Tuesday, October 28, 2008

ปิดฤดูกาลอ่าวไทยที่…ร้านเป็ด ร้านไก่(4)







Dive 4 หอยเบี้ยกับแมนเติลที่ห่อหุ้มเปลือกนอก!!!!

การดำน้ำในเวลากลางคืน ต้องถือไฟฉายเพิ่มเข้ามาอีกอย่างครับ ใครจัดระเบียบสังคม เอ้ย จัดระเบียบร่างกายว่าจะถืออะไร ข้างไหนไม่ดีแล้ว อาจจะไม่ถนัดก็ได้


เช่นกันครับ แม้จะดำน้ำค่อนข้างสบายก็จริง แต่ในมือผมยังไม่ค่อยถนัดเท่าไรนัก ต้องเปลี่ยนข้างให้ถนัดที่สุด เช่น ในไดฟ์นี้ไฟฉายผมจะใช้มือขวา pointer ผมจะถือมือซ้าย แล้วถ้ามีกล้องถ่ายรูปล่ะ(เอ่อ เดี๋ยวค่อยบอกครับ บอกแล้วก็ไม่ตื่นเต้นซิ 5555)


ผมตามติดพี่พิช สายตาคอยชำเลืองดูพี่โหน่งเป็นระยะ หากหายไปซักหนึ่งคน การดำน้ำก็คงไม่สนุกแน่ๆครับ การดำน้ำที่ดี ไม่ใช่การถ่ายรูปที่สวยอย่างเดียว ไม่ใช่การบรรยายเรื่องราวใต้น้ำที่สนุกอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมาก เช่น การดูแลเพื่อนนักดำน้ำในกลุ่มไม่ให้หลงแม้เราจะไม่ใช่ Divemaster ก็ตาม(แต่ต้องดูแลตัวเองให้ได้ก่อนนะครับ ก่อนที่จะไปดูแลคนอื่น 55)


ยังแค่ช่วงหัวค่ำ ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) ก็เลยยังไม่นอนหลับ ว่ายโฉบไปมา คงมาสังเกตดูผู้มาเยือนในยามค่ำคืน ที่เกาะง่ามน้อยแห่งนี้ครับ


“แก๊งๆๆ” เสียงพี่พิชเคาะ Pointer ด้านหน้า คือ ปลากระเบนทอง(Blue-spotted ribbontail ray) หนึ่งในกระเบนบนพื้นทราย ภาษานักดำน้ำก็เรียกว่า Blue-spotted เหมือนกันแต่ถ้าจะให้เจ๋ง ต้องแยกให้ถูกนะครับ ว่าต่างกับตัวที่เห็นบ่อยๆที่อันดามันอย่างไร(ผมเคยอธิบายแล้วครับ ต้องไปค้นคว้านะ ใบ้ให้ อีกตัวชื่อว่า Blue-spotted stingray ) พอถูกแสงไฟฉายส่อง พี่กระเบนทอง ขี้ตกใจครับ ว่ายหนีเข้าไปในถ้ำเลยล่ะ


ว่ายต่อไป ข้างๆที่เป็นแง่หิน ผมเห็นตัวจิ๋วสองตัวครับ เริ่มจาก จิ๋วเล็กอย่าง หนอนตัวแบน(Flat Worm) มีสีขาว ขนาดประมาณเหรียญสิบ อีกตัว คือ ทากปุ่ม ที่ชื่อว่า Phyllidia varicose ขนาดประมาณเหรียญสิบต่อกันสองเหรียญ


มีปูอยู่ในซอกหินครับ เห็นตาแดงๆชัดเลยล่ะ เมื่อขยับตัวก็ยิ่งเห็นชัดใหญ่ แต่สุดปัญญาว่าเป็นปูชนิดไหนครับเพราะรายละเอียดน้อยเหลือเกิน


พี่พิชชี้ให้ดูสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งบนพื้นทราย มีขนรอบตัว(ลักษณะเหมือนหนวดของดอกไม้ทะเล) ผมเดาว่าหอยครับ จากการกลับมาค้นคว้า เขาอยู่ในวงศ์หอยเบี้ยครับ(Cowries) ครอบครัว Cypraeidae ดูแล้วแปลกตาครับ ส่วนที่ห่อหุ้มด้านนอกเปลือก เราเรียกว่า แมนเติล(Mantle) อ่านดีๆ ไม่ใช่แมนต้านะครับ 55


แล้วแมนเติล คืออะไร แมนเติล คือ เนื้อของหอยครับ ใช้คลุมอวัยวะภายในและห่อหุ้มร่างกาย อย่างพวกนูดี้ก็เป็นหนึ่งในหอยไร้เปลือกแต่เอาแมนเติลมาห่อหุ้มร่างกายครับ


ส่วนหอยเบี้ยที่เห็นนี้ พี่แกใช้แมนเติลจากด้านใน มาห่อหุ้มเปลือกอีกทีครับ ประโยชน์มีหลายแบบเช่น การพรางตัวจากศัตรู เป็นต้น


หากนึกต่อไป ใครเคยเห็นหอยเบี้ยไข่บ้างครับ นั่นก็มีแมนเติลห่อหุ้มร่างกาย พอตอนที่เห็นเปลือกด้านในจริงๆ ทำเอาผมงงอยู่นาน ว่าหอยอะไร


เอ วังก็ประการละฉะนี้ แต่สนุกดีนะครับ ลงน้ำคราวหน้า เราไปหาแมนเติลกันนะ 555

ขึ้นมาด้านบน พี่พิชจับเวลาได้ตรงเป๊ะ(แกบอกก่อนลงว่าดำ สามสิบนาทีครับ ขึ้นมาดูไดฟ์คอม ก็สามสิบนาทีจริงๆ) ว่าแล้วเราไปอาบน้ำแล้วกินข้าวเย็นกันดีกว่า จะซัดให้หายเฮี้ยนเลย

มีกุ้งเผา แกงจืดหมูสับ ทะเลผัดผงกระหรี่ แต่ที่ถูกใจผมที่สุด คือ ใบเหลียงผัดไข่ อาหารที่ผมชื่นชอบเป็นอย่างมาก มาชุมพรคาบาน่า ผมไม่เคยพลาดที่จะสั่งครับ บนเรือ Cabana MV-1 ก็ต้องมีเช่นกัน(ขนาดนั่งรถแวะปั้มที่ชุมพร ในปั้มมีร้านข้าวแกง หากมีใบเหลียงผัดไข่ล่ะก็ เสร็จผมแน่ๆ)


ทุกคนยังพูดถึงเรื่องไดฟ์ที่สามของวันนี้อยู่ตลอดครับ นี่คือ ไฮไลท์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ จากนั้นก็นั่งคุยกัน ก่อนที่จะไปเล่นไพ่สลาฟเพื่อความสนุกสนาน อากาศเริ่มร้อนเลยย้ายไปเล่นที่ห้องแอร์ ดื่มเบียร์เล็กน้อย ไม่มาก กลัวดื่มเยอะไปไดฟ์เช้าจะไม่สนุก(ยังไม่เก๋าเกมพอน่ะครับ 55) ไวน์ของพี่ป๊อคกี้ก็เลยเหลือเลยน่ะ(คราวหน้าถ้าเป็นวันสุดท้ายแล้วไดฟ์เช้าไม่มีดำน้ำจะดื่มเป็นเพื่อนครับพี่ ขออภัยด้วย 55)



12 ตุลาคม 2551

หันไปมองรอบๆ ตื่นกันหมดแล้วกัน เหลือแค่พี่วิลลี่คนเดียว ผมรีบตื่นดีกว่านะ ยิ่งทำอะไรชักช้าอยู่ด้วย ขึ้นมากินอาหารรองท้องเล็กน้อย เช้านี้เราจะลงดำน้ำกันที่หินแพครับ


ตอนแรกอาจจะต้องลงกับกลุ่มอื่น ครับ เพราะDive leader ผม เมื่อคืนอาจดื่มหนักไปหน่อย แต่ด้วยสปิริต ในที่สุดแกก็ออกมาทำหน้าที่ครับ


พร้อมแล้ว ลุยกันต่อครับ



Dive 5 กุลสลาดนักล่า!!!

น้ำไม่ค่อยใสอย่างที่คาดไว้ครับ(ก่อนมาคาดว่าจะใสมากๆ) ที่นี่มีฝูงปลากลางน้ำอย่างปลามงด้วย ที่ผมจำได้ดี คือ ปลามงครีบฟ้า(Bluefin Trevally) ลักษณะเด่น คือ ครีบทุกครีบยกเว้นครีบหูมีสีฟ้า มองดูจะเห็นเลยล่ะครับ และมักจะพบในจำนวนที่ไม่มาก เช่น 2-4 ตัว


ปลามงจัดได้ว่าเป็นปลาเศรษฐกิจ และเป็นนักล่าตัวยงด้วย(แต่ก็ไม่รอดจากมือมนุษย์ไปหรอก) นักดำน้ำแบบดำผิวน้ำ จะไม่มีโอกาสเห็นปลามงครีบฟ้าที่โตเต็มวัย ขณะว่ายอยู่ใต้น้ำเลยเพราะพวกเขาอยู่ในที่ลึกมากกว่าที่จะมองเห็นจากผิวน้ำได้ครับ(ว่าแล้วมาเรียนดำน้ำกันเถอะ)


ส่วนอีกชนิดที่ผมเคยกล่าวมาแล้วในทริปเกาะเต่าเมื่อปีก่อน คือ ปลามงตาโต(Bigeye Treavally) จะเห็นได้จำนวนมากกว่า เหมือนกำแพงสีเงิน ที่ใครเห็นก็ต้องตื่นตาตื่นใจครับ(ไดฟ์นี้ไม่ได้เห็นชัดมากน่ะครับ ตัวแรกจะเห็นชัดกว่า)

ดำต่อไปเรื่อยๆ พี่โหน่งชี้ให้ดูปลาด้านล่างครับ มองแล้วโป๊ะเช๊ะเลย นี่คือ ปลากุดสลาดจุดฟ้า(Squaretail Coralgrouper) หนึ่งในนักล่าอีกเช่นกัน ตัวนี้ ลอยตัวนิ่งๆ เหนือพื้นทรายเล็กน้อย คาดว่าอาจจะรอจับเหยื่ออยู่ ภาษาง่ายๆ ก็เรียกว่าปลาเก๋าชนิดหนึ่งครับ


เรามักจะเห็นปลากุลสลาดอยู่ในอวอเรี่ยม หรือมักจะติดลอบอยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะสัญชาติญาณนักล่าที่อยู่ในตัว พอเห็นปลาเหยื่อก็ต้องฮุบ(ก็เรียบร้อยโรงเรียนไทย)


แต่ขึ้นชื่อว่านักล่า ก็มีฟันแหลมคม ฉะนั้นอย่าดูถูกปลานะ จะถ่ายรูปก็ถ่ายไป แต่อย่าไปรุกรานเขา(คุณอาจจะถูกปลากุดสลาดกัดเป็นรายแรกของโลกก็ได้ 555)


นอกนั้นในไดฟ์นี้ก็มี ทากปุ่ม ที่ชื่อว่า Phyllidia varicose ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง(Pink Anemonefish) ปลาสลิดหินคอดำ(Indian Dascyllus) ปลาสลิดหินสามจุด(Three-spot Dascyllus) ปลาผีเสื้อเหลืองชุมพร(Weibel ’ s Butterflyfish)และปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) ครับ

ขึ้นมารับประทานอาหารเช้า ผมเจอพี่บุญชัยที่ไม่ได้ลงในไดฟ์แรก สอบถามดู แกบอกว่า เดือนก่อนก็มาที่นี่ จำได้ว่าจุดนี้ไม่ค่อยเห็นอะไรมากนัก ก็เลยรอลงจุดต่อไปดีกว่า เรื่องความใสของน้ำทะเลและการเห็นสัตว์ทะเลนั้น เป็นเรื่องนานาจิตตังครับ บางคนว่าไม่เห็น บางคนว่าเห็น บางคนว่าไม่มีอะไร บางคนว่ามีอะไร ลองศึกษาสัตว์ทะเลให้รู้จักทุกชนิดซิครับ ทั้งวัยเด็ก วัยโต ที่อยู่อาศัย ตลอดจนพฤติกรรม อาจจะทำให้การดำน้ำสนุกมากกว่าเดิมนะ 555


แต่ละคนเริ่มหาที่นอน พักผ่อน บ้างก็ฟังเพลง บ้างก็นั่งคุย จุดต่อไปเราจะลงดำน้ำกันที่หินหลักง่ามครับ


Dive 6 ในเม่นทะเลมีปลาอกดูด!!!

ในบางจุดน้ำก็ใสดี ในขณะที่บางจุดน้ำก็ขุ่น ในขณะลัดเลาะไปที่ริมผา ผมสังเกตเห็นปลาชนิดหนึ่งมีขนาดเล็ก ปากเรียวแหลม ลำตัวมีสีแดงสลับขาว อาศัยอยู่ในเม่นทะเล ชื่อของเขา คือ ปลาอกดูดเม่นทะเล(Urchin Clingfish) ครับ


ที่ชื่อแบบนี้เพราะครีบท้องของเขามีลักษณะเหมือนถ้วยดูดติดกับสิ่งมีชีวิตอื่น การอาศัยในเม่นทะเลนั้น ถือเป็นการได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว กล่าวคือ ปลาอกดูดใช้เม่นทะเลเพื่อป้องกันตัว แต่กินแพลงตอนขนาดเล็กที่ล่องลอยมาตามกระแสน้ำ


ถ้าเปรียบได้ก็คือ คนที่ช่วยเหลือผู้อื่น(โดยเฉพาะผู้ที่อ่อนแอกว่า) โดยตนเองไม่หวังสิ่งตอบแทนครับ


ต่อมาผมพบทากทะเลชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Phyllidia ocellate ตัวนี้มีปุ่มสีเหลือง ส่วนอื่นๆจะมีสีดำครับ มาคราวนี้ ผมเจอแต่ทากปุ่ม ทากชนิดอื่นๆไม่เห็นเลยน่ะ(พี่หมอหมูเห็นครับ ถ่ายรูปมาด้วย แต่ผมไม่เห็นน่ะ 55)


ตามก้อนหิน หากสังเกตดีๆ จะมีสิ่งมีชีวิตรูปร่างยาว มีสีขาวคล้ายหนอน เชื่อว่าหลายคนก็เคยเห็นครับ ซึ่งก็คือ หนอนทะเล(Worms)นั่นเอง


มีฝูงปลาข้างเหลืองมากจริงๆ นอกนั้นเท่าที่จำได้ก็มี ทากปุ่ม ที่ชื่อว่า Phyllidia varicose ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง(Pink Anemonefish) ปลาผีเสื้อเหลืองชุมพร(Weibel ’ s Butterflyfish) ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish และปลาข้าวเม่าน้ำลึก(Soldierfish) ครับ

ขึ้นมารับประทานอาหารเที่ยง เสร็จแล้ว ผมถ่ายรูป Staff บนเรือทุกคน(เท่าที่เจอ) เก็บไว้ เพราะส่วนหนึ่งของความสะดวกสบาย เกิดจากการทำงานของ Staff เหล่านี้ครับ


ไดฟ์ต่อไปเราจะลงดำกันที่หินหลักง่ามเหมือนเคย ตอนแรกผมว่าจะไม่ลง(เอาอีกแล้ว ปลิ้นปล้อนจริงๆ) แต่สุดท้าย คิดว่า ลงดำสบายๆดีกว่า ผมเลือกที่จะไม่สวม Wet Suit ดูบ้าง แต่ลงด้วยเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น สวมตะกั่วแค่สามก้อน(น้อยสุดเท่าที่เคยใส่ครับ) พอลองแบกแท๊งค์ ปรากฎว่า เบาหวิวเลยครับ ไม่เคยเจอความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยน่ะ( พี่เอกับพี่ปุ๋มก็ไม่สวม Wet Suit เช่นกันครับ)


Dive 7 สบาย สบาย เคลื่อนที่สะดวก!!!

อุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ 30 องศาเซลเซียสครับ(อุ่นๆ) ตะกั่วสามก้อนของผม ลงสู่ใต้น้ำได้อย่างสบายๆ ไม่แปลกใจเลยว่าพี่เอก็ไม่สวม Wet Suit ตั้งแต่ไดฟ์เช้าแล้ว ผมลอยตัวอย่างอิสระมากขึ้น นอกจากร่างกายที่เบาขึ้นมากแล้ว ก็ไม่มีชุด Wet Suit มารั้งที่บริเวณคอและรั้งบริเวณระหว่างขาสองข้าง(ภาษาเรียกว่า ง่ามขาน่ะครับ 555)


สบายจริงๆนะครับ(ไม่ได้โม้) ผมเคยลงด้วยเสื้อยืดมาแล้วที่พัทยา แต่ตอนนั้นอุณภูมิไม่ใช่แบบนี้ ก็เลยรู้สึกหนาวอยู่บ้าง ผมขยับขานิดเดียว ร่างกายก็เคลื่อนที่ แม้จะหยุดอยู่นิ่งๆ ก็ดูสัตว์ทะเลตรงผาหินได้อย่างสบายใจ จะลอยตัวเหนือดอกไม้ทะเล ก็อยู่นิ่งๆได้(อย่าลืมเอาขาชี้ขึ้นสู่ผิวน้ำด้วยครับ)


แต่ข้อเสียก็มีครับ แม้จะดำสบายกว่า แต่การไม่มี Wet Suit ทำให้ง่ายต่อการถูกเข็มพิษของดอกไม้ทะเลที่จะยิงเข้าใส่ ง่ายต่อการถูกเม่นทะเลเสียบ รวมทั้งสัตว์ทะเลชนิดอื่นที่มีพิษด้วย(เปรียบได้ง่ายๆ พอนักรบถอดเกราะเหล็ก ก็เหลือแค่ร่างกาย ถูกแทงก็บาดเจ็บเต็มๆครับ 555)


อีกข้อหนึ่ง ผมคิดว่า การหายใจก็มีส่วนสำคัญที่สุด พอจิตใจสงบนิ่ง ทำให้การดำน้ำดีตามไปด้วย(ไดฟ์อื่นๆก็ไม่ใช่ว่าผมวอกแวกนะ เพียงแต่ว่าไม่ใช่การดำน้ำที่ดีที่สุดนั่นเอง)


พี่วิลลี่ชี้ให้ดูสิ่งที่เหมือนควัน ออกมาจากหอยมือเสือ(Giant Clam)ครับ ผมก็จ้องอยู่นาน ก็แปลกดี พอขึ้นมาสอบถาม ทราบว่า นั่น คือ อสุจิของหอยมือเสือครับ เป็นการสืบเผ่าพันธุ์ของพวกเขานั่นเอง


ปลายๆไดฟ์ เรามาทำ Safety Stop ในที่ตื้น หันไปด้านหลัง ปรากฎว่าพี่โหน่งหายไปครับ เลยทำสัญญาณบอกพี่วิลลี่ ซึ่งก็ว่ายกลับมาตามหา แต่พี่ดลบอกว่า พี่โหน่งขึ้นไปแล้ว เราจึงขึ้นสู่ผิวน้ำครับ

ที่ขึ้นมาก่อนแล้ว เพราะว่า พี่โหน่งถูกเข็มพิษของดอกไม้ทะเลยิงใส่ครับ เลยเกิดผื่นแดง มีอาการปวดแสบปวดร้อน หมูเลยส่งน้ำส้มสายชูมาให้ล้างบริเวณแผล ช่วยบรรเทาอาการพิษ หลายท่านอาจสงสัยว่า ดอกไม้ทะเลที่อยู่กับปลาการ์ตูนมีพิษด้วยเหรอ?


ตอบได้ว่ามีครับ โดยอยู่บริเวณ หนวดที่ยื่นออกมา ซึ่งเวลาเข็มพิษยิงใส่ ก็ยิงมาจากข้างในโดยอัตโนมัติเมื่อมีสิ่งใดมาแตะต้อง เรามองไม่เห็นเข็มพิษหรอกครับ กว่าจะรู้สึกตัวก็ปวดแสบปวดร้อนซะแล้ว ถ้าเผลอจับโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนฐานของดอกไม้ทะเลจะไม่มีพิษครับ(ทางที่ดี ห้ามจับ ห้ามแตะ ระวังตัวอยู่ตลอดครับ)


ส่วนปลาการ์ตูน ที่ไม่ถูกเข็มพิษยิงใส่ เพราะปลาการ์ตูนใช้ลำตัวถูเมือกของดอกไม้ทะเล ทำให้ปลอดภัยจากการยิงเข็มพิษ(อาจจะคิดว่าเป็นพวกเดียวกันก็ได้) ผมเลยแนะนำพี่โหน่งเล่นๆ ว่า ถ้าพี่ไม่อยากถูกเข็มพิษ พี่ต้องเอาตัวไปถูกับดอกไม้ทะเลให้ติดเมือกมานะครับ 5555


พี่เอก็ถูกเข็มพิษของดอกไม้ทะเลเหมือนกันครับ เรียกว่ามาคราวนี้นักดำน้ำได้เม่นทะเลกับดอกไม้ทะเลเป็นของแถม แต่การได้เห็นฉลามวาฬถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมากครับ


เราทุกคนถ่ายรูปกันที่ด้านหน้าของเรือ ทุกคนมีแต่รอยยิ้ม ผมดีใจที่ได้รู้จักกับทุกคนครับ


เรือ Cabana-MV 1 แล่นกลับเข้าสู่ท่าเรือท่ายาง จ.ชุมพร หลังจากนักดำน้ำอาบน้ำแต่งตัว ก็เก็บสัมภาระของตัวเอง รวมทั้งอุปกรณ์ดำน้ำลง Gear Bag ที่มีชื่อของตนเอง


ก่อนถึงฝั่ง เรือต้องแล่นให้ช้าลง เพราะคลื่นจากเรือ อาจทำความเสียหายให้กับเรือเล็กๆของชาวบ้านได้(พี่ Staff เล่าให้ฟังน่ะครับ จ่ายเงินให้ชาวบ้านไปหลายลำแล้ว) มีกล่อง Tips Box ให้นักดำน้ำใส่ตามศรัทธา จำนวนเงินเหล่านี้จะช่วยให้พี่ๆ Staff มีเงินเก็บครับ


บทส่งท้าย

เสร็จสิ้น 7 ไดฟ์ ของทริปร้านเป็ด-ร้านไก่ คราวนี้ เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ทั้งมิตรภาพดีๆ ผมจะไม่ลืมมันเลยล่ะ


ไม่ว่าจะเป็นการพบฉลามวาฬ ยักษ์ใหญ่ใจดีเป็นครั้งแรก ซึ่งเคยได้แต่เห็นแต่ในรูป ในทีวี และการอ่านหนังสือ การได้พบตัวจริงเสียงจริง ทำให้พบรับรู้ได้ถึงความน่ารักของเขาและเธอ(เห็นด้วยตา เห็นที่ใต้ทะเล นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วครับ)


ขอบคุณพี่หมอหมูและสมาชิกอีกสี่คนด้วยครับ หากไม่ได้พี่หมอหมู ทริปนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่ๆ


ขอบคุณพี่ป๊อคกี้และหมู ที่ช่วยเข้าร่วมทริปในครั้งนี้ ทำให้มีจำนวนคนเพิ่มมากขึ้น


ขอบคุณพี่ป้อม ที่ให้โอกาส รอคอยจนมีสมาชิกเพิ่มขึ้น และพาไปร้านเป็ด ร้านไก่ สมใจ ตามที่ผมฝันไว้


ขอบคุณนักดำน้ำทุกคนและ Staff เรือ Cabana-MV 1 ทุกคน ที่ช่วยทำให้การเดินทางมีสีสันและสะดวกสบาย หวังว่าคงได้มีโอกาสดำน้ำด้วยกันอีกนะครับ


และที่ลืมไม่ได้ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านเรื่องราวของผมอีกครั้ง แล้วพบกันใหม่ครับ




Phop Payapvipapong

22 Oct 2008

11:29 Am




Monday, October 27, 2008

ปิดฤดูกาลอ่าวไทยที่…ร้านเป็ด ร้านไก่(3)







Dive 3 ครั้งแรกกับ “ฉลามวาฬ” ประสบการณ์ยอดเยี่ยม ไม่มีวันลืม

“ฉลามวาฬ ฉลามวาฬ” เสียงพี่วิลลี่ตะโกนดังลั่น


ผมได้ยินครับ แต่ยังนอนต่อ และเฉื่อยๆเพราะคิดว่าคงเป็นเสียงกระตุ้นให้ผมรีบแต่งตัว เพื่อลงในไดฟ์ต่อไป (หลอกคนอื่นได้แต่หลอกผมไม่ได้หรอก 555)



“ฉลามวาฬ ฉลามวาฬ” คราวนี้เป็นเสียงของพี่เอครับ ท่าทางดีใจเอามากๆ(น่าแปลก น้อยครั้งที่จะได้ยินเสียงพี่เอดังๆแบบนี้) ฟังดูแล้วมีเสียงตึงตังของคนจำนวนมากบริเวณใกล้ๆที่ผมนอนอยู่ด้วยครับ ผมลืมตาขึ้นแล้วหันไปดู “เฮ้ย ท่าทางจะมีอะไรว่ะ” ผมคิดในใจ


“ฉลามวาฬ ฉลามวาฬ !!!” เสียงของผมดังขึ้นบ้าง น้ำเสียงบ่งบอกถึงความดีใจสุดขีด เมื่อเห็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งปรากฎกายอยู่บริเวณข้างเรือ เป็นสัตว์ทะเลที่ผมตามหามานาน อยากพบเป็นที่สุด ซึ่งนักดำน้ำหลายๆคนก็อยากพบครับ


เจ้ายักษ์ใหญ่ ใจดีหรือเจ้าหัวบุ๊งกี๋ เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่มาก กินแพลงตอนเป็นอาหาร พบได้ยากมากๆ(ต้องพกดวงมาด้วย) อย่างที่บอกครับ พวกเขาไม่ได้อยู่นิ่ง ว่ายน้ำไปเรื่อยๆและไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า พวกเขาจะมาเมื่อไร


จากที่รู้สึกง่วงนอน มึนหัว ความรู้สึกนั้นหายไปทันทีครับ(สดชื่นขึ้นทันที) ลงมาชั้นล่าง ทุกคนรีบแต่งตัวอย่างไม่รีรอ แต่ก็ได้เพียงบางคนครับเพราะถังอากาศของบางคน(รวมทั้งผมด้วย) ยังอัดไม่เสร็จเลยน่ะ


รอไม่ได้แล้วครับ ผมขอลงไป Snorkeling ก่อนก็ได้น่ะ อยากเห็นจริงๆ พี่ป้อมบอกให้ผมอย่าลืมใส่ฟินด้วย


“เดี๋ยวครับ ภพยังไม่เคยเห็นเลยใช่ไหม ชุดของภพอยู่ตรงไหน เดี๋ยวพี่เปลี่ยนแท๊งค์ให้เลย” พี่แจ้บอก


“ตรงนี้ครับพี่” ผมชี้ไปที่ชุดของผม


“ปกติ ถ้าเขามาแล้วจะอยู่นานไหมครับพี่แจ้” ผมถามด้วยความตื่นเต้น


“ถ้ามาแล้ว ก็อยู่นานครับ” พี่แจ้กล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม


“ตูม” เสียงผมกระโดดลงด้วยท่า Giant Stride(ยังเหลือนักดำน้ำอีกไม่เกินสามคน ที่ยังรออัดอากาศอยู่ครับ ส่วนใหญ่กระโดดลงไปหมดแล้ว)

แม้จะอยู่กลางน้ำแต่น้ำค่อนข้างใส ผมมองเห็นฉลามวาฬกับนักดำน้ำอยู่ห่างจากตัวผมประมาณแปดเมตร ผมค่อยๆเคลียร์หูลงไป แม้บางจังหวะจะปวดหู(รีบลง) แต่ในใจกลับอยากที่จะลงไปให้ใกล้ๆกว่านี้


ไม่ฝืนดีกว่าครับ ผมตีขาขึ้นไปเล็กน้อย แล้วค่อยๆเคลียร์หูลงไปใหม่แม้จะช้าและห่างไกลจากคนอื่นๆอยู่บ้างก็เถอะ จากนั้นเหตุการณ์สุดยอดอันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น


ฉลามวาฬ ว่ายจากด้านล่างมาสู่ผิวน้ำ และตรงมาที่ผมแล้ว!!!!!


“เธออยากเห็นใช่ไหม ไม่ต้องว่ายเข้ามาหาเพราะฉันมาแล้ว” เหมือนเธอจะรู้ว่าผมอยากเจอเธอมากๆ และเธอก็ทราบดีว่าผมและนักดำน้ำเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู จึงว่ายเข้ามาหา อ้าปากกว้างใหญ่เพื่อกินแพลงตอน ตรงเข้ามา ผมนึกถึงภาพถ่ายที่พี่นัท สุมนเตมีย์ ได้ถ่ายไว้ขณะเธออ้าปากเป็นอันดับแรกเลยครับ


มหึมา บอกได้คำเดียวว่า มหึมามากๆ มองดูแล้วประมาณ 6 เมตร มีเหาฉลาม(Shark Sucker)ว่ายติดตามด้วย ผมสเต็บหลบออกด้านข้างเพื่อป้องกันการปะทะโดยไม่ตั้งใจ ถึงตอนนี้ห่างจากเธอเพียงครึ่งช่วงแขน ลำตัวสีเทาปนฟ้า มองเห็นลวดลายจุดสีขาวบนตัวเธออย่างชัดเจน ครีบหลัง ครีบหาง ช่างสง่างามอะไรอย่างนี้นะ(มีเหาฉลามเกาะติดอยู่หลายตัวด้วยครับ)


ใครจะไปคิดครับว่าจะมีโอกาสเจอสัตว์ทะเลที่ใหญ่ขนาดนี้ใต้ทะเล หากเปรียบเทียบบนบก เธอมีขนาดใหญ่เหมือนรถบรรทุก ในขณะที่มนุษย์ตัวจิ๋วเดียว เต็มที่ก็สองเมตรกว่า (เธอยังมีขนาดใหญ่ได้มากกว่านี้อีกครับ)


ผมมองดูเธอบนผิวน้ำ โดยไม่ว่ายขึ้นตามไป แต่มองดูและเก็บรายละเอียด เก็บประสบการณ์ที่ประทับใจให้มากที่สุด จากนั้นเธอว่ายลงไปด้านล่าง ซึ่งผมค่อยๆเปลี่ยนระดับลงไปอีก


อีกแล้วครับ!!! เธอว่ายตรงเข้ามาที่ผมอีกแล้ว คราวนี้ผมสเต๊บลงมาด้านล่างเล็กน้อย แหงนหน้าขึ้นไปมองเห็นท้องขาวๆ ของเธอได้อย่างชัดเจน (เฮ้อ ยิ่งแพ้ความขาวซะด้วยซิ) ในจังหวะที่ใกล้ชิดมากๆ ผมยกมือสองข้าง ประสานกันปิดบริเวณศีรษะของตัวเอง เพื่อป้องกันการปะทะ และเมื่อเธอว่ายผ่านขึ้นไป หากเธอสะบัดหาง ผมอาจจะโดนที่ครีบของเธอ ซึ่งโชคดีว่า ไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวครับ(ดูแต่ตา มืออย่าต้อง)


ดูซิครับ เธออ้าปากงับฟองอากาศของนักดำน้ำใหญ่เลย ในมวลน้ำแบบนี้ ที่เธอมาที่นี่ก็เพื่อมากินอาหารครับ


ที่บอกว่าห้ามแตะต้อง นอกจากจะทำให้เธอตกใจและไปจากที่นี่แล้ว ในมือของเรานั้น เต็มไปด้วยเชื้อโรค หากไปแตะต้องเธอ เชื้อโรคจากมือเราก็จะไปติด และอาจทำให้เธอติดเชื้อโรคจากเรา อาจทำให้ป่วยและอาจตายได้(แม้จะตัวใหญ่ แต่เธอบอบบางมากนะครับ)


จากนั้นผมยังได้เห็นเธอว่ายไปมา อีกหลายครั้งในมุมขวา มุมซ้าย ด้านล่าง ด้านบน โดยที่ผมไม่ต้องเปลืองแรง ว่ายตามเธอแต่อย่างใด(ใช้สายตาดูอย่างเดียวครับ เห็นแล้วมีความสุขมากๆ) แต่ก็เปลี่ยนระดับขึ้น-ลง อยู่เรื่อยๆครับ

สังเกตเห็นได้ว่า ทุกคนมีความสุขจริงๆ และผมมั่นใจว่าเธอก็มีความสุขเช่นกัน ถ้าเธอรำคาญ เธอคงจะว่ายน้ำจากพวกเราไปที่อื่นแล้ว หากเปรียบได้กับดารา ก็คงเป็นดาราที่โด่งดังนิสัยดี ไม่ถือตัว เป็นมิตรกับทุกคน ใครเห็นใครก็รัก


ระหว่างนั้น ผมเหลือบเห็นถังอากาศของใครคนหนึ่ง มีอากาศรั่วออกมา พี่พิช อยู่ใกล้ๆพอดีครับ ผมเลยรีบเรียกแกให้มาดู พี่พิชยกนิ้วให้เหมือนจะบอกว่า “ดีมากที่สังเกต” และทำสัญญาณบอกว่า “ไม่เป็นไร”(ทราบจากตอนขึ้นมาว่า ทำให้เปลืองอากาศเท่านั้นเองล่ะ)


เมื่อเธอว่ายไปอีกทางหนึ่ง(ด้านหลังของผม) ผมหงายท้องตีฟินด้วยท่าผีเสื้อ(มือไม่ต้องทำครับ เอาเท้าอย่างเดียวพอ) ว่ายไปกับเธอก่อนที่จะผ่อนแรง(เหนื่อยเหมือนกันครับ) จนเธอว่ายหายไปในจุดที่ลึกกว่า ซึ่งยังมีคนอื่นๆว่ายน้ำตามไปอีก ถึงตอนนี้ผมคิดไว้ ผมพอใจมากๆแล้วล่ะ จะไม่ตามลงไปแล้ว รวมระยะเวลาที่ผมอยู่กับฉลามวาฬประมาณ 20 นาที


จากจุดที่ผมหันหลัง หงายท้องแล้วตีขามานั้น ปรากฎที่เบื้องหน้าของผม คือกองหินสามเหลี่ยมครับ(อยู่ๆก็มาเจอตรงนี้โดยไม่ตั้งใจ) มองดูแล้วมีอวนเต็มไปหมด ผมไม่รอช้า รีบลงไปดูทันที เพราะเห็นภาพแบบนี้แล้ว มันตะขิดตะขวงใจน่ะ


อวนมากมายครับ ผมมองดูแล้ว ทางสะดวก(ไม่ได้คลุมบนปะการัง) และที่ติดส่วนใหญ่ก็ติดอยู่กับหิน ผมใช้มือเปล่า กระชากอวนที่เหมือนเส้นเอ็นจนขาด(โชคดีว่า อวนไม่หนาเหมือนที่ระยองครับ สามารถใช้มือกระชากได้ ) ในส่วนที่เป็นเชือกผมจะปล่อยไว้(ไม่มีกรรไกร) ซึ่งถ้าเอาส่วนที่เป็นอวนซึ่งเป็นตัวร้ายขึ้นมา เชือกก็ไม่สำคัญครับ


มีปลามากมาย ติดอยู่กับเครื่องพันธนาการ ความรู้สึกบอกผมว่า ผมจะต้องช่วยพวกเขาให้มากที่สุด ตัวที่สิ้นใจไปแล้ว คงต้องยอมรับชะตากรรม ส่วนตัวที่ยังมีลมหายใจ จะต้องช่วยให้รอดชีวิตให้ได้


ระหว่างทำงานที่ด้านขวา ดึงอวนมาเรื่อยๆ ผมก็ได้มาพบกับนักดำน้ำคนหนึ่งที่ด้านซ้าย(ทราบจากตอนขึ้นมาว่า คือ นุ๊ก สาวร่างเล็กคนนั้นนั่นเอง) (เวลาอยู่ด้านล่าง หากใครแต่งตัวที่ไม่เด่น จะดูยากมากครับ ว่าใครเป็นใคร เพราะสวมหน้ากากดำน้ำอยู่)


นุ๊กกำลังใช้กรรไกร บรรจงตัดอวนที่ติดอยู่บนตัวปลาครับ ผมเข้าไปพอดี นุ๊กทำสัญญาณให้ผมช่วยเธอหน่อย ผมจับตัวปลาอย่างนุ่มนวล แต่ปลาก็ยังดิ้น ผมใช้มือสอดเข้าไปบริเวณจุดที่อวนติดแน่น เปิดช่องว่างให้กรรไกรของนุ๊ก เข้าไปตัดเพื่อช่วยเหลือ


“ ฉับ” ปลาน้อยตัวนั้น ว่ายออกไปได้อย่างปลอดภัยและหลุดจากพันธนาการ ดูมันก็ดีใจมากๆด้วยครับ ว่ายฉิวเลยล่ะ นุ๊กทำสัญญาณยกนิ้วโป้งให้ผมเหมือนจะบอกผมว่า “ เยี่ยมมาก”


แข่งกับเวลาต่อครับ ผมยังเหลืออากาศอยู่ ต้องทำประโยชน์ให้มากที่สุด ผมว่ายไปที่จุดอื่น ( มองเห็นมีนักดำน้ำประมาณ 5-6 คนตรงนี้ หนึ่งในนั้น คือ พี่ป๊อคกี้ พี่หมี และพี่หมอหมู ซึ่งแม้จะไม่สะดวกในเรื่องการตัดอวน เพราะถือกล้องพะรุงพะรังสองมือ แต่ก็ช่วยบันทึกภาพปฎิบัติการณ์ของนักดำน้ำด้วย(ขอบคุณครับพี่ ผมจะเอาไปหาเสียงน่ะแต่ผู้เลือกตั้ง คือ สัตว์ทะเลนะ 55)


แม้จะเจ็บมืออยู่บ้าง แต่ในใจที่มีแต่ความเกลียดชังในการวางอวนของพวกที่มักง่าย ทำให้ผมกระชากอวนออกได้อย่างรวดเร็ว มีปลาตัวหนึ่ง ที่ผมพยายามที่จะช่วย แต่ทำอย่างไรก็กระชากตรงส่วนที่สำคัญที่สุดไม่ได้ หากทำแรงไป ก็ต้องตายคามือของผมแน่ๆ เพราะอวนรัดแน่นจนหนังหลุดออกมา ผมจึงกระชากตรงส่วนด้านนอก ซึ่งกระชากออกครับ แต่ดูเหมือนว่า ส่วนสำคัญที่สุด ที่ทำให้ปลารอดชีวิตออกมาได้อยู่ตรงด้านในนั่นเอง(โปรดนึกภาพตาม ของการเปิดช่องว่าง ที่ผมกับนุ๊กช่วยปลาตัวเมื่อครู่นะครับ ส่วนสำคัญอยู่ตรงนั้นแหละ)


ผมจำยอมที่ต้องปล่อยปลาตัวนั้นไปอย่างหดหู่ เพราะอากาศก็เริ่มน้อยลง ผมว่ายไปดึงอวนต่อ จนเจอพี่พิช ซึ่งกำลังตัดอวนอย่างขมีขมันเช่นกัน


ตรงจุดนี้ ผมดึงอวนจนพลาด และอวนพันรอบตัวจนยุงเหยิงไปหมด ขยับตัวลำบากมาก ขาสะดุ้งเพราะสะกิดโดนเม่นทะเล จนต้องรีบดึงขาออกมา พี่พิชช่วยดึงผมออกมาและใช้กรรไกรตัด จนผมรอดออกมาได้


พี่พิชเช็คอากาศ ผมเหลืออยู่30 bar แกทำสัญญาณให้ผมขึ้นไปด้านบนได้แล้ว ผมรู้สึกเซ็งมากๆ เพราะยังไม่อยากขึ้น ยังอยากดึงอวนต่อ เพราะเท่าที่มองจากสายตา หากมีเวลาอีก 10 นาที ผมจะกระชากอวนหมดแน่นอนครับ(แต่เพื่อความปลอดภัยกับตัวผมเอง ต้องเชื่อพี่พิชครับ วันนี้ผมคิดว่า ในเวลาที่จำกัดผมทำได้ดีที่สุดแล้วล่ะ)


มือขวาของผมถืออวน ระหว่างที่ผมเปลี่ยนระดับขึ้นไป ความดีที่ผมทำนั้น ส่งผลให้เห็นในระดับสายตา(จะเรียกว่า บุญ Delivery ก็ได้)


“ฉลามวาฬครับ ฉลามวาฬตัวที่สอง!!!!!”


ฉลามวาฬตัวนี้ เล็กกว่าตัวแรกครับ มีขนาดลำตัวประมาณ 3-4 เมตร สิ่งแตกต่าง คือ ปลาบริวารครับ ตัวนี้มีปลาช่อนทะเล(Cobia) ว่ายตามติดด้วย แถมตัวนี้ อยู่ในความลึกประมาณ 15 เมตร หากผมไม่เข้ามาตัดอวน ก็คงไม่เห็นเธอแน่ๆ แถมยังว่ายน้ำเร็วด้วยน่ะ แป๊บเดียวเธอก็หายวับไปกับตา


ไม่ได้ทำ Safety stop ด้วยครับ เพราะระหว่างรอทำ ปรากฎว่า ร่างกายได้ลอยขึ้น แต่ก็ไม่กลั้นหายใจเพราะปอดอาจจะฉีกได้น่ะ


ขึ้นมาบนผิวน้ำ ผมหน้ามุ่ยเล็กน้อยเพราะอาการเหนื่อย แต่ไม่นานก็ยิ้มและตะโกนให้พี่ป้อม พี่โหน่ง ที่อยู่บนเรือฟังว่า


“ฉลามวาฬพี่ ฉลามวาฬ เห็นสองตัวเลยครับ อีกตัวอยู่ตรงที่ตัดอวนกันน่ะ” ผมลิงโลดกับประสบการณ์ที่ได้รับ เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากครับ ผมจะจำไม่มีวันลืมเลย อยากเห็นมานาน เห็นครั้งแรกก็ เห็นสองตัวเลยครับ 555


ใกล้ๆ มีพี่ปุ๋มกับพี่เจนที่อยู่บนผิวน้ำ พวกเธอก็เห็นฉลามวาฬสองตัวเช่นกันครับ

ขึ้นมาบนเรือ แต่ละคนเล่าถึงประสบการณ์ที่แสนประทับใจ นุ๊กเล่าให้ฟังว่า อากาศของเธอเหลือศูนย์ และกลั้นหายใจตอนขึ้น เพราะอากาศหมดจนหายใจไม่ได้ ผมตกใจและบอกเธอว่า ไม่ควรกลั้นหายใจเพราะอันตรายมาก โชคดีว่าเธอไม่ได้เป็นอันตราย(ที่ถูก ก็คือ การทำซีซาร์ขึ้นจากน้ำครับ)


จากนั้นไม่นานนัก ฉลามวาฬก็โผล่ที่ผิวน้ำอีกครั้ง ทำให้ช่างกล้องรีบเก็บภาพจากบนเรือเป็นการใหญ่


เรือ Cabana-MV 1 ค่อยๆแล่นออกจากกองหินสามเหลี่ยม พี่แจ้บอกว่า ผมและทุกคนโชคดีมากๆ เพราะตั้งแต่แกอยู่ที่นี่ ปกติฉลามวาฬจะขึ้นที่กองหินหลักง่าม และหินแพมากกว่า ไม่เคยขึ้นที่กองหินสามเหลี่ยมมาก่อน และโอกาสที่ฉลามวาฬจะว่ายเล่นแบบนี้โดยที่ไม่ต้องว่ายน้ำตาม หาได้ยากมากๆ(อยู่เฉยๆก็ว่ายเข้ามาหาเอง)


ทุกคนมีแต่รอยยิ้มที่ได้เห็นฉลามวาฬ นักดำน้ำทุกคน แม้แต่พี่ปลา ที่มาแบบ Non-Dive ก็ยังเห็นฉลามวาฬแบบชัดมากๆ บนผิวน้ำแบบ Snorkeling Staff ของเรือทุกคน แม้แต่แม่ครัว ก็ยังเห็นหยิบกล้องจากโทรศัพท์มือถือออกมาถ่าย


การได้เห็นฉลามวาฬ จึงต้องอาศัยโชคช่วย เพราะหลายคนดำมาน้ำมานานหลายร้อยไดฟ์ แต่ยังไม่เคยเห็นเลยก็มีครับ ซึ่งผมหวังว่า นักดำน้ำทุกคนจะโชคดีแบบผมและทุกๆคนบ้าง(ทราบว่า หลายคนก็พึ่งเห็นเป็นครั้งแรก หลายคนก็พึ่งได้มีโอกาสถ่ายรูปฉลามวาฬเป็นครั้งแรกด้วย)


พี่พิชโดนเม่นทะเลครับ โชคดีว่าบนเรือมีทั้งแพทย์ มีทั้งเภสัชกร ก็เลยสามารถเอาหนามของเม่นทะเลออกได้โดยง่าย(มาดำน้ำ นักกฎหมายไม่ค่อยมีประโยชน์หรอกครับ ไม่ได้มีคดีพิพาทอะไรนี่นา 555)


ผมยังคงฟีเวอร์อยู่ เปิดหนังสือหน้าที่มีฉลามวาฬแล้วถ่ายรูปกับหนังสือด้วยน่ะ(ถ้าจะเป็นเอามาก)


คิดไว้ว่าไดฟ์หน้าผมจะ Skip ไดฟ์ครับ เพราะขึ้นๆลงๆ มึนหัว แถมไม่ได้ทำ Safety stop ด้วย ดูทุกคนจะดีใจกัน จนไม่อยากจะลงไดฟ์ต่อไปแล้วล่ะ 555


เข้ามานั่งดูรูปที่พี่หมอหมู ไปถ่ายโมลาโมล่าที่บาหลี เสียดายไม่ได้หยิบแผ่นมาครับ ไม่งั้นจะขอไรท์ไปดูซะหน่อย


เรือ Cabana-MV 1มาถึงเกาะง่ามน้อยครับ ผมสดชื่นจนคิดว่า สามารถลง Night Dive ได้ล่ะ แม้หลายคนจะไม่ชอบการดำน้ำในเวลากลางคืน แต่สำหรับผม บอกได้คำเดียวว่าชอบมากๆ


พี่ป้อมเอา pointer กับไฟฉายมาให้ครับ คุยไปคุยมาเพลิน กลายเป็นว่า ชุดดำน้ำกลางคืนลงไปเรียบร้อย ผมกับพี่โหน่งรีบลงมาแต่งตัว แต่สงสัยจะไปไม่ได้ครับ เราไม่มี Leader นี่นา(แม้จะเห็นแสงไฟฉายในน้ำอยู่ไกลๆก็เถอะ)


“จะลงใช่ไหมครับ ” พี่พิชถาม


“ครับ แต่ไม่มี leader น่ะพี่”


‘งั้นลงกับผมก็ได้ครับ”


เกรงใจแกเหมือนกันครับ ถ้าไม่มี leader ผมก็คงไม่ลงเหมือนกัน แต่เมื่อมีแล้ว ก็ลุยกันเลย

Sunday, October 26, 2008

ปิดฤดูกาลอ่าวไทยที่…ร้านเป็ด ร้านไก่(2)







Dive 1 ดำน้ำแบบชิวชิวที่ร้านไก่!!

น่าแปลกครับ ปกติไดฟ์แรก ผมจะไม่ค่อยสดชื่นเท่าที่ควรและมีปัญหาเรื่องการเคลียร์หูอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้ไม่ครับ ลงได้อย่างสบายๆ อาจเป็นเพราะผมรู้ดีกว่า ทะเลชุมพร ระดับน้ำไม่ลึกเท่าไรด้วยล่ะ




ทัศนวิสัยค่อนข้างดีครับ มองเห็นได้ชัด เจ้าปลาการ์ตูนอินเดียนแดง(Pink Anemonefish) แอบซ่อนอยู่ในดอกไม้ทะเล สายตาแอบมองโดยรับรู้ว่า มีผู้มาเยือนเข้ามาที่บ้านของมันแล้ว แต่ตราบใดที่เรายังไม่ลุกล้ำเข้าไปในเขตหวงห้าม พวกเขาก็ยังไม่หนีเข้าไปหรอกครับ(เรียกว่าดูเชิงก่อน 555)

หากใครอยากทราบว่า เจ้าปลาการ์ตูนอินเดียนแดง น่ารักตรงไหน ก็ลองจ้องหน้าพวกเขาดูครับ แล้วจะมองเห็นอย่างที่ผมเห็นแน่นอน(อารมณ์ว่ามองหน้าสาวๆ น่ะครับ 555)

ต่อไป เรามาดูปลาที่มีความหลากหลายที่สุดในแนวปะการังอย่างปลาสลิดหินดูบ้าง เริ่มจากปลาสลิดหินคอดำ(Indian Dascyllus) ลักษณะเด่น คือ ลำตัวสีขาว มีแถบสีดำพาดขวาง ต่อด้วยปลาสลิดหินสามจุด(Three-spot Dascyllus) วัยเด็กมีลำตัวสีดำ มีจุดสีขาวสามจุด เมื่อโตขึ้นลำตัวจะเปลี่ยนเป็นสีที่จางลง เช่นเดียวกับจุดสีขาวที่น้อยลงไปด้วย อีกชนิด คือ ปลาสลิดหินลายเสือ(White Damsel) ที่ลำตัวมีสีเหลืองสลับดำ แต่ปลาในวัยเด็กค่อนข้างที่จะเหมือนลายเสือมากกว่าครับ

ทางด้านปลาผีเสื้อ เจ้าบ้านอย่างปลาผีเสื้อเหลืองชุมพร(Weibel ’ s Butterflyfish) มีลายสีเหลืองสดที่ลำตัว และมีขีดสีดำและสีขาวบริเวณตา ตัดลงมาเป็นเส้นตรง ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ทุกๆครั้งที่ลงดำน้ำในทะเลแถบนี้ รับประกันได้ว่าต้องเจอ น่าภูมิใจที่มีในทะเลแถบเอเชียเท่านั้น

อีกตัวที่คุ้นตากันดี เพราะพบได้บ่อยมากๆที่ทะเลพัทยาและระยอง คือ ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) ลำตัวมีสีเหลือง มีลายสีดำขวางลำตัว นับได้แปดขีดครับ

พี่วิลลี่เคาะแท๊งค์ให้ดูปลาชนิดหนึ่งที่อยู่ด้านล่างครับ รูปร่างแบบนี้ ก็ปลาสิงโต(Common Lionfish) แน่นอนครับ ผมมั่นใจว่าทุกคนก็รู้จักเป็นอย่างดี

ระหว่างดำน้ำลัดเลาะไปเรื่อยๆ ฝูงปลาข้างเหลืองเยอะจริงๆ มีอยู่สองชนิด หนึ่งในนั้น ก็คือ ฝูงปลากล้วยหลังเหลือง(Yellowtop Fusilier) มีสีฟ้าสลับกับสีเหลือง เห็นปลาเยอะแบบนี้ ใครๆก็ชอบครับ

ปลาสินสมุทรวงฟ้า(Bluering Angelfish) ซึ่งมาเป็นคู่ ว่ายผ่านไป จุดเด่นคือลายสีน้ำเงินที่พาดผ่านลำตัวเป็นวงสีฟ้า เจอทีไรก็มาเป็นคู่ครับ(รักกันดี)

ปลาโนรีครีบยาว(Longfin Bannerfish) ที่หลายๆคนคุ้นตากันดี ก็มีให้เห็นเช่นกัน

มาว่ากันที่เรื่องทากกันบ้าง ไม่พูดคงไม่ได้เพราะหลายๆคนชอบจริงๆ ที่นี่ ผมเจอทากปุ่มที่ชื่อว่า Phyllidia varicosa มีตุ่มสีเหลือง ส่วนช่องว่างมีสีฟ้าสลับเทา ถ้าไม่นับว่าตัวนี้พบง่ายกว่าแล้ว ค่อนข้างที่จะแยกความแตกต่างกับ ทากปุ่ม Fryeria picta ยากมากๆ

ตามแนวปะการัง ผมมองเห็นเพรียงหัวหอม(Sea Squirt)และหนอนทะเล(Worms)เป็นจำนวนมาก และสายตาก็กวาดไปเจอสิ่งที่น่าเศร้าบนแนวปะการัง คือ ซากศพของปลาปักเป้าหนามทุเรียน(Black Blotched Porcupinefish)ที่พองตัวจนมีแต่หนาม แต่สิ้นลมหายใจไปแล้ว ใกล้ๆ ผมเจออวนอีกจำนวนหนึ่ง พยายามที่จะดึงออกมา แต่ค่อนข้างติดแน่นครับ แถมยังหนาซะอีก จึงจำใจที่จะต้องปล่อยอวนไป(ทะเลชุมพร จะมีพวกมักง่ายเยอะมากๆ ใครไปดำน้ำ ขอความกรุณาช่วยตัดอวนกันนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง)

พี่วิลลี่พาเรามายังที่ตื้น ซึ่งผมคิดว่าดีมาก เพราะระหว่างที่เราดำในที่ตื้น จะทำ Safety stop ไปในตัว ไม่ต้องใช้ไส้กรอกสัญญาน(Sausage) หากมองดูทางสะดวกก็ขึ้นได้(แต่ถ้าหากเป็นบริเวณที่เรือเยอะอย่างพัทยา ควรใช้ Sausage ทุกครั้งนะครับ)

แม้จะลอยก่อนขึ้นเล็กน้อย โดยรวมแล้ว ดำน้ำค่อนข้างสบาย เพราะน้ำไม่ลึกเท่าไรครับ

ขึ้นมาด้านบน อาหารเช้ามีข้าวผัดกุนเชียง ไส้กรอกและไข่ดาว พี่หมอหมูเล่าถึงความรู้สึกในไดฟ์ที่แล้วให้ฟังว่าน้ำค่อนข้างใส มีปะการังดำหลากสีไปหมด(ปะการังดำมีแกนด้านในเป็นสีดำครับ ส่วนด้านนอกมีหลายสีนะ เช่นสีแดง สีขาว สีทอง เป็นต้น)

แกเป็นคนสนุกสนานมากครับ ไม่แปลกใจที่แป๊บเดียว พี่ป้อมกับพี่พิชจะเข้ามาร่วมรับฟังด้วย จากนั้นเสียงหัวเราะก็ตามมา นอกจากนี้พี่ปุ่นกับนุ๊กก็ยังเล่าเรื่องสนุกๆให้ฟังอีกหลายเรื่องด้วย

ปกติเวลาพักไดฟ์ ผมมักจะนอนหลับแต่ในตอนนี้ยังสดชื่นดีครับ ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ หลายๆคนเลือกที่จะนอนหลับ หลายๆคนเลือกที่อ่านหนังสือ หลายๆคนเลือกที่จะนั่งเล่นกิจกรรมทดสอบปัญญาอย่างไพ่สล๊าฟ ในขณะที่อีกหลายๆคน เลือกที่จะนั่งคุยกันมากกว่า

ไดฟ์ต่อไปเราจะลงดำน้ำกันที่ร้านเป็ดครับ ผมถามพี่แจ้ว่า ทำไมถึงเรียกว่า ร้านเป็ด ร้านไก่ ซึ่งพี่แจ้เล่าให้ฟังว่า อาจเป็นเพราะรูปร่างของเกาะที่เหมือนเป็ด เหมือนไก่(หากมองจากทางทิศตะวันออก) ส่วนคำว่า “ร้าน” นั้น อาจเกี่ยวข้องกับเล้าเป็ด เล้าไก่ หรือเกี่ยวกับ รางเป็ด รางไก่ก็เป็นได้(ที่ใช้เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่น่ะครับ)

ผมขอยืมกล้องพี่โหน่งมาถ่ายครับ ปกติจะแค่ยืมมาถ่ายตอนอยู่ใต้น้ำแล้วคืนทันที แต่คราวนี้ผมอยากทดสอบให้นานขึ้นด้วยโดยการนำลงไปตั้งแต่ต้น เนื่องจากมีความคิดอยากจะซื้อกล้องใหม่พร้อม Housing(กล้องที่ใช้อยู่มี Function น้อย แถมเป็นรุ่นเก่ามาก หา Housing ก็ยากด้วยครับ เก็บไว้ถ่ายบนบกก็พอ) สำหรับการถ่ายภาพใต้น้ำแม้การมีพื้นฐานในการถ่ายภาพบนบกจะช่วยในการถ่ายภาพใต้น้ำได้ดีขึ้น แต่ผมกลับอยากจะฝึกถ่ายภาพใต้น้ำอย่างเดียวโดยไม่ค่อยสนใจการถ่ายภาพบนบกเท่าไรนัก ไม่รู้จะทำแบบนั้นได้หรือเปล่าครับ 555)

จำได้ว่าก่อนลง ควรฝากกล้องไว้กับ Staff เรือไว้ ตอนกระโดดลงน้ำค่อยขอให้เขาส่งให้เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวกล้อง แต่พี่ๆ หลายๆคนบอกว่าช่วงกระโดดลงไป ให้ชูกล้องขึ้นเหนือศีรษะก็พอ(ถ้าเป็นกล้องตัวใหญ่แบบของพี่หมอหมู ทำไม่ได้แน่ๆครับ 555)



Dive 2 ยืมกล้อง(ของชาวบ้าน)มาถ่ายครึ่งไดฟ์!!

น้ำขุ่นกว่าไดฟ์ที่แล้วครับ ตรงจุดที่ลงมาเห็นพี่ป๊อกกี้(ไม่ก็พี่หมีนี่แหละครับ) กำลัง Landing บนพื้นทราย ถ่ายรูปอะไรซักอย่างบนแส้ทะเล แต่ผมไม่ได้เข้าไปดู กลัวไปรบกวนช่างภาพ(มาทราบภายหลังว่า คือ กุ้งตัวยาว ครับ) โชคดีนะเนี่ย ที่ผมเคยเห็นมาบ้างแล้ว 55

เริ่มถ่ายรูปเลยดีกว่า ยังไม่ค่อยคุ้นเท่าไรครับ เคลื่อนไหวยากมาก พอมีกล้องแบบนี้ นอกจากต้อง ควบคุมดูแลตัวเองให้ดีแล้ว ผมยังต้องระมัดระวังกล้องให้ดีด้วย(ตกไปคงยุ่งแน่ครับ) ต้องทำความคุ้นเคยให้มาก เพราะมือเคยว่างมาตลอดหรือเต็มที่ก็มีแค่ Pointer หากเป็นการดำน้ำในเวลากลางคืน ก็มีไฟฉายเพิ่มขึ้นมา

สิ่งที่เริ่มถ่าย คือ มนุษย์กบครับ ต่อด้วย ปลาผีเสื้อเหลืองชุมพร(Weibel ’ s Butterflyfish) ฝูงปลาข้างเหลือง ซึ่งต้องถ่ายยากอยู่แล้วครับเพราะปลาไม่ได้อยู่นิ่งอยู่กับที่ ผมลงไปก็พยายามเล็งและกด Shutter อย่างเดียว ไม่ทันได้ปรับโหมดอะไรหรอกครับ(ปรับยังไม่เป็นอยู่ดี)

จริงๆ การเริ่มต้นถ่ายภาพใต้น้ำ ควรเริ่มจาก ปะการังหรือสัตว์ทะเลชนิดไหนก็ตามที่อยู่นิ่งๆกับที่ก่อนครับ จากนั้นค่อยพัฒนาไปเรื่อย(พี่ป๊อคกี้เคยเล่าให้ฟังแบบติดตลกๆ ว่า พวกที่มีกล้องตัวใหญ่ ลงไปใต้น้ำ พอไม่มีกล้องให้ถือ ถึงกับเสียศูนย์ ดำน้ำไม่เป็นเลยล่ะ 55)

ผมเจอทากปุ่มที่ชื่อว่า Phyllidia varicose อยู่นิ่งแบบนี้เหมาะกับมือใหม่มากๆ และยังเจอปลาแมงป่องเกล็ดเล็ก(Tassled Scorpionfish) อีกด้วย แต่ต้องระวังครับเพราะพวกเขามีพิษ อาจจะเผลอไปโดนอย่างไม่ตั้งใจก็ได้(เดี๋ยวปลาแมงป่องก็บอกว่า ผมก็โดนคุณอย่างไม่ตั้งใจเหมือนกัน ก็ฮาซิครับ แบบนี้ 55) นั่นแหละครับ การถ่ายภาพใต้น้ำสำคัญมากๆ คือ ต้องรบกวนสัตว์ทะเลให้น้อยที่สุด เวลา Landing ต้อง Check ดีๆ ว่ามีปะการังอยู่หรือไม่

ดำต่อไปเรื่อยๆ มีดงดอกไม้ทะเลและปลาการ์ตูนอินเดียนแดงมากจริงๆครับ (Sea Anemone and Pink Anemonefish) ใกล้ๆก็ยังมีดอกไม้ทะเลรูปร่างคล้ายหมอนอันเป็นที่อยู่เจ้าประจำของปลาสลิดหินสามจุด(Three-spot Dascyllus) ผมไม่พลาดที่จะถ่ายภาพออกมา แต่มั่นใจว่าแย่แน่นอนเพราะอย่างที่บอกว่า ปลาไม่ได้อยู่นิ่งนะครับ 55

ผมส่งกล้อง คืนพี่โหน่งเพราะได้ทดลองจนทราบดีแล้ว ต่อไปนี้คงต้องทำความคุ้นเคยให้ดี จากนี้ไปผมจะได้มีภาพมาโชว์ทุกท่านได้(คิดว่าก่อนปีใหม่น่าจะได้มีโอกาสครอบครองเป็นเจ้าของครับ)

กลับมาตัวเบาอีกครั้ง เราดำจากลึกมาตื้นและทำ Safety stop อีกครั้ง แม้จะพยายามปล่อยลมออกจาก BCD แล้วก็ตาม แต่ตัวก็ยังลอยขึ้นไปเล็กน้อยครับ อาจเป็นสาเหตุที่ทำคลื่นไส้ทั้งใต้น้ำและบนบกก็ได้มั้ง

ขึ้นมาด้านบน พี่วิลลี่บอกว่า ไดฟ์หน้าให้ผมใส่ตะกั่วเพิ่มอีกหนึ่งก้อน แต่ผมขอโอกาสอีกที “ผมมั่นใจ ผมทำได้”(เอ้ย ไม่ใช่ ชูวิทย์ 55) นั่นแหละครับ ผมเปลี่ยนเข็มขัดตะกั่วเส้นใหม่ แทนเส้นเก่าที่ยาวมากๆ ถ้ารัดคอก็ได้สองรอบแน่ะ 55 จัดตะกั่วให้เท่าๆกัน เวลารัดจะได้ Balance แต่ตะกั่วยังใช้เท่าเดิม ผมไม่อยากเพิ่มตะกั่วไปมากกว่านี้แล้วครับ

ข้าวเที่ยง มีทะเลผัดผงกระหรี่ ต้มยำทะเล ปลาอินทรีทอด แตงโมและสัปปะรด เหมือนเดิมครับ ผมไม่ทานเยอะหรอก เวลาดำน้ำเอาเฉพาะมื้อเย็นอย่างเดียว(ที่จะเห็นตัวตนของเครื่องสูบอาหารที่แท้จริง 55)

ไดฟ์หน้าเราจะดำน้ำกันที่กองหินสามเหลี่ยมครับ ผมตั้งใจว่าอาจจะไม่ลง(ภาษาดำน้ำเรียกว่า Skip Dive) เพราะมึนหัวอยู่บ้าง หลังจากที่คุยกับเพื่อนๆเสร็จแล้ว ผมหาที่นอนดีกว่าครับ เผื่อจะดีขึ้น

Friday, October 24, 2008

ปิดฤดูกาลอ่าวไทยที่…ร้านเป็ด ร้านไก่(1)











หากพูดถึงการดำน้ำแบบ Liveaboard ในทะเลฝั่งอ่าวไทยนั้น จะเริ่มในเดือนพฤษภาคมจนถึงต้นเดือนตุลาคมของทุกปี มนุษย์กบหลายคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาที่จะให้เวลานี้มาถึง







ไม่ว่าจะเป็นการไปทักทายฉลามวัว ฝูงปลามง ฝูงปลาสาก ที่เกาะเต่า ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดสุราษฐ์ธานี หรือการมาทักทาย ยักษ์ใหญ่ผู้ใจดีอย่างฉลามวาฬที่พบเห็นกันได้ในทะเลชุมพรก็ตาม

ผมพึ่งสอบเสร็จพอดีครับ ตรงกับต้นเดือนตุลาคม ปลายฤดูกาลการดำน้ำที่อ่าวไทยพอดิบพอดี แต่กลับมองข้ามช๊อตไปถึงการดำน้ำที่ทะเลอันดามันแล้วครับ เพราะทริปสุดท้าย คือ ร้านเป็ด ร้านไก่ ซึ่งจัดโดยเรือ Cabana-MV 1 นั้น ผมมีกำหนดที่จะต้องนอนเฝ้าคุณแม่ที่โรงพยาบาลเพื่อทำเคมีบำบัด

พูดถึงทริปดำน้ำที่ร้านเป็ด ร้านไก่(ชื่อก็แปลก) ผมพลาดมาหลายปีแล้วครับ แม้จะรู้ดีว่าปลาคงไม่มากเท่าที่เกาะเต่า น้ำก็ใสน้อยกว่า แต่ก็ยังคงอยากไปครับ เพราะเรือ Cabana-MV 1 เป็นของชุมพรคาบาน่า รีสอร์ท สถานที่ที่ผมเคยเรียนดำน้ำจบมานั่นเอง(การได้มาดำน้ำยังสถานที่ใหม่ๆที่ยังไม่เคยไป ก็นับเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าอย่างมาก)

ก่อนทริปนี้เกิดขึ้นผมพาคุณแม่มาที่โรงพยาบาล เมื่อคุณหมอเลื่อนวันนัดมาเป็นวันจันทร์ ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า “ผมยังสามารถไปทริปนี้ได้นี่นา!!!”

แต่เมื่อโทรศัพท์ไปสอบถามพี่เอ(A1visual) ก็ได้รับคำตอบว่าทริปนี้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยเนื่องจากจำนวนคนที่เหลือเพียง8 คน(จาก 24 คน) หากออกเดินทางก็จะไม่คุ้มกัน

ผมโทรศัพท์ไปสอบถามพี่โก้ ตามคำแนะนำของพี่เอ ซึ่งได้รับคำตอบว่า หากผมหาคนเพิ่มได้อีก 4-5 คน เรือก็จะออกได้ในทันที เนื่องจากมีจำนวนคนมากพอ

กลับบ้านมา ผมแข่งกับเวลา หยิบเบอร์โทรศัพท์ของนักดำน้ำที่เคยร่วมทริปทั้งหมด ไล่โทรไปทีละคน(โทรอย่างบ้าคลั่ง) เพื่อหวังว่าจะทำให้ทริปนี้เกิดขึ้นได้ เพราะผมอยากไปมากๆ

นอกจากนี้ก็ยังโพสในเว็บไซด์ส่วนตัวอย่าง http://www.kasab71.multiply.com/ และฝากในเว็บอื่นๆที่อนุญาตให้โพสเรื่องทริปดำน้ำได้ อย่าง http://www.scubazoom.com/ และ http://www.talaythai.com/

เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็นอันเป็นเวลาที่นัดกับพี่โก้ ผมเกือบจะยอมรับสภาพเพราะไม่มีใครตอบตกลงมาซักคนเดียว แต่ก็ไม่ท้อครับ พยายามโทรศัพท์ต่อไป(เมื่อสอบถามพี่ป้อม ผู้จัดทริป พี่ป้อมให้เวลาถึงวันรุ่งขึ้นครับ)

ในที่สุดความพยายามก็เป็นผล เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้สมาชิกเพิ่มขึ้น เริ่มจากพี่หมอหมู(Suriyanun) ที่ผมเคยคุยอยู่บ่อยๆและชมทริปการเดินทางของแกอยู่เสมอ มาเป็นแพคเกจพร้อมกัน 5 คน(โอ้ สุดยอด) อีกชุดก็มีหมูจากสคูบ้าซูม ที่มาพร้อมกับพี่เอเอ(พี่Pocky) สุดยอดช่างภาพใต้น้ำแห่งสคูบ้าซูม ที่ผมเคยเข้ามาชมผลงาน ก็หลายครั้งอยู่

รวมแล้วได้ 9คน(เกินเป้า) อีกสองคน คือ ผมเอง อีกคน คือ พี่โหน่งที่ตัดสินใจในเวลาต่อมา เท่านี้ ทริปนี้ก็ไม่ล่มแล้วล่ะครับ(นอกจากผมจะได้ไปดำน้ำแล้ว ผมก็ยังได้ช่วยพี่ป้อมด้วย เรียกว่า สมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย )

สำหรับทริปดำน้ำ ร้านเป็ด ร้านไก่ จะมีเฉพาะเรือ Cabana-MV 1 เท่านั้น เนื่องจากลำอื่นๆ ส่วนมากเลือกที่จะจัดไปเกาะเต่ามากกว่า เพราะน่าจะทำให้ลูกค้าประทับใจมากกว่า(เกาะเต่าก็มีโอกาสเจอฉลามวาฬเหมือนกันครับ)

มาดำน้ำที่ชุมพรทีไร ผมมักจะคาดหวังกับการพบเห็นฉลามวาฬ อยู่เสมอๆ แต่คราวนี้ไม่ครับ ผมไม่ได้คาดหวังเลย เพราะคิดว่า คงยากที่จะได้พบ ซึ่งหากผมไม่ได้คาดหวังแบบนี้ผมอาจจะได้พบกับเขาและเธอก็ได้นะ(ผมคิดในใจ)

อย่ารอช้าเลยครับ การเดินทางเพื่อไปดำน้ำครั้งใหม่ของผม ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว


10 ตุลาคม 2551

จัดของลงกระเป๋า พร้อมคุยกับพี่โก้ พี่ป้อม พี่เอ เพื่อประสานงานในการเดินทางของสมาชิก เช่น กลุ่มพี่หมอหมูและกลุ่มพี่ป๊อกกี้ เป็นต้น เพื่อให้การนัดหมายเป็นไปได้ด้วยดีครับ

จากนั้น เมื่อใกล้ถึงเวลา ผมเดินออกมาหน้าปากซอย หาของกิน(อย่างหิวครับ) ซัดข้าวหมูทอดไข่ดาวไป 1 จาน ก่อนที่จะเรียกแท๊กซี่ เดินทางไปสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต เพื่อนั่งรถไฟฟ้าไปสยาม สถานที่นัดหมายของรถตู้คันที่สอง(คันแรก ออกที่พัฒนาการครับ แต่จะมาเจอกันที่ปั้มน้ำมันแถวพระรามสอง)
ที่สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต พี่โหน่งพึ่งมาถึงพอดีครับ ในเวลานั้น ผมกับแกกลายเป็นตัวประหลาดเพราะแบกกระเป๋าดูรุงรัง ในขณะที่รอบๆ มีแต่คนที่พึ่งจะเลิกงานกันทั้งนั้น

เมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าสยาม ผมรอรับหมู ที่จะมาถึงในไม่ช้า ก่อนจะไปสมทบกับพี่โก้ ส่วนพี่โหน่งหันไปแป๊บเดียว แฮมเบอร์เกอร์ก็เข้าไปอยู่ในปากแล้วครับ ท่าทางแกก็หิวเหมือนกัน

ตอนแรกนัดกับหมูที่หน้าร้าน Black Canyon ตรงสถานีครับ แต่สื่อสารกันผิดพลาด หมูไปที่ร้าน Black Canyon ในตัวอาคาร(ไอ้ผมก็ไม่ใช่เด็กสยามซะด้วยซิ เดินยังไม่ค่อยมาเดินเลยครับ 555)
ไม่แปลกใจครับ กระเป๋า Gear Bag ใบใหญ่ของหมู ทำให้การเดินทางค่อนข้างจะลำบาก แม้จะลากได้ก็เถอะ กว่าจะขึ้น จะลงบันได ก็ยากอยู่บ้าง

ได้สมาชิกครบแล้ว ลงไปหาพี่โก้ พี่เอ บริเวณน้ำพุครับ นานแล้วเหมือนกันที่ผมไม่ได้ดำน้ำกับพี่เอ พี่โก้ นับเวลาแล้วก็หนึ่งปี พอดีครับ

ใกล้ๆพี่เอ ก็ยังมีพี่ปลา ที่ผมไม่ได้เจออีกเลยหลังจากทริปโลซิน เมื่อสองปีก่อน นอกจากนี้ก็ยังมีพี่ป้อมและพี่แอ้ ที่จะมาร่วมทริปกับเราด้วยครับ(สำหรับพี่แอ้ พี่เอบอกว่า พี่แอ้เขียนเรื่องเกี่ยวกับทะเล ลงในหนังสือมาแล้วด้วย)

รถตู้ค่อนข้างใหม่ครับ แถมเพดานก็สูงแบบนี้ ไม่มีปัญหาเวลารถกระแทกแล้วหัวชนเพดานแน่ๆ(คราวก่อนเจอรถที่เพดานเตี๊ย โขกไปหลายทีเลยล่ะครับ 55)

มาถึงปั้มแถวพระรามสอง เจอกับสมาชิกในรถตู้อีกคัน พี่พี่ปุ๋ม พี่พิช น้อยหน่า พี่เจน(หนูเจน) พี่เต้(แสนสิริ) พี่หมี(White Shark) พี่วิลลี่(ไม่คิดว่าจะเจอแกที่นี่ครับ พึ่งเจอที่เกาะหลีเป๊ะเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เอง) พี่ป๊อกกี้ ที่พึ่งได้เจอตัวจริง หลังจากคุยในเว็บมานาน แกยิ้มแย้มและอัธยาศัยดีมากครับ ผมถามแกเรื่องปลา Stone fish ที่ถ่ายมาจากบริเวณเรือจมที่พัทยา แกบอกต้องลองหา ดู อาจมีอีกก็ได้(ส่วนใหญ่เรามักจะเจอ Tassled Scorpionfish มากกว่าครับ ส่วน Stone fish จะพบได้ยากกว่า แต่เราก็เรียกว่าปลาหินเหมือนกันนั่นแหละ 555 ) ส่วนพี่ป้อมออกเดินทางจากกรุงเทพไปตั้งแต่บ่ายๆแล้วครับ

เดินทางต่อครับ รถของผมมี พี่หมี(White Shark) มาเพิ่มอีกหนึ่งคน แกเป็นคนเงียบๆ แต่พอได้คุยแล้ว แกก็คุยดีครับ เท่าที่ทราบทริปนี้มีกล้องเยอะมากๆครับ ไม่ว่าจะเป็นพี่ป๊อกกี้ พี่เอ พี่หมอหมู พี่หมี(White Shark) พี่โก้ พี่ปุ๋ม เป็นต้น (โปรชนโปรแค่คิดก็มันแล้วครับ 55)

พี่โก้บอกว่า ที่ อ. กุยบุรี จ. ประจวบคีรีขันธ์ มีม๊อบปิดถนน เราอาจจะต้องอ้อมไปอีกทางหนึ่ง(พี่ป้อมแจ้งข่าวมาอีกทีน่ะครับ)

โทรติดต่อพี่หมอหมู แกบอกว่าอยู่หลังผม 30 กิโล ครับ ถ้าแวะปั้มให้ผมโทรบอกแกด้วย(พี่หมอขับรถส่วนตัวตามมาที่หลังครับ Start ที่ จ. สมุทรสงคราม ) จากนั้นไม่นานพี่โก้ก็ได้คุยกับพี่หมอหมูครับ บอกว่า พี่หมอแซงหน้ารถพวกเราไปแล้ว อยู่สี่แยกปฐมพรแล้ว ผมเลยคิดว่า ถึงปั้มคงไม่ต้องโทรหาแกแล้วล่ะ

เมื่อถึงปั้ม(จำได้ดีครับ ตอนกลับมาจากดำน้ำที่เกาะเต่า ผมก็แวะปั้มนี้ ที่ซื้อแผ่นหนัง แมคเบจนั่นแหละ) หลังจากหาของกินเรียบร้อย ก่อนขึ้นรถ สายตาผมก็เห็นชายคนหนึ่ง ผิวคล้ำ สวมแว่นตา มีผ้าเช็ดตัวสีขาวอยู่บริเวณคอราวกับว่าพึ่งกลับมาจากการเล่นกีฬา ลงมาจากรถเชฟโรเลด มองมาที่ผม ผมยังคิดในใจเล่นๆ ว่า


“ ลุง ดึกป่านนี้ ยังมาเล่นกีฬา อะไรอีกเนี่ย”

ก่อนรถจะออก พี่หมอหมูโทรมาครับ บอกว่าอยู่ที่ปั้ม พี่โก้บอกให้จอด พอทราบว่าเป็นปั้มเดียวกัน และมารถเชฟโรเลดซะด้วย พี่โก้เลยลงไปดู และไปคุย ไม่นานนัก ชายคนนั้น เดินมาที่รถตู้ ใช่พี่หมอแน่ๆ

“สวัสดีครับพี่หมอ นึกว่าพี่ขับเลยไปแล้วซะอีก” ผมยกมือไหว้และพูดคุย

“สวัสดีภพ และทุกๆคนครับ” พี่หมอพูด และแนะนำสาวน้อยคนหนึ่งในชุดสีชมพูหน้าตาน่ารัก หนึ่งในสมาชิกใน5 คน ของพี่หมอ

“สวัสดีค่ะทุกคน คนนี้เหรอคะพี่หมอ ที่ใช้ชื่อ kasab เคยเข้าไปอ่านเรื่องของพี่ ชื่อนุ๊กนะคะ” เธอพูดจาอย่างฉะฉาน

“ครับ สวัสดีครับ” ผมแปลกใจเล็กน้อย ที่เธอเคยเข้ามาอ่านเรื่องของผมด้วยแต่ก็ดีใจครับ(ภายหลังที่คุยกันจึงทราบว่าผมอายุอ่อนกว่าเธอ หนึ่งปีน่ะ 555)

ประมาณตีสาม เรามาถึงที่ท่าเรือท่ายาง จ.ชุมพร เรือ Liveaboard หลายลำมักจะมาหลบคลื่นลมที่นี่(สมัยก่อนเรือ Cabana MV-1 ก็จอดที่หน้าหาดทุ่ววัวแล่น บริเวณหน้ารีสอร์ทครับ แต่หลังๆเห็นว่ามาจอดตรงนี้เพราะบางทีตรงจุดนั้นก็มีลมแรงเป็นอย่างมาก)

เราช่วยกันทยอยขนสัมภาระออกจากรถตู้ ด้านหน้าของเรา คือ เรือโชคทวี(หรืออีกชื่อ คือ เรือ Scubatech) ต้องก้าวข้ามลำนี้ไป จึงจะถึงเรือ Cabana MV-1 ครับ ระหว่างที่กำลังขนของอย่างยากลำบาก(กลัวตกน้ำเหมือนกันครับ) พี่อั๋น หนึ่งใน Staff ของเรือ ก็ขับดิงกี้ มารับสัมภาระ ทำให้เราก้าวข้ามไปแต่ตัว สะดวก สบายดีครับ

“หวัดดีครับพี่แจ้ ไม่ได้เจอนานเลยพี่” ผมทักทายพี่แจ้ หนึ่งใน Staff ของเรือ และเป็น Divemaster ผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่เป็นอย่างมาก ว่ากันว่า หลายๆคนมาดำน้ำกับเรือลำนี้ เพื่อให้พี่แจ้เป็น Leader เลยล่ะ

“สวัสดีครับ ภพ” พี่แจ้ ยิ้มแย้ม จะว่าไป(ผมดำน้ำทริปเดียวกับพี่แจ้ครั้งสุดท้ายก็หลายปีมาแล้วนะ)

บรรยากาศค่อนข้างคุ้นเคยครับ เพราะ Staff หลายคน ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี และเคยถ่ายรูปไว้ตอนมาเรียนดำน้ำด้วย เหมือนได้กลับมายังบ้านอีกหลังเลยครับ

สำรวจเรือเล็กน้อยครับ ด้านบนก็มีที่นั่งเป็นเบาะโดยรอบ กว้างขวางดีมาก ออกไปก็มีส่วนที่ออกไปด้านหน้าเรือ ไว้ให้ถ่ายรูปกัน แบบนี้ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีดาดฟ้าของเรือเลยล่ะครับ

เท่าที่สอบถาม Staff ของเรือ คนหนึ่ง ซึ่งเล่าว่า สัปดาห์นี้มีเรือ Cabana MV-1 ออกลำเดียวเท่านั้น ซึ่งผมไม่เคยเดินทางโดยมีเรือออกจำนวนน้อยแบบนี้เลยนะ
เข้ามาที่ห้อง Living room ผมยังจำโซฟาตัวนี้ได้ดี ตอนมาเรียนดำน้ำก็ใช้นอนพักผ่อน ยังจำประสบการณ์ดีๆ ที่เห็นเต่ากระว่ายน้ำ และกุ้งตัวยาวได้เลยล่ะครับ

พี่ป้อมบอกให้ผมไปนอนที่ห้องข้างล่างครับ แต่ผมอยากนอนที่ Living room มากกว่า พอเข้าไปที่ห้องมีคนนอนหลับอยู่แล้วด้วยครับ(เหลือที่ว่างอีกหนึ่งที่) แต่ยังไงก็เกรงใจพวกเขาน่ะ(ผมว่าผมอยู่ด้านบนสบายกว่านะ แม้จะต้องนอนหลังคนอื่นก็เถอะ)

ไม่นานนักพี่หมอหมูก็มาถึงครับ พร้อมกับนุ๊กและพี่ปุ่น(สมาชิกในกลุ่มพี่หมออีกคน) แต่เนื่องจากนี่ก็ดึกมากแล้ว ทุกคนต่างก็รีบแยกย้ายกันไปพักผ่อนครับ พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้า คงเหลือแต่คนที่นอนในห้องนี้ และช่างกล้องที่เอาอุปกรณ์ออกมามาประกอบ

เริ่มจากพี่ป๊อคกี้ที่มากับกระเป๋าใบใหญ่ แต่ประกอบเสร็จเร็วมากๆ ครับ พี่ป๊อคกี้บอกว่า กลัวไม่มีเวลาประกอบก็เลยทำมาบ้างบางส่วนแล้ว แกเลยประกอบเสร็จเป็นคนแรกครับ( ใครอยากเห็นผลงานพี่ป๊อคกี้ว่าเจ๋งแค่ไหน เข้าไปดูได้ที่ http://www.pockytg.multiply.com/

ต่อด้วยพี่เอ ที่ผมคุ้นตากับกล้องของแกอย่างดี รูปร่างเหมือนแมงมุมแบบนี้ เห็นบ่อยครับ รูปสวยขั้นเทพของพี่เอ ติดตามได้ที่ http://www.a1visual.multiply.com/

จากนั้นก็เป็นคิวของพี่โก้ พี่ปุ๋มและพี่โหน่งกันบ้าง พวกพี่ๆมีมัลติพลายเหมือนกันครับ ติดตามได้ที่ http://www.letsko.multiply.com/ http://www.poompimpam.multiply.com/ http://www.supernong.multiply.com/

พี่หมี (White Shark) ก็ขึ้นมาประกอบด้วยครับ แกฝีมือดีแน่นอน มัลติพลายของพี่หมี คือ http://www.optionm.multiply.com/

ของใหญ่อยู่ที่นี่ครับ พี่หมอหมูขึ้นมาประกอบกล้อง ซึ่งใหญ่และมีน้ำหนักพอสมควร ผมดูๆไปนึกถึงการปิดทองฝังลูกนิมิตเลยครับ(ดูจากความใหญ่และสายที่คล้อง) แต่กล้องนี้แหละ ที่ทำให้พี่หมอหมู ถ่ายรูปสวยมากๆมาฝากอยู่หลายทริปแล้ว ติดตามผลงานของพี่หมอได้ที่ http://www.suriyanun.multiply.com/

ก่อนนอนผมไม่ลืมกินยาแอคติเฟด เพื่อช่วยในการเคลียร์หูในวันรุ่งขึ้น มีหมอน มีผ้าห่มแล้ว นอนดีกว่า ดีใจครับ พรุ่งนี้จะได้ดำน้ำ สำรวจโลกของสัตว์ทะเลที่รักอีกครั้ง

11 ตุลาคม 2551

นอนหลับสบายครับ หันไปรอบๆ ทุกคนตื่นกันหมดแล้ว ผมจะรอช้าอยู่ไม่ได้ ทำธุระยามเช้าแล้วรีบขึ้นไปด้านบนดีกว่า

ข้างบนมีขนมปังทาแยมและทาเนยกับขนมปังหวานม้วนกลมเหมือนก้นหอย มีลูกเกดด้วย(ก็เรียกไม่ถูกเหมือนกันครับ แต่ผมเลือกกินเจ้านี้แหละ อร่อยดี จากนั้นก็ตบท้ายด้วยกล้วยหอม ให้พอมีอาหารในท้องหน่อย)

“อ้าว เฮ้ย โอเลี้ยงมาไงวะเนี่ย” ผมแปลกใจเพราะเจอเพื่อนที่โรงเรียนเก่ามาอยู่บนเรือซะได้

“เพื่อนมันชวนมาน่ะ”

โอเลี้ยง เป็นนักเรียนเก่าวชิราวุธรุ่น 72 คณะดุสิต เป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปี แต่ชั้นติดกันก็เรียกเป็นเพื่อนกันครับ แปลกดี ไม่คิดว่าจะเจอโอวี บนเรือ พอนึกๆ ดูในชื่อที่อยู่ในlist ของพี่หมอ นอกจากนุ๊กและพี่ปุ่น ก็ยังมีนิคและเนต(อืม ผมจำได้แล้ว โอเลี้ยง ชื่อเล่นว่านิคนี่นา)

เท่าที่ดูจากรายชื่อนักดำน้ำแล้วทั้งหมดมีสี่ชุดครับ คือชุดของพี่แจ้ ชุดของพี่พิช ชุดของพี่โก้ และชุดของพี่วิลลี่ น่าแปลกว่าไม่มีชื่อพี่ป้อม นึกนานๆ จึงคิดได้ว่า แกคงเหนื่อยเพราะพึ่งกลับมาจากทริปโลซิน แถมในตอนแรกทริปนี้ก็จะล่มอยู่แล้วนี่นา (โชคดี ไม่งั้นอดมาแน่ๆ)

แย่ล่ะ ผมต้องรีบแล้ว ผมยังไม่ได้ประกอบชุดอะไรเลย(คนอื่นทำกันหมดแล้ว) ลงไปด้านล่าง นำ BCD และ Regulator มาประกอบกับ Tank(คราวนี้ Regulator ของผมแปลกครับ ไม่มี Octopus) พี่โก้บอกว่าใช้ได้ แต่ผมคิดว่า ใครก็มาเอาอากาศของผมไปไม่ได้แน่ๆ ต้องผลัดกันแชร์สถานเดียว 555(อย่าลืมว่าห้ามกลั้นหายใจนะครับ เวลาขึ้นต้องทำซีซาร์อันนี้ผมจำได้ดี)

ชุดของผมมี พี่วิลลี่ พี่ดล พี่บุญชัย บ๊อบ และพี่โหน่ง ผมยังคงแต่งตัวช้าที่สุดเหมือนเคย กว่าจะใส่ชุด กว่าจะสวมเข็มขัดตะกั่ว จนถูก Psycho ว่า

“แต่งตัว ไม่ต้องรีบก็ได้นะภพ”

นั่นเป็นเสียงที่ทำให้ต้องรีบครับ แต่ต้องทำให้ปลอดภัยที่สุด ทำอย่างมีคุณภาพ เช็คอุปกรณ์ด้วยตนเองให้เรียบร้อย แม้จะมี Staff คอยดูแลให้อยู่แล้วก็ตาม

ไดฟ์แรก เราจะลงดำน้ำกันที่ ร้านไก่ โดยมีสัตว์ทะเลหลายชนิด เช่น ปะการังดำ ทากทะเล ฝูงปลาข้างเหลือง เป็นต้น

Tuesday, October 07, 2008

Animal-Planet ตามหาโมลาโมล่าที่บาหลี



ไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มเลยดีกว่า ในวันแรก พิธีกรพาไปดำน้ำที่แห่งหนึ่งในบาหลีครับ มีสัตว์ทะเลเยอะและสมบูรณ์จริงๆ เริ่มจาก ทากทะเลสีต่างๆ , กุ้งตัวตลก(อันนี้พึ่งเคยเห็นตัวจริงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาครับ ดีใจมากๆ) , กุ้งดีดขันกับปลาบู่(อันนี้ใช่ที่ครูปรีชาบอกเลยครับ คือ เป็นกุ้งที่ตาบอดทำความสะอาดโพรงให้ปลาบู่ ในขณะที่ปลาบู่ก็คอยระวังภัยให้กุ้ง หากใครอยากเห็นตัวจริง ที่เกาะสากมีใครดูครับ แต่นัดกันดีๆ เพราะปลาบู่จะหนีเข้าโพรงเอาง่ายๆ)


ต่อด้วยปูม้าลาย(ตัวนี้อาศัยอยู่ในเม่นทะเลครับ หลายคนบอกว่า ที่เกาะล้านที่ใต้สะพาน ก็มีครับ แต่ระวังเรือดีๆล่ะ 55) นอกนั้นก็ยังมีปลาไหลมอเรย์ลายจุด ปลากบ ปลาแมงป่อง ดาวขนนก กุ้งนักมวย ปลาสิงโต ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ์


เอาเป็นว่า วันแรก ยังไม่เจอ โมลาโมล่าครับ พิธีกรขึ้นเกาะ เล่าให้ฟังถึงความมีน้ำใจของชาวบ้าน(เห็นปุ๊บ นึกถึงนี่เลยครับ เกาะหลีเป๊ะ) บนเกาะมีลิงด้วย หลายคนสงสัยว่า ลิงมาได้ยังไง จริงๆ พวกนี้อยู่มานานแล้วครับ ออกลูกออกหลานมาหลายรุ่น(หลักเดียวกันครับ คือ อยู่มาก่อนมนุษย์ อยู่ตั้งแต่เกาะยังเป็นผืนเดียวกับแผ่นดิน จนแยกออกมาเป็นเกาะ เมื่อเวลาผ่านไปนี่แหละครับ)


วันต่อมาไปดูโครงการปะการังชีวภาพกัน ที่ต้องทำเพราะปะการังหลายแห่งพังไปมาก ซึ่งดูแล้วน่าสนใจดี เขาใช้กระแสไฟฟ้าเลี้ยงปะการังครับ ทำให้โตเร็วขึ้นกว่าปกติ 5 เท่า อย่าไปเผลอจับล่ะครับ ช๊อตตายไม่รู้ด้วยนา พิธีกรใช้เหล็กยาวๆ จิ้มดาวมงกุฎหนาม ที่กำลังกัดกินปะการังออกไปด้วย


วันต่อมาเขามีความคาดหวังที่จะเจอโมลาโมล่าครับ เพราะจะไปดำกันที่เกาะนูซาเล็มบองกัน ว่ากันว่าจะมีจุด Cleaning station ซึ่งสถานีพยาบาลแห่งนี้ ปลาใหญ่จะเข้ามาให้ปลาเล็กอย่างปลานกขุนทอง กำจัดปรสิตตามผิวหนังครับ


ไม่นานนัก เขาก็ได้เจอกับปลายักษ์อย่างโมลาโมล่าที่ตามหามา 3 วัน โมลาโมล่าเป็นปลาที่นักดำน้ำและหลายๆคนอยากเห็นครับ ที่ญี่ปุ่นก็เป็นขวัญใจเด็กๆอย่างมาก


โมลาโมล่า เป็นญาติกับปลาปักเป้าครับ ในกระแสน้ำที่ไหลแบบนี้ อาหารก็เยอะ คนทำความสะอาดก็มี เรียกว่าไม่มาไม่ได้แล้ว


พิธีกรกล่าวถึงกระแสน้ำเย็นอย่างเทอโมคลาย(นักดำน้ำต้องเคยเห็นครับ) ลักษณะเหมือนกับวุ้น พอไปโดนเท่านั้น เย็นยะเยือก เข้าทันที แต่พอผ่านออกมา ก็อุ่นเหมือนเดิมครับ


คุ้มค่าครับ เพราะไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่มีถึงสามตัว เมื่อพินิจใกล้ๆ เจ้านี่ช่างหน้าตาประหลาดเหลือเกิน แถมผิวหนังก็หนามาก โมลาโมล่าเคลื่อนที่โดยการให้น้ำผ่านเหงือก ก่อนที่สะบัดครีบ แวบเดียวก็ไปไกลแล้วครับ


หากเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของปลาโมลาโมล่าในวัยเด็กจนถึงขนาดโตเต็มวัย เขาเปรียบเทียบได้กับเรือไททานิค 6 ลำแน่ะ(ไม่รู้โม้หรือเปล่า แต่ใหญ่มากเลยนะ เขาคงเทียบสัดส่วนดูน่ะครับ)


โมลาโมล่า ว่ายน้ำได้ลึกถึง 1800 ฟุต(เออ เท่ากับกี่เมตรหว่า) แต่ก็ลึกพอที่จะทำให้ไม่มีมนุษย์ลงไปรบกวนมัน


และนี่ คือ หนึ่งในสัตว์ทะเลที่แสนจะสง่างามและมีอยู่จริง ผมหวังว่าจะได้มีโอกาสลงไปเห็นด้วยตาตนเองครับ


ต้องลองถามจากประสบการณ์คนเจอของจริงอย่างพี่หมอหมู พี่หมอนัท และพี่หญิงอ้อ ก็ทำให้ยิ่งอยากไปในเร็ววันครับ


ภาพประกอบ ขอขอบคุณ http://static.doyouhike.net/ ครับ