู้จักหมอฮัวโต๋ดีครับ)

ออกมาสักการะพระประธานขนาดใหญ่ครับ หลวงพ่อโต สันนิษฐานว่า สร้างสมัยพระยาเลอไทย พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง(สมัยสุโขทัย) แต่คนเยอะน่าดู ผมไหว้ด้านนอกดีกว่า และขอถ่ายรูปท่านก็แล้วกัน สวย สีทองอร่ามครับ

ก่อนกลับ ผมเช่าพระไปฝาก พ่อกับแม่ เอาไว้สักการะ มีเนื้อผงกับเนื้อไม้จันทร์หอม

อากาศร้อนแบบนี้ ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนครับ เพื่อนบอกว่าขอไปหลบร้อนที่ “ อยุธยาปาร์ค” ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ของที่นี่ดีกว่า ผมยังไงก็ได้ครับ มากับเพื่อนไม่ได้มาคนเดียวนิ อีกอย่าง อีแอกหรือ Kevin หนุ่มไทยสไตล์อเมริกันจะขับรถจากกรุงเทพฯตามมาสมทบ ก็ให้นัดเจอกันที่นี่เลย แล้วค่อยไปกันต่อ

ไม่นานนัก หลังจากนั้น

“เฮ้ย กูถึงแล้ว รออยู่ใน KFC นะ ตรง Lotus”

“เออ ได้ เดี๋ยวพวกกูตามไป”

เจอ KFC แล้วครับ ไม่เห็นมีเลย “มึงอยู่ไหนวะเนี่ย” อ่อ นี่มัน Robinson คงต้องไปที่ Lotus ก่อนมั้ง

ก็ไม่มีอีกครับ ไหนลองถามใหม่ อีแอกอยู่ไหนเนี่ย อีแอกเลยลองถามคนแถวนั้นว่า พี่ครับ นี่ Lotus อะไรครับ

“Lotus บางปะอิน ค่ะ”

จบข่าว............................

คนละที่ครับ มิน่าถึงเร็วจัง จากตรงนั้นต้องมาอีก 20 กิโลเมตร จึงจะถึงสถานที่ที่พวกผมอยู่ครับ 5555

หลังจากนั้นไม่นาน อีแอกก็มาถึงครับ แต่ดันอยู่เลนนอก เลยมาจอดที่ปั้มน้ำมัน วิ่งย้อนศรมาด้วยแน่ะ

เออ สุดยอดเลย เพื่อนเรา 555

อีแอกมาพร้อม Granvia และไม่ได้มาคนเดียวครับ มากับสาวซะด้วย น้องทราย(หรือ Sandy) ก็มาครับ เราไปต่อกันดีกว่า

คราวนี้ผมไม่ยอมให้พลาดอีกแล้ว เสียชื่อคนที่มาอยุธยาบ่อยๆหมด จากนี้เราจะไปวัดมหาธาตุครับ สายรกอยากไปถ่ายรูปตรงจุดที่มีเศียรพระรูปหินทราย โอมล้อมไปด้วยรากไม้(ผมก็จำได้ครับ เคยมาตอนนั้น แต่ก็อยากมาอีกนะ)

วัดมหาธาตุจะอยู่ทางเดียวกับบึงพระราม ทางเดียวกับวิทยาลัยเทคนิค ตรงมาเรื่อยๆ ก็เลี้ยวขวาตามป้ายเลยครับ

5555 ถึงแล้ว(รอดตัวไป)


วัดมหาธาตุ

มีกรุ๊ปทัวร์มาลงเยอะเหมือนกันครับ เข้าใจว่าจุดขายนอกจากจะมีโบราณสถานที่สวยงาม อีกข้อหนึ่งก็คือ เศียรพระพุทธรูปที่ผมบอกนั่นแหละ

ค่าเข้าคนไทย คนละ 10 บาทครับ ต่างชาติคนละ 50 แต่ถ้าใครอยากจะจ่าย 50 บาทก็ได้ครับ ทำเนียนๆพูดภาษาไทยไม่แข็งแรงแล้วกัน 555

พงศาวดารบางฉบับก็บอกว่า สร้างในสมัยสมเด็จพระราชาธิราชที่ 1 ครับ

ร่องรอยของการที่ถูกพม่าเผากรุง ยังมีให้เห็นโดยทั่วไป ผมลืมตัวไป เห็นบันได อยากจะขึ้นไปดูให้กว้างๆว่า ควรจะเดินไปตรงไหนดี และก็มีเสียงตามมาว่า

“คนไทย หรือเปล่า เขาห้ามขึ้นนะ” เสียงเจ้าหน้าที่ ผ่านมาพร้อมกับสายลม

ลืมไปครับ เข้าห้ามขึ้นนี่นา ยิ่งผมตัวสูงด้วย พอยืนทีก็เห็นกันหมด 555(ขออภัยครับ ยกมือไหว้ขอโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อน)

วัดมหาธาตุ ค่อนข้างใหญ่ครับ ดูจากโบราณสถานแล้ว หากได้เห็นในสมัยก่อนที่พม่า(รามัญ) จะเข้ามาทำลาย คงจะยิ่งใหญ่น่าดูเลยนะเนี่ย

เดินหายังไงก็ยังไม่เจอครับ เศียรพระพุทธรูปอยู่ไหนเนี่ย จากทางเข้า ต้องเดินมาทางขวาครับ อีแอกกับน้องทรายตาดีมากๆ

ตอนนี้ เศียรพระพุทธรูปในรากไม้ มีที่กั้นไม่ให้เข้าไปใกล้ครับ แต่ถ่ายรูปได้ ด้านหลังมีสองสาวชาวญี่ปุ่น(น่ารักด้วย ต้องบอกว่าขี้เหร่เน๊ะมากๆ 555 ) พวกเธอขอร้องให้ปูโกกถ่ายรูปให้พวกเธอหน่อย (เสียดายที่ไม่ใช่ผม) แต่คนถ่าย คือ สายรกครับ

พอออกมาด้านหน้า มีไอติมโบราณครับ แวะกินก่อน พี่คนขายเป็นกันเองดีมาก สู้ชีวิตน่าดู ต้องเลี้ยงลูกด้วย พูดภาษาก็ค่อนข้างเก่ง ทั้งญี่ปุ่นและอังกฤษ คงเป็นเพราะอยู่กับนักท่องเที่ยว เจออีแอกแซวเข้าไป ฮาเลยครับ

“พี่ ขายของดีแบบนี่ เมียสามหรือเปล่าพี่”

“รู้ได้ไงเนี่ย 5555”

สองสาวขี้เหน่เน๊ะ เดินออกมาครับ พอได้ยินใกล้ๆ คนหนึ่งเป็นคนไทยนี่นา ฟังจากภาษาที่พูด ถ้าดูแค่หน้าตา กลมกลืนเลยนะเนี่ย

ไปต่อครับ อีกวัดที่ผมนำเสนอ อยากให้เพื่อนได้ไปจริงๆ ตรงมาที่ป้ายบอกทางไปวัดกษัตราธิราช ขึ้นสะพานแล้วชิดซ้ายเลยครับ จะเห็นป้ายชี้ไปวัดไชยวัฒนาราม



วัดไชยวัฒนาราม

นอกจากโบราณสถานที่สวยงาม ที่นี่ยังติดแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อบวกกับหญ้าที่เขียวขจี ทำให้การถ่ายรูปดูมีมิติ มีอะไรให้เล่นมากขึ้นครับ

คนไทย 10 บาท ต่างชาติ 50 เช่นเดิม แต่พี่เจ้าหน้าที่ลดให้ครับ มา 6 คน แต่จ่ายแค่ 50 บาท ขอบคุณมากครับพี่

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวัด ที่พม่าเข้ามาทำลายครับ สร้างในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ร่องรอยการพุพังยังมีให้เห็นมาก แต่ได้รับการบูรณะ จากกรมศิลปากร ทำให้ดูแล้วขลังดีจริงๆ

มีสนามหญ้าเลยได้นั่งพักบ้างครับ นั่งคุยกันซักพัก ก็เดินเข้าไปด้านใน บริเวณที่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา

มีเรือสปีดโบ๊ต และมีคนขับสกุ๊ตเตอร์กำลังไล่ล่ากันครับ นึกว่าถ่ายหนังเจมส์ บอนด์นะเนี่ย 555

ใกล้มืดแล้วครับ เราปิดท้ายด้วยการกลับขึ้นสะพาน เลี๊ยวขวา ตรงไปเรื่อยๆ จนถึงโรงพยาบาล เพื่อหาซื้อโรตีสายไหม กลับบ้าน
ที่นี่มีหลายร้านครับ แต่ละร้านได้รางวัลทั้งนั้น ออกทีวีทุกช่อง ขอตังบอกว่า ร้านที่ลงท้ายด้วย “ประนอม” อร่อยที่สุด แต่ขายหมดแล้วครับ เลยลองเดินหาร้านอื่นดู

แม่ค้า ส่งโรตีมาให้ชิม ตรงนี้ถือเป็นเรื่องดีครับ เพราะชอบไม่ชอบก็จากที่ชิมนี่แหละ ไม่อร่อยก็ไม่ต้องซื้อ

เรามาหยุดที่ร้าน “แม่ชูศรี” ครับ แป้งไม่หนามาก อร่อยใช้ได้ เอาร้านนี้แหละ มีหลากหลายรสครับ ใครมาอยุธยาแล้วไม่ได้แวะตรงนี้ ถือว่าพลาดนะเนี่ย เพราะอร่อยจริงๆ


บทส่งท้าย

สิ้นสุดแล้วครับ ทริปสั้นๆ ทริปนี้ ต่างคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ขากลับฝนตกหนักน่าดูเลยล่ะ

อยากให้ทุกคนมาเที่ยวที่นี่นะครับ อยุธยา ยังมีอะไรให้เที่ยวอีกเยอะ แต่ละที่ก็สวยงามแตกต่างกัน วิวถ่ายรูปเพียบและยังได้ความรู้ไปในตัว ที่ผมมาวันนี้ ยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ เที่ยวเมืองไทยเถอะครับ

ไม่ต้องคิดอะไรมาก

แล้วพบกันใหม่ ขอบพระคุณที่ติดตามครับ







Phop Payapvipapong

24 August 2009

04:17 PM

Tuesday, August 18, 2009

ตามพี่หมอหมู...ไปดำน้ำบาหลี


หลายๆท่านเห็นชื่อกระทู้ ก็อาจจะงงว่า ผมเอาเวลาที่ไหนไปดำน้ำต่างประเทศ ไหนว่าต้องดูแลแม่อยู่ไม่ใช่เหรอ อีกทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายก็ด้วย ไหนจะค่าเครื่องบิน ที่พักอีก มันเอาตังค์มาจากไหน(วะ)


เรื่องมันมีอยู่ว่า


พี่หมอหมู “ ภพ ช่วยอะไร พี่หน่อยดิ”


“ได้เลยครับพี่”


“ช่วยบรรยายเรื่องสัตว์ทะเลให้พี่หน่อย ตามภาพเลยนะ จะไปลงหนังสือน่ะ ว่าแล้วแกก็ส่งลิงค์ Multiply หน้านั้นมาให้ผม”


สบายมากครับ ปกติผมก็ชอบ Comment เรื่องสัตว์ทะเลและศึกษาหาข้อมูล ตามเว็บต่างๆ อยู่แล้วด้วย


วันต่อมาแกก็โทรมาอีกครับ ขอชื่อนามสกุลของผม เห็นว่าจะเอาไปลงเป็นเครดิตด้วย


“โอย ไม่ต้องก็ได้ครับพี่ ผมแค่อยากช่วยเฉยๆ เท่านั้นเอง”


……………………………………………….

วันนี้ พี่หมอหมูโทรมาครับ บอกว่าหนังสือออกแล้วให้ลองไปดู ผมเลยลองไปหาตามแผงหนังสือ ซื้อมาหนึ่งเล่ม พอเห็นเท่านั้นแหละ ตื่นเต้นครับ(เพราะมีชื่อผมขึ้น และคำบรรยายเรื่องสัตว์ทะเลเหล่านั้น) แม้จะไม่ใช่ผลงานของผมโดยตรง ไม่ได้ไปดำน้ำที่บาหลี(แต่อนาคตต้องไปแน่ๆครับ หากอยากจะไปดำน้ำดูเจ้าปลายักษ์โมลาโมล่า)


อ่อ มีรูปนึง คำบรรยาย ไม่ตรงกับภาพนะครับ คำบรรยายเป็นปลาสลิดหินแต่ภาพเป็นปลาไหลมอเรย์ยักษ์เฉยเลย


หากถามว่า ถ้าไม่ใช่ในสายวิชาชีพกฎหมายแล้ว ผมอยากจะเดินตามรอยใครมากที่สุด หนึ่งเดียว คือ พี่หมอหมูครับ


พี่หมอหมู เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า แกเดินทางไปในหลายๆที่ ทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ และชอบการถ่ายรูปทั้งดำน้ำและบนบกเป็นชีวิตจิตใจ


ทุกอาทิตย์ พี่หมอหมูต้องมีทริปเดินทาง ไม่ว่าที่ใดก็ที่หนึ่ง


หากคิดว่า ผมเดินทางท่องเที่ยวทะเล ไปดำน้ำบ่อยแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับพี่หมอหมู ยังไม่เท่าเศษเสี้ยวของแกเลยครับ(เหมือน Arsenal กับ Everton เมื่อสัปดาห์ก่อนครับ ถล่ม 6: 1 แบบยับเยินจริงๆ)


นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมคนที่รักอิสระอย่างผม ถึงอยากจะเดินตามรอยเท้าของเขาคนนี้


ติดตามความเคลื่อนไหวของพี่หมอหมู ได้ที่ http://www.suriyanun.multiply.com/


เกือบลืม ลองเดินไปตามแผงหนังสือ หาหนังสือ Travel Guide Magazine ฉบับเดือนสิงหาคม 2009 Vol. 5 No. 6 นะครับ(หน้าปกรูปคนแล่นเรือใบสีเหลือง)


คอลัมน์ Picture journey เรื่อง “ใต้น้ำบาหลี”


ขอขอบคุณพี่หมอหมู ที่ให้เกียรตินี้ แก่ผมครับ



ภาพประกอบ : ปลาโมล่าโมล่าและนักดำน้ำ ถ่ายโดยพี่หมอหมูครับ