Monday, June 29, 2009

Blood Donations Today



เมื่อวานไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทยมาครับ เลยกำหนด 3 เดือน(ที่ต้องบริจาค) มาเดือนกว่าแล้วด้วย


แม้จะเป็นวันอาทิตย์ แต่แปลกครับ คนเยอะมาก ไม่รู้จะเกี่ยวกับ ที่จุฬา มีซ้อมรับปริญญาหรือเปล่า ก็เป็นไปได้เหมือนกันนะ


หลังจากกรอกรายละเอียดผู้บริจาคโลหิตเป็นประจำ ก็ไปที่จุดวัดความดัน เจาะความเข้มของเลือด(ไม่เจ็บเลย) เดี๋ยวนี้เขาใช้ที่เจาะคล้ายๆปากกาครับ สมัยก่อนเป็นเข็ม แท่งๆ อันนั้นผมว่าเจ็บกว่าเข็มใหญ่อีก 555


คราวนี้มาแปลกครับ มีให้ไปรับของด้วย ซึ่งเปิดดู คือ นมตราหมี สองกระป๋อง(โด๊ป เต็มที่เลย) ทุกทีไม่มีครับ ช่วงนี้อาจจะมีอะไรพิเศษก็ได้


ก่อนบริจาค นอกจากจะควรกินข้าวมาก่อนแล้ว( ไม่ใช่กินแล้วบริจาคเลยนะครับ ต้องเว้นซัก 1 ชั่วโมงก่อนบริจาค) ก็ควรจะดื่มน้ำมากๆ อีกด้วย


แปลกที่สอง มีเครื่องดื่ม เป๊บทีน ออริจินอล ซอยเพ๊บไทน์ แจกด้วย(ผมเคยกินครั้งหนึ่งครับ พี่ชายซื้อมาให้กิน บอกว่ากินแล้วบอกด้วยนะ ว่าฉลาดจริงหรือเปล่า ก็เหมือนกินน้ำตาลน่ะครับ ผมว่า 5555) ขวดนึงไม่ใช่ถูกๆ เกือบร้อยบาทหรือมากกว่านั้น(ถ้าจำไม่ผิด) สายรกมันว่าไม่อร่อย ผมเลยรับเละ ดื่มของมันด้วย(ถ้าหากมีคำเตือนห้ามดื่มเกินวันละสองขวด สงสัยจะแย่555) แต่ดื่มแล้วเขาว่าดี ก็ต้องดื่มซะหน่อย


เท่าที่ดู มีห้องบริจาคเพิ่มอีกห้องครับ คงรองรับคนได้มากขึ้นด้วย


วันนี้คนเจาะที่แขน นอกจากหน้าตาจะขาว หมวย แล้ว มือก็เบามากๆ เจาะเข้าไป แทบไม่รู้สึก ตอนดึงออก แม้จะเป็นอีกคน ก็ไม่เจ็บ(จำได้ว่า ถ้าเจอคนเจาะไม่ดี นอกจากจะระบมที่เส้นเลือดเป็นหลายอาทิตย์แล้ว ตรงแผลที่เจาะก็มีสีดำ อักเสบ บวมไปเลยครับ เรื่องยก Weight วิดพื้น ไม่ต้องพูดถึง หยุดยาว 555)


บริจาคเสร็จ ก็มีห้องให้นั่งพักกินขนม กินน้ำ กินนม มีนักเรียนสาวๆอาสาสมัครอยู่หลายคน ช่างเสียสละดีจริงๆ


แปลกที่สามเจอเพื่อนครับ ชื่อวูยิน ปกติ ไม่ค่อยได้เจอเพื่อนที่นี่เท่าไร(เคยเจอแต่แฟนเพื่อน คนที่เจอบนผิวน้ำที่สิมิลัน นั่นแหละ555) เห็นว่า มางานรับปริญญาก็เลยมาบริจาคซะเลย


ขากลับเดินเข้ามาที่จามจุรี สแควร์(เพิ่งเคยเดินครับ จะมาหาซื้อไหมขัดฟัน ที่ร้านบูท ให้แม่น่ะ) มีร้านเยอะครับ คนก็เยอะ อาจเป็นเพราะเป็นงานซ้อมรับปริญญาละมั้ง


และเจอสีเหย เพื่อนอีกคน คนนี้เป็นช่างกล้องมืออาชีพ ผันจากงานประจำ มาเป็นงานอิสระ ได้เงินเยอะซะด้วย


สรุปก็ คือ การทำบุญแล้วแต่ชอบ และสะดวกครับ บางคนน้ำหนักไม่ถึง บริจาคไม่ได้ บางคนกลัวเข็ม บางคนกลัวเลือด ก็อาจใช้วิธีอื่นแทน เช่น การเลี้ยงอาหารตามสถานรับเลี้ยงเด็ก การให้ทานกับผู้ยากไร้ การเข้าวัด ฟังธรรม ทำบุญตักบาตร เป็นต้น


อ่อ อย่าลืมทานยาธาตุเหล็กนะครับ ควรต้องกินให้หมด เพราะจะช่วยซ่อมแซมสิ่งที่เสียไป พี่ชายผมที่เป็นหมอ บอกว่า หากไม่ทาน นานเข้าๆจะเกิดปัญหาเพราะเลือดจะจาง(บางคนไม่กินครับ ก็บอกให้ทราบไว้ก่อน)


ทิ้งท้ายด้วย ความรู้เบื้องต้น จากเว็บสภากาชาดครับ


พี่ tiger v แห่ง สคูบ้าซูม เอามาฝาก ขอบคุณครับ บริจาคโลหิตรวม (Whole blood)คุณประโยชน์1. ได้รับความภูมิใจที่ได้เสียสละโลหิตในร่างกาย เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นการทำบุญอันยิ่งใหญ่ ซึ่งจะทำให้ท่านมีความสุขใจ2. ได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุก 3 เดือน3. ได้รับทราบหมู่โลหิตของตนเองทั้งระบบ เอ บี โอ และ ระบบ อาร์เอช4. โลหิตทุกยูนิตที่ได้รับบริจาค ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองเชื้อต่างๆ ในห้องปฏิบัติการ เหมือนกับการที่ผู้บริจาคโลหิตได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี, ไวรัสตับอักเสบ ซี, เอดส์ และอื่นๆนอกจากนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้บริจาคโลหิต ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ได้จัดทำเข็มที่ระลึกผู้บริจาคโลหิตขึ้น เพื่อมอบให้ผู้บริจาคโลหิต โดยจัดทำเป็นเข็มที่ระลึกครั้งที่ 1,7,16,24,36,48,60,72,84,96 และ 108 ตามลำดับคุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิตผู้มีความประสงค์จะบริจาคโลหิตควรตรวจสอบคุณสมบัติตนเองก่อนบริจาค ดังนี้ 1. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์2. น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป สุขภาพทั่วไปสมบูรณ์ดี3. ไม่มีประวัติโรคตับอักเสบ หรือดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง4. ไม่เป็นไข้มาเลเรียมาในระยะ 3 ปี ที่ผ่านมา และไม่เป็นกามโรค โรคติดเชื้อต่าง ๆ ไอเรื้อรัง ไอมีโลหิต โลหิตออกง่ายผิดปกติ โรคเลือดชนิดต่าง ๆ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ โรคลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์5. ไม่อยู่ในภาวะน้ำหนักลดมากในระยะสั้น6. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือสำส่อนทางเพศ ไม่มีประวัติติดยาเสพติด7. งดการบริจาคโลหิตภายหลังผ่าตัด คลอดบุตรหรือแท้งบุตร 6 เดือน (ถ้ามีการรับโลหิตต้องงดบริจาคโลหิต 1 ปี)8. สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์ดูแลตัวเองก่อนมาบริจาคโลหิต*ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง*ควรมีสุขภาพสมบูรณ์ดีทุกประการไม่เป็นไข้หวัด หรืออยู่ระหว่างรับประทานยาใดๆ*ควรรับประทานอาหารมาก่อน และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ไม่มีไขมัน*งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนมาบริจาคอย่างน้อย 24 ชั่วโมง*งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี*สุภาพสตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือนหรือตั้งครรภ์*การบริจาคโลหิตครั้งต่อไปเว้นระยะ 3 เดือน ยกเว้นการบริจาคพลาสมาหรือเกล็ดโลหิตข้อปฏิบัติหลังบริจาคโลหิต*นอนพักบนเตียงอย่างน้อย 3-5 นาที ห้ามลุกจากเตียงทันที จะเวียนศีรษะเป็นลมได้*ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีบริการให้ และดื่มน้ำมากกว่าปกติเป็นเวลา 2 วัน *ไม่ควรรีบร้อนกลับ นั่งพักจนแน่ใจว่าเป็นปกติ *หากมีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลมระหว่างลุกจากเตียงหรือขณะเดินทางกลับ ต้องรีบนั่งก้มศีรษะต่ำ ระหว่างเข่าหรือนอนราบ เพื่อป้องกันอันตรายจากการล้ม*หากมีโลหิตซึมออกมา ให้ใช้นิ้วมือ 3 นิ้ว กดลงบนผ้าก๊อสหรือพลาสเตอร์ที่ปิดรอยเจาะ ให้นิ้วหัวแม่มือกดด้านใต้ข้อศอกและยกแขนสูงจนโลหิตหยุดสนิท หากโลหิตไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคเพื่อพบแพทย์พยาบาล*งดออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากภายหลังการบริจาคโลหิต ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่ายที่สูงหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพักหนึ่งวัน*รับประทานยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละ 1 เม็ด จนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก*หลีกเลี่ยงการใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ เป็นเวลา 12 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการบวมช้ำผู้บริจาคโลหิตโปรดทราบ ท่านที่มีประวัติดังต่อไปนี้ ควรงดการบริจาคโลหิตคือ*ท่านหรือคู่สมรสของท่าน เคยมีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชาย ที่ขายบริการทางเพศ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา*เคยเป็นผู้ที่เสพยาเสพติดโดยใช้เข็มฉีดยา*รู้ตัวว่าติดเชื้อเอดส์ทุกท่านมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ในการรับบริจาคโลหิต ใช้ครั้งเดียวสำหรับคนเดียวแล้วทิ้งที่มา http://www.redcross.or.th/donation/blood_wholeblood.php4

Tuesday, June 16, 2009

ทริปถ่ายรูป อุทยานหินเขางู-ตลาดน้ำอัมพวา








ครั้งล่าสุดที่ได้ไปทริปถ่ายรูปกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ กลุ่มดำน้ำ ต้องย้อนหลังไปเกือบสองปีเลยครับ ตอนนั้นไปวัดพระนอน-ตลาดสามชุก-พิพิธภัณฑ์บ้านควาย ที่ จ. สุพรรณบุรี

พี่โก้แห่ง
www.fundive.biz ซึ่งตอนนี้ได้มาเป็น Instructor เต็มตัวแล้ว ได้จัดทริปแบบนี้ขึ้นมาอีกครับ จุดหมายปลายทางอยู่ที่ อุทยานหินเขางู จ. ราชบุรี โดยมีพี่หมอหมู(Suriyanun) เจ้าถิ่น เป็นคนเลือก Location

พูดถึงเขางู ผมเคยได้ยินชื่อมานาน ได้แต่ผ่านๆครับ ไม่ได้มีโอกาสมาเยือนที่นี่เลย

ทริปถ่ายรูปครั้งนี้ ไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะเป็นทริป Portrait ซะด้วย จะมีนางแบบไปให้ถ่าย Portrait ครับ ผมไม่เคยมีโอกาสถ่ายรูปแบบนี้มาก่อนเลย

แม้จะไม่ใช่กล้อง DSLR เหมือนคนอื่น แต่ผมก็จะลองดูครับ ถ่ายๆขำๆ ทดสอบไปเรื่อยๆ การได้มาเปลี่ยนบรรยากาศในสถานที่ใหม่ๆ ได้เจอคนใหม่ๆ ได้พบปะพี่ๆเพื่อนๆ ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน นั่นเป็นเรื่องที่ดีซะยิ่งกว่าอะไรซะอีก

ว่าแล้ว ก็ออกเดินทางกันดีกว่าครับ


14 มิถุนายน 2552

“ภพ ประมาณเที่ยงๆ ออกมาเจอพี่ที่ปั้มน้ำมันนะ” เสียงพี่โหน่งพูด

นานครับ จะว่าไป ผมก็ไม่ได้เจอแก มานานล่ะ ครั้งล่าสุดก็ตุลาคมปีก่อน ที่เจอฉลามวาฬครั้งแรกในชีวิต ที่ทะเลชุมพรนั่นแหละ

ตอนแรกว่าจะไม่ไปครับ แต่ไปๆมาๆ ก็คิดว่าน่าจะไปได้แล้วน่ะ

วิ่งมาทางเส้นสะพานพระราม 5 ตรงไปเรื่อยๆ พอถึงสะพานที่จะไป จ. สุพรรณบุรี ก็ไม่ต้องขึ้น(แล้วจะบอกทำไมเนี่ย) ก็ออกมาทางซ้าย ตรงไปทางตลิ่งชัน ไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกเส้นทางไป จ . นครปฐม(ก็ไปทางศาลายา นั่นแหละครับ)

จากนี้ไปก็ไม่ยากแล้วครับ ตรงไปเรื่อยๆ ไปตามป้ายบอกทางไป จ. ราชบุรี แล้วค่อยโทรหากัน

แวะกินข้าวที่ปั้ม Jet พี่โหน่งบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวเช้า ผมชอบข้าวกล่องที่นี่ครับ ไม่ใช่เป็น Frozen Food เป็นของที่ทำขึ้นในตอนเช้า เวลาจะกินก็แค่เอามาอุ่น(กดเบอร์ 4) รสชาดก็เหมือนกับอาหารตามสั่งเลยล่ะ

ใช้เวลาสองชั่วโมงเป๊ะ ก็มาถึงที่ จ. ราชบุรีครับ ที่ช้าเพราะมัวแต่หลงเข้าไปใน ตัวเมือง ถามลุงคนหนึ่งว่า

“เขางู ไปทางไหนครับลุง” ผมถาม

“ออกไปทางซ้ายเลย เดี๋ยวจะเจอป้ายเอง” ลุงตอบอย่างยิ้มแย้ม

เยี่ยมครับ โดนลุงวางยาซะแล้ว เลี้ยวซ้ายตรงมา นี่มันลงใต้ไปเพชรบุรี ไปประจวบคีรีขันธ์ นี่หว่า ผมก็อยากไปครับ แต่ไม่ใช่วันนี้ ต้องลองถามใหม่ จึงทราบว่า ต้องกลับรถ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปทาง อ.จอมบึง น่ะ

พี่หมอหมู บอกว่า จากปากทางถนนเพชรเกษม ตรงมาไม่ไกล ก็จะมีป้ายเข้าไปที่อุทยานหินเขางูครับ

เขางูมีหลายส่วนครับ ส่วนที่เป็นค่ายก็มี ถ้ามาถูกทางจะต้องผ่านร้านอาหาร เป็นทางที่จะต้องขึ้นเขาไปนั่นแหละ

ถึงแล้วครับ อุทยานหินเขางู


อุทยานหินเขางู

Location เป็นเขาหินปูนครับ สวยมากทีเดียว พี่หมอหมู เข้าใจหาสถานที่นะ เนี่ย

มองเห็นพี่โก้ พี่เอ พี่หมอหมู กำลังถ่ายนางแบบอยู่ด้านล่าง ก็ตะโกนมาว่า ให้หยิบร่มมาด้วย

โชคดีว่าพี่โหน่ง ติดร่มมาด้วยครับ เดินผ่านลงมาเจอน้องยุ้ย เคยเห็นแต่ในรูปครับ ตัวจริงน่ารักมากๆ

ตรงนี้เป็นหนองน้ำตื้นๆครับ มีหญ้าขึ้นบางๆ สลับกับเขาหินปูน นี่ถ้าเห็นทะเล ผมถึงว่า ได้มากระบี่นะ ที่ไหนได้อยู่ที่ จ. ราชบุรีนี่เอง

เคยคิดว่า เขางู จะเป็นเขาที่ค่อนข้างแห้ง และแล้ง ไม่คิดว่าจะสวยขนาดนี้ครับ

ก็แนะนำตัวกัน นอกจากที่รู้จักอยู่แล้ว ก็มีน้องนอร์ท พี่หน่อย พี่ดา ส่วนนางแบบที่กำลังสู้แดดอยู่นั้น ชื่อ นิ้วนาง ครับ(นี่ก็น่ารัก)

ผมเห็นน้องนอร์ทกับพี่หมอหมูกำลังถือ Reflex(เป็นอุปกรณ์สำหรับสะท้อนแสง ให้การถ่ายรูปมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น) เท้าเปล่าเหยียบบนหนองน้ำ(ลงทุนน่าดู) แต่ละคนก็มีกล้อง DSLR กันทุกคน ในขณะที่มีผมใช้คอมแพค เพียงคนเดียว

ความรู้สึกบอกว่า ผมอยากช่วยพี่ๆ ถือ Reflex ครับ เพราะผมได้มาที่นี่ก็ถือว่าดีใจแล้ว เรื่องถ่ายรูปน่ะ ผมเป็นคนถ่ายเร็วอยู่แล้ว เอามาประกอบเรื่องก็พอ เรื่องถ่ายรูปจึงเป็นเรื่องรองครับ




“ให้ผมช่วยถือ Reflex นะครับพี่”

“ดีเลยครับ”

เก็บรูปแนวเขาหินปูนได้พอประมาณครับ ถอดรองเท้าลุยลงไปเลย(ถ้ารู้ล่วงหน้า ไม่ใส่ผ้าใบมาหรอกครับ รองเท้าแตะดีกว่า 555)

เป็นการถือ Reflex ครั้งแรกครับ ก็ค่อนข้างเกร็งๆ ไม่รู้ว่าต้องขยับตรงไหน แสงก็ยังมองไม่ออก ว่าจะสะท้อนยังไง ก็เลยให้พี่เอ พี่หมู ช่วยบอกครับ จะให้ผมขยับยังไง ตรงไหน ก็บอกได้เลย

ฟ้าสวย แดดดี ในวันนี้ นิ้วนางยิ้มแย้มน่าดูครับ แม้แดดจะร้อน การจะเป็นมืออาชีพก็ต้องแบบนี้ล่ะ ต้องมีความอดทนเป็นอันดับแรก

เปลี่ยนมาถ่ายที่สะพานกลางน้ำดูบ้างครับ ตรงนี้ก็สวยมากๆ มีภูเขา มีสะพาน มีน้ำ และมีนางแบบ perfect จริงๆ แต่ผมไม่ต้องถือ Reflex ในจุดนี้ครับ เพราะถ้าเข้าไปก็ต้องถ่ายติดคนถือ Reflex ด้วย(เกิดพี่ๆบอกว่าให้ผมเข้าไปถ่ายกับนางแบบด้วยเหมือนในนิตยสาร จะรีบถอดเสื้อแล้ววิ่งเข้าไปเลยล่ะ 555)

พอครับ เริ่มเลอะเทอะ นิ้วนางไปเปลี่ยนชุด คราวนี้น้องยุ้ยมาถ่ายบ้าง เธอมาในชุดคล้ายชุดราตรี เริ่มจากกลางสะพานก่อนครับ กล้องผมซูมลำบากมากๆ ก็เลยเข้ามาซุ่มโจมตีอยู่ตรงชะง่อนหิน ที่ยื่นออกไป พี่โหน่งก็อยู่ตรงนั้นเหมือนกันครับ

ตรงจุดนี้ดีครับ เพราะค่อนข้างใกล้นางแบบมาก ขนาดกล้องของผมก็ยังพอถ่ายได้เลยน่ะ

นี่ก็มืออาชีพครับ น้องยุ้ยโพสท่าได้เป็นธรรมชาติ ยิ้มได้เป็นธรรมชาติอีกด้วย

พอเดินเข้ามาตรงต้นสะพาน ก็เป็นหน้าที่ของผมแล้วครับ เด็กถือ Reflex

มีช่วงพักด้วย เพราะเป็นช่วงแสงหาย เห็นชาวบ้านพาวัวมากินหญ้าเพียบเลย เดินย่องเข้าไป แต่มันก็รู้ตัวอยู่ดีครับ ถ่ายรูปวัวดีกว่า

พอแสงมาผมก็มาถือ Reflex ใหม่ แต่ตอนนี้ ผมเริ่มเป็นงานแล้วครับ เริ่มมองเห็นแสงว่าจะสะท้อนไปที่หน้าของนางแบบได้อย่างไร ขยับตรงไหนถึงจะดี

ได้มองทั้งน้องยุ้ยและนิ้วนางใกล้ๆ บอกตรงๆครับ ว่า สวย น่ารัก มีเสน่ห์(เพราะแบบนี้ล่ะครับ ผมถึงชอบการถือ Reflex เฮ้ย ไม่ใช่ 555) คิดเล่นๆว่า จะมีตากล้องแข่งกันจีบนางแบบ แล้วต่อยกันเรื่องแย่งผู้หญิงไหมนะ ผมว่าก็ต้องมีบ้างแหละ

“เขายิ้มให้กำลังใจนางแบบมากๆเลยน่ะ หันไปแล้วขำ” นิ้วนางบอก




จริงๆ อาจไม่ใช่ครับ ผมอาจกำลังตกอยู่ในห้วงความพึงพอใจล่ะมั้ง เลยยิ้ม แต่ถ้านางแบบบอกว่า ถ้ายิ้มแล้วจะทำให้นางแบบยิ้มได้ ก็คงต้องทำล่ะครับ ช่วยๆกันทำงานหน่อย(อยู่ใกล้ๆ เลยได้คุยบ้างครับ อายุเท่าผมเลยน่ะ หน้าตาทำไมเด็กจัง)

สลับไปถือ Reflex ตามคำเรียกร้องของช่างกล้องในแต่ละจุด ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ได้ถ่ายรูปนะครับ บอกแล้วว่าผมมีความสามารถในการถ่ายรูปเร็ว(สวยไม่สวยอีกเรื่องนะ) ระหว่างที่มือซ้ายผมถือ Reflex สะท้อนแสงไปที่หน้านิ้วนาง มือขวาผมก็หยิบกล้องออกมาถ่ายได้ด้วย

เท่าที่สังเกต มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนที่นี่ พอสมควรครับ ส่วนใหญ่มาถ่ายรูปกัน เดินข้ามสะพาน(ระวังครับ) เดินไม่ดีก็อาจตกได้น่ะ

ผมสงสัยว่าทำไมถึงเรียกว่าเขางู นอกจากที่ภูเขามีรูปร่างคดเคี๊ยวเหมือนงูแล้ว พี่หมอบอกว่าเพราะที่นี่เมื่อก่อนมีงูเยอะครับ(พี่เอบอกว่า ให้ผมตั้งชื่อเรื่องว่า “พาหัวงูไปเที่ยว” 55555)

แค่จุดแรก ยังไม่ได้ขึ้นไปไหนเลย แต่ฝนก็ทำท่าจะตก แสงหมดซะแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องย้ายสถานที่กันครับ

พี่หมอหมูจะพวกเรา ไปกินข้าวเย็นที่ตลาดน้ำอัมพวา จ. สมุทรสงคราม

ดีครับ ผมยังไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนเลย



ตลาดน้ำอัมพวา

ใช้เวลาพักใหญ่ครับ ฝนตก ถนนลื่น ก็เลยต้องขับช้าๆ พี่หมอพาลัดเลาะเข้าไปในซอยเล็กๆ ผ่านวัดอยู่หลายที่ คงจะเป็นทางลัดน่ะ

มาถึงแล้วครับ มีที่จอดรถข้างทาง เจ้าของที่มาโบกรถให้เข้าไปจอดกันเป็นแถว ก็แล้วแต่สะดวกครับ ว่าอยากจะจอดตรงไหน ราคาใกล้เคียงกัน

ได้ที่จอดแล้วครับ เดินเข้าไปเรื่อยๆ ภาพที่ผมเห็นคือ ตลาดน้ำ มีเรือหางยาวทั้งใช้เครื่องยนต์ และใช้ไม้พาย มีปลาหมึกย่าง ก๋วยเตี๋ยวเรือขาย ในขณะที่สองฝาก มีร้านขายของ และมีนักท่องเที่ยวเดินเที่ยว

นี่ล่ะครับ ตลาดน้ำที่ผมอยากมาสุดๆ ต้องมีลักษณะแบบนี้แหละ

ฝนตกปรอยๆ ครับ ไม่เป็นอุปสรรคในการเดินเที่ยว ต่อให้ตกหนักกว่านี้ ผมว่าคงกระทบไม่มากนัก เพราะที่เดินอยู่ในร่ม ต่อให้แดดแรงก็ไม่มีปัญหา




เริ่มจากร้านขายกระปุกออมสิน แบบมีแนว เสื้อผ้าหลากหลายแบบ ของกิน เดินมาถึงบ้านครูเอื้อ(สุนทราภรณ์) มีร้านขายของจุกจิกเยอะครับ หลายอย่างเป็นของย้อนยุค หลายๆคนน่าจะชอบ

ที่สำคัญ ที่นี่มีที่พักอยู่หลายที่ใว้ให้บริการ บรรยากาศเย็นๆ อยู่ใกล้แม่น้ำ ก็ดูไม่เลวนะครับ คลาสสิคดี

มาหยุดที่ “บ้านทองโบราณ” อันเป็นร้านอาหารที่พี่หมอหมูแนะนำ อาหารอร่อย ดนตรีเพราะซะด้วย

เปิดเพลงแนวเก่าๆ เข้าบรรยากาศ ยุคสมัยคุณพ่อ คุณแม่ก็มี ที่สำคัญ ผมชอบเพลงแนวนี้มากๆซะด้วย มีเพลงโปรดอย่าง How deep is your love เพลงบรรเลงอย่าง Kenny G ก็มี และเพลงดีๆ อีกเพียบ

นักร้องเป็นผู้หญิง แต่เสียงมีพลังมากครับ(ตอนแรกนึกว่าผู้ชายร้อง) เสียงคล้ายๆ สุกัญญา มิเกล น่ะ

ตกค่ำๆ หน่อย มีคุณสุเมธ(แอนด์ เดอะ ปั๋ง) นักร้องดังมาร้องเพลงให้ฟังด้วยครับ(แต่ ปั๋ง ไม่มานะ 55)

ถึงเวลาต้องแยกย้ายครับ ทริปวันนี้ บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนาน เป็นกันเอง เหมือนได้มาเที่ยวกันในกลุ่มพี่ๆน้องๆมากกว่า(พี่โก้ ถึงเรียกว่า Fun Portrait)

ขอขอบคุณพี่โก้ พี่เอ พี่ดา พี่หน่อย พี่หมอหมู น้องนอร์ท และนางแบบ น้องยุ้ยและนิ้วนาง ที่มาสนุกด้วยกัน

ขอขอบคุณพี่โหน่งกับยานพาหนะ คู่ใจ ที่ชวน

และขอบคุณท่านผู้อ่าน อีกครั้งหนึ่ง

สวัสดีครับ แล้วพบกันใหม่







Phop Payapvipapong

16 June 2009

12.47 Pm

Wednesday, June 10, 2009

สวนสนประดิพัทธ์...บนเส้นทางรถไฟสายคลาสสิค(2)







มาถึงสวนสนประดิพัทธ์

“เราจะพักที่นี่ประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ ขอให้เวลา 15.30 น. ผู้โดยสารทุกท่านมาเจอกันที่สถานีนะครับ” นายตรวจรถไฟพูด

ค่อนข้างเป็นระเบียบครับ มีห้องอาบน้ำ มีห้องพัก มีโรงอาหาร แบ่งเป็นสัดส่วน

ระหว่างเข้าห้องน้ำ ผมถามสาวสวยที่เก็บเงินอยู่ตรงทางเข้า ถึงเส้นทางไปเขาเต่า ว่าไปทางไหน เพราะผมคิดว่าจะเดินเลียบหาด ไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมที่นั่นครับ

มาที่หาดสวนสนกันบ้าง ค่อนข้างร่มรื่น เงียบสงบ มีต้นสนสูงตระหง่าน ดูเป็นระเบียบดีมาก มีห่วงยาง มีเก้าอี้ให้เช่า ตามแบบฉบับริมหาดทั่วไป

11 โมงเช้า แดดเปรี๊ยงแบบนี้ เพื่อนผมขอบายเรื่องเดินริมหาดครับเพราะค่อนข้างร้อนมาก สายรกอยากไปเดินที่ตลาด ผมเลยลองไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรถโดยสาร ซึ่งในนี้ไม่มีครับเพราะอยู่ในเขตทหาร ต้องออกไปโบกด้านนอก แต่ลองไปสอบถามป้าที่โรงอาหาร ท่าทางว่าจะได้เรื่องครับ

“จะไปกี่คนคะ รอก่อนนะ” ป้าพยายามติดต่อใครบางคนอยู่

เห็นสุนัขนอน ดูมันมีความสุขมาก เห็นแล้วอยากเป็นสุนัขจริงๆครับ อะไรมันจะดูสบายขนาดนี้ 5555

ได้รถแล้วครับ เป็นรถเก๋งญี่ปุ่น ราคาที่ตกลง ค่อนข้างรับได้ ราคาไม่แพง คนขับเป็นลูกของทหารที่ปลดเกษียณราชการแล้ว อย่ารอช้าครับ เรามุ่งหน้าไปหัวหินกันเลย



เดินสำรวจเมืองหัวหิน

นัดกับพี่คนขับให้มารับเวลาบ่ายโมงครึ่ง พี่แกก็ดันไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือมาอีก ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็นัดจุดไว้แล้ว

ด้านหน้าผม คือ ตลาดฉัตรไชย แถวนี้ผมไม่คุ้นเลยครับ เคยมาแถวๆนี้ตอนกลางคืน มาหาของกิน แต่กลางวันยังไม่เคยน่ะ

เดินไปตามทางเรื่อยๆ ไม่เข้าไปในตลาด ผมเลยได้มีโอกาสเห็นบรรยากาศหัวหินในช่วงกลางวัน ซึ่งค่อนข้างเงียบครับ อาจเป็นเพราะแดดร้อนด้วยล่ะมั้ง แต่มีร้านขายของเยอะครับ ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า วาดภาพ เป็นต้น สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวจริงๆ

สายรกกับปูโกกค่อนข้างจะมาที่นี่บ่อยกว่าผมครับ ก็เลยให้นำทางไป แต่ยังไม่เจอจุดที่คุ้นเท่าไร ไปเรื่อยๆ มีแผนที่ครับ ก็เลยหยุดดูกันก่อน

มากินอาหารทะเลกันดีกว่า ชื่อร้าน “ชาวเล” ครับ มองเห็นหาดหัวหินสวยดี ใกล้ๆโต๊ะที่ผมนั่ง มีสาวๆอยู่หลายคนครับ หน้าตาดีและแต่งตัวดีๆกันทั้งนั้น น้ำลายหกตั้งแต่ยังไม่ได้กินข้าว แต่สาวๆมากับอาเสี่ยครับ ก็เลยไม่แน่ใจครับ ว่าเป็นครอบครัวมาเที่ยว ทำงานบริษัทเดียวกัน หรือเด็กเสี่ยกันแน่(ดูยากครับ ถ้าไม่อยากหัวแตกก็ต้องสำรวม นีสนึง 555)

แกงเขียวหวานทะเล ต้มยำกุ้ง ห่อหมกทะเล ปลาสำลีทอด แต่ที่อร่อยมาก นี่เลยครับ หมึกไข่นึ่งมะนาว อาหารทะเลสด อร่อย ได้ใจจริงๆ

วิวด้านหลัง แม้แดดจะแรง แต่ก็ดีจริงๆ ทานเสร็จจึงได้ทราบว่า ร้านนี้เชลล์ ชวน ชิม เห็นรูปหม่อมถนัดศรีด้วย มิน่าถึงอร่อยมาก

จะว่าไปก็คุยกับเพื่อนๆว่า พวกเรามากินอาหารทะเลไกลนะเนี่ย มากินถึงหัวหินแล้วกลับ 55555

ขากลับ ผมไม่ได้จำเส้นทางเลย ไม่มีเพื่อนนี่แย่แน่ๆ จะกลับไปจุดที่รอรถไม่ถูกเอา แต่ถ้าถามผม เมืองที่มีทะเลแบบนี้ ผมชอบสุดๆครับ

กลับไปที่สวนสนประดิพัทธ์กันดีกว่า


เดิน-วิ่ง จากสวนสน ถึง เขาเต่า

บ่ายสองแล้วครับ สายรก อีแอก ชูฮวย จะนอนชิวๆอยู่ที่นี่ ผมอยากไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิม ตามที่ได้บอกกับแม่ไว้ ก็เลยขอเดินเลียบหาดไปที่เขาเต่า โดยมีปูโกกไปเป็นเพื่อน

“ไกลนะเว้ย มึงจะไปเหรอวะ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ

“เออน่ะ กูไปไหว” ปูโกกตอบ

ชายหาดสวนสนกว้างดีครับ แดดเริ่มอ่อนลงนิดนึง แต่ก็ยังแรงอยู่นะ เดินไปเรื่อยๆ มองเห็นเขาเต่าอยู่ไม่ไกล แต่เดินมานาน ไหงยังไม่ถึงซะทีวะ

จริงๆ จากสวนสนไปเขาเต่า เป็นสถานีรถไฟอีกสถานีนึงเลยนะ จริงๆ ผมก็รู้อยู่แล้วล่ะ ว่ามันหลายกิโล แต่ไม่คิดว่าจะไกลขนาดนี้นี่นา ยิ่งต้องรีบกลับไปให้ทันบ่ายสามโมงครึ่งด้วย จะตกรถไฟเอา

ระหว่างทางมีเจ้าปู เจ้าแมงกระพรุนที่สิ้นชีวิต เรือหางยาวสวยๆ และปลาเกยตื้น ที่รูปร่างเหมือนปลาวัว ส่วนชายหาดมีการเขียนบนผืนทรายด้วย อ่านดูเป็นศัพท์ทหาร คาดว่า คงเป็นทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกทำโทษให้มาเขียนครับ

ปูโกกไม่ไหวแล้วครับ มันบอกร้อนมาก ผมก็เลยบอกว่า ถอดเสื้อเลยเพื่อน แล้ววิ่งกันดีกว่า มันเห็นดีด้วยครับ

ขนาดทั้งวิ่ง เดินเร็ว ก็ยังไม่ถึงซะที(จากการสำรวจ ประมาณ 4-6 กิโลครับ เส้นทางเลียบหาดที่ผมกำลังเดิน) แต่จะถอยหลังกลับไปก็ไม่ทันแล้วล่ะ

เข้าเขตหาดเขาเต่าแล้วครับ มองเห็นวัดและรีสอร์ท บังกะโล ที่มีเป็นหย่อมๆ ไม่มากนัก มองเห็นพระประธานขนาดใหญ่สีเหลืองทองอร่ามอยู่บนเขา และมองเห็นเจ้าแม่กวนอิมแล้วครับ แต่เวลาใกล้จะบ่ายสามโมงแล้วด้วย!!!!

คงต้องเลือกซักอย่างครับ เลือกนมัสการเจ้าแม่กวนอิมอย่างเดียวพอ ที่เหลือ ผมจะกลับมาอีกครั้ง


นมัสการเจ้าแม่กวนอิม ณ เขาเต่า

เดินออกมาด้านหน้า มีอ่างเก็บน้ำอยู่ด้วย เดินไปเรื่อยๆ มีทางขึ้นไปสำนักสงฆ์ธรรมสว่างเขาเต่า มีป้ายบอกว่า เจ้าแม่กวนอิมอยู่ที่นี่ครับ

ขึ้นมาก็หลายชั้นอยู่ แต่เห็นวิวด้านบนแล้ว หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง วิวด้านบนสวยมากจริงๆ

ท้องฟ้าวันนี้ก็สวยครับ โชคดีที่วันนี้ฝนไม่ตก ผมถ่ายรูปเจ้าแม่กวนอิม มองดูเหมือนท่านแผ่พลังไปทั่วท้องฟ้า ผมขอพรกับท่านในหลายๆเรื่อง และรีบลงมาครับ เวลามีไม่มากแล้วล่ะ

“มีรถโดยสารแถวนี้ไหมครับ” ผมถามชาวบ้าน

“ต้องเดินออกไป ปากทางเลยน่ะ ไอ้หนุ่ม”

ซวยล่ะ ปากทางก็ค่อนข้างไกลมากครับ เดินแล้วเดินอีกก็ยังไม่ถึงซะที จนผมเริ่มจะถอดใจ คุยกับปูโกกกว่า โทษทีว่ะ ไม่น่าให้มึงมาลำบากเลย สงสัยได้กลับรถทัวร์แน่ๆ

ลองอีกทีครับ คงต้องโบกรถแบบ Hitch-Hiking(เคยทำได้มาครั้งหนึ่ง ตอนไปเกาะช้างครับ) ผมอธิษฐานถึงเจ้าแม่กวนอิม ขอให้ท่านช่วยให้ผมและเพื่อนกลับไปขึ้นรถไฟได้ทันเวลา

หลายคันครับ แต่ไม่มีคันไหนจอดเลย จนกระทั่งมีกระบะผู้ใจดีอยู่หนึ่งคัน จอดครับ(Miracle)

“พี่ผ่านสวนสนไหมครับ ขอติดรถไปด้วยได้ไหม จะตกรถไฟแล้วพี่”

“เอ้า ขึ้นมาเลยครับ” ผู้ใจดีบอก

ผมไหว้พวกเขางามๆ คุยกับปูโกกว่า โชคดีจริงๆ

ไม่ถึงสิบนาที ก็มาถึงสวนสนประดิพัทธ์แล้ว ต้องขอบคุณน้ำใจของพี่ๆในรถทุกคน และปาฎิหาริย์ของเจ้าแม่กวนอิมที่เขาเต่าครับ



บทส่งท้าย

กลับมาขึ้นรถไฟได้ทันเวลา แม้บรรยากาศจะร้อนมาก เกือบปรับอุณภูมิในร่างกายไม่ทันแน่ะ แต่ทริปนี้ผมมีความสุขมากๆครับ

สองหัวดีกว่าหัวเดียว แม้หลังๆผมจะชอบเดินทางแบบคนเดียวเนื่องจากเวลาไม่ตรงกับเพื่อน แต่การมีเพื่อนซี้เดินทางไปด้วย นั่นย่อมดีกว่าแน่นอนครับ(คนละอารมณ์ครับ ดีคนละแบบ)

เส้นทางรถไฟสายนี้ คลาสสิคสมชื่อ นอกจากพามาทะเล สถานที่ผมรักแล้ว การมาในแต่ละครั้งก็ง่ายมากๆ เรียกว่า ง่ายกว่า ไปพัทยาซะอีก(ผมคิดแบบนั้นนะ) บรรยากาศไม่ต้องพูดถึง ใครชอบความเงียบสงบ ผ่อนคลาย สบายใจ ฟังเสียงคลื่น น่าจะชอบสวนสนประดิพัทธ์ ครับ

และแน่นอนว่า เส้นทางสายนี้ ผมจะมาเยือนอีกในอนาคตและหลายๆครั้งด้วย

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ แล้วพบกันใหม่






Phop Payapvipapong

9 June 2009

6:10 PM





เดินทางไปสวนสนประดิพัทธ์โดยรถไฟ เช้าไป-เย็นกลับ อย่างไร?

-มีรถไฟสาย 911 ทุกเช้าวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดทั่วๆไป ราคาตั๋วคนละ 100 บาทครับ(อาจจะลองสอบถามดูได้ว่ามีที่ว่างในตู้ปรับอากาศไหม เผื่อใครอยากนั่งสบายๆ แต่เพิ่มอีก 100 บาทนะ)

-รถไฟตรงเวลามากๆครับ เท่าที่สอบถาม มีคนตกรถไฟกันเยอะในช่วงเช้า ซึ่งตั๋วแบบนี้ ซื้อแล้วไม่รับคืน บริหารเวลากันดีๆครับ ออกจากหัวลำโพง 6.30 น . ออกจากบางซื่อ 6.50 น.

-ก่อนเดินทางควรโทรสอบถามล่วงหน้าครับ เพราะบางทีคนเดินทางเยอะ ตั๋วก็อาจจะเต็มเร็วก็ได้น่ะ

-รายละเอียดลองเข้าไปดูในเว็บไซด์ http://www.railway.co.th/

Tuesday, June 09, 2009

สวนสนประดิพัทธ์...บนเส้นทางรถไฟสายคลาสสิค(1)







ไม่ได้เดินทางโดยรถไฟมาหลายปีครับ ล่าสุดก็ครั้งไปดำน้ำแบบ Fun Dive ที่ชุมพรคาบาน่า แต่นั่นก็เป็นการเดินทางในเวลากลางคืน

สำหรับเวลากลางวัน ผมไม่เคยใช้บริการรถไฟเลย ด้วยข้อจำกัดบางประการ เช่น ระยะเวลาในการเดินทางที่ช้ากว่ารถโดยสาร ยิ่งเป็นสายใต้ที่ผมชอบไปแล้ว กว่าจะถึงที่หมายก็อาจจะเป็นช่วงบ่ายหรือเย็น ซึ่งก็ต้องค้างคืนถึงจะคุ้มค่า

เคยได้ยินมานานครับ กับโปรแกรมการท่องเที่ยวของการรถไฟ แบบเช้าไป-เย็นกลับ ซึ่งมีหลายเส้นทางที่น่าสนใจมาก ที่สำคัญการเดินทางแบบนี้ เราได้เห็นอะไรระหว่างทางเยอะ ค่อนข้างจะคลาสสิคทีเดียว

เมื่อพี่โก้เอาลิงค์การท่องเที่ยวโดยรถไฟมาโพส(จากพี่เจน) ก็เลยสะกิดต่อมอยากเที่ยวครับ โดยขอเริ่มจากสถานที่ชอบมากที่สุด คือ “ทะเล” ก่อนแล้วกัน

สวนสนประดิพัทธ์ ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อยู่ในความดูแลของศูนย์ทหารราบปราณบุรี มีชายหาดทอดยาว เงียบสงบ คนไม่พลุกผล่าน

หาข้อมูลจากคนที่เคยไปทาง Internet กับการไปสอบถามเส้นทางจากสถานีรถไฟบางซื่อ ซึ่งอยู่ใกล้บ้านที่สุด(เวลาซื้อตั๋ว ซื้อได้ทุกสถานีครับ และขึ้นได้ทุกสถานีที่รถไฟวิ่งผ่าน) สัปดาห์ที่ผมไปถามนั้น วันอาทิตย์เหลือที่ว่างตั้ง 200 กว่าที่แน่ะ

พอมาสัปดาห์นี้ รวบรวมเพื่อนเดินทางได้อีก 4 คนครับ เป็นเพื่อนสมัยเรียนอยู่วชิราวุธวิทยาลัย แต่เมื่อโทรไปสอบถามในวันเสาร์เหลือแค่ 8 ที่เท่านั้น จากที่จะไปซื้อตั๋วในช่วงเช้าแล้วออกเดินทาง เห็นทีจะไม่ทันครับ ต้องออกไปซื้อตอนนี้เลยน่ะ (หลายท่านอาจจะสงสัยว่า หลังๆ ผมไปคนเดียว ผมมีเพื่อนด้วยเหรอ 555 เพื่อนมันว่างพอดีครับ กะว่าถ้าไม่ว่างภายในสัปดาห์สองสัปดาห์นี้ก็จะไปเองอยู่แล้วล่ะ)

เหลือแค่ 6 ที่ครับ ก็ซื้อมา 5 ที่(เส้นยาแดงผ่าแปด) ฉะนั้น ต้องลองสอบถามดูครับ บางสัปดาห์คนอาจไปน้อย บางสัปดาห์คนอาจไปเยอะ แต่ยังไงรถไฟก็ออกอยู่ดีน่ะ

ค่าโดยสาร หนึ่งร้อยบาท เท่านั้นครับ(รวมไป-กลับด้วย)

พร้อมแล้ว ออกเดินทางกันดีกว่า


7 มิถุนายน 2552

ตื่นตีห้า ครึ่ง ไปรับชูฮวยที่บ้านตอนหกโมงเช้า เอารถไปจอดที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปสถานีบางซื่อ(สถานีรถไฟก็อยู่ติดกันเลยครับ)

ที่สถานีรถไฟบางซื่อก็มีที่จอดรถครับ ฟรีด้วย แต่ว่ายังไม่แน่ใจเรื่องเส้นทางนัก ว่าเข้ามาจากทางไหน จอดที่ลาดพร้าวก็ปลอดภัยดี อย่าลืมสแตมป์บัตรปลายทางด้วยล่ะ(คำนวนดูจากเวลาที่จอด ประมาณ 70 บาทครับ)

สายรกนั่งแท๊กซี่มาจากอนุเสาวรีย์ชัยครับ เลยมาถึงก่อน ช่วงเช้ามืดรถไม่ติดอยู่แล้ว ส่วนอีแอกกับปูโกกกำลังนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินตามมาครับ

แต่ทว่าเรื่องตื่นเต้นก็เกิดขึ้นแล้ว ผมได้ยินเสียงประกาศบอกว่า รถไฟสาย 911 ที่จะเดินทางไปสวนสนประดิพัทธ์ จะมาถึงในอีกไม่ช้า แต่เพื่อนผมยังมาไม่ถึง และเรากำลังจะตกรถไฟกัน!!!! 555555(ผมคิดแผนสำรองไว้ครับ ว่าถ้าตกรถไฟจริงๆ ก็ไปเที่ยวที่อื่นแล้วกัน )

รถไฟจะออกจากสถานีหัวลำโพงเวลา 6.30 น. และมาถึงสถานีรถไฟบางซื่อ 6.50 น. ซึ่งรถไฟตรงเวลามาก ไม่เหมือนรถทัวร์ที่รอผู้โดยสารได้ ไม่เหมือนเครื่องบินที่มีดีเลย์

“เฮ้ย อีแอก ปูโกก วิ่งเลย รถไฟจะออกแล้ว” ผมรีบโทรบอกเพราะทราบดีว่าระยะทางจากรถไฟฟ้าใต้ดิน มาที่ประตูทางออกนั้น ค่อนข้างไกล

รถไฟมาแล้วครับ แต่ยังเห็นปูโกกมาคนเดียวเอง อ่อ นั่นอีแอกวิ่งตามหลังมาครับ เหลือเชื่อ 5555

“ไม่คิดว่าจะทันนะเนี่ย” ผมบอก

“กูเห็นปูโกกมันวิ่ง ก็รีบวิ่งตามมันเลย” อีแอก ผู้มีหุ่นแบบอาเสี่ยกล่าวติดตลก

เป็นอันว่าเรามาอยู่บนรถไฟเรียบร้อย คราวนี้ก็มาดูเรื่องที่นั่งครับ ซึ่งนั่งกันคนละที่ เพราะตอนซื้อตั๋วใกล้ๆจะเต็มแล้ว มีตรงไหนก็ต้องเอาไปก่อนครับ ขืนรอสัปดาห์ถัดไป ผมและเพื่อนอาจจะว่างไม่ตรงกันก็ได้

มีคนเยอะเลยครับ สาวๆเพียบ ดูแล้วเจริญหู เจริญตาสุดๆ 4 ที่นั่งแรกอยู่ในโบกี้นี้ อีกที่นึง อยู่ถัดไปอีกสองโบกี้ ผมเดินตามนายตรวจรถไฟไป ผ่านโบกี้ที่มีเครื่องปรับอากาศ จนมาถึงที่นั่งครับ

มีพ่อแม่ พาลูกมาเที่ยว ส่วนใกล้ๆก็มีเป็นแก๊งค์ถ่ายรูปครับ มากันหลายคน ใส่เสื้อเหมือนกัน แต่โบกี้แรกสาวๆเยอะกว่านะ 555

รถไฟชั้นสาม ล๊อคนึงจะมีสี่ที่นั่ง หันหน้าชนกัน พนักพิงจะปรับไม่ได้ มีพัดลมอยู่ตามทางเดิน เวลารถไฟวิ่ง จะเห็นวิวริมทางได้ชัดและถ่ายรูปได้ง่ายกว่าห้องปรับอากาศครับ

ผมวางของทิ้งไว้และเดินกลับมาโบกี้ที่มีเพื่อนๆอยู่ มีที่ว่างอยู่ครับ ก็เลยลองนั่งคุยกับเพื่อนไปก่อน เจ้าของที่ยังไม่ขึ้นมา แต่ระหว่างเส้นทางที่ผ่าน เจ้าของที่จะต้องมาแน่ครับ(ฟังดูเหมือนผีนะ) เพราะเที่ยวนี้เต็มทุกที่นั่ง(นายตรวจเขาบอกน่ะครับ)

ข้างๆมีสองสาวน่ารัก(พอดีเลย) เท่าที่ได้คุย มากันสองคนครับ ดูจากในเว็บไซด์นี่แหละ สาวคนหนึ่ง ชื่อ “ปลา” (แค่ชื่อก็น่ารักแล้ว) 555

หลังจากช่วยพวกเธอเปิดหน้าต่างแล้ว เจ้าของที่ก็ขึ้นมาพอดี(ให้มันได้แบบนี้ซิ) รถไฟผ่านสถานีบางบำหรุ ซึ่งอยู่ในเขตบางพลัด(มิน่าเลยถึงเวลาต้องพลัดพราก555)

ต้องเปลี่ยนที่นั่งครับ ก็นั่งตรงที่ที่ยังว่างอยู่ ไม่นานนักก็ถึงสถานีนครปฐม ซึ่งตรงจุดนี้ เขาให้เวลา 40 นาที พักผ่อนตามอัธยาศัย(บริหารเวลากันให้ดีๆล่ะ)


นมัสการพระปฐมเจดีย์

เดินไปตามทางเรื่อยๆครับ เริ่มเห็นมีของขาย แต่ยังไม่เห็นองค์พระปฐมเจดีย์เลยน่ะ

พอเลี้ยวขวา เห็นแล้วครับ พระปฐมเจดีย์ ใหญ่โตมาก เท่าที่เห็นเหมือนกำลังบูรณะอยู่ด้วย บอกตามตรงว่า หากไม่ได้มาโปรแกรมนี้ ผมก็คงไม่ได้มีโอกาสมาที่นี่ครับ

แวะทานข้าวแกงเติมพลังกันก่อน ทานกันทุกคนยกเว้นปูโกกที่ทานมาตั้งแต่เช้าแล้ว พวกเราอยากจะเข้าไปถ่ายรูปและนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ด้วย จึงรีบทานแล้วเดินไปต่อ

ตรงทางเดินต้องระมัดระวังครับ จะเดินกลางถนนแบบข้ามาคนเดียวไม่ได้ เพราะมีรถเข้าออกตลอดเวลา อาจล้มทั้งยืนได้เหมือนกัน ระหว่างทางมีของขายเยอะ สังเกตเห็นสาวๆนครปฐมหลายคน น่ารักซะด้วยซิ

มีพระมาบิณฑบาตด้วยครับ เดินข้ามถนนไปอีกนิด ก็เจอประตูวัดอยู่ด้านหน้าแล้ว(ขอย้ำว่าให้ระมัดระวังการข้ามถนนให้ดีครับ เพราะรถค่อนข้างเยอะน่ะ)

เช้านี้ยังไม่ค่อยมีแดดครับ แต่ไม่เป็นไร ก็เก็บภาพเอาไว้ก่อนน่ะ ชูฮวยกับสายรกพก DSLR มาคนละตัว ของสายรกน่าจะใช้ Canon ชื่อรุ่นไม่แน่ใจครับ แต่ของชูฮวยใช้ Canon 450D พึ่งไปซื้อมาเป็นเพื่อนมันครับ เลยจำได้ แต่ละคนก็ไหว้พระและถ่ายรูปตามมุมที่แต่ละคนสนใจ

คนเข้าแถวนมัสการพระประธานเยอะเลย(ดูแล้วน่าจะเป็น ปางห้ามญาตินะครับ) ผมใช้วิชามือยาว ยืดมือเข้าไป และซูมเล็กน้อย จึงได้ภาพออกมา(มีตาข่ายปิดอยู่ด้วยน่ะครับ เลยต้องเอื้อมมือเข้าไปถ่าย) ใบหน้าของท่านเหลืองอร่าม สวยงามมากครับ

ใกล้ๆมีพระโสณะเถระและพระอุตตรเถระด้วย ผมไม่ลืมที่จะไปกราบและขอพร อันดับแรกก็แน่นอนครับ ขอให้คุณแม่ของผมมีสุขภาพดี หายป่วยจากโรคร้ายที่เป็นอยู่

ได้เวลาแล้วครับ ต้องรีบกลับไปที่รถไฟล่ะ

ขึ้นมาก็ลองหาที่นั่งที่ตรงตามตั๋ว(ที่ตอนแรกมีคนนั่งอยู่แต่ให้เขานั่งกันไปก่อน) เข้าใจครับใครๆที่มาด้วยกัน ก็อยากนั่งด้วยกัน

เพื่อนๆผมเห็นว่า ยอมเสียตังค์อีกคนละ 100 บาท ไปนั่งห้องปรับอากาศเพื่อที่จะนั่งด้วยกัน(ห้องปรับอากาศเหลือที่อีกเยอะเลย) ไม่มีปัญหาครับ งานนี้ผมไม่ได้มาคนเดียว เพื่อนว่ายังไงก็ตามนั้น แม้นั่งตู้ชั้นสาม จะได้บรรยากาศมากกว่าก็เถอะ

ที่นั่งสบายกว่าเยอะเลยครับ นอกจากจะปรับพนักพิงได้ ยังยืดขาได้ด้วย(ก็เกิดมาขายาว ลำบากแบบนี้แหละ 55) ผมหยิบนิตยสาร Trips ฉบับการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟ และฉบับที่มีสวนสนประดิพัทธ์ มาให้เพื่อนๆอ่านด้วย

เพลียมากๆครับ นอกจากจะต้องตื่นเช้า เมื่อคืนกว่าจะนอนหลับก็ดึกมาก ไม่นานนัก ระเบิดลงทั้งผมและเพื่อน ก็ตายหมู่กันหมด

ผ่านราชบุรี ผ่านเพชรบุรี จนมาถึงสถานีที่ค่อนข้างสวยแต่ไม่มีเวลาลงไปถ่ายรูป นั่นคือ “สถานีหัวหิน” ครับ(ถ้าเขาอนุญาตให้ลงล่ะก็ ไม่พลาดแน่ๆ)

เมื่อผ่านที่นี่ สถานีต่อไปก็จะถึงที่หมายแล้วครับ